ฉีซี่หลี่ดึงตัวเองออกจากมือของฮูหยินฉีสี่ แล้วตะคอกใส่นางจีว่า “ข้าไม่ขอโทษ เจ้าจะทำไมข้า หากมีปัญญาเจ้าก็ตีข้าคืนสิ”นางยื่นหน้าใบเล็กของนางไปตรงหน้านางจี ในดวงตามีน้ำตาคลอ ใบหน้าแดงจัด ราวกับว่ามีความไม่พอใจที่ยากจะกล่าวออกมาได้นางจีย่อมไม่ตีนางแน่นอน แต่จู่ๆ กลับแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปหาอาจารย์ฉีแห่งตระกูลฉีถามว่าตระกูลฉีพวกเจ้านั้นสอนกันมายังไง”นางหันกายกลับไปถามซ่งซีซี “เจ้าสำนักซ่ง ต้องรบกวนท่านให้เป็นพยานหม่อมฉันด้วย”ซ่งซีซีกล่าวว่า “หากว่าจะไปพบอาจารย์ฉี แน่นอนว่าข้าต้องกล่าวตามจริง”ฮูหยินฉีสี่รู้ว่าไม่อาจรบกวนคุณท่านใหญ่ได้ หากเดือดร้อนไปถึงผู้อาวุโส เรือนสี่ต้องโดนด่าตายแน่ๆเมื่อคิดถึงเช่นนี้ นางก็กัดฟันกรอดแล้วพูดกับฉีซี่หลี่ว่า “ขอโทษนาง”น้ำตาสองสายไหลพรากจากดวงตาของฉีซี่หลี่ กระทืบเท้า “ท่านแม่ ข้าไม่ขอโทษ เป็นพวกนางที่แกล้งข้า แถมยังจะขับไล่ข้าออกจากสถาบัน ควรเป็นพวกนางที่ต้องขอโทษข้า”ฮูหยินฉีสี่มองไปทางนางจีและซ่งซีซีที่สีหน้าเย็นชา จึงต้องทำหน้าจริงจังแล้วพูดอย่างเข้มงวดว่า “ในเมื่อทำผิดแล้ว ขอโทษนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ”ฉีซี่หลี่ก็คิดว่
นางจีและลูกสาวหวังจืออวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในส่วน ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ แต่ยังเติบโตได้ไม่ดีมากนัก อีกอย่างตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทำให้ดูรกร้างเหี่ยวเฉา “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนอา...แม่ทัพฝางเล่า?” นางจีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาๆ รอบๆ แผลบนใบหน้าของลูกสาว ลองกดๆ ดู ไม่มีเลือดไหลออกมา โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกมาก มิเช่นหน้าต้องเสียโฉมแล้วแต่รอยฝ่ามือนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พอเห็นแล้วในใจนางจีรู้สึกบีบรัดแน่นนางเองก็แปลกใจว่าเหตุใดลูกสาวจึงได้พูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง เวลาที่ในจวนพูดคุยเรื่องราวเหล่านั้นก็จะปิดบังพวกเด็กๆ ไว้นางถามตัวเองแล้วว่านางปกปิดเรื่องฉาวโฉ่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ไว้อย่างดีแล้ว หรืออาจเป็นเพราะในเร็วๆ นี้คำพูดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขา นางอยากรู้ว่าพวกเด็กๆ เข้าใจหรือรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีมากน้อยเพียงใดหวังจืออวี่เอยหน้าที่บวมแดง เห็นได้ชัดว่าแววตานั้นไร้มุ่งมั่น มักจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่านางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง“ท่านแม่ ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านอาเขยพาท่านอากลับมานั้นได้ให้อะไรแก่ข้า?”นางจีย้อนความจำ “แม่จำได้ว่าป้าที่อยู่ข้างกา
ซ่งซีซีและนางจีกลับไปด้วยกัน นางไม่ได้ขี่ม้าของตัวเองแล้ว สั่งให้คนจูงไว้ นางนั่งอยู่ในรถม้าของนางจีซ่งซีซีมีสองเรื่องที่จะคุยกับนาง “ศิษย์พี่ห้าเลือกบางส่วนที่ไม่ค่อยดีแล้วขายออกไป ดังนั้นเงินที่ขายได้นั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน ล้วนถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินของตึกว่างจิง”นางจีพูดเสียงเบา “เดิมทีก็เป็นจวนป๋อผิงซีที่ติดค้างเขา เงินพวกนั้น หากเขาอยากใช้ก็ใช้เถอะ ข้าเองก็ได้เก็บแล้วบางส่วนเช่นกัน”“เขาไม่ใช้หรอก เขาไม่ขาดเงิน” ซ่งซีซีพูดเรื่องที่สอง “สถานะของกู้ชิงหวู่นั้น ฮ่องเต้ได้ตรวจสอบแล้ว และได้รู้แล้วว่านางได้รับฮูหยินท่านหนึ่งในหลูโจวเป็นแม่บุญธรรม ส่วนเรื่องสกุลเสิ่นนั้น เมาจากสาขาหนึ่งของตระกูลเสิ่นในเมืองเจียงหนาน ทำการค้าอยู่ที่หลูโจวเช่นกัน ตอนแรกที่เจ้าตรวจพบว่านางไปมาหาสู่กับคนที่คิดก่อกบฏ คนผู้นั้นเห็นทีจะเป็นคนของตระกูลเสิ่น หากฮ่องเต้ลงมือกับเขาในตอนนี้ก็ยังดี แต่หากไม่แตะต้องเขา เช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่ผิงซีป๋อจะติดหล่มจมโคลน”ซ่งซีซีไม่ได้บอกเรื่องสำคัญแก่นาง เช่น จะตรวจสอบเรื่องทหารส่วนตัวในหลูโจว นี่เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เด็ดขาดบอกนางเท่านี้ เพื่อให้นางเตรียมต
เจ้ากรมฉียืนอยู่อย่างโง่งม เขาไม่ได้ถูกตบ แต่กลับรู้สึกเจ็บแสบที่ใบหน้าอย่างรุนแรงในเวลานี้เอง เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง เพราะเรื่องลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาหญ่าจวิน เขาถึงกลับต้องบุกมาถึงราชสำนักเขายืนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งเลิกประชุม จักรพรรดิซูชิงตรัสรั้งตัวเขาไว้ให้เขาไปที่ห้องทรงพระอักษร แต่กลับบอกให้เขายืนข้างนอก วันที่อากาศหนาว สายลมเย็นเฉียบราวกับใบมีด เขายืนอยู่ที่นั่นสองชั่วยามเต็มๆ ทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปในใจเขารู้สึกถึงผสมปนเปหมด ความโกรธก็พลุ่งพล่านไปทั่วอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องนี้จะทำไม่ถูก แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาแทบจะแข็งทื่อจากความหนาวเย็น เมื่ออู๋ต้าปั้นเห็นว่าเขาใกล้จะทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็มอบเตาอุ่นมือเล็กๆ ให้อุ่นมือภายใต้ความหนาวขีดสุด พอมีความอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกดีขึ้นมากอู๋เยว่เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เยว่ก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา "เจ้ากรมฉี ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?"เจ้ากรมฉีหนาวสั่นจนแทบพูดไม่ออก “รอฝ่าบาทเรียกเข
ส่วนทางด้านนี้ เจ้ากรมฉีกลับมาถึงจวน เรียกคนจากบ้านสี่เข้ามาหา ระบายอารมณ์ใส่เสียยกใหญ่ฮูหยินฉีสี่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน "พี่ใหญ่ พวกเราก็ทำตามความประสงค์ของฮองเฮา เดิมทีข้าต้องการคุณชายสามโหวกวางหลิงให้หลี่เอ๋อร์ แต่ฮองเฮาบอกว่าเราจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพ”ครั้นแล้วนางก็เล่าเรื่องที่ฮองเฮาเกือบจะประทานสมรสแต่ก็ถูกไทเฮายับยั้งไว้ ระหว่างพูดก็แสดงความโกรธออกมา "ตระกูลฝางก็หยิ่งยะโสยิ่งนัก คุณหนูจากตระกูลฉีของเราไม่คู่ควรกับเขาหรือ? พี่ใหญ่ ตระกูลฝางไม่เห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตาเลย"“ทำไมพวกเขาตระกูลฝางถึงต้องเห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตา? พวกเราเห็นตระกูลฝางอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นหรือ?” เจ้ากรมฉีถามกลับ เขารู้สึกว่านี่ปัญหาเกิดจากจุดนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่คนในตระกูลคิดว่าบุคคลภายนอกต้องให้เกียรติตระกูลฉีความกลัวผุดขึ้นมาในใจไม่รู้ตัวโดยไม่รู้ตัว ตระกูลฉีในสายตาของทุกคนนั้นมีอำนาจมากมายมหาศาล คนในตระกูลฉีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเขาถึงคิดเช่นนั้นน่ะหรือ? ย่อมเป็นเพราะว่าคนภายนอกยกย่องขึ้นฮูหยินฉีสี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ พึมพำว่า "แต่เราคือตระก
ในเรือนเหวินซี โคมไฟที่อยู่หน้าทางเดินส่องภาพกระดาษตัดบนโครงตาข่ายหน้าต่าง และสะท้อนมันลงบนผนังบ้านราวกับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้นซ่งซีซีนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง ประสานมือไว้ข้างหน้า ร่างเพรียวบางห่อด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ นางมองไปที่คนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสามีที่เพิ่งต่างงานของนาง ซึ่งนางรอคอยมานานหนึ่งปีชุดเกราะทหารที่ดูค่อนข้างเก่าของจ้านเป่ยว่างยังไม่ได้ถอด และเขาดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีความรู้สึกขอโทษแฝงไว้ "ซีซี ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้สมรสกันแล้ว ยี่ฝางจะต้องแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน"ซ่งซีซีประสานมือไว้หน้าลำตัว ดวงตาของนางมืดมัว นางถามอย่างสงสัย "ไทโฮ่วเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพยี่ฝางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในใต้หล้า นางยอมที่จะเป็นอนุภรรยาหรือ? "ดวงตาที่หนักอึ้งของจ้านเป่ยว่างฉายแววความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่ ไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาเท่าเทียม ไม่ต่างจากเจ้า"ซ่งซีซียังคงนิ่งเฉยและพูดว่า "ท่านแม่ทัพรู้ดีว่าภรรยาเท่าเทียมแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี"จ้านเป่ยว่างขมวดคิ้ว "จะอนุอะไรกัน นางกับข้ามีใจให้กันในสนามรบและตกหลุมรักกัน อีกอย่างเ
จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่