“ข้า…ไม่มีอะไร เขาก็แค่มาขอรางวัลให้ขันทีคนหนึ่งที่ติดตามเขา ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”หนิงไต้ซีพยายามแกล้งพูดอย่างสบาย ๆ สิ่งที่หลินจื่อโม่ทำกับนางเหล่านั้นน่าอัปยศเกินไป ต่อให้เป็นบิดาและน้องชายของตัวเองก็บอกไม่ได้แต่จะละไว้ไม่พูดถึงเลยแบบนี้ นางก็ไม่ยอมแววตาของหนิงไต้ซีเย็นเยียบ นางกล่าวเบา ๆว่า “เจ้าไปที่อารามต้าเต๋อซิ เตือนนักพรตเถาหน่อยว่า เขาไม่ได้ถวายยาอายุวัฒนะให้ฝ่าบาทมากี่วันแล้ว”หนิงไป๋ตะลึง “แต่ว่าท่านพ่อบอกแล้วว่า…”“สามเดือนนานเกินไป ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”…หลินจื่อโม่ตื่นแล้ว ครั้งนี้เขาหลับลึกมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป หรือว่าเพราะชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท้องพระโรงเมื่อวานตื่นมาล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก แต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมชุดลำลองเซี่ยเฟิงชิงผูกผ้าคาดชุดให้เขาด้วยตนเอง พูดอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ฝ่าบาทจะออกไปนอกเมืองอีกแล้วหรือเพคะ? มีราษฎรผู้ประสบภัยมากขนาดนั้น อันตรายเกินไปนะเพคะ”หลินจื่อโม่ส่ายหัว “เราต้องไปให้ได้ ไม่เห็นพวกเขาทำงานกับตา เราไม่วางใจ”แม้ว่าเขาจะสั่งการให้แต่ละกรมไปบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยนอกเมืองแล้ว แต่ว่าเข
หลินจื่อโม่ก็เห็นแล้วผู้ประสบภัยคนหนึ่งที่ถึงคิวแล้วถือชามด้วยสองมือ ผู้สูงอายุที่ตักข้าวต้มให้ตักให้เขาหนึ่งทัพพีเต็ม ๆ ข้าวต้มถึงกับพูนขึ้นมาจนเห็นเป็นยอดสูงข้าวต้มนี้ไม่ได้แค่ข้น นี่แทบจะเป็นข้าวสวยที่หุงจนแฉะแล้วผู้ประสบภัยคนนั้นถือชามที่เต็มไปด้วยข้าวต้ม โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง “พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่นัก พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่จริง ๆ”ขุนนางขั้นเจ็ดคนนั้นพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ระวังหน่อยนะ ข้าวต้มนี้ร้อนมาก”ถึงตอนนี้เขาเหมือนเพิ่งจะเห็นหลินจื่อโม่และคณะ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเสื้อผ้าและดาบประจำตัวขององครักษ์ผ้าแพรแล้ว ก็รีบวางทัพพีในมือลง กำมือทำการคารวะ “คารวะใต้เท้าทุกท่าน”สวีต้าชุนกับหวังชิงเบี่ยงตัวออก ให้เห็นหลินจื่อโม่ที่อยู่ข้างหลังหลินจื่อโม่เดินไพล่หลังขึ้นไปข้างหน้า ใช้ทัพพีไม้ตักควานจากก้นหม้อขึ้นมาหนึ่งทัพพีข้าวใหม่แต่ละเม็ดที่สมบูรณ์ถูกต้มจนบาน ข้าวต้มหอมเตะจมูก“ไม่เลว”หลินจื่อโม่พยักหน้าและชมคำหนึ่ง ส่งทัพพีไม้คืนให้ผู้สูงอายุขุนนางคนนั้นถอนหายใจ พูดด้วยน้ำใสใจจริงว่า “ในสถานการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ข้าน้อยก็เพียงแต่ทำ
ตำหนักกันเฉวียน“ไม่…ไม่ได้นะ อย่าแตะต้องตัวข้า!”ท่ามกลางเสียงตำหนิ หลินจื่อโม่เงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย ร่างเพรียวบางที่คลุมเครือสายหนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นต่อหน้าเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตางดงามดั่งเทพธิดาในภาพวาด แต่งกายหรูหรา เวลานี้ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ ชุดกระโปรงถูกฉีกจนขาดหลายจุด แม้นางพยายามใช้แขนปิดบังแล้วหลินจื่อโม่มองภาพอันเย้ายวนตรงหน้าอย่างตะลึงงันเหมือนว่า…เขาจะเดินทางข้ามมิติแล้ว“ไสหัวไป! เจ้า…เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ?!”หญิงที่งามเหมือนหยาดน้ำค้างบนเตียงกล่าวตำหนิเขา ความอับอายและความโกรธปกคลุมเต็มใบหน้า“ข้า? ดังนั้นนี่คือ…”สิ่งนี้ทำให้หลินจื่อโม่อดไม่ได้ที่จะสูดลมเย็นทีหนึ่งบ้าเอ๊ย ตกลงเจ้าของร่างคนเดิมกำลังทำอะไรอยู่???จากนั้นก็มีความทรงจำส่วนหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาราวกับกระแสน้ำเขา เป็นตัวตายตัวแทนของฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเหยียน?!จากความทรงจำ เจ้าของร่างคนเดิมมีหน้าตาที่เหมือนกับฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นจึงถูกจับเข้าวัง และไม่รู้เพราะอะไร คำสั่งแรกของฮ่องเต้ที่ป่วยออดแอดก็คือให้เขามาตำหนักกันเฉวียนต้องบอกก่อนว
ตอนมาถึงถนนใหญ่ ทหารรักษาพระองค์กองหนึ่งลาดตระเวนผ่านมาพอดี“ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…”ทหารรักษาพระองค์กองนี้คุกเข่าลงคำนับหลินจื่อโม่“พวกเจ้าหยุดก่อน พาเราไปตำหนักฮองเฮา”ขณะที่ทหารรักษาพระองค์กำลังจะไป หลินจื่อโม่กลับเอ่ยปากกะทันหันเฉาสี่หันกลับไปฉับพลัน มองเขาด้วยสีหน้าที่ตะลึงงันเวลานี้ เขาตระหนักถึงความผิดปกติแล้ว แต่ตอนนี้หลินจื่อโม่ก็คือภาพลักษณ์ของฮ่องเต้ อีกทั้งยังสวมเพ้ามังกร ถ้าหากเขาเอ่ยปากห้ามเวลานี้ เช่นนั้นไม่เท่ากับล่วงเกินเบื้องสูงหรอกหรือ?“ฝ่าบาท ควรเสด็จกลับตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เฉาสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม กึ่งก้มหน้า ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นจ้องเขาด้วยเจตนาข่มขู่อันเยือกเย็น“บัดซบ เราอยากไปที่ใด สุนัขขันทีอย่างเจ้ามีสิทธิ์ออกความเห็นด้วยหรือ?!”หลินจื่อโม่พลิกมือก็เหวี่ยงฝ่ามือใส่ใบหน้าเขา ตบจนเขาล้มลงกับพื้น มองดูรอยฝ่ามือสีแดงบนใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของเขา หลินจื่อโม่ที่เดิมทีกลัวว่าเขาจะบอกตัวตนของตนออกมา เพื่อยับยั้งเขา พลันยกเท้าขึ้นเตะใส่ปากของเขาโดยตรง ทำให้เสียงที่อยากพูดของเขากลายเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปว
ฮ่องเต้จีจิ่งเหวิน จักรพรรดิรุ่นที่สิบสองของราชวงศ์ต้าอู่ ขึ้นครองราชย์ศักราชเซวียนเจิ้ง ปีที่สามสิบเอ็ด และได้เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นหงฮว่าปีนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี เพราะอายุยังน้อย อำนาจในราชสำนักจึงตกอยู่ในมือไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน กับสามขุนนางที่ปรึกษาแผ่นดิน ในกรณีนี้ จีจิ่งเหวินก็เหมือนกับหุ่นเชิด เป็นแค่สิ่งของมงคลที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ก็เท่านั้นประกอบกับสูญเสียความสามารถในด้านนั้นของผู้ชาย นิสัยของเขาจึงวิปริตหัวรุนแรง ไม่รู้ว่ามีนางกำนัลกี่คนที่ตายภายใต้การทารุณกรรมของเขาเซี่ยเฟิ่งชิง บิดาเป็นขุนพลอวิ๋นฮุย[1] ขุนนางขั้นสาม เพียงเพราะได้ยินว่าชื่อเสียงของจีจิ่งเหวินไม่ดี จึงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายโดนตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลดตำแหน่งเป็นขุนพลติ้งหยวน[2] ย้ายไปอยู่ที่ชายแดน เพื่อความสงบสุขของครอบครัว เซี่ยเฟิ่งชิงตัดสินใจเข้าวังสิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ฮ่องเต้ไม่ได้ทรมานนาง กลับกันยิ่งใจกว้างต่อนาง เพราะรูปลักษณ์ที่งามหยาดเยิ้มล้มบ้านล้มเมืองของนาง และยังถึงขั้นแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาดังนั้น ในช่วงเวลานั้น จีจิ่งเหวินถึงขั้นงมงายเชื่อเรื่องยาอายุวัฒน
หอเหวินยวนมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งราชเลขาธิการของสำนักราชเลขาธิการ เขากำลังเขียนความเห็นของตนลงบนหนังสือฎีกา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว จึงบิดขี้เกียจทีหนึ่ง“ท่านราชเลขาธิการน้อยยิ่งอยู่ยิ่งทำงานราชการได้คล่องแล้ว เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ โดยเฉพาะตัวอักษรนี่ ไหลลื่นดั่งสายน้ำ เบาบางดั่งหมอกควัน”ขุนนางที่อยู่ข้างๆ ยังไม่ทันได้อ่านความเห็นบนหนังสือฎีกาอย่างละเอียด ก็ชมตัวอักษรของชายหนุ่มผู้นี้ก่อนแล้วชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหนิงไป๋ ลูกชายของเลขาธิการหนิงซงแห่งสำนักราชเลขาธิการ“ผู้ช่วยหลิวพูดถูกมาก ท่านราชเลขาธิการน้อยฉลาดหลักแหลมโดยกำเนิด งานด้านราชสำนักเพียงชี้แนะก็รู้แจ้ง ราชวงศ์ต้าอู่ของเราสามารถมีผู้ปราดเปรื่องอย่างท่านราชเลขาธิการน้อย เป็นวาสนาของต้าอู่ วันข้างหน้า ต้าอู่ต้องสามารถก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรืองภายใต้การนำของท่านราชเลขาธิการน้อยแน่นอน!”ปัจจุบันในสำนักราชเลขาธิการ แทบเป็นคนของราชเลขาธิการหนิงซงทั้งหมด ภายใต้การเยินยอของพวกเขา หนิงไป๋ตัวลอยไปนานแล้ว แต่ว่าบนใบหน้ากลับยังวางมาดสุภาพและถ่อมตน“ใต้เท้าทุกท่านชมเกินไปแล้ว ข้ากับท่านพ่อยังห่างชั้นกันมาก ที่ทำงานราชการก็
ภายในหอเหวินยวน ขุนนางใหญ่หลายคนก้าวออกมาอธิบายแทนหนิงไป๋“ฝ่าบาทมาได้พอดี มหาบัณฑิตเหอล่วงเกินเบื้องบน ขอให้พระองค์ทรงมีราชโองการปลดมหาบัณฑิตเหอหลี่ออกจากหอเหวินยวน ส่งตัวเข้าคุกหลวง รอประหารหลังฤดูใบไม้ผลิพ่ะย่ะค่ะ!”ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายต้วนหัวจากกรมคลังเอ่ยปาก ดึงดูดเสียงสนับสนุนของทุกคนทันทีหลินจื่อโม่มองไปตามทิศทางที่พวกเขาชี้เหอหลี่ที่รูปร่างผอมบางยืนอยู่ตรงนั้น เขาเหมือนกับเป็นต้นสนที่อยู่ริมหน้าผา ดูอ่อนแอไม่ทนลม รูปร่างกลับตั้งตรงและหนักแน่นเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ขุนนางเหล่านี้พูด เหอหลี่ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี ดูค่อนข้างเย่อหยิ่ง “เล่ามาอย่างละเอียด”จู่ๆ หลินจื่อโม่ก็เริ่มเกิดความสนใจในตัวเขาเวลานี้ ข้างกายของเขา คนเดียวที่สามารถใช้งานได้ก็คือรองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เซี่ยอวิ๋น ในราชสำนัก เขายิ่งโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง“สามัญชน?”หลินจื่อโม่หรี่ตาเล็กน้อย กวาดมองไปทางหนิงไป๋ที่ยังคงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งราชเลขาธิการ “เจ้าเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง เข้าตำหนักเฉียนชิงได้อย่างไร? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรมา ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”เขาไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่แต่แรกตนที่เ
ต้วนหัวสีหน้าแดงก่ำจนแทบระเบิดด้วยความขมขื่น สุดท้ายก็จำต้องคุกเข่าลงด้วยความเสียหน้าเขารู้สึกว่านี่คือการถูกฮ่องเต้เหยียดหยาม“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ปลดต้วนหัวออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมขุนนาง และให้เหอหลี่ มหาบัณฑิตแห่งหอเหวินยวนมารับตำแหน่งแทน!”แม้หลินจื่อโม่จะยังไม่รู้จักคนที่ชื่อ ‘เหอหลี่’ โดยละเอียด แต่เขาก็รู้ว่าอายุของคนผู้นี้ล่วงเลยไปห้าสิบกว่าปีแล้ว ซ้ำยังไร้ตำแหน่งที่สมฐานะ ยังเป็นแค่มหาบัณฑิต สิ่งนี้ชี้ชัดว่าเขาไม่เข้าพวกกับขุนนางทั้งหลาย อีกทั้งยังยืนอยู่ในขั้วตรงข้ามกับราชเลขาธิการเพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับหลินจื่อโม่แล้ว“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมขุนนาง ย่อมอยู่ภายใต้การดูแลของราชเลขาธิการ หากจะปลดกระหม่อมก็ต้องผ่านการอนุญาตจากราชเลขาธิการเสียก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!”ต้วนหัวเงยหน้า พร้อมทั้งโต้แย้งเสียงดังทันควัน“บังอาจนัก! เจ้ากล้าตะโกนใส่เราหรือ?!”เมื่อได้ยินคำว่า ‘ราชเลขาธิการ’ อีกครั้ง ดวงตาของหลินจื่อโม่กลับเย็นเยียบขึ้นทันตา พร้อมทั้งโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ เขาตวาดเสียงเย็นเยียบ “เราถามเจ้าหน่อย ใครใหญ่กว่า ระหว่างราชเลข