แสงยามอรุณฉายส่องเข้ามาคล้ายกำลังโอบกอดอย่างอ่อนโยน....
แพขนตาหนาค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ก่อนจะกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างอันน้อยนิดในห้อง พบกับเพดานสีขาวซีดของห้องพักฟื้นผู้ป่วย ในตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาล รู้สึกปวดที่แขนจากการถูกเศษกระจกบาดแต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสับสนในใจฉัน ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนในความทรงจำ รอยยิ้มของแวมไพร์ตนนั้นที่จ้องมองฉันยังอยู่ในหัว เขี้ยวแหลมคมจมลงบนผิวเนื้อของเหยื่อและที่สำคัญที่สุด...
"หมอนั้น!! คนที่โผล่มาตอนนั้น ใช่คนเดียวกันแน่นอน แต่ว่านะคนอะไรหล่อฉิบหายเลย เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่คงจะงดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ ทรงน่าทำสามีมากเลย"
แต่ว่านะเขาช่วยชีวิตฉันจากเงื้อมมือแวมไพร์ผู้มีดวงตาสีโลหิตและทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวตอนนั้นที่ฉันลืมตาเขากำลังลบความทรงจำแต่ฉันก็ยังจำได้ทุกอย่าง แสดงว่าเขาไม่ได้ลบความทรงจำของฉัน จำได้แม้กระทั่งความอบอุ่นจากมือของเขาที่แตะลงบนหน้าผากฉัน ปกติแวมไพร์มือต้องเย็นอย่างน้ำแข็งแล้วทำไมฉันถึงกลับคิดว่ามันอุ่น คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของฉันที่สงสัยเต็มไปหมด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็อยากรู้อยากเห็นมาซะอย่างงั้น
"เฮ้อ น่าจะบ้าแล้วฉัน ไปคิดว่าตัวแวมไพร์อุ่น "
เวลาผ่านไปประมาณสามสิบนาที...
ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกอย่างดัง เล่นเอาฉันสะดุ้ง ซากุระและอิซามูเพื่อนร่วมทีมของฉันพุ่งเข้ามาในห้องด้วยความร้อนใจใบหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยร้อนรุ่มกลุ้มใจ
"มินาโกะ!"
ซากุระเรียกชื่อฉันก่อนจะโผเข้ามากอดฉันแน่น อิซามูเดินตามมาสบทบ โอบกอดฉันทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก
"หายใจไม่ออกปล่อยกันได้แล้วทั้งสองคน จะตายเพราะพวกเธอล่ะ"
"ขอโทษก็เป็นห่วง พวกยูกิจะมาแต่งานมันเยอะเลยออกมากันไม่ได้เลย แกเป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากไหม พวกฉันรู้ก็รีบมาหาเลยนะ"
ฉันยิ้มเจื่อนแต่แล้วก็หุบยิ้ม "ฉันไม่เป็นไร แค่แผลถลอกนิดหน่อย แต่ว่าใครที่โทรไปบอกพวกเธอกัน"
"ก็พยาบาลไงที่โทรมาบอกพวกเรา"
"ทำไมล่ะ หรือมีใครมากกว่านั้นที่ช่วยแกไว้เหรอ" อิซามูถาม
"ไม่รู้สิ จำไม่ได้แล้ว แต่ฉันก็รอดมาได้ สบายมาก"
"ต้องรอดสิถ้าไม่รอดพวกฉันคงจะได้ไปฆ่าพวกมัน จริงๆ แล้วพ่อแม่และพี่ชายแกจะใจร้ายใจดำไปถึงไหน ไม่คิดจะมาเยี่ยมกันเลยเหรอ"ซากุระพูดขณะกำลังปอกส้ม
ใบหน้าฉันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเลยส่ายหน้า "ช่างเถอะ ฉันไม่ได้คาดหวังให้พวกเขามากันอยู่แล้ว พวกแกก็รู้ดี..."
"เฮ้อ เพราะแบบนี้ไง พวกฉันถึงห่วงแกมากเป็นพิเศษ รอดูได้เลยว่าแม่แกจะต้องอารมณ์ไม่ดีแน่นอน"
ฉันเบี่ยงหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพราะโกหกพวกเขาว่าจำอะไรไม่ได้แต่ที่จริงฉันเองที่ไม่อยากจะบอกใคร ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ เขาจะรู้ไหมว่าฉันฟื้นขึ้นมาแล้วจำได้ทุกอย่าง
ผมที่ยืนฟังอยู่หน้าประตูห้องพักของเธอ กลับเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน
"มินาโกะ จำไม่ได้จริงเหรอๆ"
"อืม ขอโทษนะ..."
มือกอดอกพิงกำแพงฟังจากน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใสขนาดนี้คงจะหายดีแล้ว ผมที่ลองพิสูจน์ว่าการลบความทรงจำของเธอทั้งที่จริงไม่ได้ลบความทรงจำเลยแค่ให้พลังเธอหายเร็วขึ้นการที่เธอแกล้งจำไม่ได้แปลว่าเธอกำลังตามเกมของผมอยู่นั้นเอง เป็นไปตามที่วางไว้ จากนี้ผมจะเข้าหาเธออย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันทางฉันที่พิงกำแพงถือกระดาษให้พวกอิซามูกับซากุระพูดเพราะรู้ว่าเขาต้องมาแน่นอน กลิ่นตัวของเขาเป็นเอกลักษณ์ทำให้ฉันรับรู้ได้ทันทีว่านั้นเป็นเขา ทั้งซากุระและอิซามูสายตาประสานกันด้วยความงุนงงว่าทำไมฉันถึงเขียนในกระดาษเพราะเขานั้นเป็นแวมไพร์ที่หูดีเกินไป...
วันถัดมา...
ฉันที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วไม่อยากจะอยู่เฉยๆ กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องนอน มือหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวมใส่อย่างเชื่องช้าเพราะยังเจ็บแผลอยู่กับท่าทางเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจากการทำรายงาน ฉันที่เดินลงบันไดเดินเข้าไปใน ห้องครัวไปเอามือหยิบขนมปังในถุงเอาออกมาหนึ่งแผ่น หยิบแยมสตรอว์เบอร์รี่ เปิดฝาใช้ช้อนตักขึ้นมาใส่บนขนมปังนุ่มๆ ปาดไปมา จากนั้นอ้าปากกัดไปหนึ่งคำ
ทันใดนั้นเสียงข่าวจากโทรทัศน์ก็ดังขึ้นทำให้ฉันหยุดชะงัก ที่มองหน้าจอทีวี ก็พบกับข่าวใหญ่ที่กำลังออกอากาศ
"ข่าวใหญ่สีสันรายงาน! แวมไพร์ออกอาละวาดทำร้ายประชาชนกลางเมืองตอนดึก โปรดระวังคนรอบข้างของคุณให้ดี อาจจะมีแวมไพร์อยู่ก็เป็นไปได้"
ภาพข่าวแสดงให้เห็นภาพความเสียหายในร้านอาหารเมื่อตอนนั้น เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนพื้นมีแต่รอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วและภาพมีฉันที่กำลังถูกแวมไพร์กำลังทำร้าย
ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงคนในภาพนั้นคือฉันแต่ในวิดีโอกลับไม่เห็นเขาที่กำจัดแวมไพร์ตนนั้นเลย
"ไม่จริงน่า....แย่แล้วฉัน"
ข่าวแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็วแสง ประชาชนเริ่มแตกตื่นทันที พวกเขาไม่คิดว่าจะมีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ถ้าฉันไม่ไปสวนสาธารณะก็คงไม่มีใครรู้ ทำไมตัวเองช่างโง่เขลาแบบนี้นะ
บริษัทแพนโดร่า....
ภายในห้องทำงานอันหรูหราบนชั้นสูงสุดของบริษัท ผมนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และยกเท้าสองข้างวางบนโต๊ะ กระดิกขาอย่างสบายใจมองออกไปนอกหน้าต่างมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ทันใดนั้นเสียงประตูห้องทำงานก็เปิดออก มาร์ชินก้าวเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
"ท่านราชา ผมได้สั่งให้สำนักข่าวลบ ข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมดแล้วครับหลังจากเผยแพร่ไป"
"ดีมาก ฉันแค่ต้องการให้โลกใบนี้รู้ว่ามันไม่ได้สวยงาม ไปปิดปากคนพวกนั้นซะ"
"ครับท่าน"
"อ้อ แล้วเรื่องการตามหาแม่มดล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?"
"เรายังไม่พบเบาะแสใดๆ ครับ แต่ผมได้สั่งให้ลูกน้องของเราออกตามหาทั่วเมืองแล้วครับ"
ผมเอาเท้าทั้งสองลงมือประสานวางบนโต๊ะ สีหน้าแสดงอาการไม่ได้ดั่งใจ
"มันต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้แน่ ต้องหาตัวมันให้เจอโดยเร็วที่สุด อยากจะยืนยันว่าเธอคนนั้นมีพลังที่ฉันตามหาหรือเปล่า"
มาร์ชินโค้งคำนับแล้วเดินออกจากห้องไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลง ภาพของเธอที่ถูกแวมไพร์ทำร้ายตอนนั้นยังคงติดตาผม สีหน้าของเธอที่หวาดกลัวแวมไพร์ มันยิ่งทำให้ผมนั้นยิ้มอย่างกระหยิ่มอิ่มใจ
สำนักงานเอฟบีไอซีซี...
ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงสายตาตัดพ้อต่อชีวิตเพราะได้รับข้อความจากพี่ชายของฉันที่ก่อตั้งบริษัทนี้มาจะเรียกว่าเป็นเจ้านายของฉันเลยก็ว่าได้ คาโอรุที่ต้องมาช่วยงานทางฝั่งนี้ชั่วคราวบอกให้ฉันมาพบพี่ชายโดยด่วน นั้นทำให้ฉันเดาได้เลยว่าคงจะเป็นเรื่องในข่าวเมื่อเช้าแน่นอน ไม่มีเรื่องอื่นที่พี่จะเรียกตัวและในห้องก็น่าจะมีพ่อแม่อีกตามเคย
เมื่อฉันไปถึงหน้าห้อง ลูกน้องที่เฝ้าหน้าประตูพวกเขาเคาะประตูบอกว่าฉันมาถึงแล้ว พอประตูเปิดออกขาเดินก้าวเข้าไปในห้องสายตาเห็นพี่ชายเรียวจิใบหน้าที่หล่อ ผมสีมอลค่า ดวงตาสีชาไข่มุก มีไฝตรงมุมล่างปากขวา สายตาเหลือบไปก็พบว่ามีพ่อแม่อยู่ด้วย ตามที่เดาไว้ไม่มีผิด ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้ามืดมน
"มินาโกะ มาหาแม่นี่" แม่ของฉันพูดขึ้น ทันทีที่เห็นฉัน
ขาข้างซ้ายมันไม่อยากจะก้าวเดินแต่จำเป็นที่ต้องเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วห้องทันทีที่ฉันเข้ามาใกล้ แม่ฉันผมสีน้ำผึ้งดวงตาสีกาแฟ ผิวอมชมพู ส่วนพ่อคล้ายกับพี่เรียวจิ ทุกอย่าง แม่ลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาหาฉันก่อนจะยกฝ่ามือฟาดใบหน้าด้วยแรงโทสะ
เพียะ!!
ใบหน้าฉันหันตามแรงตบของแม่ ฉันเอามือขึ้นมาจับแก้มเบาๆ
"คุกเข่าเดี๋ยวนี้!"
สีหน้าฉันแสดงความไม่พอใจ มีแต่ต้องทำตามคำสั่งของแม่ เลยคุกเข่าประสานมือทั้งสองข้างรองศีรษะหรือท้ายทอย
"ฉันเลี้ยงแกมาเสียเงินมากมาย แต่ดูแกทำตัวหน้าไม่อาย!"
"แกคิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตถึงได้ เอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องแบบนั้น ฉันย้ายงานให้จะได้ไม่สร้างความเดือดร้อน แต่สิ่งที่แกทำกลับทำให้ครอบครัว ฉันต้องมาเจอแต่ปัญหาอยู่ได้ ฉันไม่น่าเลี้ยงแกมาเลย"
"แกไปยุ่งเรื่องกับแวมไพร์ได้ยังไง หรือว่าแกได้กับเจ้าปีศาจนั้นแล้ว"
"แม่!!"
"อย่ามา...ขึ้นเสียงใส่ฉันนะ เป็นแค่ลูกเลี้ยงก็ต้องเชื่อฟังฉัน"
มือกำหมัดแน่นจ้องหน้าอย่างจะเอาเรื่องให้ได้
"จ้องหน้าฉัน อวดดีหนักนะ! นังลูกทรพี"
"พอๆ คราวหลังแกอย่าทำเรื่องโง่ๆ อีก ตัวเองไม่ใช่ฮีโร่ จำไว้ด้วย" พ่อของฉันพูดขึ้น
"หนูขอโทษค่ะ"
สายตามองพี่ชายของฉันที่ไม่เคยช่วยอะไรเลย แถมเบี่ยงหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่รู้ชี้อะไรพร้อมเอาขนมมาล่อและยกมือไหว้ขอโทษ พอเวลาผ่านไปพ่อแม่ก็กลับไปที่อเมริกา ไปมาๆ อย่างกับรวยล้นฟ้าจะบอกว่าก็รวยจริงๆ
"เจ็บมากไหม พี่อยากจะช่วยนะ แต่พี่เองก็ขัดแม่ไม่ได้เลย พี่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม งานมันยุ่งมากเลย พ่อแม่ก็รีบกลับมาจากต่างประเทศเพราะได้ข่าวของเราเลยนะ"
"ไม่ต้องมาขอโทษพี่ติดสาวไม่ใช่หรือไงถึงไม่มาเยี่ยมน้อง เรื่องนี้น้องรู้ดีนะ อย่ามาโกหกเลย"
"....."
ปากกำลังจะขยับพูดแต่แล้วก็นึกได้ว่าเขาจะแอบฟังหรือเปล่า มือเลยหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งให้พี่ เขาเปิดมือถือจ้องหน้าจอไม่กะพริบตา ฉันบอกว่ามีแวมไพร์อีกตนแต่เขาไม่ใช่คนไม่ดี เขาช่วยเหลือน้องไว้ ตอนนี้ในประเทศของเราน่าจะมีแวมไพร์อีกหลายตัว
"เรื่องจริงเหรอ ที่น้องบอกพี่ แล้วต่อจากนี้น้องจะทำยังไงต่อไป..."
ฉันเดินไปอยู่หน้าต่างบานใหญ่ เห็นคนเดินไปมานิ้วที่ดีดราวกับสมองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหน้ากลับมาหาพี่เรียวจิ
"การไล่ล่ากำลังเริ่มขึ้น..."
ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดูสะอาดเรียบง่ายและสบายตาฉันที่นอนราบอยู่บนเตียง ความฝันอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนฉันจากห้วงนิทราเหงื่อกาฬท่วมทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ภาพของแวมไพร์นั้นยังคงติดตา รอยยิ้มเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีแดงที่จ้องมองฉันราวกับเหยื่ออันโอชะแต่แล้วภาพในความฝันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเขาชายหนุ่มดวงตาสีโลหิต กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบาทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไหลผ่านร่างกายฉันสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ถาโถมเข้ามาในใจ สายตากวาดมองไปทั่วทุกทิศ เอียงหัวอย่างนึกสงสัยมือเสยผมขึ้น"ฝันบ้าอะไรเหมือนจริงชะมัด! สงสัยคงจะคิดมากเกินไป ถึงขั้นเก็บมาฝัน""ถ้าเจออีกครั้งจะถามชื่อเขาได้ไหมนะ อยากจะรู้จักเขาจัง"ฉันที่เอาเท้าแตะพื้นกำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าจอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง เปิดหน้าจอดูใช้นิ้วเลื่อนไปที่ข้อความจากพี่เรียวจิข้อความ: "พี่รู้ว่ามันยากสำหรับเธอ แต่ไม่ว่ายังไงพี่มีความเห็นคือเราต้องกำจัดแวมไพร์คนนั้นซะ เขาอันตรายต่อเธอ"ฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่น่าบอกพ
เวลาสองทุ่ม....ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างกับเคียร์ทว่าสายเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ฉันจำใจต้องละสายตาจากเคียร์แล้วล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย"ว่าไงคะพี่?""มินาโกะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน""น้องอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ""พี่อยากให้เราไปที่เกิดเหตุ มีคนตายเพิ่มแต่พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากจะให้เราไปดูให้หน่อย ทางนี้พี่ติดนักข่าวอยู่หน้าสำนักงานพี่จะส่งที่อยู่ให้..."ฉันทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นเรื่องของแวมไพร์แน่นอน คราวนี้จะเป็นปีศาจแบบไหนอีก"ค่ะ น้องจะรีบไปเดี๋ยวนี้" ฉันตอบก่อนจะวางสายแล้วหันหน้าไปหาเคียร์"ต้องไปแล้วนะลุง"ในมือถือของเอามาวางหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินกำลังจะเดินออกจากร้านเขาก็จับแขนซ้ายเอาไว้ฉันเหลียวหลังกลับไปก้มลงดูมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขา"เธอน่ะ เป็นคนที่ล้ำค่ามากเพราะงั้นอย่าเจ็บตัวนะ" ผมใช้นิ้วชี้เคาะหน้าผากฉันอึ้งกับคำพูดของเขาคนเป็นแวมไพร์ พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ เขากำลังเป็นห่วงฉันหรือแกล้งเป็นห่วงฉัน หูฉันคงไม่เฝื่อน ไปใช่ไหม ก่อนที่จะหันหลังอีกครั้ง นึกขึ้น
เสียงแห่งสายฝนบรรเลงขึ้น หยาดฝนแต่ละเม็ดให้เสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงเม็ดฝนกระทบพื้น เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ละอองฝนพัดหลังจากเคียร์จัดการแวมไพร์ตนนั้นเขาก็เอาร่มมาให้ฉันแล้วก็หายไปเลยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนกลับมาเดินกันปกติสวนไปมาและคนตรวจศพก็อยู่ที่เดิมข้างๆ ฉัน สายตาก้มลงไปดูที่แขนกับไม่มีเลือดไหลจากการโจมตี พี่เรียวจิวิ่งเข้ามาหาฉัน "มินาโกะ เป็นยังไงบ้างรู้อะไรไหม""เอ่อ...เหมือนจะเป็นแค่คู่ผัวเมียทะเลาะกันน่ะ พี่มาก็ดีแล้วก็จัดการเองเลยแล้วกัน น้องขอตัวก่อนนะ"ณ..คอนโด มินาโกะฉันกดรหัสเปิดประตูคอนโด ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่ในหัวฉันราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาเขาจูบฉันครั้งที่สองหรือสามแล้วหรือเปล่านะ เหมือนกับตัวเองเป็นผู้หญิงใจง่ายให้ผู้ชายจูบยังไงอย่างนั้นเลย ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองใบหน้าแดงอย่างดอกกุหลาบ"ไม่ๆๆๆ นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย จะมาลามกอะไรตอนนี้ จะบ้าตาย"เท้าเดินเข้าไปในห้องน้ำถูกแบ่งออกเป็นโซนเปียกและโซนแห้งโดยมีผนังกระจกเป็นตัวคั่นเอาไว้ ปูด้วยกระเบื้องสีขาวเป็นหลักกระจกเงาบานใหญ่ติดผนังฝั่งอ่างล
เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสร้างบรรยากาศโรแมนติกแต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น ฉันเดินฝ่าหิมะที่กำลังตกหนักเข้าไปหาเคียร์ที่ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเขา"ลุง...มารอฉันทำไมตรงนี้ค่ะ? แล้วมายืนกลางหิมะแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"ผมยิ้มแฉ่งให้เธอก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตหยิบใบปลิวหนึ่งใบออกมา"ฉันเห็นเขาแจกใบนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนน่ะ หาให้หน่อยได้ไหม" ผมพูดพลางยื่นใบให้เธอฉันหยิบใบปลิวขึ้นมาดู มันเป็นรูปร้านขนมหวานชื่อดังในเมือง สายตาที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันเลย ทำให้ฉันทั้งขบขันและเอ็นดูในคราวเดียวกัน"อ้อ ที่มารอฉันเพราะแบบนี้เองเหรอ ก็อยู่ตรงข้ามที่เรายื่นอยู่นี่ไง ลุงเนี่ยแก่จริงๆ ละนะ แล้วมาออฟฟิศฉันถูกได้ยังไงกันคะเนี่ย"ผมยักไหล่ขึ้น "อ่าวเหรออยู่ใกล้แค่นี้ทำไมฉันถึงไม่เห็นนะ ฉันเนี่ยทั้งเก่ง ฉลาด รวย แถมยังหล่ออีกด้วยนะ""หลงตัวเองเก่งจังนะ ลุง""ถ้าฉันไม่หลงตัวเองแล้วจะให้หลงใคร หรือว่าเธอดีล่ะ"พวงแก้มที่แต่เดิมซีดขาวผุดสีแดงขึ้นมาระเรื่อ "..... ฮ่าๆๆ เล่นมุกเหรอเนี่ย ตลกจังเลยนะ"ฉันมองเขาอย่างอารมณ์ดี รู้ทั้งรู้ว่าก
ฉันที่เดินเข้ามาทุกๆ อย่างเปลี่ยนเป็นกระท่อมเก่าๆ ที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก แม่หมอใช้พลังซ่อนสายตาจากผู้คน เธอที่นั่งอยู่อยู่ที่กลางห้อง นัยน์ตาเธอนั้นลึกลับที่เต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้"นั่งสิ จะยืนแบบนั้นให้เมื่อยหรือไง"แม่หมอเอ่ยขึ้นเดินไปหยิบตำรามาหนึ่งเล่มวางบนโต๊ะ มือเปิดไปหน้าหนึ่ง ฉันที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอความกดดันและประหม่าแต่ฉันก็เก็บอาการไว้"คือ.....เขาเป็นแวมไพร์แบบไหนเหรอ?"เธอมองมาที่ฉันเหมือนกับว่าเธอกำลังอ่านความคิดในใจของฉัน ขนตาฉันพะเยิบขึ้นพลางจ้องมองอย่างฉงน เอียงคอมองใบหน้าเธอ"ก่อนอื่น ฉันชื่อดิซีรี แม่มดแห่งโลกจันทรา เธอไม่ต้องบอกหรอกว่าชื่ออะไร เพราะฉันรู้หมดแล้ว""......""ใจของเธอตอนนี้กำลังสับสนเพราะเธอรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เธอดันชอบเขาเท่ากับเธอกำลังเดินตามหมากที่เขาวางไว้"สิ่งที่แม่หมอพูดมานั้นก็ถูกต้องทุกอย่างฉันมีใจให้กับเขาขึ้นมาจริงๆ"หมายความว่าฉันเป็นแค่หมากในเกมของเขางั้นใช่ไหม""เธอกำลังเล่นกับไฟ เขาไม่ใช่คนที่เธอจะรักได้หรอกนะ เขาเป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้ด้วยพลังของเขา เธอไม่มีทางมาแทนที่คนในใจเขาได้หรอก สิ่งที่เขาต้อง
แสงแรกแห่งวันใหม่สาดส่องลงบนพื้นถนนที่ยังคงเงียบสงบหญิงสาวคนหนึ่งเดินกลับบ้านหลังจากทำงานกะดึก เธอเลือกที่จะเดินลัดผ่านตรอกเล็กๆ ที่มืดและเปลี่ยวเพื่อจะได้ถึงบ้านเร็วขึ้น ขณะนั้นภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ...กองศพจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดอยู่กลางซอยเล็กๆ ร่างกายของพวกเขาผิดรูปร่างราวกับถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมเลือดสีแดงสดไหลนองบนพื้นสร้างบรรยากาศที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะบรรยายหญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขาของเธอแข็งทื่อไปหมด เธอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมอง ก็พบกับเงาดำมืดที่พุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วกรี๊ด!!!!!!น้ำเสียงกรีดร้องดังหายไปกับสายลมในตรอกมืดนั้นเวลาแปดโมงเช้า...เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วตรอกแคบๆ แสงไฟจากรถตำรวจสาดส่องเข้ามา ทำลายตรอกที่มืดปกคลุมสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอในชุดปฏิบัติการสีกรมกรูเข้ามาเรียงกัน พวกเขาเริ่มทำการปิดกั้นพื้นที่และเก็บหลักฐานต่างๆฉันที่เดินถือขนมอยู่กับซากุระสายตาเหลือบไปเห็นตำรวจมากมายรีบบอกซากุระให้กลับไปก่อน จึงรีบวิ่งข้ามถนนมาถึงที่เกิดเหตุแสดงบ
ผมที่ผละ จูบออกเบาๆ มองใบหน้าของเธอ..."เอ่อคือ...ถ้าตอนนี้รู้สึกกลัวก็กอดฉันได้นะ ฉันไม่กลัวผี""อะไรของลุงเนี่ย แล้วมาจูบคนอื่นได้ยังไงกัน""ไม่ใช่คนอื่น คนพิเศษต่างหาก"สองแก้มแดงเห่อร้อน เขาเปลี่ยนเรื่องเหมือนข้างหลังของฉันต้องมีอะไรแน่นอนฟังจากน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความระคนสงสัย เลื่อนคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นเขาเอื้อมมือมาจับมือของฉันแล้วพาเดินออกจากตรงนั้น..."ไปกันยัยบื้อ""นี่ลุงเรียกฉันว่ายัยบื้อเหรอ""แล้วจะใครล่ะ เธอนั่นแหละบื้อที่สุด""ว้าว เกิดมาพ่อแม่ยังไม่เคยเรียกฉันว่าบื้อเลยนะ ลุง!""ฉันเกิดมาก็ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่าลุงเหมือนกันนั่นแหละ""อ้อ นั้นจะบอกว่าฉันเป็นคนแรกที่เรียกใช่ไหม ลุงควรภูมิใจนะ ที่ได้มาเจอคนอย่างฉัน""ครับๆๆ ยัยบื้อ!"ทางฝั่งตรงข้ามร้านเบอร์เกอร์...ผมและเทลเวลลูกน้องของเคียร์ที่แอบเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ต่างพากันตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น..."นั่น...ราชาของเราจริงๆ ใช่ไหม"เทลเวลพยักหน้าอ้าปากค้างในมือถือเบอร์เกอร์ "ใช่แล้ว การแสดงเขาก็ยังคงสมบูรณ์ไม่มีใครเกิน เป็นตัวเลือกที่ดีเลยว่าไหม ถ้าผู้หญิงคนนั้นมองไม่ออกก็คงไม่มีสมองแล้ว""ถึงเธอจะโง่แ
ในยามราตรีที่ม่านมืดคลุมเมืองใหญ่แสงสีจากตึกสูงระฟ้าส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงดาวนับล้านบนผืนผ้าใบสีครามบรรยากาศในบาร์หรูหราแห่งหนึ่งในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงเพลงดังกระหึ่ม แสงไฟสีส้มส่องกระทบกับแก้วเหล้าที่ถูกยกขึ้นชนกันบรรดาหนุ่มสาวกำลังดื่มด่ำกับความสุขสำราญท่ามกลางความมืดมิดนี้ ไวล์ลีผมสีหมอก ดวงตาองุ่นแดง ใส่แว่นเงินนิ้วชี้ทั้งสองข้าง กำลังสนุกสนานอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในมุมมืดของบาร์เขาก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอของเธอก่อนจะฝั่งเขี้ยวลงไปอย่างไม่ไยดีทันใดนั้นเงาของใครบางคนก็ทาบทับลงมาบนร่างของไวล์ลี เขาเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบกับผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีแดงก่ำของผมจ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น"สนุกพอหรือยัง?"ไวล์ลีแสยะยิ้ม "อ้าวเคียร์ นึกว่าใครที่แท้ราชาผู้ยิ่งใหญ่ของเรานี่เอง""ฉันถามว่าสนุกพอหรือยัง" ผมถามย้ำเสียงเข้ม"ยังเลย ทำไมล่ะ? เจ้าจะมาขัดจังหวะฉันหรือไง"ผมที่นั่งลงตรงข้ามเอาขาข้างขวาขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมนิ้วมือที่ประสานเข้าหากัน"สันดานแกเนี่ยมันไม่เปลี่ยนเลยนะ ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิม""ฮ่าๆๆ เคียร์แกเองก็ไม่ต่างไปจากฉันนักหรอก อย่าคิดว่าทำตัวเป็นพ่อพระต่อหน้าสาวของแกเบื้องหลัง
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้
ฉันที่เดินผ่านห้องต่างๆ ส่องไฟฉายไปรอบๆ ทันใดนั้นสายตาเห็นกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปใกล้ๆ มือเปิดออกข้างในเห็นขวดยาสีฟ้าใสมีกลิตเตอร์วิบวับ"น้ำยาสีฟ้าเหรอ?" ฉันหยิบหนึ่งขวดขึ้นมาดูแสงส่องลงมามันสวยจนฉันเคลิ้ม"นี่คือยาที่พวกมันใช้ควบคุมมนุษย์ ยานี้เพื่อสะกดจิตมนุษย์ให้ทำตามคำสั่งของพวกมัน" ไวล์ลีพูดขึ้น"สะกดจิต?""ใช่ จะมีแวมไพร์ตนหนึ่งชื่อว่าโครนอส เขาสามารถสะกดจิตแวมไพร์ที่มีเลือดผสมได้ยกเว้นเลือดแท้เขาไม่สามารถทำได้ต่างกับมนุษย์ที่โครนอสสะกดจิตได้ง่ายแต่ต้องแลกกับการให้กินยาเพื่อเขาจะได้ควบคุมตลอดไป""น่ากลัวจริงๆ" ฉันส่ายหน้าไวล์ลียิ้ม "จบสักทีฉันจะได้กลับไปหาป๊อปคอร์นที่แสนอร่อยแล้ว""ฮ่าๆๆ นายเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในช่วงวัยเจริญอาหารเลย""ฉันโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ใช่เด็กสักหน่อย ป้าอย่ามากล่าวหากันสิ""ป้าเลยเหรอ หน้าฉันออกจะสวยเหมือนนางฟ้ายังไม่แก่ เดี๋ยวตีปากเลย""อย่านะ ทำไมมนุษย์ถึงดุขนาดนี้เนี่ย"แต่แล้ว ไวล์ลีก็ชะงักไป เขากระดิกหูเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ"มีใครบางคนกำลังจะมา"ฉันที่รู้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ทำให้ฉันนั้นรู้ทันทีว่าเป็นใคร"เคียร์""ฉันไปก่อนนะ จะบ
ฉันรีบเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นความรู้สึกแสบร้อนผุดขึ้นมาในดวงตา ฉันหยิบกระดาษบนโต๊ะของเขามาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนข้อความสั้นๆ ทิ้งไว้ให้เคียร์"พี่ชายฉันโทรมาหาบอกให้ฉันรีบไปหาค่ะ ขอโทษที่ต้องไปกะทันหันนะคะ "มือวางโน้ตบนโต๊ะนั่งเล่นข้างแจกันดอกไม้ ยกหลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านเขาไปผมที่กลับมาห้องนั่งเล่นไม่เห็นมินาโกะ สายตาก้มลงไปก็เห็นโน้ตที่เธอทิ้งไว้ให้ ในมือผมที่ถือของหวานมาให้กลับกลายเป็นว่าเธอรีบไปหาพี่ชาย"ฉันตั้งใจให้คนไปซื้อของหวานจะได้มากินกับยัยบื้อ อดกินซะละ"ณ...คอนโดมินาโกะฉันกลับมาถึงคอนโดของฉันดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ ฉันปิดประตูห้องนอนแล้วรีบตรงไปที่หน้าต่างดึงผ้าม่านปิดสนิทจนห้องตกอยู่ในความมืดราวกับต้องการสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองจากโลกภายนอกเสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปทั่วห้องกว้างกายบางสั่นระริกน้ำตาไหลรินไม่หยุดหย่อนหัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวดรวดร้าวทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ"ทุกอย่างคือเขาหลอกฉันมาตลอดทุกอย่างจริงๆ เขาไม่ได้รักฉันเลยไม่เลย เป็นอย่างที่คิดไว้""ทำไม ทำไมกัน เพราะอะไรฉันถึงไม่เคยได้รับความรักเหมือนคนอื่นทั้งที่ฉันพยายามแล้ว แต่
สถานการณ์บนท้องถนนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ตอนนี้ในเมืองโกลาหลไปทั่ว เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพยายามยิงสกัดแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ฉันวิ่งฝ่าฝูงชนที่แตกตื่น รีบไปหาพี่เรียวจิแต่ผู้คนวิ่งกันจนไม่สามารถมองหาพี่ชายตัวเองได้ ระหว่างทางฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่กลางถนน เขาคงจะพลัดหลงกับครอบครัวในความวุ่นวายนี้ก็เห็นแวมไพร์ตนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเด็กผู้ชายคนนั้น"ไม่นะ!!"ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งแล้วยิงโดนไหล่ของมัน แต่มันก็ยังวิ่งได้ฉันเลยรีบวิ่งไปหา เด็กชายที่ร้องไห้เขาตะโกนเรียกหาแต่แม่ของเขา แวมไพร์ที่กำลังจะทำร้ายเด็กผู้ชายคนนั้น ฉันจึงเอื้อมแขนไปดึงเด็กคนนั้นมากอดไว้ได้ทันใดแต่แล้วก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นโอบกอดฉันและเด็กชายไว้ในอ้อมแขนของเขา ฉันที่ได้กลิ่นของเขาเป็นกลิ่นดอกพรินซ์จาร์ดีนเออร์ หอมหวาน เคียร์เป็นกลิ่นจูเลียตโรสหอมละมุนเบาคล้ายใบชา"ถอยไปถ้าแกยังไม่อยากตาย"ผมจ้องมองแวมไพร์ตนนั้นโดยใช้สายตาที่ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหงื่อจะตกเลยตัดสินใจถอยออกไปผมพูดจบคลายอ้อมกอดจากมินาโกะ"ขอโทษมันจำเป็นต้องกอด เธอไม่เป็นไรนะ"ฉันกะพริบตาปริบๆ