Share

บทที่ 3

ฮ่องเต้จีจิ่งเหวิน จักรพรรดิรุ่นที่สิบสองของราชวงศ์ต้าอู่ ขึ้นครองราชย์ศักราชเซวียนเจิ้ง ปีที่สามสิบเอ็ด และได้เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นหงฮว่า

ปีนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี เพราะอายุยังน้อย อำนาจในราชสำนักจึงตกอยู่ในมือไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน กับสามขุนนางที่ปรึกษาแผ่นดิน

ในกรณีนี้ จีจิ่งเหวินก็เหมือนกับหุ่นเชิด เป็นแค่สิ่งของมงคลที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ก็เท่านั้น

ประกอบกับสูญเสียความสามารถในด้านนั้นของผู้ชาย นิสัยของเขาจึงวิปริตหัวรุนแรง ไม่รู้ว่ามีนางกำนัลกี่คนที่ตายภายใต้การทารุณกรรมของเขา

เซี่ยเฟิ่งชิง บิดาเป็นขุนพลอวิ๋นฮุย[1] ขุนนางขั้นสาม เพียงเพราะได้ยินว่าชื่อเสียงของจีจิ่งเหวินไม่ดี จึงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายโดนตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลดตำแหน่งเป็นขุนพลติ้งหยวน[2] ย้ายไปอยู่ที่ชายแดน เพื่อความสงบสุขของครอบครัว เซี่ยเฟิ่งชิงตัดสินใจเข้าวัง

สิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ฮ่องเต้ไม่ได้ทรมานนาง กลับกันยิ่งใจกว้างต่อนาง เพราะรูปลักษณ์ที่งามหยาดเยิ้มล้มบ้านล้มเมืองของนาง และยังถึงขั้นแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา

ดังนั้น ในช่วงเวลานั้น จีจิ่งเหวินถึงขั้นงมงายเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะ แต่ว่ากินยาอายุวัฒนะหนึ่งปีกว่าก็ไม่สามารถทำให้เขากลับมาปึ๋งปั๋ง กลับกันสุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ

ทว่าหมอนี่ยังกลัวเสียหน้ามากด้วย ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตนไร้น้ำยา หลังจากได้ยินว่าทั้งในและนอกราชสำนักมีการถกเถียงเรื่องนี้ เขาก็พยายามงมหาหลินจื่อโม่จนเจอ

ฮ่องเต้หงฮว่าจีจิ่งเหวินตายแล้ว

ตายเพราะโมโหมากเกินไป ตายได้ไร้ประโยชน์มาก

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นข้างใน?”

จู่ๆ ก็มีเสียงสอบถามดังมาจากข้างนอก หลินจื่อโม่ขมวดคิ้ว เซี่ยเฟิ่งชิงกลับกล่าว “เป็นเสียงของพี่ชายหม่อมฉันเพคะ”

ภายใต้การอธิบายของนาง หลินจื่อโม่จึงจะรู้ว่า เซี่ยหยวนพี่ชายคนนี้ของนาง เป็นรองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ท่านหนึ่ง

นี่ก็ถือว่าเป็นการชดเชยให้ตระกูลเซี่ย หลังจากลดตำแหน่งบิดาเซี่ยเฟิ่งชิง

คืนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบอารักขาวังหลวงคือเซี่ยหยวน เขาลาดตระเวนมาถึงที่นี่ พบความผิดปกติ หลังจากสอบถามจึงได้รู้ว่า มีฮ่องเต้สองคนตามกันเข้าไปในตำหนักฮองเฮา

จึงมีคำถามเช่นนี้

“ที่แท้พี่เขยนี่เอง”

หลินจื่อโม่โล่งใจเล็กน้อย มองเซี่ยเฟิ่งชิงที่ทำอะไรไม่ถูกอย่างครุ่นคิด

ปัจจุบัน ฮ่องเต้ถูกพวกเขายั่วโมโหจนตาย พวกเขาสองคนได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว

“ไม่มีอะไร เรากำลังเล่นสนุกับฮองเฮา”

เสียงของหลินจื่อโม่ดังออกมาจากตำหนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้สวมเพ้ามังกร เดินจับมือเซี่ยเฟิ่งชิงออกมาจากตำหนักแล้ว

“ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

“ฮองเฮาอายุยืนพันปี พันปี พันพันปี!”

เซี่ยอวิ๋นและทหารรักษาพระองค์คุกเข่าลงคำนับทั้งสอง

“ลุกขึ้นเถอะ”

หลินจื่อโม่จูงมือที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของเซี่ยเฟิ่งชิงเดินไปทางประตู เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ในตำหนักฮองเฮายังมีเส้นทางลับเช่นนี้ด้วย น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ฮ่าๆๆ…”

นี่ก็นับว่าช่วยทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นคลายความสงสัยแล้ว และตอนนี้เขามีฮองเฮาเซี่ยเฟิ่งชิงอยู่ข้างกาย คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าสงสัยตัวตนของเขา

อย่างไรเสีย เรื่องเหลวไหลอย่างมีฮ่องเต้สองคน มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

แต่จะจัดการศพของฮ่องเต้อย่างไร กลับเป็นปัญหา อีกทั้งถ้าหากมีคนพบเห็น เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งบานปลาย

ปัจจุบันเพราะฮ่องเต้ไม่มีทายาท เจ้าศักดินาต่างๆ และเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงล้วนกำลังจ้องตำแหน่งนี้ ไม่แน่ว่าในวังหลวงแห่งนี้ ก็มีคนของพวกเขา

“เมื่อครู่มีขันทีน้อยคนหนึ่ง จู่ๆ ก็บุกเข้าไปในตำหนักจนทำให้เราหมดสนุก ถูกเราฆ่าไปแล้ว พี่เขย เรื่องนี้รบกวนเจ้าหน่อย”

ตอนนี้ สามารถกล่าวได้ว่าหลินจื่อโม่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับในวังเลย ยังดีที่มีพี่เขยที่มีมาแต่แรกคนนี้สามารถใช้งานได้

เซี่ยหยวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้โกรธพฤติกรรมที่คัดค้านการดองญาติของเขามาก ชักสีหน้าใส่เขาตลอด วันนี้กลับเรียกพี่เขยอย่างสนิทสนม

เขาเงยหน้าเล็กน้อย เห็นเซี่ยเฟิ่งชิงพยักหน้าให้เขาเบาๆ จึงจะกล่าว “กระหม่อมรับบัญชา!”

ตามล้างตามเก็บให้ฮ่องเต้อีกแล้ว

สิ่งนี้สำหรับทหารรักษาพระองค์มันไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ที่ต้องเก็บกวาดมากที่สุดก็หนีไม่พ้นนางกำนัล แน่นอนว่าขันทีน้อยที่อ้อนแอ้นก็มีไม่น้อย

หลังจากหลินจื่อโม่กับฮองเฮาไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจึงจะลุกขึ้น พาทหารรักษาพระองค์สองคนเข้าไปในตำหนัก

มีศพหนึ่งร่างล้มอยู่ข้างประตู สวมชุดของขันที ใบหน้าถูกฟันจนเละ เลือดสาดไปทั่วผืน เซี่ยอวิ๋นขมวดคิ้วทันที

ฮ่องเต้คนนี้ ยิ่งวิปริตขึ้นทุกทีแล้ว!

ต้าอู่ในปัจจุบัน ฮ่องเต้ไร้ความเมตตา ขุนนางมีอำนาจ ราชสำนักเน่าเฟะ ราษฎรทั่วหล้าร้องเรียน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บ้านเมืองจะพินาศ

และตระกูลเซี่ยของตน ยังมีฮองเฮาท่านหนึ่งด้วย เกรงว่าจะพังพินาศไปตามแผ่นดินตระกูลจีแล้ว

เซี่ยอวิ๋นถอนหายใจยาวในใจ แต่หมดหนทาง ทำได้เพียงจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน

ตำหนักเฉียนชิง

หลินจื่อโม่ไล่นางกำนัลและขันทีที่ตัวสั่นเพราะได้ยินเรื่องเฉาสี่ถูกฆ่าออกไป ภายในตำหนัก เหลือเพียงเขากับเซี่ยเฟิ่งชิงที่เกร็งเล็กน้อย

คืนนี้เซี่ยเฟิ่งชิงได้อธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ของวังหลวงให้เขาฟังทั้งคืน จนทำให้เขาเกิดความมั่นใจ

ช่วงเที่ยง หลินจื่อโม่จึงจะลุกจากเตียง เขามองเซี่ยเฟิ่งชิงที่นอนอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความจริง

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนเขายังอุทิศชีวิตให้กับสวัสดิการ 996 [3] อยู่เลย เขาอดหลับอดนอนสี่สิบเก้าชั่วโมง แก้ไฟล์นำเสนองานไปแล้วเจ็ดสิบสี่ไฟต์ ปรากฏว่าจู่ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว

แม้ปัจจุบันยังมีภัยที่ซ่อนอยู่ แต่ก็ได้นั่งบนบัลลังก์จริงๆ แล้ว อีกทั้งข้างกายยังมีหญิงงามที่งามหยาดเยิ้มล้นบ้านล้มเมืองอย่างเซี่ยเฟิ่งชิงอยู่เคียงข้าง

หญิงงามระดับนี้ ชาติที่แล้วเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันเข้าถึง พวกดาราชั้นนำอะไรเอย หญิงงามที่พันปีพบเจอคนเดียวเอย เมื่อเทียบกับเซี่ยเฟิ่งชิงตรงหน้า ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ

ใช่แล้ว ยังมีไท่เฟย[4]คนเมื่อคืน

คนนั้นก็งามมากเช่นกัน มีเสน่ห์ยวนใจ เป็นปีศาจสาวชัดๆ แค่นึกถึงความรู้สึกเมื่อคืน ก็ทำให้เขายิ่งคิดยิ่งเคลิ้ม

“เป็นฮ่องเต้ทรราชนี่มันดีจริงๆ เที่ยงแล้วก็ไม่มีคนมารบกวน”

หลินจื่อโม่ถอนใจ เขาดูประวัติศาสตร์ชาติที่แล้ว ฮ่องเต้เหล่านั้นมีกี่คนที่เหนื่อยตายบนกองงานราชสำนักที่ไม่รู้จบ เขารู้สึกว่าถ้าหากตนจะเป็นฮ่องเต้ ก็ต้องเป็นฮ่องเต้ทรราช

นี่ก็นับว่าทำให้เขาสมหวังดังปรารถนาแล้ว

ฮ่องเต้ทรราช ไม่มีอะไรไม่ดี เพียงแต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิม เขารู้มาว่ารัชสมัยนี้เริ่มสั่นคลอนแล้ว เขาอยากเป็นฮ่องเต้ทรราชก็จริง แต่เขาไม่อยากเป็นฮ่องเต้ที่บ้านเมืองล่มสลาย

ถึงเวลาที่ต้องจัดระเบียบราชสำนักเสียหน่อยแล้ว

หลินจื่อโม่จูบเซี่ยเฟิ่งชิงหนึ่งที ทำให้นางสะดุ้งตื่น หลังจากผ่านศึกหนักด้วยกันหนึ่งยก เขาหอมนางแรงๆ หนึ่งฟอด จึงจะกล่าว “รอเรากลับมา”

เมื่อออกจากตำหนัก เขาก็เห็นเซี่ยหยวนกำลังรออยู่ที่หน้าประตู

เซี่ยหยวนรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อเกราะ เหน็บดาบไว้ข้างเอว น่าเกรงขามดั่งเทพเจ้าร่างทองในศาล

สิ่งนี้ทำให้หลินจื่อโม่เกิดความคิดอย่างหนึ่ง

“ฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยหยวนรายงานขั้นตอนการจัดการอย่างเคร่งขรึม

“ลำบากพี่เขยแล้ว”

หลินจื่อโม่เดินเข้าไป ตบไหล่ของเขาเพื่อแสดงความสนิทสนม สิ่งนี้ทำให้เซี่ยหยวนรู้สึกอึดอัดมาก เพราะเมื่อก่อนทั้งสองต่างก็ไม่ชอบหน้ากัน “เจ้าอยู่นี่พอดีเลย ไปทำธุระเป็นเพื่อนเราหน่อย”

______________________

[1] ขุนพลอวิ๋นฮุย ฉายาของแม่ทัพ

[2] ขุนพลติ้งหยวน ฉายาของแม่ทัพ

[3] 996 ชื่อของระบบมาจากการบังคับให้ลูกจ้างทำงานตั้งแต่เวลา 9:00 AM (เก้าโมงเช้า) ถึง 9:00 PM (สามทุ่ม) เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์

[4] ไท่เฟย ใช้เรียกนางสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status