หลินจื่อโม่กวาดสายตามองดู ล้วนไม่รู้จักสักคน แต่เดาก็รู้ว่า ล้วนเป็นฝ่ายสุนัขเฒ่าหนิงซงความขุ่นเคืองในใจของเขา แทบจะพลุ่งพล่านออกมา สุนัขเยอะกล้าแว้งกัดเจ้าของ?ข้าไม่เชื่อ!องครักษ์เสื้อแพรสองคน ยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เหล่าขุนนางอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเสียงชักดาบออกจากฝักดังขึ้นมา หลินจื่อโม่พลิกมือชักดาบมาจากองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่ง พร้อมแกว่งมือเคลื่อนไหวเลือดพุ่งออกมาเหมือนลูกศร หลี่ยี่กุมลำคอไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกลัวกับไม่อยากเชื่อ ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในปาก เพียงสองสามลมหายใจ ล้มกองลงบนพื้นเสียงดังปัง หมดลมหายใจตายไปแล้วเสียงร้องตกใจดังกึกก้องในตำหนักไท่เหอ ทุกคนกลัวจนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มผู้ว่าราชการเมืองหลวงเป็นถึงขุนนางขั้นสาม ถูกฮ่องเต้ทรราชบอกจะฆ่าก็ฆ่าตายเสียแล้ว?หลินจื่อโม่ถือดาบไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อย ๆ กวาดสายตามองดูทุกคนพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เรา ทำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ทำเพื่อผู้ลี้ภัยนับแสนข้างนอกเมือง สังหารเจ้าหน้าที่สุนัขคนนี้ พวกเจ้า ใครมีความเห็นอันใด?”ทุกคนในท้องพระโรง มองดูเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงหวาดกลัว ไม่ม
ภัยธรรมชาติไม่อาจต้านทานได้ แต่ฉวยโอกาสทำร้ายผู้ลี้ภัยเพื่อความร่ำรวย ความเป็นคนถูกทำลายลงแล้วหลินจื่อโม่มองเห็นอย่างชัดเจน เด็กที่ถูกซื้อไปพวกนั้นล้วนอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ยังมีเล็กยิ่งกว่านั้น อายุเล็กเพียงแค่นี้ก็ถูกขายถูกซื้อไปจากพ่อแม่ ยังถูกฝึกฝนเป็นเครื่องมือทำธุรกิจผ่านเรือนร่างชั่วชีวิตนี้ เขาไม่เคยโกรธโมโหขนาดนี้มาก่อน!เฉินผิงโบกมือ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนที่ตามอยู่ข้างหลัง รีบออกไปทันที ไม่ช้าหลายคนนั้นก็ถูกจับกดลงพื้นแววตาหลินจื่อโม่แทบระเบิดเพลิงไฟแห่งความโกรธออกมา ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว เห็นหลายคนนั้นยังคงตะโกนด่าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโอหัง“รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ถึงได้กล้าลงมือ?”“ถ้าไม่โง่ก็รีบปล่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้รับผลที่จะตามมา!”มือปราบสองคนนั้น ค่อนข้างฉลาดอย่างมาก มองเห็นดาบที่จ่ออยู่บนคอพวกเขา ก็รู้สถานะของพวกเขาทันที หลังจากมองตากันแล้วสีหน้าขาวซีด ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรดาบซิ่วชุน นี่เป็นองครักษ์เสื้อแพร!“อ๋า? ใช่หรือ?”หลินจื่อโม่เดินมาพูดขึ้นว่า “ไหนว่ามา บ้านของเจ้าเป็นใคร ดูว่าข้าจะได้รับผลที่จะตามมาไหม!”“เชอะ พวกเราเป็นคนของตร
มีคนมาสนใจความเป็นความตายของพวกเขาแล้ว!หลินจื่อโม่คืนดาบให้กับเฉินผิง พร้อมพูดขึ้นว่า “กลับเข้าเมือง!”เขาจะต้องจัดให้มีการบรรเทาสาธารณภัยให้ไวที่สุด อย่างน้อยก็ให้พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกเมือง สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่รู้ว่าผู้ลี้ภัยคนไหนที่อยู่ข้างหลัง ได้สติกลับมาพร้อมคุกเข่าลง ร้องตะโกนขึ้นมาอย่างสั่นเทาว่า “ขอบคุณใต้เท้า!”ติดต่อกันหนึ่งคน สองคน คนจำนวนนับไม่ถ้วน ระเบิดเสียงออกมายังอ่อนแรง แต่ดังกึกก้องสะเทือนหู“ขอบคุณใต้เท้า!”หลินจื่อโม่ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกดีใจหรือทรมานกลับเข้ามาถึงในเมือง หลินจื่อโม่ใจลอยไปครู่หนึ่ง ภาพเจริญรุ่งเรืองคึกคักตรงหน้า แตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเพิ่งไปเห็นมาความแตกต่างนี้ทำให้เขารู้สึกขยะแขยง อยากอาเจียนองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่ง มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มีคนพลุกพล่านขวักไขว่ เขาจึงไม่ได้ถวายความเคารพ เพียงแค่คารวะพร้อมพูดขึ้นมาว่า “จับกุมตัวทุกคนในตระกูลสิงไว้แล้ว รอคำสั่งจากนายท่าน”“ดีมาก ไป ไปยังตระกูลสิง”หลินจื่อโม่หัวเราะเย้ย พร้อมระงับความรู้สึกคลื่นไส้ไว้ เทียบกับผู้ลี้ภัยนับแสน หลายคนที่ฆ่าไปเม
ร่างกายฉางยงสะดุ้ง อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ดึงแขนเสื้อขึ้นพร้อมคุกเข่ากราบถวายบังคม “กระหม่อมฉางยง ถวายบังคมฝ่าบาท!”“อืม เจ้าคุกเข่าไว้ ไม่ต้องลุกขึ้นมา เรามีเรื่องจะถามเจ้า”ฉางยงตะลึงไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงได้ยินว่าองครักษ์เสื้อแพร ปิดล้อมตระกูลสิงกับจวนของเขาจึงรีบเร่งมา แต่ฮ่องเต้ไม่ให้เขาลุกขึ้นมา หรือตัวเขาเองทำอะไรผิด?“ฝ่าบาท กระหม่อมทำสิ่งใดให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือ?”“สิ่งใด? ฮ่าๆ”หลินจื่อโม่หัวเราะเย้ย ทันใดนั้นก็ยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งที่ ฉางยงกรีดร้องขึ้นมา ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับผู้เฒ่าตระกูลสิง“ในที่ว่าราชกิจเช้านี้ เราเพิ่งบอกไปว่าจัดการดูแลผู้ลี้ภัยนอกเมืองให้ดี แต่เจ้าเป็นถึงราชบัณฑิต ควรถ่ายทอดความรู้แก้ไขบรรเทาปัญหา มหาบัณฑิตที่ควรอบรมสอนคนให้เป็นคนดี กลับให้พี่เขยสุนัขของเจ้าคนนี้ ไปบีบบังคับซื้อเด็กในบรรดาผู้ลี้ภัย นี่ไม่ใช่เป็นการทำให้เราไม่พอใจ แต่เป็นการทำให้เราอยากสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้สุนัขกิน!”น้ำเสียงของหลินจื่อโม่เยือกเย็น พร้อมแฝงไปด้วยรัศมีสังหารฉางยงตกตะลึง พร้อมรีบพูดอธิบายขึ้นมา
เฉินผิงยกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นมาว่า “กระหม่อม น้อมรับพระราชกระแสรับสั่ง”สวีต้าชุนดีใจเป็นอย่างยิ่ง คุกเข่าก้มคำนับ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมสวีต้าชุน ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”หลินจื่อโม่โบกมือ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ ทำงานก่อน เราจะดูว่า ตระกูลสิงที่เป็นตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวงนี้ มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเท่าไหร่”ตอนนี้เฉินผิงเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร มีงานยุ่งมาก ยังจะคอยติดตามหลินจื่อโม่นั้นไม่ค่อยเหมาะ สวีต้าชุนคนนี้ทำงานละเอียดและรวดเร็ว ทำให้เขาพอใจอย่างมากในสมุดพับบันทึกไว้ว่าตระกูลสิงมีเงินสี่ล้านตำลึง ฉางยงมีสองล้านเก้าแสนตำลึง รวมกันแล้วเกือบเจ็ดล้านตำลึงแค่ดูตัวเลขยังไม่มีความรู้สึกอะไร เมื่อหลินจื่อโม่เดินเข้าไปในห้องโถง มองเห็นเงินทองกองอยู่ในนั้น รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดขึ้นมาทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา เงินทองมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลสิง อาศัยภัยพิบัติได้เงินทองมาตั้งมากมายเท่าไหร่ยังมีฉางยง วันนี้ไม่ว่าใครมา ล้วนจะต้องตาย!“ผ่างๆ ผ่าง...”เสียงตีระฆังดังไปทั่วทุกมุมของเมือ
หนิงไป๋พยายามตั้งสติจนได้ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า: “ท่านพ่อ ท่านว่าต่อไปจีจิ่งเหวินจะมาบ้าใส่พวกเราไหม?”เขาคือคุณชายตระกูลหนิงที่โด่งดังทั่วเมืองหลวง ราชเลขาธิการน้อยอันเป็นที่รู้กันว่าไม่ควรทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็นึกว่าตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่ไม่มีใครกล้าแตะ แต่ว่าคนเหิมเกริมนั้นกลัวคนบ้าบิ่น คนบ้าบิ่นก็กลัวคนไม่กลัวตายตอนนี้ฮ่องเต้ไร้ค่าพระองค์นี้เองก็คือคนที่ไม่กลัวตายคนนั้น นอกจากนี้อีกไม่นานก็จะตายแล้วจริง ๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงกลัวมาก“หึ”หนิงซงยิ้มและพูดว่า “เขาไม่กล้าหรอก อย่างไรก็ตาม…”…หลินจื่อโม่ไม่ได้ไปที่ประตูไช่ซื่อ ตอนที่ฉางยงถูกตัดศีรษะเขาได้กลับถึงวังแล้ว ขณะนี้กำลังให้หวังชิงร่างพระบรมราชโองการเพื่อส่งไปหลายที่ให้กรมคลังจัดสรรเงินซื้อธัญญาหาร พรุ่งนี้เช้าตั้งซุ้มแจกข้าวต้มที่นอกเมืองให้กรมโยธาจัดซื้อไม้ สร้างซุ้มไม้ที่นอกเมือง เพื่อเป็นที่พักให้ผู้ประสบภัยให้สำนักหมอหลวงเตรียมกำลังคน เพื่อตรวจโรคและจ่ายยาขณะที่กำลังแจกจ่ายข้าวต้มพรุ่งนี้ ป้องกันการเกิดโรคระบาดพระราชโองการส่งถึงแต่ละกรมทีละฉบับ ๆ แล้ว หลินจื่อโม่ถึงค่อยโล่งใจเขตประสบภัยทุกแห่งจะได้รับกา
เซี่ยเฟิ่งชิงฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขาไว้ เพียงแต่พยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ได้เพคะ แต่อย่างไรก็รีบกลับมาพักผ่อนนะเพคะ ฝ่าบาทไม่ได้บรรทมมาทั้งคืนแล้ว”หลินจื่อโม่ตบมือนางเบา ๆ เข้าไปใกล้นางแล้วจูบปากแดง ๆ เล็ก ๆ นั้นหนึ่งที เปิดประตู ก้าวเท้าออกไปเขายิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย“หวังชิง”“กระหม่อมพร้อมรับพระบัญชา”“เคลื่อนขบวนเสด็จไปตำหนักอี้เยว่!”ราชรถตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลินจื่อโม่กำลังจะขึ้นไปนั่ง สวีต้าชุนก็นำหนังสือเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเข้ามาถวาย“ฝ่าบาท เหวินป๋อจงอดีตผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายขวากรมขุนนางยอมรับเรื่องการรับสินบนทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ในบ้านเขายึดได้เงิน 800,000 ตำลึง โฉนดบ้าน 13 ฉบับ โฉนดที่ดิน 200 กว่าไร่ แก้วแหวนอัญมณี วัตถุโบราณ ภาพวาดภาพเขียนต่าง ๆ ที่เหลือระบุไว้อย่างละเอียดแล้วทั้งหมด ขอเชิญทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”หลินจื่อโม่ชะงักครู่หนึ่ง รับบัญชีรายการมาดูคร่าว ๆ แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เป็นตัวบ่อนทำลายตัวดีจริง ๆ สิ่งของเหล่านี้เราให้เจ้าจัดการ รีบขายให้เร็วที่สุด เราต้องการแต่เงิน เดี๋ยวเอาเงินที่ยึดมาได้จากบ้านนี้ บ้านฉางยง บ้านตระกูลสิง แล้วก็บ้านสวีเหลียงส่งเข้า
นุ่มนวล ละมุนรู้สึกชา ๆ “ข้าต้องรู้สึกผิดไปเองแน่ ๆ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”ไม่ว่าอย่างไรนางไม่มีทางยอมรับเพราะว่าคืนนั้นนางก็ลองสัมผัสหน้าอกตัวเอง ยังลองบีบดูด้วยซ้ำ กลับไม่รู้สึกดีแบบนั้นหนิงไต้ซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฟันซี่เล็ก ๆ ขาวราวกับหอยเบี้ยที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันกัดกันดังกรอด ดูเหมือนว่า ถ้าหลินจื่อโม่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางจะกระโจนเข้าไปกัดเขาแรง ๆ หนึ่งที“สารเลว อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้า…”ทว่าความคิดของนางยังไม่ทันหยุดลง ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู“ฝ่าบาทเสด็จ!”“หา!”หนิงไต้ซีตกใจจนตัวสั่นทันทีทำไมเขามาล่ะ?จากนั้นนางกำนัลที่อยู่นอกประตูกราบบังคมทูลอย่างหวั่นเกรงและเร่งรีบว่า “ฝ่าบาท ไทเฮาทรงประชวร วันนี้ไม่สะดวก…อ๊า ฝ่าบาท…”เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูตำหนักถูกเปิดออกหลินจื่อโม่สาวเท้าเข้าไป อ้างความชอบธรรมว่า “ไทเฮาทรงประชวร ข้าเป็นพระโอรสจะไม่มาเยี่ยมได้อย่างไร? หลีกไป!”นางกำนัลสองคนกระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้แล้ว ตามติดไปอยากจะห้าม แต่ก็ไม่กล้าเดิมทีขันทีประจำตำหนักอี้เยว่นั้นกล้าห้าม เสียดายว่าถูกหลินจื่อโม่ปลิดชีพไปเสียแล้ว