หลินจื่อโม่ยิ้มยาหยี หน้าตาดูไม่มีพิษมีภัย “เราบอกแล้วมิใช่หรือว่ามีเรื่องอยากหารือกับเสด็จแม่ ท่านให้นางกำนัลสองคนนี้ออกไปก่อนดีกว่าไหม? คำพูดบางคำให้ไม่สะดวกจะให้พวกนางได้ยิน”หนิงไต้ซีใจเต้นตึกตัก นางอยากจะตะโกนเสียงดัง แต่มีดเล่มนั้นอยู่ในมือหลินจื่อโม่ แค่ยื่นมาก็จะบาดโดนตัวนางได้นางไม่กล้าเดิมพันว่าองครักษ์ที่อยู่นอกประตูจะเข้ามาช่วยนางได้เร็ว หรือนางจะตายเร็วกันแน่ จึงได้แต่ยอมจำนนประนีประนอม“พวกเจ้า…ออกไป”นางสั่งเสียงสั่นเครือ แอบภาวนาในใจว่านางกำนัลทั้งสองจะมองเห็นมีดในมือหลินจื่อโม่ แล้วจะไปเรียกองครักษ์มาอย่างฉับไว“เพคะ”น่าเสียดายที่แผนของนางไม่สำเร็จนางกำนัลสองคนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติเลย ถอยออกไปแต่โดยดี และยังปิดประตูตำหนักให้ด้วยหนิงไต้ซีอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ตอนนี้ยิ่งวิตกกังวลจนไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว“เจ้าเก็บมีดให้ดี ๆ ได้หรือไม่”หลินจื่อโม่เหมือนจะไม่ได้ยิน พูดแต่เรื่องตัวเองว่า “เรามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาขอของสิ่งหนึ่งจากเสด็จแม่”“ของ…ของอะไร?”หลินจื่อโม่ไม่ตอบ แต่ยื่นมือลงไปลูบไล้เท้าเรียวสวยคู่นั้นอันงามละเอียดดุจหยก และพึมพำเบา ๆ ว่
“ได้เลย ท่านลงโทษเรา เราก็ลงโทษท่าน เกมที่สนุกขนาดนี้ แค่คิดก็…ตื่นเต้นเสียจริง ๆ”หลินจื่อโม่ยังคงยิ้ม โอบหนิงไต้ซีไว้ไม่ปล่อย สัมผัสความรู้สึกอันนุ่มนวลราวกับไม่มีกระดูกนั้นอย่างเต็มที่หนิงไต้ซีนั่งไม่ติดเหมือนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยหนาม อยากจะผละออกอีกครั้ง แต่ก็ถูกดึงกลับมาอย่างรุนแรง“อย่ารีบสิเสด็จแม่ ท่านดูสิ เราพกมีดหายากมาด้วยเล่มหนึ่ง ตั้งใจอยากให้ท่านชื่นชมประเมินค่าเสียหน่อย”หลินจื่อโม่พูดที่ข้างหูนางเบา ๆ ทำให้นางขนลุกซู่ที่คอทุกอณูเสียงชิ้งดังขึ้น ฝักมีดตกลงบนพื้น เผยให้เห็นมีดสั้นสีดำทึบไร้เงาหนิงไต้ซีตกใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง พูดเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท เจ้า…เจ้าอย่าวู่วาม มาตุฆาตถือเป็นความอกตัญญูอย่างมหันต์ ไม่สิ เป็นการขัดต่อหลักมนุษยธรรม บรรดาขุนนางจะไม่ยอมรับเจ้า!”“มาตุฆาต? จะเป็นไปได้อย่างไร เราชอบเสด็จแม่เสียขนาดนั้น จริงนะเสด็จแม่ ก็แค่ให้ท่านชื่นชมประเมินค่ามันเท่านั้นเอง”ในใจหลินจื่อโม่ขำจนแทบบ้า สวมบทคนโรคจิตครั้งแรกในชีวิต ก็เหมือนจะสมบทบาทไม่เบาเพื่อให้ดูสมจริง เขาเอามีดเข้าไปใกล้หน้าอกหนิงไต้ซีอย่างช้า ๆ คมมีดลากไปเบา ๆ บนเสื้อคลุมตัวนั้น“ท่าน
“เจ้า! หยาบช้า!”หนิงไต้ซีคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป หน้าแดงก่ำ มือถือกระบี่ยาว หายใจแรง เหมือนมีแรงกระตุ้นให้แทงได้ทุกเมื่อ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าไม่มึนศีรษะแล้ว หลังจากที่ตื่นตระหนกตกใจและถูกหลู่เกียรติให้อับอาย อาการป่วยของนางก็เหมือนจะหายดี มีกำลังวังชาขึ้นมาไม่น้อยในพริบตาดังนั้นนางยิ่งอยากสู้ตายกับหลินจื่อโม่แล้วหลินจื่อโม่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไทเฮาอยากจะประลองกระบี่กับเราหรือ? เลิกล้มเสียเถอะ ท่านเอาชนะกระบี่วิเศษของเราไม่ได้หรอก”เวลานี้เอง ก็มีเสียงหวานจ๋อยดังมาจากนอกประตู “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์มาแล้วเพคะ เข้าไปได้ไหม?”หลินจื่อโม่ตะลึง เสียงนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่เพียงไม่นาน เขาก็บอกได้ว่าเป็นใครจากการเรียกชื่อจีฉู่อวี้ องค์หญิงจิ้นหยาง พระธิดาเพียงคนเดียวของฮ่องเต้เซวียนเจิ้ง น้องสาวคนเดียวของจีจิ่งเหวิน“ฮึ่ย!”หลินจื่อโม่เจ็บจี๊ดขึ้นมา องค์หญิงนี่มาผิดเวลาจริง ๆ เดิมทีเขายังอยากจะแกล้งหนิงไต้ซีต่ออีกหน่อยดังนั้น บรรยากาศแปลกประหลาดในตำหนักที่มีทั้งความคุกรุ่นและความอึดอัดคลุมเครือปะปนกันถูกทำลายในพริบตาหนิงไต้ซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เปลี่ยนจากใบหน้าท
หนิงไต้ซีเบิกตากว้างทันที มองดูหลินจื่อโม่ด้วยสีหน้าตะลึงงันกินอะไรผิดมาหรือ? คำพูดเมื่อกี้เจ้าเป็นคนพูดหรือ? เจ้าเคยสังเกตจิ้นหยางเมื่อไรกัน?องค์หญิงจิ้นหยางก็อึ้งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนางเด็ก ๆ เสด็จพี่ฮ่องเต้รักและตามใจนางจริง แต่ว่าตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์แล้วนิสัยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียวแล้วแต่วันนี้กลับพูดว่าไม่มีทางลืมนาง? และยังบอกว่านางซูบลง?นางตอบสนองเร็วมาก ใบหน้านางเบิกบานอีกครั้งทันที พุ่งเข้ามากอดแขนหลินจื่อโม่ “หื้ม ๆ เสด็จพี่ดีที่สุดเลย!”ในใจหลินจื่อโม่ถึงกับสั่นไหวโอ้พระเจ้า เห็นอายุยังน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเก็บอาการเก่งขนาดนี้องค์หญิงมาแล้ว ก็แกล้งหยอกไทเฮาไม่ได้แล้ว แต่หลินจื่อโม่ก็พอใจแล้ว วันหลังค่อยว่ากัน วันหลังค่อยว่ากัน“เอาละ ในเมื่ออวี้เออร์มาแล้ว ก็คุยเป็นเพื่อนเสด็จแม่ไปนะ เรายังมีธุระ ขอตัวก่อนละ”หลินจื่อโม่ชักแขนออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ทอดถอนใจเบา ๆ ที่ต้องจากไปองค์หญิงจิ้นหยางพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “อวี้เอ๋อร์ถวายพระพรลาเสด็จพี่เพคะ เสด็จพี่คราวหน้ามีเวลาอย่าลืมหาเล่นกับอวี้เออร์นะเพคะ”หนิงไต้ซีถอนหายใจยาว ๆ ใ
หลินจื่อโม่กลับถึงตำหนักเฉียนชิง หลังจากที่ความตื่นเต้นหายไป ผลที่ตามมาจากการอดหลับอดนอนทั้งคืนก็ค่อย ๆ แสดงออกมา เขาง่วงมากแต่ว่ากลับถึงห้องนอนแล้ว ก็ดึงตัวเซี่ยเฟิงชิงมาถามคำถามมากมายเขาเคยได้ยินชื่อบัณฑิตเฉินมาก่อนว่าเคยเป็นมหาบัณฑิตตำหนักหัวไก้ ราชครูประจำองค์รัชทายาท เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่จีจิ่งเหวินสมัยยังอยู่ที่ตำหนักบูรพาหลินจื่อโม่มีคนข้างกายที่สามารถใช้งานได้น้อยเกินไป โดยเฉพาะในราชสำนัก ต่อให้ไม่ใช่พวกเดียวกับหนิงซง ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหลินจื่อโม่ดังนั้น ปฏิกิริยาแรกหลังจากเขาได้ยินชื่อนี้ก็คืออยากลองดูว่าจะชักชวนให้มาเป็นพวกตนได้หรือไม่ อาศัยว่าเคยเป็นครูและศิษย์กันมาก่อน ดึงตัวผู้อาวุโสท่านนี้กลับมาทว่าคำตอบรับที่ได้มาคือ บัณฑิตเฉินเป็นโรคจักษุตั้งแต่กำเนิด จึงค่อย ๆ มองอะไรไม่ชัดแล้ว ดังนั้นจึงเกษียณไปเพื่อพักฟื้นเซี่ยเฟิ่งชิงอธิบายทุกอย่างที่นางรู้ให้เขาฟังโดยละเอียด บัณฑิตเฉินมีนามว่าซีเหนียน กำลังจะเข้าสู่วัยที่ฟังคำใด ๆ จิตก็ยังคงนิ่ง ซึ่งก็คือวัยหกสิบปีจงรักภักดี ตรงไปตรงมา ไม่ยอมก้มหัวให้เรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุนี้เองฮ่องเต้พร
“ข้า…ไม่มีอะไร เขาก็แค่มาขอรางวัลให้ขันทีคนหนึ่งที่ติดตามเขา ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”หนิงไต้ซีพยายามแกล้งพูดอย่างสบาย ๆ สิ่งที่หลินจื่อโม่ทำกับนางเหล่านั้นน่าอัปยศเกินไป ต่อให้เป็นบิดาและน้องชายของตัวเองก็บอกไม่ได้แต่จะละไว้ไม่พูดถึงเลยแบบนี้ นางก็ไม่ยอมแววตาของหนิงไต้ซีเย็นเยียบ นางกล่าวเบา ๆว่า “เจ้าไปที่อารามต้าเต๋อซิ เตือนนักพรตเถาหน่อยว่า เขาไม่ได้ถวายยาอายุวัฒนะให้ฝ่าบาทมากี่วันแล้ว”หนิงไป๋ตะลึง “แต่ว่าท่านพ่อบอกแล้วว่า…”“สามเดือนนานเกินไป ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”…หลินจื่อโม่ตื่นแล้ว ครั้งนี้เขาหลับลึกมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป หรือว่าเพราะชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท้องพระโรงเมื่อวานตื่นมาล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก แต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมชุดลำลองเซี่ยเฟิงชิงผูกผ้าคาดชุดให้เขาด้วยตนเอง พูดอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ฝ่าบาทจะออกไปนอกเมืองอีกแล้วหรือเพคะ? มีราษฎรผู้ประสบภัยมากขนาดนั้น อันตรายเกินไปนะเพคะ”หลินจื่อโม่ส่ายหัว “เราต้องไปให้ได้ ไม่เห็นพวกเขาทำงานกับตา เราไม่วางใจ”แม้ว่าเขาจะสั่งการให้แต่ละกรมไปบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยนอกเมืองแล้ว แต่ว่าเข
หลินจื่อโม่ก็เห็นแล้วผู้ประสบภัยคนหนึ่งที่ถึงคิวแล้วถือชามด้วยสองมือ ผู้สูงอายุที่ตักข้าวต้มให้ตักให้เขาหนึ่งทัพพีเต็ม ๆ ข้าวต้มถึงกับพูนขึ้นมาจนเห็นเป็นยอดสูงข้าวต้มนี้ไม่ได้แค่ข้น นี่แทบจะเป็นข้าวสวยที่หุงจนแฉะแล้วผู้ประสบภัยคนนั้นถือชามที่เต็มไปด้วยข้าวต้ม โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง “พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่นัก พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่จริง ๆ”ขุนนางขั้นเจ็ดคนนั้นพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ระวังหน่อยนะ ข้าวต้มนี้ร้อนมาก”ถึงตอนนี้เขาเหมือนเพิ่งจะเห็นหลินจื่อโม่และคณะ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเสื้อผ้าและดาบประจำตัวขององครักษ์ผ้าแพรแล้ว ก็รีบวางทัพพีในมือลง กำมือทำการคารวะ “คารวะใต้เท้าทุกท่าน”สวีต้าชุนกับหวังชิงเบี่ยงตัวออก ให้เห็นหลินจื่อโม่ที่อยู่ข้างหลังหลินจื่อโม่เดินไพล่หลังขึ้นไปข้างหน้า ใช้ทัพพีไม้ตักควานจากก้นหม้อขึ้นมาหนึ่งทัพพีข้าวใหม่แต่ละเม็ดที่สมบูรณ์ถูกต้มจนบาน ข้าวต้มหอมเตะจมูก“ไม่เลว”หลินจื่อโม่พยักหน้าและชมคำหนึ่ง ส่งทัพพีไม้คืนให้ผู้สูงอายุขุนนางคนนั้นถอนหายใจ พูดด้วยน้ำใสใจจริงว่า “ในสถานการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ข้าน้อยก็เพียงแต่ทำ
ตำหนักกันเฉวียน“ไม่…ไม่ได้นะ อย่าแตะต้องตัวข้า!”ท่ามกลางเสียงตำหนิ หลินจื่อโม่เงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย ร่างเพรียวบางที่คลุมเครือสายหนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นต่อหน้าเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตางดงามดั่งเทพธิดาในภาพวาด แต่งกายหรูหรา เวลานี้ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ ชุดกระโปรงถูกฉีกจนขาดหลายจุด แม้นางพยายามใช้แขนปิดบังแล้วหลินจื่อโม่มองภาพอันเย้ายวนตรงหน้าอย่างตะลึงงันเหมือนว่า…เขาจะเดินทางข้ามมิติแล้ว“ไสหัวไป! เจ้า…เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ?!”หญิงที่งามเหมือนหยาดน้ำค้างบนเตียงกล่าวตำหนิเขา ความอับอายและความโกรธปกคลุมเต็มใบหน้า“ข้า? ดังนั้นนี่คือ…”สิ่งนี้ทำให้หลินจื่อโม่อดไม่ได้ที่จะสูดลมเย็นทีหนึ่งบ้าเอ๊ย ตกลงเจ้าของร่างคนเดิมกำลังทำอะไรอยู่???จากนั้นก็มีความทรงจำส่วนหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาราวกับกระแสน้ำเขา เป็นตัวตายตัวแทนของฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเหยียน?!จากความทรงจำ เจ้าของร่างคนเดิมมีหน้าตาที่เหมือนกับฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นจึงถูกจับเข้าวัง และไม่รู้เพราะอะไร คำสั่งแรกของฮ่องเต้ที่ป่วยออดแอดก็คือให้เขามาตำหนักกันเฉวียนต้องบอกก่อนว