ยามตะวันลาลับขอบฟ้าในสวนสาธารณะ เวลาสามทุ่ม...
ฉันย่องเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบใจเต้นระทึกกับรวบรวมความกล้าที่ผสมปนเปกันฉันที่ต้องการพิสูจน์ว่าในจดหมายนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่และถ้าเป็นจริงใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ฉันที่แต่งตัวอย่างกับโจร ใส่ชุดสีดำทั้งตัว อาการก็เหมาะ เพราะร้อนสุดๆ
ความเงียบสงัดของสวนสาธารณะทำเอาฉันเกือบหลับแต่ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ ฉันเพ่งมองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สายตาเห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในสวน ฉันหันไปมองของที่เตรียม มาทั้งกระเทียม ไม้กางเขน เหล็กแหลมและน้ำอบ
"ไม่เชื่อเลย ยังพกมาขนาดนี้ ตั้งศาลเจ้าไล่ผีได้เลยนะ"
ชายหนุ่มหยุดอยู่ใต้แสงไฟจากเสาไฟฟ้า ทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน!
"นั้นมันคือชายหนุ่มธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือไงน่ะ ไม่เห็นจะเหมือนแวมไพร์ตรงไหน"
สีหน้าแข็งตึงอย่างสะกดอารมณ์ ฉันเฝ้ามองอย่างระมัดระวังไม่นานนัก หญิงสาวอีกคนก็เดินเข้ามาในสวน เธอตรงเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้น ทั้งคู่พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะโอบกอดเธอไว้
ฉันรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง สายตาจ้องมองทั้งคู่อย่างไม่วางตา ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ก้มลงไปที่คอของหญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาเห็นเขี้ยวแหลมคมของเขาจมลงไปในผิวเนื้อของหญิงสาว
"แวมไพร์!! นั้นแวมไพร์!! จริงๆ"
ฉันอุทานออกมาใบหน้าซีดเผือดเหงื่อไหลเต็มไปหมด ฉันรีบชักปืนออกมาจากข้างหลังกระเป๋ากางเกง ยกปืนขึ้นเล็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้นแล้วลั่นไก
ปัง!
เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วสวนสาธารณะ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเขารีบผลักผู้หญิงออกแล้วหันมามองทางฉันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวดวงตาเขาเป็นสีแดงปากมีเลือดสีแดงสดติดปากไหลลงพื้น
"นั้นใครน่ะ?!" เขาคำรามเสียงดัง
ปากฉันไม่ขยับเลยสักนิด ค่อยๆ คลานออกมาจากต้นไม้จากนั้นวิ่งหนีออกจากตรงนั้น ไม่สนอะไรอีกถึงจะเอากระเทียมมาก็คงไม่ช่วยอะไรแล้วจุดนี้ จึงรีบไปจากที่นี่ก่อนที่แวมไพร์ตนนั้นจะตามฉันทัน ขากระโดดข้ามสะพานวิ่งเต็มกำลัง
"หยุดนะ!" เสียงของแวมไพร์ดังไล่หลังมาแต่ฉันไม่หยุด
"หยุดก็บ้าแล้ว ได้ตายก่อนพอดี แฟนยังไม่มีเลยนะ"
ฉันวิ่งสุดแรงเกิดฝ่าความมืดของสวนสาธารณะไปเสียงหอบหายใจแรงความกลัวทำให้ขาทั้งสองข้างแทบจะก้าว ไม่ออกแต่แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ร่างของฉันถูกกระชากอย่างแรงจนเสียงหลักถูกเหวี่ยงเข้าไปกระแทกกับกระจกหน้าร้านค้าแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บาดผิวหนังของฉันจนเป็นแผลเลือดหยดลงบนพื้น
เสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฉันล้มลงไปนอนกับพื้น เศษกระจกบาดลึกเข้าไปในเนื้อ ฉันพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายของฉันกลับไม่ตอบสนอง
"หนีทำไมล่ะที่รัก"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นฉันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับใบหน้าของแวมไพร์ตนนั้น เจาะหู แต่งตัวดูดี เขากำลังยิ้มเยาะฉันอย่างสะใจ
"เหอะ ไม่ให้หนีจะให้โดนกัดหรือไง ถามอะไรโง่ๆ ใครจะอยากมาตายตอนนี้กันล่ะ"
"ไม่กลัวกันเลยเหรอ ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับแวมไพร์"
"แน่นอน ฉันมันปากหมาจะบอกให้ แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ฉัน เขาก้มลงมองฉันด้วยสายตาเหยียดหยาม
"เธอคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ? ไม่มีทางหรอกมนุษย์มักอ่อนแอ ฉันชอบมนุษย์อย่างพวกเธอเพราะโง่สิ้นดี"
"ฮ่าๆๆ กำลังด่าตัวเองเหรอ เมื่อก่อนนายก็เคยเป็นมนุษย์ ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นแวมไพร์ไม่ได้สูงส่งขนาดนั้นสักหน่อย!"
ขาทั้งสองพยายามจะถอยหนี แต่แล้วแวมไพร์ย่อตัวลงมาใกล้ฉันจนใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากฉันเพียงไม่กี่นิ้ว
"ปากดีไปเถอะ เดี๋ยวเธอก็จะตายแล้ว หน้าตาสวยแต่ปากร้ายไม่เบา เลือดของเธอมันช่างหอมหวาน กลิ่นโชยมาเลย"
ฉันกลืนน้ำลายลงคอมือขยับไปข้างหลังสายตาเห็นเหล็กสีเงิน มือกำลังจะหยิบ....ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น..
"นายคิดว่าผู้หญิงคนนี้นายมีสิทธิ์ยุ่งงั้นเหรอ!"
ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในร้านอย่างสบายอารมณ์ มือตักเค้กเข้าปากอย่างอร่อยไม่ได้สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
"ถอยห่างจากเธอซะ!"
เสียงของผมพูดขึ้น เอียงคอด้วยใบหน้าที่เย่อหยิ่ง ผมมองไปทางเธอที่เห็นแวมไพร์ตนนั้นกำลังจับแขนของเธออยู่
"ช่างน่ารำคาญจริง"
แววตาของผมแสดงถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจะวางส้อมลง
"ยังจะมีอารมณ์กินอยู่อีกเหรอ! " ฉันพูดไปทางเขาที่ทำตัวสบายใจไม่สนอะไรเลย คนจะตายอยู่แล้ว
"ช่วยหน่อยได้ไหม เห็นบ้างไหมว่าคนเขาเดือดร้อน!!"
ผมยิ้มอวดดี"เธอขอให้ฉันช่วยอยู่เหรอ? ไหนล่ะ คำพูดหวานๆ เป็นผู้หญิงจริงไหม ลองพูดอ้อนน่ารักๆ หน่อยสิ หรือพูดเสียงหวานๆ เป็นไหม ฉันจะรับพิจารณา"
"ไอ้หมอนี่!! ใช้เวลาไหมเนี่ย....ยังจะเรื่องมากจริงนะ"
"เอ้า! เร็วๆๆ ถ้าเธอไม่พูดงั้นก็ตายไปเลย ฉันไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของเธอนะ"
เขายิ้มกว้างกับกินเค้กไปด้วยพร้อม ยักคิ้วอย่างยั่วเย้าอารมณ์ ฉันกัดฟันกรอด!
"คุณผู้ชายที่สุดแสนจะหล่อเหลา ช่วยผู้หญิงคนนี้หน่อยได้ไหมคะ ได้โปรดค่ะ"
ผมยกมือปิดปากหัวเราะ"ก็แค่นี้แหละ พูดยากนักนะ ค่อยเหมาะสมกับการเป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย"
ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาตัวผู้ชายคนนั้นก็ลอยตามแรงนิ้วของผมที่เหวี่ยงเขาไปมาจนไปติดกำแพงทั้งข้างล่างข้างบน เขาเลือดท่วมตัว ผมใช้พลังจิตกับเขา ทำให้ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้และกระจกก็เริ่มราวขึ้นเรื่อยๆ ทุกบานตามทางที่ผมเดินเข้าไปใกล้เขา
ฉันมองเขาด้วยความอึ้ง สายตาที่เห็นนั้นทำให้ฉันอ้าปากค้าง ดันมือพยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายฉันก็ยังคงไม่มีแรงจะทำอะไรได้เลย
"แกเป็นได้แค่เศษขยะเท่านั้น จะฆ่าเธอคิดผิดแล้ว"
ผมคว้าตัวเขาขึ้นมาบีบเข้าไปที่คอ เขาพยายามใช้แรงของแวมไพร์จะสู้กับผมแต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของผมได้ ในที่สุดเขาไม่มีลมหายใจ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลผมปล่อยเขาลงไปนอนกองกับพื้น สายตาก้มลงมองเขาเอาเท้าสะกิด ด้วยสายตาน่าสมเพช
"แค่นี้ก็ตายแล้วเหรอ ตายง่ายชะมัด"
"ถ้าแกชอบกัดมากนักคราวหลังก็ไปเกิดเป็นสัตว์นะ"
น้ำเสียงเย็นชาก่อนจะใช้มือเปล่าฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ ทั้งแขนทั้งขาและหัวของเขา
ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยความสยดสยอง นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฉีกคนด้วยกัน เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมอะไรขนาดนี้ คิดถูกแล้วใช่ไหมที่ขอให้เขาช่วย
ผมหันหลังเดินกลับไปหาเธอ ที่นั่งอยู่กับพื้น ย่อตัวลงแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างเบามือ
"ไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล"
ผมค่อยๆ อุ้มเธอออกจากร้านค้านั้น พาเธอไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดระหว่างทางเธอมองผมไม่วางตาราวกับบนใบหน้าของผมมีอะไรผิดปกติอย่างนั้น
โรงพยาบาลในเมือง...
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผมก็วางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ เสียงเรียกพยาบาลมาดูแลเธอแต่ก่อนจะไปผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมรู้ว่าผมทำเท่าที่ทำได้แล้ว เลยยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากของเธอ หลับตาลงและเริ่มร่ายมนตร์ลองลบความทรงจำของเธอดูว่าเธอจะตื่นมาจำได้หรือเปล่า
แสงสีเงินเรืองรองออกมาจากมือของผม ส่องสว่างไปทั่วห้อง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังฝันร้ายแต่แล้วความเจ็บปวดและความกลัวค่อยๆ จางหายไปจากดวงตาของเธอเมื่อลืมตาขึ้น เธอก็หลับสนิทไปแล้ว ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลาย
"รีบฟื้นล่ะ ยังมีอะไรหลายอย่างที่ฉันจะพิสูจน์กับเธอ"
แสงยามอรุณฉายส่องเข้ามาคล้ายกำลังโอบกอดอย่างอ่อนโยน....แพขนตาหนาค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ก่อนจะกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างอันน้อยนิดในห้อง พบกับเพดานสีขาวซีดของห้องพักฟื้นผู้ป่วย ในตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาล รู้สึกปวดที่แขนจากการถูกเศษกระจกบาดแต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสับสนในใจฉัน ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนในความทรงจำ รอยยิ้มของแวมไพร์ตนนั้นที่จ้องมองฉันยังอยู่ในหัว เขี้ยวแหลมคมจมลงบนผิวเนื้อของเหยื่อและที่สำคัญที่สุด..."หมอนั้น!! คนที่โผล่มาตอนนั้น ใช่คนเดียวกันแน่นอน แต่ว่านะคนอะไรหล่อฉิบหายเลย เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่คงจะงดงามที่สุดเลยก็ว่าได้ ทรงน่าทำสามีมากเลย"แต่ว่านะเขาช่วยชีวิตฉันจากเงื้อมมือแวมไพร์ผู้มีดวงตาสีโลหิตและทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวตอนนั้นที่ฉันลืมตาเขากำลังลบความทรงจำแต่ฉันก็ยังจำได้ทุกอย่าง แสดงว่าเขาไม่ได้ลบความทรงจำของฉัน จำได้แม้กระทั่งความอบอุ่นจากมือของเขาที่แตะลงบนหน้าผากฉัน ปกติแวมไพร์มือต้องเย็นอย่างน้ำแข็งแล้วทำไมฉันถึงกลับคิดว่ามันอุ่น คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของฉันที่สงสัยเต็มไปหมด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็อยากรู้อยากเห็นมาซะอย่างงั
ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดูสะอาดเรียบง่ายและสบายตาฉันที่นอนราบอยู่บนเตียง ความฝันอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนฉันจากห้วงนิทราเหงื่อกาฬท่วมทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ภาพของแวมไพร์นั้นยังคงติดตา รอยยิ้มเขี้ยวแหลมคม ดวงตาสีแดงที่จ้องมองฉันราวกับเหยื่ออันโอชะแต่แล้วภาพในความฝันก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นเขาชายหนุ่มดวงตาสีโลหิต กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากฉันอย่างแผ่วเบาทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดไหลผ่านร่างกายฉันสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง หายใจหอบถี่ถาโถมเข้ามาในใจ สายตากวาดมองไปทั่วทุกทิศ เอียงหัวอย่างนึกสงสัยมือเสยผมขึ้น"ฝันบ้าอะไรเหมือนจริงชะมัด! สงสัยคงจะคิดมากเกินไป ถึงขั้นเก็บมาฝัน""ถ้าเจออีกครั้งจะถามชื่อเขาได้ไหมนะ อยากจะรู้จักเขาจัง"ฉันที่เอาเท้าแตะพื้นกำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนข้อความดัง ทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าจอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง เปิดหน้าจอดูใช้นิ้วเลื่อนไปที่ข้อความจากพี่เรียวจิข้อความ: "พี่รู้ว่ามันยากสำหรับเธอ แต่ไม่ว่ายังไงพี่มีความเห็นคือเราต้องกำจัดแวมไพร์คนนั้นซะ เขาอันตรายต่อเธอ"ฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่น่าบอกพ
เวลาสองทุ่ม....ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่างกับเคียร์ทว่าสายเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ฉันจำใจต้องละสายตาจากเคียร์แล้วล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย"ว่าไงคะพี่?""มินาโกะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน""น้องอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ""พี่อยากให้เราไปที่เกิดเหตุ มีคนตายเพิ่มแต่พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากจะให้เราไปดูให้หน่อย ทางนี้พี่ติดนักข่าวอยู่หน้าสำนักงานพี่จะส่งที่อยู่ให้..."ฉันทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ทำให้ฉันรู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นเรื่องของแวมไพร์แน่นอน คราวนี้จะเป็นปีศาจแบบไหนอีก"ค่ะ น้องจะรีบไปเดี๋ยวนี้" ฉันตอบก่อนจะวางสายแล้วหันหน้าไปหาเคียร์"ต้องไปแล้วนะลุง"ในมือถือของเอามาวางหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินกำลังจะเดินออกจากร้านเขาก็จับแขนซ้ายเอาไว้ฉันเหลียวหลังกลับไปก้มลงดูมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขา"เธอน่ะ เป็นคนที่ล้ำค่ามากเพราะงั้นอย่าเจ็บตัวนะ" ผมใช้นิ้วชี้เคาะหน้าผากฉันอึ้งกับคำพูดของเขาคนเป็นแวมไพร์ พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ เขากำลังเป็นห่วงฉันหรือแกล้งเป็นห่วงฉัน หูฉันคงไม่เฝื่อน ไปใช่ไหม ก่อนที่จะหันหลังอีกครั้ง นึกขึ้น
เสียงแห่งสายฝนบรรเลงขึ้น หยาดฝนแต่ละเม็ดให้เสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงเม็ดฝนกระทบพื้น เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ละอองฝนพัดหลังจากเคียร์จัดการแวมไพร์ตนนั้นเขาก็เอาร่มมาให้ฉันแล้วก็หายไปเลยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนกลับมาเดินกันปกติสวนไปมาและคนตรวจศพก็อยู่ที่เดิมข้างๆ ฉัน สายตาก้มลงไปดูที่แขนกับไม่มีเลือดไหลจากการโจมตี พี่เรียวจิวิ่งเข้ามาหาฉัน "มินาโกะ เป็นยังไงบ้างรู้อะไรไหม""เอ่อ...เหมือนจะเป็นแค่คู่ผัวเมียทะเลาะกันน่ะ พี่มาก็ดีแล้วก็จัดการเองเลยแล้วกัน น้องขอตัวก่อนนะ"ณ..คอนโด มินาโกะฉันกดรหัสเปิดประตูคอนโด ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนอยู่ในหัวฉันราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาเขาจูบฉันครั้งที่สองหรือสามแล้วหรือเปล่านะ เหมือนกับตัวเองเป็นผู้หญิงใจง่ายให้ผู้ชายจูบยังไงอย่างนั้นเลย ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองใบหน้าแดงอย่างดอกกุหลาบ"ไม่ๆๆๆ นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย จะมาลามกอะไรตอนนี้ จะบ้าตาย"เท้าเดินเข้าไปในห้องน้ำถูกแบ่งออกเป็นโซนเปียกและโซนแห้งโดยมีผนังกระจกเป็นตัวคั่นเอาไว้ ปูด้วยกระเบื้องสีขาวเป็นหลักกระจกเงาบานใหญ่ติดผนังฝั่งอ่างล
เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสร้างบรรยากาศโรแมนติกแต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น ฉันเดินฝ่าหิมะที่กำลังตกหนักเข้าไปหาเคียร์ที่ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเขา"ลุง...มารอฉันทำไมตรงนี้ค่ะ? แล้วมายืนกลางหิมะแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"ผมยิ้มแฉ่งให้เธอก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตหยิบใบปลิวหนึ่งใบออกมา"ฉันเห็นเขาแจกใบนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหนน่ะ หาให้หน่อยได้ไหม" ผมพูดพลางยื่นใบให้เธอฉันหยิบใบปลิวขึ้นมาดู มันเป็นรูปร้านขนมหวานชื่อดังในเมือง สายตาที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันเลย ทำให้ฉันทั้งขบขันและเอ็นดูในคราวเดียวกัน"อ้อ ที่มารอฉันเพราะแบบนี้เองเหรอ ก็อยู่ตรงข้ามที่เรายื่นอยู่นี่ไง ลุงเนี่ยแก่จริงๆ ละนะ แล้วมาออฟฟิศฉันถูกได้ยังไงกันคะเนี่ย"ผมยักไหล่ขึ้น "อ่าวเหรออยู่ใกล้แค่นี้ทำไมฉันถึงไม่เห็นนะ ฉันเนี่ยทั้งเก่ง ฉลาด รวย แถมยังหล่ออีกด้วยนะ""หลงตัวเองเก่งจังนะ ลุง""ถ้าฉันไม่หลงตัวเองแล้วจะให้หลงใคร หรือว่าเธอดีล่ะ"พวงแก้มที่แต่เดิมซีดขาวผุดสีแดงขึ้นมาระเรื่อ "..... ฮ่าๆๆ เล่นมุกเหรอเนี่ย ตลกจังเลยนะ"ฉันมองเขาอย่างอารมณ์ดี รู้ทั้งรู้ว่าก
ฉันที่เดินเข้ามาทุกๆ อย่างเปลี่ยนเป็นกระท่อมเก่าๆ ที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก แม่หมอใช้พลังซ่อนสายตาจากผู้คน เธอที่นั่งอยู่อยู่ที่กลางห้อง นัยน์ตาเธอนั้นลึกลับที่เต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้"นั่งสิ จะยืนแบบนั้นให้เมื่อยหรือไง"แม่หมอเอ่ยขึ้นเดินไปหยิบตำรามาหนึ่งเล่มวางบนโต๊ะ มือเปิดไปหน้าหนึ่ง ฉันที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอความกดดันและประหม่าแต่ฉันก็เก็บอาการไว้"คือ.....เขาเป็นแวมไพร์แบบไหนเหรอ?"เธอมองมาที่ฉันเหมือนกับว่าเธอกำลังอ่านความคิดในใจของฉัน ขนตาฉันพะเยิบขึ้นพลางจ้องมองอย่างฉงน เอียงคอมองใบหน้าเธอ"ก่อนอื่น ฉันชื่อดิซีรี แม่มดแห่งโลกจันทรา เธอไม่ต้องบอกหรอกว่าชื่ออะไร เพราะฉันรู้หมดแล้ว""......""ใจของเธอตอนนี้กำลังสับสนเพราะเธอรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เธอดันชอบเขาเท่ากับเธอกำลังเดินตามหมากที่เขาวางไว้"สิ่งที่แม่หมอพูดมานั้นก็ถูกต้องทุกอย่างฉันมีใจให้กับเขาขึ้นมาจริงๆ"หมายความว่าฉันเป็นแค่หมากในเกมของเขางั้นใช่ไหม""เธอกำลังเล่นกับไฟ เขาไม่ใช่คนที่เธอจะรักได้หรอกนะ เขาเป็นคนที่สามารถทำอะไรก็ได้ด้วยพลังของเขา เธอไม่มีทางมาแทนที่คนในใจเขาได้หรอก สิ่งที่เขาต้อง
แสงแรกแห่งวันใหม่สาดส่องลงบนพื้นถนนที่ยังคงเงียบสงบหญิงสาวคนหนึ่งเดินกลับบ้านหลังจากทำงานกะดึก เธอเลือกที่จะเดินลัดผ่านตรอกเล็กๆ ที่มืดและเปลี่ยวเพื่อจะได้ถึงบ้านเร็วขึ้น ขณะนั้นภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ...กองศพจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดอยู่กลางซอยเล็กๆ ร่างกายของพวกเขาผิดรูปร่างราวกับถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมเลือดสีแดงสดไหลนองบนพื้นสร้างบรรยากาศที่น่าสยดสยองเกินกว่าจะบรรยายหญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขาของเธอแข็งทื่อไปหมด เธอยากจะกรีดร้อง แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมอง ก็พบกับเงาดำมืดที่พุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วกรี๊ด!!!!!!น้ำเสียงกรีดร้องดังหายไปกับสายลมในตรอกมืดนั้นเวลาแปดโมงเช้า...เสียงไซเรนดังกึกก้องไปทั่วตรอกแคบๆ แสงไฟจากรถตำรวจสาดส่องเข้ามา ทำลายตรอกที่มืดปกคลุมสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอในชุดปฏิบัติการสีกรมกรูเข้ามาเรียงกัน พวกเขาเริ่มทำการปิดกั้นพื้นที่และเก็บหลักฐานต่างๆฉันที่เดินถือขนมอยู่กับซากุระสายตาเหลือบไปเห็นตำรวจมากมายรีบบอกซากุระให้กลับไปก่อน จึงรีบวิ่งข้ามถนนมาถึงที่เกิดเหตุแสดงบ
ผมที่ผละ จูบออกเบาๆ มองใบหน้าของเธอ..."เอ่อคือ...ถ้าตอนนี้รู้สึกกลัวก็กอดฉันได้นะ ฉันไม่กลัวผี""อะไรของลุงเนี่ย แล้วมาจูบคนอื่นได้ยังไงกัน""ไม่ใช่คนอื่น คนพิเศษต่างหาก"สองแก้มแดงเห่อร้อน เขาเปลี่ยนเรื่องเหมือนข้างหลังของฉันต้องมีอะไรแน่นอนฟังจากน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความระคนสงสัย เลื่อนคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นเขาเอื้อมมือมาจับมือของฉันแล้วพาเดินออกจากตรงนั้น..."ไปกันยัยบื้อ""นี่ลุงเรียกฉันว่ายัยบื้อเหรอ""แล้วจะใครล่ะ เธอนั่นแหละบื้อที่สุด""ว้าว เกิดมาพ่อแม่ยังไม่เคยเรียกฉันว่าบื้อเลยนะ ลุง!""ฉันเกิดมาก็ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่าลุงเหมือนกันนั่นแหละ""อ้อ นั้นจะบอกว่าฉันเป็นคนแรกที่เรียกใช่ไหม ลุงควรภูมิใจนะ ที่ได้มาเจอคนอย่างฉัน""ครับๆๆ ยัยบื้อ!"ทางฝั่งตรงข้ามร้านเบอร์เกอร์...ผมและเทลเวลลูกน้องของเคียร์ที่แอบเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ต่างพากันตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น..."นั่น...ราชาของเราจริงๆ ใช่ไหม"เทลเวลพยักหน้าอ้าปากค้างในมือถือเบอร์เกอร์ "ใช่แล้ว การแสดงเขาก็ยังคงสมบูรณ์ไม่มีใครเกิน เป็นตัวเลือกที่ดีเลยว่าไหม ถ้าผู้หญิงคนนั้นมองไม่ออกก็คงไม่มีสมองแล้ว""ถึงเธอจะโง่แ
ฉันถลกแขนเสื้อขึ้นเพิ่มความทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แนบแน่นมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าออกตั้งสติแวมไพร์อีกหลายตน พวกมันจ้องมองฉันด้วยสายตาหิวกระหาย"นี่น่ะเหรอ คนที่มีพลังบริสุทธิ์ เป็นผู้หญิงที่งดงามแต่น่าเสียดายคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์"ฉันยิ้มยวน "ถ้าใช่แล้วจะทำไม พวกนายมันก็ต้องการให้ฉันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!""โง่จริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าพลังของเธอมีค่ามากแค่ไหน ถ้าได้พลังนั้นมา มันสามารถชุบชีวิตคนตายได้ แทบยังทำให้มีพลังเหนือกว่าคนอื่น ที่ใครไม่สามารถต้านทานได้ ก็นะ เธอก็แค่มนุษย์เลยไม่ได้รับรู้ถึงพลังนั้น!"โครนอสหันไปสั่งเหล่าแวมไพร์ "จับตัวเธอมา!"พวกเหล่าแวมไพร์กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันแต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้แตะต้องฉัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา"หยุดนะ! ใครกล้าแตะต้องเธอ ฉันฆ่าทิ้งแน่!"ผมเดินแหวกกลางมาหยุดตรงหน้าของเธอ ผมหันไปจ้องมองโครนอสด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหันกลับมาหามินาโกะฉันที่มองใบหน้าของเคียร์ ด้วยแววตาที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว"นายก็หลอกฉัน หลอกให้รัก หลอกให้เชื่อใจ หลอกว่านายจะจริงใจ แต่สุดท้ายนายก็ไม่ได้รักฉัน! สิ่งที่นายรักก็ค
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งเมือง ตำรวจเอฟบีไอที่มาถึงที่เกิดเหตุต่างตกเป็นเป้าหมายของเหล่าแวมไพร์กระสุนปืนแลกเปลี่ยนกันอย่างดุเดือดฉันหลบอยู่หลังรถตำรวจเปลี่ยนชุดที่ถนัดในการต่อสู้ พอเปลี่ยนเสร็จฉันยิงสกัดแวมไพร์เดินถือปืนยิงแวมไพร์ที่เข้ามาใกล้ พวกมันมีจำนวนมากเกินไปการใช้ปืนคงจะเป็นไปได้ยาก สายตาหันไปทางพี่เรียวจิ กำลังฉีดยาที่อิซามูทำขึ้นมาเป็นควันสลบที่รุนแรง รีบสวมหน้ากากกันแก๊สทันใดนั้น ฉันเห็นซากุระ ล้มลงเธอกำลังจะถูกแวมไพร์ทำร้ายฉันไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปขวางหน้า ย่อลงแล้วเล็งปืนแล้วเหนี่ยวไกทันทีกระสุนพุ่งเข้าเจาะทะลุกลางหัวใจของแวมไพร์ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น"ซากุระ! ไม่เป็นไรนะ"ซากุระพยักหน้า "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะมินาโกะ"สายตามองซากุระตัวสั่นเหมือนลูกนก สีหน้าของเธอซีดเผือดราวกับคนตาย"ยูกิ! พาซากุระกับอิซามูไปห้องใต้ดินของเอฟบีไอซะ นี่กุญแจแล้วฉันจะตามไปที่หลัง"ยูกิพยักหน้า เขาคว้ามือซากุระแล้วพาเธอนั่งรถขับออกไปทันที ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงแวมไพร์ ต้องถ่วงเวลาให้เพื่อนๆ หนีไปให้ได้ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่แวมไพร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ฉั
ฉันที่มองเคียร์คล้ายกับว่าสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังโกรธรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างเขาฉุนเฉียวไม่เป็นตัวของตัวเอง"ลุง...อย่าบอกนะว่า กำลังหึงฉันที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม"ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ"ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หึง"แต่แววตาของเขาเลิ่กลั่กขาและแขนแกว่งไปทางเดียวกันอย่างไม่เป็น ธรรมชาติ เวลาเขาไม่พูดความจริงเขาชอบทำท่าทางแบบนี้ตลอด ฉันเลยเอื้อมมือไปจับมือของเขามาทาบบนอกของฉัน"ทำอะไรของเธอเนี่ย ยัยบื้อ ไม่อายคนเหรอ""ลุงตรงนี้หัวใจของฉัน มันอยู่ตรงนี้ ได้ยินใช่มั้ย หัวใจดวงนี้ฉันมอบให้ลุงทั้งหมดที่มี"จู่ๆ ใบหูของผมก็ร้อนขึ้นมา ควันร้อนแทบจะพวยพุ่งขึ้นบนศีรษะ ใบหน้าด้านข้างผมเปลี่ยนเป็นสีเข้ม"ยัยบื้อ ฉัน...ไม่...ช่างเถอะ"เคียร์วาร์ปหายหัวตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทำให้อมยิ้มเล็กน้อยถึงในคำพูดของฉันจะบอกใบ้ให้กับเขาแต่เขาก็คงไม่สงสัยอะไรฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า..."เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ"องค์กรซีไอเอ...ทันทีประตูบริษัทเปิดออกฉันเดินเข้ามาจะไปห้องทำงานคาโอรุก็รีบเดินเข้ามาหาฉันสีหน้าไม่สบายใจ"มินาโกะ เธออย่าเพิ่งเข้า
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่...ฉันขยี้ตาไปมาเพื่อไล่ความง่วงงุนออกไปจากร่างกาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังกระจกบานใหญ่ริมห้อง ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกใบหน้าที่ยังคงมีคราบง่วงอยู่จางๆ ดวงตาที่ปรืออยู่เล็กน้อย แล้วคำพูดของเคียร์ยังคงอยู่ในหัวฉัน"รักฉัน ให้ตายเถอะ อยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุด อยากจะบ้าจริงๆ"ฉันก้าวออกจากประตูคอนโดฉันสวมเสื้อโค้ตสีดำส่วนข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ รองเท้าส้นสูงสีครีม ผมยาวสลวยปล่อยตรงและใส่สร้อยคอที่เคียร์ให้มาฉันอมยิ้มสายตาฉันสะดุดกับร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสีม่วง สวมสูทสีเทาเข้มดูภูมิฐานมือของเขาถือช่อดอกไม้สีแดงสดขนาดใหญ่"เรเวน? "ฉันอุทานออกมาและนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเรเวน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นฉัน "มินาโกะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ในมือของเขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน มือจึงรับช่อดอกไม้จากมือเขาด้วยรอยยิ้มบ้างๆ"ซื้อดอกไม้มาทำไมเนี่ย เปลืองเงิน""ไม่เปลืองเงินเลย ผมแค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณ และจำได้ว่าคุณชอบดอกกุหลาบสีแดง"ฉันยิ้มเต็มใบหน้า "มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหากันถึงที่นี่เลย"เรเวน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามองต
สำนักงานใหญ่เอฟบีไอ....ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผมสายตาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังแสดงภาพถ่ายของมินาโกะและเคียร์ที่กำลังเดินออกจากสำนักงานด้วยกันวันนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอทำเกินหน้าเกินตา ผมกลับต้องเป็นคนแบกรับผลกระทบทั้งหมดจากพวกที่ชอบโอ้อวดไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ความโกรธเริ่มสะสมในใจของผมเหมือนน้ำในแก้วที่ใกล้จะล้นออกมาผมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ไม่คิดว่าน้องสาวของผมจะกล้าคบหากับประธานเคียร์ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งภาพถ่ายนั้นไปให้แม่ดู พร้อมกับข้อความว่า"แม่ครับมินาโกะกำลังคบกับประธานเคียร์อยู่ครับ"ไม่นานนัก แม่ก็โทรกลับมา"เรียวจินี่มันเรื่องจริงเหรอ?"เสียงของแม่พูดขึ้นจากปลายสายด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับแม่ ภาพนักข่าวก็เอาไปลงโซเซียลตอนนี้คงจะเป็นข่าวใหญ่แล้วล่ะครับ""ไม่ได้น่ะ มินาโกะจะไปคบกับประธานไม่ได้ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวต้องคบคนฐานะที่ต่ำกว่าตัวเองสิ""แต่ทั้งสองก็เหมาะสมกันนะครับแม่""ไม่! นางจะต้องไม่ได้ดีไปกว่าลูกเข้าใจนะ แม่จะรีบกลับไป"ผมวางสายจากแม่แล้วนั่งพิงเก้าอี้ ยิ้มแบะปากผมรู้ว่าแม่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้
ฉันรีบดึงมือเคียร์ให้เดินตามฉันเข้าไปในห้องทำงานทันทีพอหลุดจากสายตาของเพื่อนๆ ฉันปิดประตูห้องแล้วเดินไปหยิบรีโมทปิดหน้าต่างให้เป็นสีดำสนิทจากนั้นหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย"ทำไมลุงถึงพูดออกไปอย่างนั้น เราไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งที่มันไม่ใช่"ผมที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วย"ทำไมล่ะ เธอคือแฟนฉันนะ ยัยบื้อ เธอกับฉันก็ได้กันตั้งสองครั้ง จะให้เป็นคนแปลกหน้าหรือไง"กลายเป็นว่าเขาพูดออกมาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อตัวเอง ฉันรู้สึก ลำบากใจกับคำถาม เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันเพียงก้าวเดียว ฉันที่ถอยจนติดโต๊ะทำงาน สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน เลยเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น"ฉันรู้ว่ามันอาจจะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว"เขายิ้มบางๆ ฉันที่อ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้งเขายกมือขึ้นเชยคางฉันขึ้นมาบังคับให้ฉันมองหน้าเขา"มองตาฉันสิ แล้วบอกฉันว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน"เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในขณะที่เคียร์กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างกะทันหัน อิซามูก้าวเข้ามาพร้อมกับแฟ้
ฉันที่เดินผ่านห้องต่างๆ ส่องไฟฉายไปรอบๆ ทันใดนั้นสายตาเห็นกล่องเหล็กใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันเดินไปใกล้ๆ มือเปิดออกข้างในเห็นขวดยาสีฟ้าใสมีกลิตเตอร์วิบวับ"น้ำยาสีฟ้าเหรอ?" ฉันหยิบหนึ่งขวดขึ้นมาดูแสงส่องลงมามันสวยจนฉันเคลิ้ม"นี่คือยาที่พวกมันใช้ควบคุมมนุษย์ ยานี้เพื่อสะกดจิตมนุษย์ให้ทำตามคำสั่งของพวกมัน" ไวล์ลีพูดขึ้น"สะกดจิต?""ใช่ จะมีแวมไพร์ตนหนึ่งชื่อว่าโครนอส เขาสามารถสะกดจิตแวมไพร์ที่มีเลือดผสมได้ยกเว้นเลือดแท้เขาไม่สามารถทำได้ต่างกับมนุษย์ที่โครนอสสะกดจิตได้ง่ายแต่ต้องแลกกับการให้กินยาเพื่อเขาจะได้ควบคุมตลอดไป""น่ากลัวจริงๆ" ฉันส่ายหน้าไวล์ลียิ้ม "จบสักทีฉันจะได้กลับไปหาป๊อปคอร์นที่แสนอร่อยแล้ว""ฮ่าๆๆ นายเหมือนเด็กน้อยที่อยู่ในช่วงวัยเจริญอาหารเลย""ฉันโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ใช่เด็กสักหน่อย ป้าอย่ามากล่าวหากันสิ""ป้าเลยเหรอ หน้าฉันออกจะสวยเหมือนนางฟ้ายังไม่แก่ เดี๋ยวตีปากเลย""อย่านะ ทำไมมนุษย์ถึงดุขนาดนี้เนี่ย"แต่แล้ว ไวล์ลีก็ชะงักไป เขากระดิกหูเบาๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ"มีใครบางคนกำลังจะมา"ฉันที่รู้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย ทำให้ฉันนั้นรู้ทันทีว่าเป็นใคร"เคียร์""ฉันไปก่อนนะ จะบ
ฉันรีบเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นความรู้สึกแสบร้อนผุดขึ้นมาในดวงตา ฉันหยิบกระดาษบนโต๊ะของเขามาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนข้อความสั้นๆ ทิ้งไว้ให้เคียร์"พี่ชายฉันโทรมาหาบอกให้ฉันรีบไปหาค่ะ ขอโทษที่ต้องไปกะทันหันนะคะ "มือวางโน้ตบนโต๊ะนั่งเล่นข้างแจกันดอกไม้ ยกหลังมือปาดน้ำตาออกลวกๆ จากนั้นก็รีบออกจากบ้านเขาไปผมที่กลับมาห้องนั่งเล่นไม่เห็นมินาโกะ สายตาก้มลงไปก็เห็นโน้ตที่เธอทิ้งไว้ให้ ในมือผมที่ถือของหวานมาให้กลับกลายเป็นว่าเธอรีบไปหาพี่ชาย"ฉันตั้งใจให้คนไปซื้อของหวานจะได้มากินกับยัยบื้อ อดกินซะละ"ณ...คอนโดมินาโกะฉันกลับมาถึงคอนโดของฉันดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ ฉันปิดประตูห้องนอนแล้วรีบตรงไปที่หน้าต่างดึงผ้าม่านปิดสนิทจนห้องตกอยู่ในความมืดราวกับต้องการสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองจากโลกภายนอกเสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปทั่วห้องกว้างกายบางสั่นระริกน้ำตาไหลรินไม่หยุดหย่อนหัวใจเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวดรวดร้าวทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ"ทุกอย่างคือเขาหลอกฉันมาตลอดทุกอย่างจริงๆ เขาไม่ได้รักฉันเลยไม่เลย เป็นอย่างที่คิดไว้""ทำไม ทำไมกัน เพราะอะไรฉันถึงไม่เคยได้รับความรักเหมือนคนอื่นทั้งที่ฉันพยายามแล้ว แต่
สถานการณ์บนท้องถนนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ตอนนี้ในเมืองโกลาหลไปทั่ว เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพยายามยิงสกัดแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ฉันวิ่งฝ่าฝูงชนที่แตกตื่น รีบไปหาพี่เรียวจิแต่ผู้คนวิ่งกันจนไม่สามารถมองหาพี่ชายตัวเองได้ ระหว่างทางฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่กลางถนน เขาคงจะพลัดหลงกับครอบครัวในความวุ่นวายนี้ก็เห็นแวมไพร์ตนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเด็กผู้ชายคนนั้น"ไม่นะ!!"ฉันยกปืนขึ้นมาเล็งแล้วยิงโดนไหล่ของมัน แต่มันก็ยังวิ่งได้ฉันเลยรีบวิ่งไปหา เด็กชายที่ร้องไห้เขาตะโกนเรียกหาแต่แม่ของเขา แวมไพร์ที่กำลังจะทำร้ายเด็กผู้ชายคนนั้น ฉันจึงเอื้อมแขนไปดึงเด็กคนนั้นมากอดไว้ได้ทันใดแต่แล้วก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นโอบกอดฉันและเด็กชายไว้ในอ้อมแขนของเขา ฉันที่ได้กลิ่นของเขาเป็นกลิ่นดอกพรินซ์จาร์ดีนเออร์ หอมหวาน เคียร์เป็นกลิ่นจูเลียตโรสหอมละมุนเบาคล้ายใบชา"ถอยไปถ้าแกยังไม่อยากตาย"ผมจ้องมองแวมไพร์ตนนั้นโดยใช้สายตาที่ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหงื่อจะตกเลยตัดสินใจถอยออกไปผมพูดจบคลายอ้อมกอดจากมินาโกะ"ขอโทษมันจำเป็นต้องกอด เธอไม่เป็นไรนะ"ฉันกะพริบตาปริบๆ