เสียงนั้นพลันทำให้บรรยากาศภายในตำหนักเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน หนิงไต้ซีรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ ผลักหลินจื่อโม่ออกอย่างแรง ก่อนจะกุมหน้าอกพลางหายใจหอบอย่างไม่หยุดหลินจื่อโม่เองก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเซี่ยอวิ๋นมิได้ทำให้เขาผิดหวัง อำนาจการควบคุมทหารรักษาพระองค์ถูกส่งมอบอย่างราบรื่นตามที่คิดเขาจัดระเบียบฉลองพระองค์ของตนใหม่ ใบหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยันและไม่ใส่ใจดั่งเช่นเดิม จากนั้นจึงคำนับหนิงไต้ซีพร้อมกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอลา!”หนิงไต้ซีหันหน้าหนี ไม่ตอบสนองใด ๆ เพียงกอดอกแน่น หลินจื่อโม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากตำหนักเมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่าภายนอกมีทหารรักษาพระองค์นับร้อยล้อมรอบอยู่หลายชั้น โดยมีเซี่ยอวิ๋นยืนอยู่ข้างหน้า ขันทีและนางกำนัลที่เคยเฝ้าตำหนักถูกผลักออกไปไกลหลินจื่อโม่เหลือบมองไปยังประตู เห็นคนสามคนยืนอยู่ ที่หนึ่งคืออ๋องจ้าวจีจิ่งอี้ที่ยังคงถือคัมภีร์อยู่ในมือด้วยสีหน้างุนงง อีกคนคือขันทีเฒ่าผู้หยิ่งยโสที่รับใช้ไทเฮา และอีกคนคือขันทีวัยกลางคนที่ติดตามเขามาบนใบหน้าของขันทีวัยกลางคนนั้นปรากฏรอยฝ่ามืออย่างเด่นชัด และที่มุมปากก็ยังมีรอยเ
ราชรถมังกรเคลื่อนออกจากตำหนัก ไม่ช้านานก็กลับมาถึงตำหนักเฉียนชิงยังไม่ทันจะก้าวเข้าสู่ประตูตำหนัก หลินจื่อโม่ประหลาดใจที่พบว่าเซี่ยเฟิ่งชิงยืนรออยู่ที่หน้าประตู“ฮองเฮา เหตุใดถึงไม่ไปพักผ่อน กลับมายืนรอเราอยู่ที่นี่เล่า?”เซี่ยเฟิ่งชิงคว้ามือของเขาแล้วดึงเข้าสู่ตำหนัก ปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงอันตื่นตระหนก “ไทเฮาทรงเรียกให้ฝ่าบาทเข้าพบ มิได้ทำให้ฝ่าบาทลำบากใจใช่หรือไม่เพคะ?”หลินจื่อโม่ยิ้มบาง “เดิมทีคิดจะทำให้เราลำบาก แต่เราหาทางออกได้”หลินจื่อโม่จูงมืออันอ่อนละมุนของนางเดินเข้าสู่ห้องชั้นใน ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักอี้เยว่โดยสังเขป แน่นอนว่าเขาได้ตัดเรื่องการหยอกล้อไทเฮาออกไปเซี่ยเฟิ่งชิงฟังแล้วตาโตด้วยความตะลึง ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ฝ่า...ฝ่าบาทฆ่าขันทีใหญ่ข้างกายไทเฮาเชียวหรือ?”“ก็แค่ข้ารับใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฆ่าก็ฆ่าไปเถิด”หลินจื่อโม่หัวเราะเยาะ “พวกมันต่างก็อยากให้ข้าตาย ข้าจำต้องหาสุนัขที่จงรักภักดีมาอยู่ข้างกายก่อน”เขามิได้ปิดบังความคิดของตนเองแม้แต่น้อย เพราะในยามนี้ทั่วหล้าก็มีเพียงเซี่ยเฟิ่งชิงผู้เดียวที่รู้ว่าเขามิใช่ฮ่อ
“มันก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร แค่มาดูว่าช่วงนี้พวกเจ้าทำอะไร เราไม่ได้เจอพวกเจ้ามาหลายวันแล้ว”หลินจื่อโม่พลิกหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้มองสวีเหลียง น้ำเสียงเรียบเฉย คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้สวีหลางและคนอื่นอดไม่ได้ที่จะเกร็งสวีหลางชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวตอบ “ทูลฝ่าบาท ช่วงนี้พวกกระหม่อมมีเรื่องจุกจิกมากมาย คดีในเมืองหลวงมีเยอะและซับซ้อน ด้วยเหตุนี้กำลังคนจึงไม่พอ”หลินจื่อโม่ยังคงดูหนังสือในมือ กล่าวโดยไม่เงยหน้า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าก็เข้าใจเจ้าผิดแล้ว”สวีหลางประสานมือ “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาทเข้าใจความลำบากของพวกกระหม่อม”“อืม”หลินจื่อโม่พยักหน้า วางหนังสือลง มองไปทางสวีหลาง “สมุดบัญชีนั่นเจ้าน่าจะพกติดตัวตลอดกระมัง เอามาให้เราดูหน่อย”สีหน้าสวีหลางเปลี่ยนฉับพลันสมุดบัญชีขององครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่สมุดบัญชีจริงๆ แต่เป็นหนังสือลับที่บันทึกข่าวลับของขุนนางในราชสำนักใครรับสินบนวันไหนเท่าไร ใครยึดที่นาวันไหนเท่าไร แม้กระทั่งใครไปหาโสเภณีวันไหนไม่จ่ายเงินไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ สิ่งที่ควรมีก็มีทุกอย่าง สามารถเรียกได้ว่านี่เป็นสมุดเล่มหนึ
หลินจื่อโม่มองเฉินผิงแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างพึงพอใจนี่จึงจะเป็นทัศนคติและคุณภาพที่ถูกต้องขององครักษ์เสื้อแพรในที่สุดสวีหลางก็ตื่นตระหนกแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะถูกเชือกอ่อนรัดจนแน่น เขาถึงขั้นอยากคุกเข่า แต่ภายใต้ความตื่นตระหนก ตอนเอ่ยปากก็ลนลานไปด้วย“ฝ่าบาท ท่านฆ่าข้าไม่ได้นะ!”หลินจื่อโม่มองไปทางเขา “หืม? ให้เหตุผลที่เราไม่ฆ่าเจ้ามาหนึ่งข้อ”“ข้า…ข้าถูกแต่งตั้งโดยฮ่องเต้องค์ก่อน ดูแลองครักษ์เสื้อแพรสิบสี่สำนัก สามหมื่นกว่าคน หากฝ่าบาทฆ่าข้าตามอำเภอใจ ไม่กลัวการก่อกบฏหรือ?”“เหตุผลนี้ไม่พอ”หลินจื่อโม่ส่ายศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลากออกไปตัดหัว”ก่อกบฏ?ผู้นำถูกตัดหัวแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่กล้าก่อกบฏส่วนแต่งตั้งโดยฮ่องเต้องค์ก่อน?หลินจื่อโม่ยิ้มอย่างเย็นชานั่นเป็นพ่อของจีจิ่งเหวิน เกี่ยวอะไรกับข้า!เซี่ยอวิ๋นเดินเข้าไปเด็ดป้ายแขวนเอวขององครักษ์เสื้อแพรทั้งกลุ่มทีละคน จากนั้นก็โบกมือ ทหารรักษาพระองค์ลากสวีหลางทั้งห้าคนออกจากตำหนักสวีหลางยังคงดิ้นรนและด่าทอ “ฮ่องเต้ทรราช! เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?!”ส่วนที่เหลืออีกสี่คนไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนเขา และไม่ได้ใจเย็นเหมือน
หลินจื่อโม่ไม่ได้ไปสำนักราชเลขาธิการเพื่อคิดบัญชีกับหนิงซงทันทีตอนนี้เขายังไม่มีกำลังมากพอที่จะงัดข้อกับสุนัขเฒ่านั่น แต่สำหรับเรื่องตรงหน้าเหล่านี้ เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างนี่เป็นโอกาสที่ดีเป็นโอกาสที่สามารถชิงอำนาจบางส่วนคืนมาอีกทั้งมโนธรรมของเขาไม่อนุญาตให้เขาทิ้งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นโดยไม่สนใจไยดีเป็นเช่นนี้ต่อไปราชวงศ์ต้าอู่ก็จบเห่หลินจื่อโม่แค่อยากเสพสุขอยู่อย่างสำราญ เป็นฮ่องเต้ทรราชที่ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อและสำมะเลเทเมาหลังจากชิงราชอำนาจคืนมา แต่ไม่อยากเป็นฮ่องเต้ที่บ้านเมืองล่มสลายแน่นอน!แต่พูดถึงเรื่องนี้ก็แปลกมาก ตอนแรกเขาฆ่าเฉาสี่ก่อน ต่อมาก็ปลดผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายต้วนหัวของกรมคลัง เมื่อวานยังได้ฆ่าขันทีใหญ่ข้างกายไทเฮาสิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้หนิงซงกับไทเฮาถามหาความรับผิดชอบ แต่ตอนนี้ยังคงสงบไร้คลื่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยหลินจื่อโม่มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่คิดไม่ตกก็อย่าเพิ่งไปคิด ดังนั้นเขาตัดสินใจพักเรื่องเหล่านี้ไว้ก่อน และกลับไปเตรียมตัวสำหรับการประชุมเช้าของพรุ่งนี้เพียงแต่ตอนที่ใกล้จะกลับถึงตำหนัก หลินจื่อโม่ตบหน้าผากฉับพลันเขาเป
หลินจื่อโม่มองหวังชิงอีกแวบหนึ่ง “ยังเดินได้หรือไม่?”“ได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาท บ่าวไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เจ้าไปทำอีกงาน บอกเฉินผิงเรื่องที่เราจะประชุมเช้าพรุ่งนี้ ให้เขาเตรียมตัวให้พร้อม”หลินจื่อโม่มองไปข้างหน้า ตรงนั้นเป็นตำแหน่งของตำหนักไท่เหอ และเป็นสถานที่ที่เขาจะประชุมในวันพรุ่งนี้……เมืองหลวง ห้องหนังสือจวนหนิงหนิงไป๋กล่าวอย่างลนลาน “ท่านพ่อ จีจิ่งเหวินบ้าไปแล้วหรือ? ถึงกับฆ่าพวกสวีหลาง และยังสั่งให้เซี่ยอวิ๋นนำทหารไปช่วย…เฉินผิงอะไรนั้นบุกเข้าไปในสำนักเจิ้นฝู่ซือองครักษ์เสื้อแพร?”ตรงริมหน้าต่าง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังตัดแต่งต้นไผ่กระถางหนึ่งอย่างใจเย็น เขาสวมชุดเพ้าลายเมฆสีม่วง ใบหน้างามดั่งหยก ใต้คางมีหนวดสามจุก ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันอ่อนโยนและสุภาพหากไม่ใช่เพราะคนที่รู้จักเขาเคยเห็น คิดไม่ถึงแน่นอนว่าเขาก็คือหนิงซง ขุนนางอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าอู่ ราชเลขาธิการที่คุมราชอำนาจหนิงไป๋เห็นเขายังคงตัดแต่งอย่างสงบ ไม่ได้สนใจตน อดไม่ได้ที่จะกล่าวอีกครั้ง “นี่เขาคิดจะชิงอำนาจโดยเร็ว เมื่อวานยังได้ฆ่าขุนนางข้างกายไทเฮาด้วย และยังปลดต้วนหัวต่อหน้าข้า หรือท่านพ่อจ
ภายในตำหนักเฉียนชิงมืดสนิท มีเพียงแสงเทียนจากห้องนอนของหลินจื่อโม่ที่สว่างไสวเมื่อใกล้ยามอิ๋น[1] เสียงเรียกเบาๆ ของหวังชิงดังมาจากนอกประตู“ฝ่าบาท ได้เวลาเตรียมประชุมเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เข้ามาเถอะ”หลินจื่อโม่วางหนังสือในมือลง บิดขี้เกียจไปทีหนึ่ง ดวงตาที่ลุกวาวมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่นอกตำหนัก“สุนัขเฒ่าหนิงซง ข้ามาแล้ว!”……นอกประอู่ของวังหลวง ขุนนางบุ๋นบู๊มากมายทยอยกันมารวมตัว ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นเล็กน้อย น้ำค้างทำเครื่องแบบของพวกเขาเปียกชื้น กลับไม่มีใครรู้สึกหนาวตอนที่ยังไม่เปิดประตู มีขุนนางไม่น้อยจับกลุ่มคุยกันตรงนี้สามคนตรงนั้นห้าคนพร้อมกับเสียงหัวเราะ หัวข้อสนทนามีเพียงหนึ่งเดียวฮ่องเต้จะเข้าประชุมแล้ว“ฮ่องเต้องค์นี้ของพวกเราสืบราชบัลลังก์หกปี ไม่เคยสนใจการประชุมเช้า นี่วันนี้เขาจะทำอะไร?”“เหอะ ไทเฮาไม่เคยอนุญาตให้เขายุ่งเรื่องการเมือง ต่อให้เขามาประชุม นอกจากนั่งดูอย่างเดียว จะทำอะไรได้?”“เขาคงจะไม่ได้เบื่อการทำร้ายนางกำนัลแล้ว จะหันมาทำร้ายพวกเราแทนกระมัง? เช่นนั้นไม่ดีแน่”“ฮ่าๆๆ…”จากคำพูดของขุนนางทั้งหลาย สามารถฟังออกว่าพวกเขาไม่มีความเคารพต่อฮ่องเต้
หลินจื่อโม่กวาดสายตามองดู ล้วนไม่รู้จักสักคน แต่เดาก็รู้ว่า ล้วนเป็นฝ่ายสุนัขเฒ่าหนิงซงความขุ่นเคืองในใจของเขา แทบจะพลุ่งพล่านออกมา สุนัขเยอะกล้าแว้งกัดเจ้าของ?ข้าไม่เชื่อ!องครักษ์เสื้อแพรสองคน ยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เหล่าขุนนางอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเสียงชักดาบออกจากฝักดังขึ้นมา หลินจื่อโม่พลิกมือชักดาบมาจากองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่ง พร้อมแกว่งมือเคลื่อนไหวเลือดพุ่งออกมาเหมือนลูกศร หลี่ยี่กุมลำคอไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกลัวกับไม่อยากเชื่อ ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในปาก เพียงสองสามลมหายใจ ล้มกองลงบนพื้นเสียงดังปัง หมดลมหายใจตายไปแล้วเสียงร้องตกใจดังกึกก้องในตำหนักไท่เหอ ทุกคนกลัวจนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มผู้ว่าราชการเมืองหลวงเป็นถึงขุนนางขั้นสาม ถูกฮ่องเต้ทรราชบอกจะฆ่าก็ฆ่าตายเสียแล้ว?หลินจื่อโม่ถือดาบไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูทุกคนพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เรา ทำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ทำเพื่อผู้ลี้ภัยนับแสนข้างนอกเมือง สังหารเจ้าหน้าที่สุนัขคนนี้ พวกเจ้า ใครมีความเห็นอันใด?”ทุกคนในท้องพระโรง มองดูเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงหวาดกลัว ไม่ม