นางจีก็พาจินซิ่วมาถึงด้วย ได้ยินว่าบุตรสาวของตนเองถูกตี นางไปดูลูกสาวก่อน ใบหน้าบวมแล้ว แถมยังมีแผลเล็กละเอียดอีกเส้นหนึ่ง พอรู้ว่ากั๋วไท่ฮูหยินได้ทายาให้นางแล้ว หลังจากที่ปลอบใจลูกสาวตัวเองสองสามคำ ก็กลับเรือนซูหย่าเพื่อคำนับขอบคุณกั๋วไท่ฮูหยินฮูหยินทั้งสองนั่งลง ซ่งซีซีเป็นคนออกหน้าบอกเล่าเรื่องราวจนกระจ่างชัด หลังจากที่เล่าจนจบแล้ว จึงได้ส่งคนไปเรียกตัวฉีซี่หลี่และหวังจืออวี่มา และนำตัวนักเรียนหลายคนมาเป็นพยานด้วย เพื่อสะดวกต่อการให้ฮูหยินทั้งสองซักถามสีหน้าของฮูหยินฉีสี่ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก หนึ่งคือโกรธที่ลูกสาวไม่ได้เรื่อง ไม่รู้ความ ถึงขั้นนำเรื่องแบบนี้มาพูดกล่าวที่สถานบัน สองคือโกรธเกลียดหวังจืออวี่ปากพล่อย มาพูดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ชอบลูกสาวนาง คำพูดนี้แพร่ออกไป จะทำให้ลูกสาวนางเสื่อมเสียได้ทว่า เป็นฉีซี่หลี่ที่ลงมือตีคน เนื้อแท้นี้กับการทะเลาะเบาะแว้งนั้นต่างกัน นางไม่อาจไม่ก้มหัวได้ นางกล่าวขอโทษอย่างไร้รสไร้ชาติกับนางจี “แม้นจะบอกว่าเป็นพวกเด็กสาวไม่รู้ความมีปากมีเสียงกัน แต่เป็นลูกสาวข้าที่ลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนนั้นไม่ถูก ฮูหยินจีได้โปรดอย่าถือสาหาความกับนางเลย”นางจ
สีหน้าของฮูหยินฉีสี่ย่ำแย่ขึ้นอีก นางไม่เชื่อว่านางจีฟังไม่ออกถึงนัยยะในคำพูดของนางท่าทีของนางแข็งขึ้นบ้าง “ไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ให้ขอโทษนั้นได้ แต่จะให้ออกจากสถาบันนั้นรุนแรงเกินไปแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้ลาออกเพราะเรื่องเล็กแค่นี้ หากแพร่งพรายออกไปจะทำให้ผู้คนว่าเอาได้ว่านักเรียนของหย่าจวินนั้นทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ฮูหยินไม่คิดเผื่อลูกสาวของตนเอง ก็ควรจะเห็นแก่สถานบันหย่าจวินบ้าง อย่างไรเสีย หากลูกสาวของข้าต้องลาออกไปจริงๆ หากมีคำพูดต่างๆ ลือกันออกไป ที่เสียหายก็เป็นชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้ว”เมื่อกี้ข่มขู่นางจี ตอนนี้ข่มขู่สถานบันการศึกษาสตรีหย่าจวินแล้วซีงซีซียิ้มเย็นเยียบ “ตีคนแล้วยังไม่ถูกลงโทษให้ออก หากแพร่งพรายออกไปแล้วจึงจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของสถาบันหย่าจวินอย่างแท้จริง พวกเราเชิญฮูหยินสี่มา ก็เพราะอยากทำให้ทุกคนไม่ต้องเสียหน้า ควรขอโทษก็ขอโทษ ควรรับผิดก็รับผิด พูดคุยกันให้กระจ่างชัดทั้งสองบ้านจะได้ไม่ต้องผูกความแค้นกันเพราะเด็กสองคน แต่การออกจากสถาบันนั้นอย่างไรก็ต้องออก หากว่าเจ้าไม่ยอมล
ฉีซี่หลี่ดึงตัวเองออกจากมือของฮูหยินฉีสี่ แล้วตะคอกใส่นางจีว่า “ข้าไม่ขอโทษ เจ้าจะทำไมข้า หากมีปัญญาเจ้าก็ตีข้าคืนสิ”นางยื่นหน้าใบเล็กของนางไปตรงหน้านางจี ในดวงตามีน้ำตาคลอ ใบหน้าแดงจัด ราวกับว่ามีความไม่พอใจที่ยากจะกล่าวออกมาได้นางจีย่อมไม่ตีนางแน่นอน แต่จู่ๆ กลับแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปหาอาจารย์ฉีแห่งตระกูลฉีถามว่าตระกูลฉีพวกเจ้านั้นสอนกันมายังไง”นางหันกายกลับไปถามซ่งซีซี “เจ้าสำนักซ่ง ต้องรบกวนท่านให้เป็นพยานหม่อมฉันด้วย”ซ่งซีซีกล่าวว่า “หากว่าจะไปพบอาจารย์ฉี แน่นอนว่าข้าต้องกล่าวตามจริง”ฮูหยินฉีสี่รู้ว่าไม่อาจรบกวนคุณท่านใหญ่ได้ หากเดือดร้อนไปถึงผู้อาวุโส เรือนสี่ต้องโดนด่าตายแน่ๆเมื่อคิดถึงเช่นนี้ นางก็กัดฟันกรอดแล้วพูดกับฉีซี่หลี่ว่า “ขอโทษนาง”น้ำตาสองสายไหลพรากจากดวงตาของฉีซี่หลี่ กระทืบเท้า “ท่านแม่ ข้าไม่ขอโทษ เป็นพวกนางที่แกล้งข้า แถมยังจะขับไล่ข้าออกจากสถาบัน ควรเป็นพวกนางที่ต้องขอโทษข้า”ฮูหยินฉีสี่มองไปทางนางจีและซ่งซีซีที่สีหน้าเย็นชา จึงต้องทำหน้าจริงจังแล้วพูดอย่างเข้มงวดว่า “ในเมื่อทำผิดแล้ว ขอโทษนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ”ฉีซี่หลี่ก็คิดว่
นางจีและลูกสาวหวังจืออวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในส่วน ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ แต่ยังเติบโตได้ไม่ดีมากนัก อีกอย่างตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทำให้ดูรกร้างเหี่ยวเฉา “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนอา...แม่ทัพฝางเล่า?” นางจีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบาๆ รอบๆ แผลบนใบหน้าของลูกสาว ลองกดๆ ดู ไม่มีเลือดไหลออกมา โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกมาก มิเช่นหน้าต้องเสียโฉมแล้วแต่รอยฝ่ามือนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พอเห็นแล้วในใจนางจีรู้สึกบีบรัดแน่นนางเองก็แปลกใจว่าเหตุใดลูกสาวจึงได้พูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง เวลาที่ในจวนพูดคุยเรื่องราวเหล่านั้นก็จะปิดบังพวกเด็กๆ ไว้นางถามตัวเองแล้วว่านางปกปิดเรื่องฉาวโฉ่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ไว้อย่างดีแล้ว หรืออาจเป็นเพราะในเร็วๆ นี้คำพูดเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขา นางอยากรู้ว่าพวกเด็กๆ เข้าใจหรือรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีมากน้อยเพียงใดหวังจืออวี่เอยหน้าที่บวมแดง เห็นได้ชัดว่าแววตานั้นไร้มุ่งมั่น มักจะทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่านางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง“ท่านแม่ ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านอาเขยพาท่านอากลับมานั้นได้ให้อะไรแก่ข้า?”นางจีย้อนความจำ “แม่จำได้ว่าป้าที่อยู่ข้างกา
ซ่งซีซีและนางจีกลับไปด้วยกัน นางไม่ได้ขี่ม้าของตัวเองแล้ว สั่งให้คนจูงไว้ นางนั่งอยู่ในรถม้าของนางจีซ่งซีซีมีสองเรื่องที่จะคุยกับนาง “ศิษย์พี่ห้าเลือกบางส่วนที่ไม่ค่อยดีแล้วขายออกไป ดังนั้นเงินที่ขายได้นั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน ล้วนถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินของตึกว่างจิง”นางจีพูดเสียงเบา “เดิมทีก็เป็นจวนป๋อผิงซีที่ติดค้างเขา เงินพวกนั้น หากเขาอยากใช้ก็ใช้เถอะ ข้าเองก็ได้เก็บแล้วบางส่วนเช่นกัน”“เขาไม่ใช้หรอก เขาไม่ขาดเงิน” ซ่งซีซีพูดเรื่องที่สอง “สถานะของกู้ชิงหวู่นั้น ฮ่องเต้ได้ตรวจสอบแล้ว และได้รู้แล้วว่านางได้รับฮูหยินท่านหนึ่งในหลูโจวเป็นแม่บุญธรรม ส่วนเรื่องสกุลเสิ่นนั้น เมาจากสาขาหนึ่งของตระกูลเสิ่นในเมืองเจียงหนาน ทำการค้าอยู่ที่หลูโจวเช่นกัน ตอนแรกที่เจ้าตรวจพบว่านางไปมาหาสู่กับคนที่คิดก่อกบฏ คนผู้นั้นเห็นทีจะเป็นคนของตระกูลเสิ่น หากฮ่องเต้ลงมือกับเขาในตอนนี้ก็ยังดี แต่หากไม่แตะต้องเขา เช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่ผิงซีป๋อจะติดหล่มจมโคลน”ซ่งซีซีไม่ได้บอกเรื่องสำคัญแก่นาง เช่น จะตรวจสอบเรื่องทหารส่วนตัวในหลูโจว นี่เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เด็ดขาดบอกนางเท่านี้ เพื่อให้นางเตรียมต
เจ้ากรมฉียืนอยู่อย่างโง่งม เขาไม่ได้ถูกตบ แต่กลับรู้สึกเจ็บแสบที่ใบหน้าอย่างรุนแรงในเวลานี้เอง เขาเพิ่งตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง เพราะเรื่องลูกศิษย์ของสถาบันการศึกษาหญ่าจวิน เขาถึงกลับต้องบุกมาถึงราชสำนักเขายืนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งเลิกประชุม จักรพรรดิซูชิงตรัสรั้งตัวเขาไว้ให้เขาไปที่ห้องทรงพระอักษร แต่กลับบอกให้เขายืนข้างนอก วันที่อากาศหนาว สายลมเย็นเฉียบราวกับใบมีด เขายืนอยู่ที่นั่นสองชั่วยามเต็มๆ ทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปในใจเขารู้สึกถึงผสมปนเปหมด ความโกรธก็พลุ่งพล่านไปทั่วอก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องนี้จะทำไม่ถูก แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาแทบจะแข็งทื่อจากความหนาวเย็น เมื่ออู๋ต้าปั้นเห็นว่าเขาใกล้จะทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็มอบเตาอุ่นมือเล็กๆ ให้อุ่นมือภายใต้ความหนาวขีดสุด พอมีความอบอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกดีขึ้นมากอู๋เยว่เร่งรีบเข้าไปในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เยว่ก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา "เจ้ากรมฉี ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?"เจ้ากรมฉีหนาวสั่นจนแทบพูดไม่ออก “รอฝ่าบาทเรียกเข
ส่วนทางด้านนี้ เจ้ากรมฉีกลับมาถึงจวน เรียกคนจากบ้านสี่เข้ามาหา ระบายอารมณ์ใส่เสียยกใหญ่ฮูหยินฉีสี่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน "พี่ใหญ่ พวกเราก็ทำตามความประสงค์ของฮองเฮา เดิมทีข้าต้องการคุณชายสามโหวกวางหลิงให้หลี่เอ๋อร์ แต่ฮองเฮาบอกว่าเราจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพ”ครั้นแล้วนางก็เล่าเรื่องที่ฮองเฮาเกือบจะประทานสมรสแต่ก็ถูกไทเฮายับยั้งไว้ ระหว่างพูดก็แสดงความโกรธออกมา "ตระกูลฝางก็หยิ่งยะโสยิ่งนัก คุณหนูจากตระกูลฉีของเราไม่คู่ควรกับเขาหรือ? พี่ใหญ่ ตระกูลฝางไม่เห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตาเลย"“ทำไมพวกเขาตระกูลฝางถึงต้องเห็นตระกูลฉีของเราอยู่ในสายตา? พวกเราเห็นตระกูลฝางอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นหรือ?” เจ้ากรมฉีถามกลับ เขารู้สึกว่านี่ปัญหาเกิดจากจุดนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่คนในตระกูลคิดว่าบุคคลภายนอกต้องให้เกียรติตระกูลฉีความกลัวผุดขึ้นมาในใจไม่รู้ตัวโดยไม่รู้ตัว ตระกูลฉีในสายตาของทุกคนนั้นมีอำนาจมากมายมหาศาล คนในตระกูลฉีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน เหตุใดพวกเขาถึงคิดเช่นนั้นน่ะหรือ? ย่อมเป็นเพราะว่าคนภายนอกยกย่องขึ้นฮูหยินฉีสี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ พึมพำว่า "แต่เราคือตระก
ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสอง จักรพรรดิซูชิงเสด็จมายังตำหนักฉางชุนฮองเฮาดวงตาแดงก่ำ เล่าเรื่องที่ฉีซี่หลี่ถูกให้ถอนตัวออกจากสถาบันสำหรับเรื่องนี้จักรพรรดิซูชิงได้ติเตียนตระกูลฉีไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้ เขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยฮองเฮาฉีสังเกตสีหน้าท่าทาง ก็รู้ว่าเขาไม่พอใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อ กล่าวว่าตอนนี้ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทุกคนต่างยกย่องซ่งซีซี คิดว่านางมีมาตรฐานเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับกุลสตรีจักรพรรดิซูชิงมองนางเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม "ข้ากลับสงสัยยิ่งนัก ว่าเหตุใดบรรดาฮูหยินสุภาพสตรีในตระกูลชั้นสูงจึงไม่ยกย่องฮองเฮา? ตามหลักแล้วฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดิน ก่อนที่จะแต่งงานกับข้า ยิ่งเป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง เจ้าต่างหากถึงควรได้รับยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดี”ฮองเฮาฉีไม่แน่ใจว่าคำพูดของฝ่าบาทเป็นคำชมหรือคำวิจารณ์ ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นการเสียดสีหรือจริงๆ แล้วกำลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางอยู่ตอนนี้นับวันนางยิ่งไม่เข้าใจฝ่าบาทนางถวายชาให้พระองค์ด้วยท่าทางกระดากใจ หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดหยั่งเชิงว่า "เวลานี้พระชายาเป
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ