ยามราตรีกาลโลกซินด์เธีย.......
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังกระทบพื้นถนนเป็นจังหวะ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เธอหอบหายใจแรงขณะที่พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เงาดำที่ไล่ตามเธอมาติดๆ ทำให้หญิงสาวไม่สามารถหยุดวิ่งได้แม้แต่วินาทีเดียว
"ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!" หญิงสาวร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ในยามวิกาลเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ
เงาดำมืดนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นยะเยือกที่เป่ารดต้นคอ ตัวหญิงสาวแข็งทื่อขาที่จะก้าวหนีไม่ขยับไปไหนทันใดนั้น จู่ๆ ชายผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวเธอจากด้านหลัง เขาลากเธอเข้าไปในตรอกมืด ร่างของหญิงสาวกระแทกกับกำแพงอย่างแรง เธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิตแต่ ก็ไม่สามารถสู้ได้ เขาแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจะต่อกร
"อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ได้โปรดนะ ขอร้อง"
หญิงสาวอ้อนวอน แต่เสียงของเธอถูกกลืนหายไปในความมืดมิด
เขาฉีกยิ้ม ก้มลงไปใกล้ๆ คอของหญิงสาวได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ จากลมหายใจของเขา เขี้ยวแหลมคมของเขาจมลงไปในผิวเนื้อของเธอ หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เสียงของเธอกลับค่อยๆ เงียบลงเรื่อยๆ ร่างกายของเธอซีดราวกับศพ เขาดูดเลือดของเธออย่างตะกละตะกลาม จนกระทั่งเธอแน่นิ่งไป
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาดวงตาของเขาเป็นสีแดง เขายิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเอง จากนั้นเขาหายตัวไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงร่างไร้ชีวิตของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นดิน....
หนึ่งชั่วโมงถัดมา....
ขณะเดียวกันชายคนหนึ่งยืนนิ่งสงบ บนดาดฟ้าตึกสูงสายลมเย็น พัดร่างของผมแต่ไม่อาจทำให้ผมรู้สึกหนาวเหน็บได้ดวงตาสีโลหิต เส้นผมสีไข่มุก ใบหน้าคมหล่อ ผิวที่ซีดเผือด ภายใต้แว่นกันแดดสีดำทอดมองลงไปยังเมืองแสงไฟระยิบระยับ ราวกับดวงดาวบนผืนผ้ากำมะหยี่แต่ท่ามกลางความงดงามนั้น ผมกลับสัมผัสได้ถึงความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ผมเคียร์เนย์ แวมไพร์ที่อยู่มาพันปีเป็นราชาแห่งโลกพรีโม่ นับเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย เสียงรถรา เสียงทั้งหมดขึ้นประสานกันจนราวกับเป็นเสียงเดียว แต่สำหรับหูอันเฉียบคมของแวมไพร์อย่างผม เสียงเหล่านั้นกลับแตกต่างชัดเจนดุจดังว่าอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นของผู้คนมากมาย เสียงลมหายใจแผ่วเบาแม้กระทั่งเสียงกระซิบที่แทบไม่ได้ยิน
"พวกหนูสกปรกเพิ่มจำนวนขึ้นมากเลยนี่"
รายงานที่ผมได้รับนั้นไม่เกินจริงปีศาจที่เคยหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด บัดนี้กลับกล้าออกมาเพ่นพ่านในโลกมนุษย์อย่างเปิดเผย ผมถอดแว่นกันแดดออก มือเสยผมสูดกลิ่นอายของเมืองเข้าปอดกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาตามลมทำให้ผมมั่นใจว่าพวกเขากำลังออกล่า
"อยู่ดีๆ ไม่ชอบกันใช่ไหม ข้าที่อยู่โลกมนุษย์มาตั้งนานดันต้องมาเจอเรื่องปวดหัว"
ผมที่ยิ้มมุมปากกำลังจะกระโดดแต่โดนขัดขึ้นซะก่อน
"เดี๋ยวก่อนครับ เอาเสื้อโค้ตไปด้วย กลางคืนอากาศหนาว" มาร์ชินลูกน้องของผมพูดขึ้น
"จะให้ฉันออกเท่ๆ หน่อยไม่ได้เลยหรือไง! ชอบขัดทุกเรื่อง จะขัดอยู่ไหม"
"ไม่ๆ แล้วครับ เชิญไปได้เลยครับ"
จากนั้นร่างผมก็หายวับไปในความมืด ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
สำนักงานองค์กรซีไอเอภาคปฏิบัติ...
หญิงสาวนั่งหลังพิงเก้าอี้ในห้องทำงานอันแสนจะไม่สุขสบาย ฉันมินาโกะ ผู้ไม่เคยกลัวใครนอกจากพ่อแม่ เป็นคนที่ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามจนเพื่อนเอือมระอา ดวงตากลมโต สีช็อกโกแลต ผมสีเพลงนิล (ไฟสีดำ) ใบหน้างดงามดั่งเทพี อายุ ยี่สิบสามปี มีไฝใต้ตาสองจุด
ความเคร่งเครียดทำเอากระเพาะอาหารไม่ย่อยขณะที่สายตาไล่อ่านรายงานคดีล่าสุดที่วางอยู่ตรงหน้า
"เหยื่อรายที่ห้าในรอบเดือนนี้....จะทำสถิตแข่งกันหรือยังไง ไม่ใช่โอลิมปิกนะ"
รายงานระบุว่าเหยื่อแต่ละรายเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ รอยแผลสองรอยที่ปรากฏบนต้นคอของเหยื่อทุกราย ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยการที่ฉันเป็นนักข่าวกรองไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางหรือปีศาจ แต่รอยแผลประหลาดเหล่านี้ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีสิ่งที่เหนือธรรมชาติอยู่เบื้องหลัง
"มันต้องได้อะไรมาบ้างสิ"
ฉันหยิบเสื้อโค้ตและกุญแจรถเตรียมตัวออกไปยังที่เกิดเหตุ พอมาถึงเป็นตรอกเล็กๆ สังเกตเห็นร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดและรอยเท้าที่ดูเหมือนจะลากไปตามพื้น ฉันย่อเข่าลงตรวจสอบรอยเท้ากับเลือด ก็พบว่ารองเท้ามีขนาดเท่ากับมนุษย์ทั่วไปและมีรอยเล็บที่แหลมคมปรากฏอยู่บนกำแพง
"ดูท่าแรงจะเยอะไม่ใช่เล่น ทำให้เป็นรอบข่วนได้ขนาดนี้ " จู่ๆ ในหัวก็มีคำหนึ่งปรากฏขึ้นมา
"บ้าน่าจริงเหรอ?!"
เล่นทำเอาฉันขนลุกซู่ ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากด้านหลัง ฉันหันหลังกลับไปมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
"ใครน่ะ! อย่ามาเล่นตุกติกนะ จะเป็นผีอะไรก็ช่างฉันไม่เชื่อทั้งนั้น!"
"ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!"
ฉันถามกลับแต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบสงัดที่น่ากลัว ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีใครบางคนหรือบางสิ่ง กำลังเฝ้ามองฉันอยู่ในเงามืด ฉันรีบเก็บหลักฐาน แล้วออกจากตรอกนั้นทันที
กลับมาที่ห้องทำงาน ฉันนั่งทบทวนรูปภาพบนจอภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันไม่สามารถสลัดความคิดที่ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้ามองฉันจากที่ไกลๆ
ฉันหยิบคีย์บอร์ดมาพิมพ์บนหน้าจอค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับตำนานและเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรอยแผลสองรอยบนต้นคอ ยิ่งฉันค้นคว้ามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าคดีนี้อาจจะไม่ใช่คดีที่ฉันจะสามารถแก้ไขได้ มันอาจจะต้องเผชิญหน้ากับบางอย่างที่ฉันไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน...
ผมที่นั่งอยู่บนหลังคาเฝ้ามองหญิงสาวที่เอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึม ผมนึกถึงภาพเมื่อครู่ในซอยมืด เห็นความมุ่งมั่นและความกล้าหาญในแววตาของเธอแม้ว่าเธอจะรู้สึกหวาดระแวง แต่เธอก็ไม่ยอมถอยหนี ยังพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่าไม่กลัวผีสาง
ขณะที่เธอออกจากตรอกนั้น สายตาเห็นป้ายชื่อของเธอหล่นลงพื้น จึงก้าวออกมาจากเงามืดและเก็บมันขึ้นมามือหันป้ายชื่อ ของเธอจึงตามมาถึงที่ทำงาน
"เป็นสายลับของข่าวกรองนี่เอง"
ผมยิ้มร้ายๆ ในขณะมองเธออยู่ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม
"ไหนมาดูหน่อยสิ ว่าคนธรรมดาแบบพวกเธอจะรับมือกับปัญหายังไง"
ผมชักจะสนุกกับเกมนี้แล้ว รู้ว่าเธอกำลังตามล่าหาฆาตกรที่ฆ่าคนไปหลายศพแต่เธอไม่รู้ว่าฆาตกรที่เธอตามล่าอยู่นั้นไม่ใช่มนุษย์ อยากจะเห็นปฏิกิริยาของเธอเมื่อรู้ความจริงกลับกลายเป็นผมที่ตัดสินใจมองดูเธอต่อไป ทำให้ผมอยากรู้ว่าเธอจะสามารถไขคดีนี้ได้หรือไม่ถ้าเธอพบกับความจริงที่ทว่าพวกนั้นคือแวมไพร์เธอจะทำหน้าตายังไง
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านบังตาเข้ามาในห้องทำงาน ฉันยังคงหลับสนิทอยู่บนโต๊ะ เอกสารกองโตและแฟ้มคดีวางระเกะระกะ รอบตัวบ่งบอกถึงการทำงานหนักตลอดทั้งคืน
"มินาโกะตื่นได้แล้ว"
เสียงใสๆ ของซากุระผมสีเหล้าองุ่น ดวงตาสีแอปเปิลเขียว ผิวขาวผ่อง ใบหน้าอ่อนหวานใส่แว่นตา เธอคือเพื่อนสนิทของฉันเป็นพยาบาลที่นี่ กลิ่นหอมหวานของขนมอบอวลไปทั่วห้อง ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย มือขยี้ตาและบิดขี้เกียจ พลางมองไปยังซากุระที่ยืนถือกล่องขนมปังอบสดใหม่มาให้...
"ซากุระเหรอ นี่กี่โมงแล้วเนี่ย"
"เก้าโมงแล้วจ้ะ"
ซากุระตอบพลางวางกล่องขนมลงบนโต๊ะ
"เป็นหัวหน้าทำไมถึงได้ทำงานหนักกว่าลูกน้อง ฉันเห็นเธอยังไม่ตื่นเลยแวะซื้อขนมปังมาเพื่อเธอหิวจะได้กินเลย"
ฉันลุกขึ้นไปกอดซากุระ"เอาน่า เป็นหัวหน้าก็ต้องทำงานหนักถูกต้องแล้ว ขอบใจนะ ซากุระ แล้วพวกผู้ชายล่ะ"
"พวกผู้ชายเดี๋ยวก็คงจะมากันแหละ"
เท้าเดินไปหยิบขนมปังขึ้นมากิน กลิ่นหอมหวานของเนยและน้ำตาลช่วยให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง สายตาสังเกตเห็นได้ชัดจึงเดินเอามือเอื้อมเปิดกระจกลงเล็กน้อย ชายคนนั้นที่ยืนมองมาตั้งแต่ตอนไหนกัน ทำไมฉันถึงพึ่งมาสังเกตเอาตอนนี้
"ไปสืบที่เกิดเหตุมาอีกแล้วใช่ไหม ได้อะไรมาบ้างไหมมินาโกะ "
ฉันส่ายหน้า"คดีฆาตกรรมต่อเนื่องนั้นยังไม่คืบหน้าเลย ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนมันก็ยังไม่พบอะไร"
ซากุระมาบีบแก้มทั้งสองข้างส่ายไปมา "อย่าทำให้ฉันต้องเป็นห่วงจะได้ไหมยัยบ้า"
"โอ๊ย!! เจ็บนะ รู้แล้วน่า" ฉันอมยิ้มให้เพราะรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉันมาตลอด
ค่ำคืนอันงดงามดั่งห้วงฝัน...
ขณะที่ฉันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกงานอันเหน็ดเหนื่อย ได้เดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแปลกตา เธอแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำสนิทและมีผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าเกือบมิดชิดเวลานั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า
"เธอนั้นนะ มาดูดวงกับฉันหน่อยเป็นไง"
ฉันหยุดชะงักทันที หันไปตามเสียงผู้หญิงคนนั้นด้วยความสงสัย
"ฉันเหรอ?...คุณกำลังหมายถึงฉันใช่ไหม"
"จะใครอีกล่ะ ก็เธอนั่นแหละ เดินผ่านอยู่คนเดียว"
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มและใช้มือกวักเรียกฉัน...เลยเดินไปนั่งตรงหน้าของเธอ
"ดูฟรีปะเนี่ย ยิ่งเงินเดือนยังไม่ออกเหลือไม่กี่บาทเอง"
"ยัยหนูนี่ ฉันดูให้ฟรีไหนบอกมาสิว่าจะดูอะไร"
"เอ่อ...ความรักแล้วกัน ฉันอยากรู้ว่าจะมีเนื้อคู่ไหม"
"โอ้วใจกล้าดี เลือกไพ่มาสามใบ"
ฉันหลับตาตั้งสมาธิหยิบไพ่กลางซ้ายขวามาสามใบ แม่หมอเปิดออกมาเป็นรูปหัวกะโหลกสองตนที่คลุมผ้าอยู่กับหัวกะโหลกที่จับมีดแทงกลางอกแล้วไพ่สุดท้ายเป็นรูปผู้ชายสวมชุดสีดำใบหน้าใส่หน้ากากรูปยิ้ม
"อื้มไม่ธรรมดาเลยนะ โชคชะตาของเธอมันยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าจะให้พูดคือ ยังไม่มีความรักที่จริงใจ เพราะชีวิตของเธอนั้น กำลังเดินมาถึงทางตัน ที่ไม่มีใครสามารถจะตัดสินใจได้นอกจากตัวเธอ "
"ฮะ!! พูดให้เข้าใจหน่อยได้ไหมแม่หมอ"
"พูดง่ายๆ สามไพ่นี้ บ่งบอกถึงความรักที่เสียสละ เลือด หัวใจที่อันบริสุทธิ์ สิ่งที่ฉันเห็นในอนาคตนั้น ดวงวิญญาณเธอแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี"
"......."
"ไพ่นี้ระวังผู้ชายแปลกหน้าให้ดี ไม่งั้นเธออาจจะต้องเสียใจชั่วชีวิตของเธอเลยก็ได้ เพราะเขาจะมาในรูปแบบที่เธอคาดไม่ถึงเลย"
"นี่คือที่อยู่ของฉันถ้าเธอเจอผู้ชายคนนั้นตามที่ฉันบอกมาหาฉันได้เสมอ"
สิ้นสุดคำพูดของ แม่หมอคนนั้นก็หายไป ทิ้งให้ฉันยืนอยู่คนเดียวด้วยความงง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คำพูดของเธอคนนั้นยังคงอยู่ในหัวของฉัน
"ผู้ชายแปลกหน้า? ใครจะมายุ่งกับฉัน วันๆ แทบจะไม่มีเวลาให้ใครเลย อีกอย่างฉันจะตาย?"
ฉันส่ายหัว พยายามปัดความคิดนั้นออกไป ไม่อยากจะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ฉันก็เก็บที่อยู่แม่หมอคนนั้นไว้ในกระเป๋า
"ถ้ามาจริงก็ขอหล่อๆ แบบดาราระดับโลกไปเลย ฉันจะดีใจมาก ฮ่าๆๆ เชื่อก็บ้าแล้ว!!"
ณ...คอนโดมินาโกะฉันที่ถึงอพาร์ตเมนต์ตัวเอง มือเอื้อมไปเปิดประตูเดินเข้ามาถอดรองเท้า ดีดนิ้วไฟในห้องก็จะเปิดขึ้น เดินเข้ามาม่านจะเปิดเองอัตโนมัติ จะเห็นวิวใจกลางเมืองภายในห้องที่ตกแต่งโทนมินิมอลสีขาวน้ำตาล ทำให้สบายตาเดินปึงๆ ลงมานั่งลงบนโซฟาพูดว่าเปิดทีวีก็จะเปิดทันที เสียงเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติกำลังทำงานฉันเลยเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายจากความเหนื่อยล้า น้ำอุ่นๆ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ฉันหลับตาลงปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่างกายเข้ามาแทนที่ความวุ่นวายในหัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวผืนบางที่คลุมร่างกายไว้หลวมๆ เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อหยิบโลชั่นทาผิว แต่ทว่าฉันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบปืนใต้โต๊ะ พอฉันหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณแต่แล้วปรากฏว่าไม่ทัน…กรี๊ด!!!ฉันร้องเสียงหลงเพราะมีใครบางคนเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลังกระแทกแรงจนทำให้ผ้าขนหนูที่คลุมร่างกายฉันหลุดร่วงลงไปกองกับพื้น ฉันรีบหันมาเอามือมาปิดร่างตัวเองไว้ด้วยความตกใจและอับอายพอฉันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน...ชายหนุ่มยิ้มบางๆ "ใจเย็นๆ
ยามตะวันลาลับขอบฟ้าในสวนสาธารณะ เวลาสามทุ่ม...ฉันย่องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบใจเต้นระทึกกับรวบรวมความกล้าที่ผสมปนเปกันฉันที่ต้องการพิสูจน์ว่าในจดหมายนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่และถ้าเป็นจริงใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ฉันที่แต่งตัวอย่างกับโจร ใส่ชุดสีดำทั้งตัว อาการก็เหมาะ เพราะร้อนสุดๆความเงียบสงัดของสวนสาธารณะทำเอาฉันเกือบหลับแต่ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ ฉันเพ่งมองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สายตาเห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในสวน ฉันหันไปมองของที่เตรียม มาทั้งกระเทียม ไม้กางเขน เหล็กแหลมและน้ำอบ"ไม่เชื่อเลย ยังพกมาขนาดนี้ ตั้งศาลเจ้าไล่ผีได้เลยนะ"ชายหนุ่มหยุดอยู่ใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้า ทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน!"นั้นมันคือชายหนุ่มธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือไงน่ะ ไม่เห็นจะเหมือนแวมไพร์ตรงไหน"สีหน้าแข็งตึงอย่างสะกดอารมณ์ ฉันเฝ้ามองอย่างระมัดระวังไม่นานนัก หญิงสาวอีกคนก็เดินเข้ามาในสวน เธอตรงเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้น ทั้งคู่พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะโอบกอดเธอไว้ฉันรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง สายตาจ้องมองทั้งคู่อย่างไม่วางตา ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ก้ม
แสงยามอรุณฉายส่องเข้ามาคล้ายกำลังโอบกอดอย่างอ่อนโยน....แพขนตาหนาค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ก่อนจะกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างอันน้อยนิดในห้อง พบกับเพดานสีขาวซีดของห้องพักฟื้นผู้ป่วย ในตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาล รู้สึกปวดที่แขนจากการถูกเศษกระจกบาดแต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสับสนในใจฉัน ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนในความทรงจำ รอยยิ้มของแวมไพร์ตนนั้นที่จ้องมองฉันยังอยู่ในหัว เขี้ยวแหลมคมจมลงบนผิวเนื้อของเหยื่อและที่สำคัญที่สุด..."หมอนั้น!! คนที่โผล่มาตอนนั้น ใช่คนเดียวกันแน่นอน แต่ว่านะคนอะไรหล่อฉิบหายเลย เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่คงจะงดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ ทรงน่าทำสามีมากเลย"แต่ว่านะเขาช่วยชีวิตฉันจากเงื้อมมือแวมไพร์ผู้มีดวงตาสีโลหิตและทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวตอนนั้นที่ฉันลืมตาเขากำลังลบความทรงจำแต่ฉันก็ยังจำได้ทุกอย่าง แสดงว่าเขาไม่ได้ลบความทรงจำของฉัน จำได้แม้กระทั่งความอบอุ่นจากมือของเขาที่แตะลงบนหน้าผากฉัน ปกติแวมไพร์มือต้องเย็นอย่างน้ำแข็งแล้วทำไมฉันถึงกลับคิดว่ามันอุ่น คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของฉันที่สงสัยเต็มไปหมด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็อยากรู้อยากเห็นมาซะอย่างงั
ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดูสะอาดเรียบง่ายและสบายตาฉันที่นอนราบอยู่บนเตียง ความฝันอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนฉันจากห้วงนิทราเหงื่อกาฬท่วมทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ภาพของแวมไพร์นั้นยังคงติดตา รอยยิ้มเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีแดงที่จ้องมองฉันราวกับเหยื่ออันโอชะแต่แล้วภาพในความฝันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเขาชายหนุ่มดวงตาสีโลหิต กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบาทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไหลผ่านร่างกายฉันสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ถาโถมเข้ามาในใจ สายตากวาดมองไปทั่วทุกทิศ เอียงหัวอย่างนึกสงสัยมือเสยผมขึ้น"ฝันบ้าอะไรเหมือนจริงชะมัด! สงสัยคงจะคิดมากเกินไป ถึงขั้นเก็บมาฝัน""ถ้าเจออีกครั้งจะถามชื่อเขาได้ไหมนะ อยากจะรู้จักเขาจัง"ฉันที่เอาเท้าแตะพื้นกำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าจอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง เปิดหน้าจอดูใช้นิ้วเลื่อนไปที่ข้อความจากพี่เรียวจิข้อความ: "พี่รู้ว่ามันยากสำหรับเธอ แต่ไม่ว่ายังไงพี่มีความเห็นคือเราต้องกำจัดแวมไพร์คนนั้นซะ เขาอันตรายต่อเธอ"ฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่น่าบอกพ
เวลาสองทุ่ม....ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างกับเคียร์ทว่าสายเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ฉันจำใจต้องละสายตาจากเคียร์แล้วล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย"ว่าไงคะพี่?""มินาโกะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน""น้องอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ""พี่อยากให้เราไปที่เกิดเหตุ มีคนตายเพิ่มแต่พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากจะให้เราไปดูให้หน่อย ทางนี้พี่ติดนักข่าวอยู่หน้าสำนักงานพี่จะส่งที่อยู่ให้..."ฉันทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นเรื่องของแวมไพร์แน่นอน คราวนี้จะเป็นปีศาจแบบไหนอีก"ค่ะ น้องจะรีบไปเดี๋ยวนี้" ฉันตอบก่อนจะวางสายแล้วหันหน้าไปหาเคียร์"ต้องไปแล้วนะลุง"ในมือถือของเอามาวางหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินกำลังจะเดินออกจากร้านเขาก็จับแขนซ้ายเอาไว้ฉันเหลียวหลังกลับไปก้มลงดูมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขา"เธอน่ะ เป็นคนที่ล้ำค่ามากเพราะงั้นอย่าเจ็บตัวนะ" ผมใช้นิ้วชี้เคาะหน้าผากฉันอึ้งกับคำพูดของเขาคนเป็นแวมไพร์ พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ เขากำลังเป็นห่วงฉันหรือแกล้งเป็นห่วงฉัน หูฉันคงไม่เฝื่อน ไปใช่ไหม ก่อนที่จะหันหลังอีกครั้ง นึกขึ้น
เสียงแห่งสายฝนบรรเลงขึ้น หยาดฝนแต่ละเม็ดให้เสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงเม็ดฝนกระทบพื้น เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ละอองฝนพัดหลังจากเคียร์จัดการแวมไพร์ตนนั้นเขาก็เอาร่มมาให้ฉันแล้วก็หายไปเลยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนกลับมาเดินกันปกติสวนไปมาและคนตรวจศพก็อยู่ที่เดิมข้างๆ ฉัน สายตาก้มลงไปดูที่แขนกับไม่มีเลือดไหลจากการโจมตี พี่เรียวจิวิ่งเข้ามาหาฉัน "มินาโกะ เป็นยังไงบ้างรู้อะไรไหม""เอ่อ...เหมือนจะเป็นแค่คู่ผัวเมียทะเลาะกันน่ะ พี่มาก็ดีแล้วก็จัดการเองเลยแล้วกัน น้องขอตัวก่อนนะ"ณ..คอนโด มินาโกะฉันกดรหัสเปิดประตูคอนโด ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่ในหัวฉันราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาเขาจูบฉันครั้งที่สองหรือสามแล้วหรือเปล่านะ เหมือนกับตัวเองเป็นผู้หญิงใจง่ายให้ผู้ชายจูบยังไงอย่างนั้นเลย ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองใบหน้าแดงอย่างดอกกุหลาบ"ไม่ๆๆๆ นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย จะมาลามกอะไรตอนนี้ จะบ้าตาย"เท้าเดินเข้าไปในห้องน้ำถูกแบ่งออกเป็นโซนเปียกและโซนแห้งโดยมีผนังกระจกเป็นตัวคั่นเอาไว้ ปูด้วยกระเบื้องสีขาวเป็นหลักกระจกเงาบานใหญ่ติดผนังฝั่งอ่างล
เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสร้างบรรยากาศโรแมนติกแต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น ฉันเดินฝ่าหิมะที่กำลังตกหนักเข้าไปหาเคียร์ที่ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเขา"ลุง...มารอฉันทำไมตรงนี้ค่ะ? แล้วมายืนกลางหิมะแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"ผมยิ้มแฉ่งให้เธอก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตหยิบใบปลิวหนึ่งใบออกมา"ฉันเห็นเขาแจกใบนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนน่ะ หาให้หน่อยได้ไหม" ผมพูดพลางยื่นใบให้เธอฉันหยิบใบปลิวขึ้นมาดู มันเป็นรูปร้านขนมหวานชื่อดังในเมือง สายตาที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันเลย ทำให้ฉันทั้งขบขันและเอ็นดูในคราวเดียวกัน"อ้อ ที่มารอฉันเพราะแบบนี้เองเหรอ ก็อยู่ตรงข้ามที่เรายื่นอยู่นี่ไง ลุงเนี่ยแก่จริงๆ ละนะ แล้วมาออฟฟิศฉันถูกได้ยังไงกันคะเนี่ย"ผมยักไหล่ขึ้น "อ่าวเหรออยู่ใกล้แค่นี้ทำไมฉันถึงไม่เห็นนะ ฉันเนี่ยทั้งเก่ง ฉลาด รวย แถมยังหล่ออีกด้วยนะ""หลงตัวเองเก่งจังนะ ลุง""ถ้าฉันไม่หลงตัวเองแล้วจะให้หลงใคร หรือว่าเธอดีล่ะ"พวงแก้มที่แต่เดิมซีดขาวผุดสีแดงขึ้นมาระเรื่อ "..... ฮ่าๆๆ เล่นมุกเหรอเนี่ย ตลกจังเลยนะ"ฉันมองเขาอย่างอารมณ์ดี รู้ทั้งรู้ว่าก
ฉันที่เดินเข้ามาทุกๆ อย่างเปลี่ยนเป็นกระท่อมเก่าๆ ที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก แม่หมอใช้พลังซ่อนสายตาจากผู้คน เธอที่นั่งอยู่อยู่ที่กลางห้อง นัยน์ตาเธอนั้นลึกลับที่เต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้"นั่งสิ จะยืนแบบนั้นให้เมื่อยหรือไง"แม่หมอเอ่ยขึ้นเดินไปหยิบตำรามาหนึ่งเล่มวางบนโต๊ะ มือเปิดไปหน้าหนึ่ง ฉันที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอความกดดันและประหม่าแต่ฉันก็เก็บอาการไว้"คือ.....เขาเป็นแวมไพร์แบบไหนเหรอ?"เธอมองมาที่ฉันเหมือนกับว่าเธอกำลังอ่านความคิดในใจของฉัน ขนตาฉันพะเยิบขึ้นพลางจ้องมองอย่างฉงน เอียงคอมองใบหน้าเธอ"ก่อนอื่น ฉันชื่อดิซีรี แม่มดแห่งโลกจันทรา เธอไม่ต้องบอกหรอกว่าชื่ออะไร เพราะฉันรู้หมดแล้ว""......""ใจของเธอตอนนี้กำลังสับสนเพราะเธอรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เธอดันชอบเขาเท่ากับเธอกำลังเดินตามหมากที่เขาวางไว้"สิ่งที่แม่หมอพูดมานั้นก็ถูกต้องทุกอย่างฉันมีใจให้กับเขาขึ้นมาจริงๆ"หมายความว่าฉันเป็นแค่หมากในเกมของเขางั้นใช่ไหม""เธอกำลังเล่นกับไฟ เขาไม่ใช่คนที่เธอจะรักได้หรอกนะ เขาเป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้ด้วยพลังของเขา เธอไม่มีทางมาแทนที่คนในใจเขาได้หรอก สิ่งที่เขาต้อง
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้
ฉันที่เดินผ่านห้องต่างๆ ส่องไฟฉายไปรอบๆ ทันใดนั้นสายตาเห็นกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปใกล้ๆ มือเปิดออกข้างในเห็นขวดยาสีฟ้าใสมีกลิตเตอร์วิบวับ"น้ำยาสีฟ้าเหรอ?" ฉันหยิบหนึ่งขวดขึ้นมาดูแสงส่องลงมามันสวยจนฉันเคลิ้ม"นี่คือยาที่พวกมันใช้ควบคุมมนุษย์ ยานี้เพื่อสะกดจิตมนุษย์ให้ทำตามคำสั่งของพวกมัน" ไวล์ลีพูดขึ้น"สะกดจิต?""ใช่ จะมีแวมไพร์ตนหนึ่งชื่อว่าโครนอส เขาสามารถสะกดจิตแวมไพร์ที่มีเลือดผสมได้ยกเว้นเลือดแท้เขาไม่สามารถทำได้ต่างกับมนุษย์ที่โครนอสสะกดจิตได้ง่ายแต่ต้องแลกกับการให้กินยาเพื่อเขาจะได้ควบคุมตลอดไป""น่ากลัวจริงๆ" ฉันส่ายหน้าไวล์ลียิ้ม "จบสักทีฉันจะได้กลับไปหาป๊อปคอร์นที่แสนอร่อยแล้ว""ฮ่าๆๆ นายเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในช่วงวัยเจริญอาหารเลย""ฉันโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ใช่เด็กสักหน่อย ป้าอย่ามากล่าวหากันสิ""ป้าเลยเหรอ หน้าฉันออกจะสวยเหมือนนางฟ้ายังไม่แก่ เดี๋ยวตีปากเลย""อย่านะ ทำไมมนุษย์ถึงดุขนาดนี้เนี่ย"แต่แล้ว ไวล์ลีก็ชะงักไป เขากระดิกหูเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ"มีใครบางคนกำลังจะมา"ฉันที่รู้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ทำให้ฉันนั้นรู้ทันทีว่าเป็นใคร"เคียร์""ฉันไปก่อนนะ จะบ
ฉันรีบเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นความรู้สึกแสบร้อนผุดขึ้นมาในดวงตา ฉันหยิบกระดาษบนโต๊ะของเขามาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนข้อความสั้นๆ ทิ้งไว้ให้เคียร์"พี่ชายฉันโทรมาหาบอกให้ฉันรีบไปหาค่ะ ขอโทษที่ต้องไปกะทันหันนะคะ "มือวางโน้ตบนโต๊ะนั่งเล่นข้างแจกันดอกไม้ ยกหลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านเขาไปผมที่กลับมาห้องนั่งเล่นไม่เห็นมินาโกะ สายตาก้มลงไปก็เห็นโน้ตที่เธอทิ้งไว้ให้ ในมือผมที่ถือของหวานมาให้กลับกลายเป็นว่าเธอรีบไปหาพี่ชาย"ฉันตั้งใจให้คนไปซื้อของหวานจะได้มากินกับยัยบื้อ อดกินซะละ"ณ...คอนโดมินาโกะฉันกลับมาถึงคอนโดของฉันดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ ฉันปิดประตูห้องนอนแล้วรีบตรงไปที่หน้าต่างดึงผ้าม่านปิดสนิทจนห้องตกอยู่ในความมืดราวกับต้องการสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองจากโลกภายนอกเสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปทั่วห้องกว้างกายบางสั่นระริกน้ำตาไหลรินไม่หยุดหย่อนหัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวดรวดร้าวทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ"ทุกอย่างคือเขาหลอกฉันมาตลอดทุกอย่างจริงๆ เขาไม่ได้รักฉันเลยไม่เลย เป็นอย่างที่คิดไว้""ทำไม ทำไมกัน เพราะอะไรฉันถึงไม่เคยได้รับความรักเหมือนคนอื่นทั้งที่ฉันพยายามแล้ว แต่
สถานการณ์บนท้องถนนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ตอนนี้ในเมืองโกลาหลไปทั่ว เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพยายามยิงสกัดแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ฉันวิ่งฝ่าฝูงชนที่แตกตื่น รีบไปหาพี่เรียวจิแต่ผู้คนวิ่งกันจนไม่สามารถมองหาพี่ชายตัวเองได้ ระหว่างทางฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่กลางถนน เขาคงจะพลัดหลงกับครอบครัวในความวุ่นวายนี้ก็เห็นแวมไพร์ตนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเด็กผู้ชายคนนั้น"ไม่นะ!!"ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งแล้วยิงโดนไหล่ของมัน แต่มันก็ยังวิ่งได้ฉันเลยรีบวิ่งไปหา เด็กชายที่ร้องไห้เขาตะโกนเรียกหาแต่แม่ของเขา แวมไพร์ที่กำลังจะทำร้ายเด็กผู้ชายคนนั้น ฉันจึงเอื้อมแขนไปดึงเด็กคนนั้นมากอดไว้ได้ทันใดแต่แล้วก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นโอบกอดฉันและเด็กชายไว้ในอ้อมแขนของเขา ฉันที่ได้กลิ่นของเขาเป็นกลิ่นดอกพรินซ์จาร์ดีนเออร์ หอมหวาน เคียร์เป็นกลิ่นจูเลียตโรสหอมละมุนเบาคล้ายใบชา"ถอยไปถ้าแกยังไม่อยากตาย"ผมจ้องมองแวมไพร์ตนนั้นโดยใช้สายตาที่ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหงื่อจะตกเลยตัดสินใจถอยออกไปผมพูดจบคลายอ้อมกอดจากมินาโกะ"ขอโทษมันจำเป็นต้องกอด เธอไม่เป็นไรนะ"ฉันกะพริบตาปริบๆ