ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดูสะอาดเรียบง่ายและสบายตาฉันที่นอนราบอยู่บนเตียง ความฝันอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนฉันจากห้วงนิทราเหงื่อกาฬท่วมทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ภาพของแวมไพร์นั้นยังคงติดตา รอยยิ้มเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีแดงที่จ้องมองฉันราวกับเหยื่ออันโอชะ
แต่แล้วภาพในความฝันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเขาชายหนุ่มดวงตาสีโลหิต กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบาทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไหลผ่านร่างกาย
ฉันสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ถาโถมเข้ามาในใจ สายตากวาดมองไปทั่วทุกทิศ เอียงหัวอย่างนึกสงสัยมือเสยผมขึ้น
"ฝันบ้าอะไรเหมือนจริงชะมัด! สงสัยคงจะคิดมากเกินไป ถึงขั้นเก็บมาฝัน"
"ถ้าเจออีกครั้งจะถามชื่อเขาได้ไหมนะ อยากจะรู้จักเขาจัง"
ฉันที่เอาเท้าแตะพื้นกำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าจอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง เปิดหน้าจอดูใช้นิ้วเลื่อนไปที่ข้อความจากพี่เรียวจิ
ข้อความ: "พี่รู้ว่ามันยากสำหรับเธอ แต่ไม่ว่ายังไงพี่มีความเห็นคือเราต้องกำจัดแวมไพร์คนนั้นซะ เขาอันตรายต่อเธอ"
ฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่น่าบอกพี่เรียวจิเลย ถึงพี่เรียวพูดถูกว่าเป็นคนอันตรายแต่...ภาพของเขาที่ช่วยฉันก็ผุดขึ้นมาในความคิด ใบหน้าที่หล่อ รอยยิ้ม เจ้าเล่ห์ เป็นแวมไพร์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
"เขาก็ดูจะเป็นคนดีมั้งนะ " ฉันที่กำลังทบทวนตัวเอง
มือวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียง ฉันตัดสินใจที่จะไม่ตอบกลับข้อความของพี่เรียวจิ ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพวกเขาต้องการอะไรจะต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่สิ่งที่ฉันรู้คือฉันไม่อยากทำร้ายเขา
"ในอีกแง่หนึ่งฉันคิดว่าเขาก็สมบูรณ์แบบเกินไป สายตาของเขาเหมือนมีอะไรอยู่ตลอดเวลา"
ฉันหลับตาลงพยายามข่มใจให้สงบไม่ว่าจะมองจากทางไหน ก็ดูไม่สมเหตุสมผล ข้อกังขาปรากฏในสมอง ฉันเดินวนไปวนมารอบเตียง
ผมที่เกาะอยู่บนขอบหน้าต่างห้องนอนของเธออย่างกับจิ้งจก สายตาจับจ้องไปยังร่างบางที่เดินไปมาใบหน้าแสดงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน
"ทำไมเธอถึงได้เครียดขนาดนั้น? หรือเพราะข่าว? "
ผมยังคงเฝ้ามองเธอต่อไปแม้จะรู้ว่ามันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวแต่มันก็ยากเกินกว่าที่ผมจะละสายตาไปจากเธอได้ ผมอยากจะเข้าไปพูดคุยกวนประสาทเธอเล่น ขณะเดียวกันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวผมรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรให้เธอยิ้มออกได้
ผมที่กำลังจะหายไปเห็นลุงเช็ดกระจกเลยยิ้มให้ก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว
"ผะ...ผีหลอก!! ผีหลอก!!" ลุงคนนั้นสลบคาไม้เช็ดกระจกทันที
ร้านหอมหวาน สดใหม่...
ผมใช้พลังของตนเองวาร์ปไปยังร้านเบเกอรี่ชื่อดังในเมือง ซื้อเค้กมาหลายรสชาติที่ผมโปรดปรานมาเต็มสองมือก่อนจะวาร์ปมายังห้องทำงานของเธอ มือวางกล่องเค้กสีชมพูสดใสลงบนโต๊ะทำงานสีขาวเรียบอย่างทะนุถนอม ผมหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปยังกระดาษ
"กินให้อร่อยนะ จากหนุ่มสุดหล่อ พี่เรียวจิ"
ผมวางโน้ตไว้ข้างกล่องเค้กเขียนชื่อพี่ชายของเธอคงจะไม่เป็นไร แค่ยืมชื่อมาเท่านั้นเอง จากนั้นจึงหายตัวไปอีกครั้งทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมหวานของขนมอบอวลอยู่ในห้อง
เวลาผ่านไปสิบห้านาที...
ฉันที่เดินเข้ามาในห้องทำงานสายตาเห็นเค้กและกระดาษแผ่นเล็กๆ วางอยู่เลยเดินไปหยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน รอยยิ้มเล็กปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉัน
ผมที่แอบล่องหนอยู่ยิ้มอ่อนยิ้มหวานอย่างน้อยผมก็สามารถทำให้เธอมีความสุขได้บ้างแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ความรู้สึกหวานอมเปรี้ยวกระจายอยู่ในใจ
ก๊อก! ก๊อก!
"เข้ามาได้เลย"
ซากุระก้าวเข้ามาในห้องทำงานของฉันด้วยท่าทีเร่งรีบเธอไปกดปุ่มโทรทัศน์ที่อยู่มุมห้องเปิดภาพข่าวแถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์แวมไพร์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"จากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาทางการได้ออกมายืนยันแล้วว่ามีแวมไพร์ทำร้ายประชาชนจริง ขณะนี้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอกำลังเร่งติดตาม..."
ซากุระหันมามองใบหน้าของฉันเธอพองแก้มโกรธอย่างน่ารัก
"มินาโกะ มันจริงเหรอที่มีแวมไพร์ในประเทศของเรา คนที่เราเดินสวนกันไปมากลายเป็นแวมไพร์แล้วแบบนี้พวกเราจะยิ่งไม่อันตรายเหรอ?"
ผมที่ยืนอยู่มุมห้องอยากจะเดินเข้าไปกระชากหัวยัยผู้หญิงคนนี้ที่เข้ามาทำให้มินาโกะต้องมาเครียดอีก คนเขาทำให้เธอหายจากหน้าบึ้งตึงได้แล้วยังต้องมาฟังข่าวไร้สาระ เพราะยัยนี่เลย ลากไปตบเลยดีไหมเนี่ย
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปจับมือของซากุระ
"ซากุระฉันรู้ว่าเธอกลัวนะ เชื่อฉันสิว่ามันจะผ่านไปได้ พวกเอฟบีไอก็ตามเรื่องอยู่เหมือนกันนะ"
"แต่พวกเราไม่รู้เลยนะว่าใครเป็นแวมไพร์ "ซากุระที่หน้าตาเหมือนจะร้องไห้
ฉันดึงซากุระเข้ามากอดแน่นๆ เอามือลูบหลังของเธอเบาๆ ช้าๆ เพราะตอนนี้ซากุระกำลังหวาดกลัวอย่างมาก
"ไม่เป็นไรนะ บางที่แวมไพร์อาจจะไม่ได้น่ากลัวก็ได้ บางคนอาจจะใจดีไม่ทำร้ายใครก็มี"
"จริงเหรอ? แกแน่ใจนะ"
"แน่นอนสิ ฉันรับประกันว่าเธอจะปลอดภัย"
"อ่อนแอชะมัดเลยยัยผู้หญิงคนนี้" ผมที่พูดออกมา
ขณะที่กำลังปลอบซากุระได้กลิ่นตัวของเขา ทำให้รู้ว่าเขาอยู่ในห้องทำงานของฉัน คงอยากจะเห็นว่าฉันทำหน้าตายังไงที่ได้จดหมายกับเค้กของเขา ยังอ้างเขียนชื่อพี่ชายฉันอีก ช่างเป็นแวมไพร์จอมวางแผนจริงๆ
ตกเย็น....
หลังจากการประชุมอันยาวนานเสร็จ ฉันที่ต้องแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดสำหรับทำอาหารเย็นระหว่างที่ฉันกำลังเลือกผักอยู่นั้น เสียกรี๊ดของสาวๆ ก็ดังขึ้นจากอีกมุมของซูเปอร์มาร์เก็ต ฉันอดไม่ได้ที่เผือกเรื่องชาวบ้านเลยหันไปมองข้างหลังอย่างนึกสงสัย
ฉันที่เห็นเขาใส่หมวกสีดำ แว่นตาสีดำทำท่าทางเหมือนกำลังเลือกซื้อสินค้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาวๆ ที่กำลังรุมล้อมเขา ตัวเขาสูงเด่นเห็นชัดเจน
"สง่าซะขนาดนั้นก็ต้องมีสาวๆ มาล้อม เป็นธรรมดาฮอตจริงๆ"
เขาที่พยายามจะเดินฝ่ามาทางนี้สายตาของเขากลับมามองที่ฉันทำให้ฉันเบี่ยงหน้าหลบเขาทันที เขาขอทางสาวๆ เดินตรงมายังที่ฉัน เขาหยุดอยู่ข้างๆ ฉันทำท่าทางเหมือนกำลังสนใจผักที่ถืออยู่ในมือ
"จะทำกับข้าวเหรอครับ?" เขาถามเสียงนุ่ม
"ถ้าจะต้มผักพวกนี้ก็น่าจะเหมาะกว่านะ"
(ตอแหลเก่งเหมือนกันนะ ทำมาเข้าหาโดยการพูดคุยกำลังทดสอบฉันอยู่ละสิ ใช้ได้)
ฉันที่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขาเลย เงยหน้าเอียงคอมองเขาไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาทักกันแบบนี้ ท่ามกลางสายตาของสาวๆ ที่จ้องมองมาด้วยความอิจฉา ใครสนล่ะ เขาสนใจฉันเสียใจด้วยนะ
"ไม่ดีกว่าค่ะ...พอดีว่าจะเปลี่ยนเมนูทำอาหาร"
"งั้นถ้าไม่รังเกียจ ฉันช่วยได้นะ เธอจะทำเมนูอะไรล่ะ"
ฉันมองเขาและยังชอบท่าทางที่ทำเหมือนเราสนิทกัน ช่างเป็นแวมไพร์ที่เกินเยียวยาจริงๆ ทว่าฉันก็เผลอพูดบางอย่างออกไปโดยตั้งใจที่จะแกล้งเขา
"ขอบคุณมากค่ะ ลุง"
รอยยิ้มบนใบหน้าของผมหายไปทันที ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
"ลุง?"
ผมทวนคำพูดของเธอด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจ
"ฉันชื่อเคียร์เนย์ จะเรียกว่าเคียร์ก็ได้ ฉันยังไม่แกยังหนุ่มยังแน่น"
ในที่สุดฉันก็ทำให้เขาพูดชื่อตัวเองได้แล้ว ฉันเลยยกมือขึ้นดีดนิ้ว..
"อ้อ ก็หน้าแกแล้วก็เรียกลุงก็ถูกแล้วนะคะ เอาน่าเรียกลุงง่ายกว่าอีก ส่วนฉันชื่อมินาโกะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
คงเป็นครั้งแรกที่ฉันกับเขาได้แนะนำตัวกันแบบนี้ถึงจะแกล้งเขาเล่นแต่ที่จริงเขาไม่แก่เลยสักนิดไม่เลย... กลายเป็นว่าเขาก็เอื้อมมือมาจับแก้มทั้งสองข้างของฉันเบาๆ ทำฉันตกใจตัวแข็งทื่อ
"สาวน้อย รู้ไหมว่าการเรียกผู้ชายว่าลุง มันเสียมารยาทแค่ไหน"
ผมพูดเสียงนุ่มแต่แววตาของผมกลับประจักษ์แจ้งแก่ใจ ผมค่อยๆ ก้มลงมาใกล้กับใบหน้าของเธอ
"ถ้าลุงคนนี้จับกินขึ้นมาแล้วจะหนาวนะจะบอกให้ ดูยังไงเธอก็ยังน่ากินอยู่ดี" ผมเอานิ้วไปรูดจมูกของเธอและยิ้มละไม
เวลาสองทุ่ม....ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างกับเคียร์ทว่าสายเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ฉันจำใจต้องละสายตาจากเคียร์แล้วล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย"ว่าไงคะพี่?""มินาโกะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน""น้องอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ""พี่อยากให้เราไปที่เกิดเหตุ มีคนตายเพิ่มแต่พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากจะให้เราไปดูให้หน่อย ทางนี้พี่ติดนักข่าวอยู่หน้าสำนักงานพี่จะส่งที่อยู่ให้..."ฉันทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นเรื่องของแวมไพร์แน่นอน คราวนี้จะเป็นปีศาจแบบไหนอีก"ค่ะ น้องจะรีบไปเดี๋ยวนี้" ฉันตอบก่อนจะวางสายแล้วหันหน้าไปหาเคียร์"ต้องไปแล้วนะลุง"ในมือถือของเอามาวางหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินกำลังจะเดินออกจากร้านเขาก็จับแขนซ้ายเอาไว้ฉันเหลียวหลังกลับไปก้มลงดูมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขา"เธอน่ะ เป็นคนที่ล้ำค่ามากเพราะงั้นอย่าเจ็บตัวนะ" ผมใช้นิ้วชี้เคาะหน้าผากฉันอึ้งกับคำพูดของเขาคนเป็นแวมไพร์ พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ เขากำลังเป็นห่วงฉันหรือแกล้งเป็นห่วงฉัน หูฉันคงไม่เฝื่อน ไปใช่ไหม ก่อนที่จะหันหลังอีกครั้ง นึกขึ้น
เสียงแห่งสายฝนบรรเลงขึ้น หยาดฝนแต่ละเม็ดให้เสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงเม็ดฝนกระทบพื้น เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ละอองฝนพัดหลังจากเคียร์จัดการแวมไพร์ตนนั้นเขาก็เอาร่มมาให้ฉันแล้วก็หายไปเลยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนกลับมาเดินกันปกติสวนไปมาและคนตรวจศพก็อยู่ที่เดิมข้างๆ ฉัน สายตาก้มลงไปดูที่แขนกับไม่มีเลือดไหลจากการโจมตี พี่เรียวจิวิ่งเข้ามาหาฉัน "มินาโกะ เป็นยังไงบ้างรู้อะไรไหม""เอ่อ...เหมือนจะเป็นแค่คู่ผัวเมียทะเลาะกันน่ะ พี่มาก็ดีแล้วก็จัดการเองเลยแล้วกัน น้องขอตัวก่อนนะ"ณ..คอนโด มินาโกะฉันกดรหัสเปิดประตูคอนโด ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่ในหัวฉันราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาเขาจูบฉันครั้งที่สองหรือสามแล้วหรือเปล่านะ เหมือนกับตัวเองเป็นผู้หญิงใจง่ายให้ผู้ชายจูบยังไงอย่างนั้นเลย ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองใบหน้าแดงอย่างดอกกุหลาบ"ไม่ๆๆๆ นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย จะมาลามกอะไรตอนนี้ จะบ้าตาย"เท้าเดินเข้าไปในห้องน้ำถูกแบ่งออกเป็นโซนเปียกและโซนแห้งโดยมีผนังกระจกเป็นตัวคั่นเอาไว้ ปูด้วยกระเบื้องสีขาวเป็นหลักกระจกเงาบานใหญ่ติดผนังฝั่งอ่างล
เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสร้างบรรยากาศโรแมนติกแต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น ฉันเดินฝ่าหิมะที่กำลังตกหนักเข้าไปหาเคียร์ที่ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเขา"ลุง...มารอฉันทำไมตรงนี้ค่ะ? แล้วมายืนกลางหิมะแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"ผมยิ้มแฉ่งให้เธอก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตหยิบใบปลิวหนึ่งใบออกมา"ฉันเห็นเขาแจกใบนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนน่ะ หาให้หน่อยได้ไหม" ผมพูดพลางยื่นใบให้เธอฉันหยิบใบปลิวขึ้นมาดู มันเป็นรูปร้านขนมหวานชื่อดังในเมือง สายตาที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันเลย ทำให้ฉันทั้งขบขันและเอ็นดูในคราวเดียวกัน"อ้อ ที่มารอฉันเพราะแบบนี้เองเหรอ ก็อยู่ตรงข้ามที่เรายื่นอยู่นี่ไง ลุงเนี่ยแก่จริงๆ ละนะ แล้วมาออฟฟิศฉันถูกได้ยังไงกันคะเนี่ย"ผมยักไหล่ขึ้น "อ่าวเหรออยู่ใกล้แค่นี้ทำไมฉันถึงไม่เห็นนะ ฉันเนี่ยทั้งเก่ง ฉลาด รวย แถมยังหล่ออีกด้วยนะ""หลงตัวเองเก่งจังนะ ลุง""ถ้าฉันไม่หลงตัวเองแล้วจะให้หลงใคร หรือว่าเธอดีล่ะ"พวงแก้มที่แต่เดิมซีดขาวผุดสีแดงขึ้นมาระเรื่อ "..... ฮ่าๆๆ เล่นมุกเหรอเนี่ย ตลกจังเลยนะ"ฉันมองเขาอย่างอารมณ์ดี รู้ทั้งรู้ว่าก
ฉันที่เดินเข้ามาทุกๆ อย่างเปลี่ยนเป็นกระท่อมเก่าๆ ที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก แม่หมอใช้พลังซ่อนสายตาจากผู้คน เธอที่นั่งอยู่อยู่ที่กลางห้อง นัยน์ตาเธอนั้นลึกลับที่เต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้"นั่งสิ จะยืนแบบนั้นให้เมื่อยหรือไง"แม่หมอเอ่ยขึ้นเดินไปหยิบตำรามาหนึ่งเล่มวางบนโต๊ะ มือเปิดไปหน้าหนึ่ง ฉันที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอความกดดันและประหม่าแต่ฉันก็เก็บอาการไว้"คือ.....เขาเป็นแวมไพร์แบบไหนเหรอ?"เธอมองมาที่ฉันเหมือนกับว่าเธอกำลังอ่านความคิดในใจของฉัน ขนตาฉันพะเยิบขึ้นพลางจ้องมองอย่างฉงน เอียงคอมองใบหน้าเธอ"ก่อนอื่น ฉันชื่อดิซีรี แม่มดแห่งโลกจันทรา เธอไม่ต้องบอกหรอกว่าชื่ออะไร เพราะฉันรู้หมดแล้ว""......""ใจของเธอตอนนี้กำลังสับสนเพราะเธอรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เธอดันชอบเขาเท่ากับเธอกำลังเดินตามหมากที่เขาวางไว้"สิ่งที่แม่หมอพูดมานั้นก็ถูกต้องทุกอย่างฉันมีใจให้กับเขาขึ้นมาจริงๆ"หมายความว่าฉันเป็นแค่หมากในเกมของเขางั้นใช่ไหม""เธอกำลังเล่นกับไฟ เขาไม่ใช่คนที่เธอจะรักได้หรอกนะ เขาเป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้ด้วยพลังของเขา เธอไม่มีทางมาแทนที่คนในใจเขาได้หรอก สิ่งที่เขาต้อง
แสงแรกแห่งวันใหม่สาดส่องลงบนพื้นถนนที่ยังคงเงียบสงบหญิงสาวคนหนึ่งเดินกลับบ้านหลังจากทำงานกะดึก เธอเลือกที่จะเดินลัดผ่านตรอกเล็กๆ ที่มืดและเปลี่ยวเพื่อจะได้ถึงบ้านเร็วขึ้น ขณะนั้นภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ...กองศพจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดอยู่กลางซอยเล็กๆ ร่างกายของพวกเขาผิดรูปร่างราวกับถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมเลือดสีแดงสดไหลนองบนพื้นสร้างบรรยากาศที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะบรรยายหญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขาของเธอแข็งทื่อไปหมด เธอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมอง ก็พบกับเงาดำมืดที่พุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วกรี๊ด!!!!!!น้ำเสียงกรีดร้องดังหายไปกับสายลมในตรอกมืดนั้นเวลาแปดโมงเช้า...เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วตรอกแคบๆ แสงไฟจากรถตำรวจสาดส่องเข้ามา ทำลายตรอกที่มืดปกคลุมสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอในชุดปฏิบัติการสีกรมกรูเข้ามาเรียงกัน พวกเขาเริ่มทำการปิดกั้นพื้นที่และเก็บหลักฐานต่างๆฉันที่เดินถือขนมอยู่กับซากุระสายตาเหลือบไปเห็นตำรวจมากมายรีบบอกซากุระให้กลับไปก่อน จึงรีบวิ่งข้ามถนนมาถึงที่เกิดเหตุแสดงบ
ผมที่ผละ จูบออกเบาๆ มองใบหน้าของเธอ..."เอ่อคือ...ถ้าตอนนี้รู้สึกกลัวก็กอดฉันได้นะ ฉันไม่กลัวผี""อะไรของลุงเนี่ย แล้วมาจูบคนอื่นได้ยังไงกัน""ไม่ใช่คนอื่น คนพิเศษต่างหาก"สองแก้มแดงเห่อร้อน เขาเปลี่ยนเรื่องเหมือนข้างหลังของฉันต้องมีอะไรแน่นอนฟังจากน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความระคนสงสัย เลื่อนคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นเขาเอื้อมมือมาจับมือของฉันแล้วพาเดินออกจากตรงนั้น..."ไปกันยัยบื้อ""นี่ลุงเรียกฉันว่ายัยบื้อเหรอ""แล้วจะใครล่ะ เธอนั่นแหละบื้อที่สุด""ว้าว เกิดมาพ่อแม่ยังไม่เคยเรียกฉันว่าบื้อเลยนะ ลุง!""ฉันเกิดมาก็ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่าลุงเหมือนกันนั่นแหละ""อ้อ นั้นจะบอกว่าฉันเป็นคนแรกที่เรียกใช่ไหม ลุงควรภูมิใจนะ ที่ได้มาเจอคนอย่างฉัน""ครับๆๆ ยัยบื้อ!"ทางฝั่งตรงข้ามร้านเบอร์เกอร์...ผมและเทลเวลลูกน้องของเคียร์ที่แอบเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ต่างพากันตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น..."นั่น...ราชาของเราจริงๆ ใช่ไหม"เทลเวลพยักหน้าอ้าปากค้างในมือถือเบอร์เกอร์ "ใช่แล้ว การแสดงเขาก็ยังคงสมบูรณ์ไม่มีใครเกิน เป็นตัวเลือกที่ดีเลยว่าไหม ถ้าผู้หญิงคนนั้นมองไม่ออกก็คงไม่มีสมองแล้ว""ถึงเธอจะโง่แ
ในยามราตรีที่ม่านมืดคลุมเมืองใหญ่แสงสีจากตึกสูงระฟ้าส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงดาวนับล้านบนผืนผ้าใบสีครามบรรยากาศในบาร์หรูหราแห่งหนึ่งในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงเพลงดังกระหึ่ม แสงไฟสีส้มส่องกระทบกับแก้วเหล้าที่ถูกยกขึ้นชนกันบรรดาหนุ่มสาวกำลังดื่มด่ำกับความสุขสำราญท่ามกลางความมืดมิดนี้ ไวล์ลีผมสีหมอก ดวงตาองุ่นแดง ใส่แว่นเงินนิ้วชี้ทั้งสองข้าง กำลังสนุกสนานอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในมุมมืดของบาร์เขาก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอของเธอก่อนจะฝั่งเขี้ยวลงไปอย่างไม่ไยดีทันใดนั้นเงาของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนร่างของไวล์ลี เขาเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบกับผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีแดงก่ำของผมจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น"สนุกพอหรือยัง?"ไวล์ลีแสยะยิ้ม "อ้าวเคียร์ นึกว่าใครที่แท้ราชาผู้ยิ่งใหญ่ของเรานี่เอง""ฉันถามว่าสนุกพอหรือยัง" ผมถามย้ำเสียงเข้ม"ยังเลย ทำไมล่ะ? เจ้าจะมาขัดจังหวะฉันหรือไง"ผมที่นั่งลงตรงข้ามเอาขาข้างขวาขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมนิ้วมือที่ประสานเข้าหากัน"สันดานแกเนี่ยมันไม่เปลี่ยนเลยนะ ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิม""ฮ่าๆๆ เคียร์แกเองก็ไม่ต่างไปจากฉันนักหรอก อย่าคิดว่าทำตัวเป็นพ่อพระต่อหน้าสาวของแกเบื้องหลัง
‼️คำเตือนเนื้อหานี้มีความรุนแรง ‼️เกี่ยวกับ🔞⚠️โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ⚠️ผมตื่นขึ้นมาจากการที่นอนเต็มอิ่มครั้งแรกและความรู้สึกหิวกระหายอย่างรุนแรงเขี้ยวของผมยาวออกมาผมหันไปทางมินาโกะแต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่านั้นคือการที่ไม่เจอมินาโกะอยู่ข้างกายผม"ยัยบื้อ?"ผมเรียกเธอเบาๆ เลยรีบลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูรีบลงมาข้างล่าง ภาพที่เห็นคือ มินาโกะตั้งใจทำอาหารสวมผ้ากันเปื้อนสีส้ม ผมถูกมัดขึ้นเป็นหางม้าเผยให้เห็นลำคอระหงผมกลืนน้ำลาย อยากจะกัดเข้าไปที่คอของเธอ ฝั่งเขี้ยวลงไปไม่ให้ใครมาแตะต้องเธอได้ จึงเดินเข้าไปหาเธอมือเอื้อมไปลูบต้นคอของเธอเบาๆฉันสะดุ้งที่เขามาจับต้นคอสันหลังรู้สึกเย็นวาบทันใดนั้นมีดคมวาวในมือฉันพลาดไปโดนนิ้วชี้เข้า"อ๊ะ!!!"ฉันอุทานออกมาเบาๆ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆ นั้นในเสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาของผมเป็นสีแดงสว่างความกระหายเลือดในตัวผมพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงตราบนหน้าผากโผล่ ออกมาเขี้ยวแหลมคมผมค่อยๆ ยาวออกมาจากริมฝีปากฉันเงยหน้าขึ้นมองเคียร์ ดวงตาเบิกกว้างเห็นเขากระหายเลือดเป็นครั้งแรกเวลาอยู่กับฉันเขามักจะไม่เผยฐานแท้อะไรเลยต่างกับตอนนี้ที่เขาปรากฏ
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้
ฉันที่เดินผ่านห้องต่างๆ ส่องไฟฉายไปรอบๆ ทันใดนั้นสายตาเห็นกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปใกล้ๆ มือเปิดออกข้างในเห็นขวดยาสีฟ้าใสมีกลิตเตอร์วิบวับ"น้ำยาสีฟ้าเหรอ?" ฉันหยิบหนึ่งขวดขึ้นมาดูแสงส่องลงมามันสวยจนฉันเคลิ้ม"นี่คือยาที่พวกมันใช้ควบคุมมนุษย์ ยานี้เพื่อสะกดจิตมนุษย์ให้ทำตามคำสั่งของพวกมัน" ไวล์ลีพูดขึ้น"สะกดจิต?""ใช่ จะมีแวมไพร์ตนหนึ่งชื่อว่าโครนอส เขาสามารถสะกดจิตแวมไพร์ที่มีเลือดผสมได้ยกเว้นเลือดแท้เขาไม่สามารถทำได้ต่างกับมนุษย์ที่โครนอสสะกดจิตได้ง่ายแต่ต้องแลกกับการให้กินยาเพื่อเขาจะได้ควบคุมตลอดไป""น่ากลัวจริงๆ" ฉันส่ายหน้าไวล์ลียิ้ม "จบสักทีฉันจะได้กลับไปหาป๊อปคอร์นที่แสนอร่อยแล้ว""ฮ่าๆๆ นายเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในช่วงวัยเจริญอาหารเลย""ฉันโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ใช่เด็กสักหน่อย ป้าอย่ามากล่าวหากันสิ""ป้าเลยเหรอ หน้าฉันออกจะสวยเหมือนนางฟ้ายังไม่แก่ เดี๋ยวตีปากเลย""อย่านะ ทำไมมนุษย์ถึงดุขนาดนี้เนี่ย"แต่แล้ว ไวล์ลีก็ชะงักไป เขากระดิกหูเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ"มีใครบางคนกำลังจะมา"ฉันที่รู้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ทำให้ฉันนั้นรู้ทันทีว่าเป็นใคร"เคียร์""ฉันไปก่อนนะ จะบ
ฉันรีบเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นความรู้สึกแสบร้อนผุดขึ้นมาในดวงตา ฉันหยิบกระดาษบนโต๊ะของเขามาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนข้อความสั้นๆ ทิ้งไว้ให้เคียร์"พี่ชายฉันโทรมาหาบอกให้ฉันรีบไปหาค่ะ ขอโทษที่ต้องไปกะทันหันนะคะ "มือวางโน้ตบนโต๊ะนั่งเล่นข้างแจกันดอกไม้ ยกหลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านเขาไปผมที่กลับมาห้องนั่งเล่นไม่เห็นมินาโกะ สายตาก้มลงไปก็เห็นโน้ตที่เธอทิ้งไว้ให้ ในมือผมที่ถือของหวานมาให้กลับกลายเป็นว่าเธอรีบไปหาพี่ชาย"ฉันตั้งใจให้คนไปซื้อของหวานจะได้มากินกับยัยบื้อ อดกินซะละ"ณ...คอนโดมินาโกะฉันกลับมาถึงคอนโดของฉันดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ ฉันปิดประตูห้องนอนแล้วรีบตรงไปที่หน้าต่างดึงผ้าม่านปิดสนิทจนห้องตกอยู่ในความมืดราวกับต้องการสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองจากโลกภายนอกเสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปทั่วห้องกว้างกายบางสั่นระริกน้ำตาไหลรินไม่หยุดหย่อนหัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวดรวดร้าวทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ"ทุกอย่างคือเขาหลอกฉันมาตลอดทุกอย่างจริงๆ เขาไม่ได้รักฉันเลยไม่เลย เป็นอย่างที่คิดไว้""ทำไม ทำไมกัน เพราะอะไรฉันถึงไม่เคยได้รับความรักเหมือนคนอื่นทั้งที่ฉันพยายามแล้ว แต่
สถานการณ์บนท้องถนนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ตอนนี้ในเมืองโกลาหลไปทั่ว เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพยายามยิงสกัดแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ฉันวิ่งฝ่าฝูงชนที่แตกตื่น รีบไปหาพี่เรียวจิแต่ผู้คนวิ่งกันจนไม่สามารถมองหาพี่ชายตัวเองได้ ระหว่างทางฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่กลางถนน เขาคงจะพลัดหลงกับครอบครัวในความวุ่นวายนี้ก็เห็นแวมไพร์ตนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเด็กผู้ชายคนนั้น"ไม่นะ!!"ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งแล้วยิงโดนไหล่ของมัน แต่มันก็ยังวิ่งได้ฉันเลยรีบวิ่งไปหา เด็กชายที่ร้องไห้เขาตะโกนเรียกหาแต่แม่ของเขา แวมไพร์ที่กำลังจะทำร้ายเด็กผู้ชายคนนั้น ฉันจึงเอื้อมแขนไปดึงเด็กคนนั้นมากอดไว้ได้ทันใดแต่แล้วก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นโอบกอดฉันและเด็กชายไว้ในอ้อมแขนของเขา ฉันที่ได้กลิ่นของเขาเป็นกลิ่นดอกพรินซ์จาร์ดีนเออร์ หอมหวาน เคียร์เป็นกลิ่นจูเลียตโรสหอมละมุนเบาคล้ายใบชา"ถอยไปถ้าแกยังไม่อยากตาย"ผมจ้องมองแวมไพร์ตนนั้นโดยใช้สายตาที่ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหงื่อจะตกเลยตัดสินใจถอยออกไปผมพูดจบคลายอ้อมกอดจากมินาโกะ"ขอโทษมันจำเป็นต้องกอด เธอไม่เป็นไรนะ"ฉันกะพริบตาปริบๆ