หนิงไต้ซีเบิกตากว้างทันที มองดูหลินจื่อโม่ด้วยสีหน้าตะลึงงันกินอะไรผิดมาหรือ? คำพูดเมื่อกี้เจ้าเป็นคนพูดหรือ? เจ้าเคยสังเกตจิ้นหยางเมื่อไรกัน?องค์หญิงจิ้นหยางก็อึ้งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนางเด็ก ๆ เสด็จพี่ฮ่องเต้รักและตามใจนางจริง แต่ว่าตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์แล้วนิสัยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียวแล้วแต่วันนี้กลับพูดว่าไม่มีทางลืมนาง? และยังบอกว่านางซูบลง?นางตอบสนองเร็วมาก ใบหน้านางเบิกบานอีกครั้งทันที พุ่งเข้ามากอดแขนหลินจื่อโม่ “หื้ม ๆ เสด็จพี่ดีที่สุดเลย!”ในใจหลินจื่อโม่ถึงกับสั่นไหวโอ้พระเจ้า เห็นอายุยังน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเก็บอาการเก่งขนาดนี้องค์หญิงมาแล้ว ก็แกล้งหยอกไทเฮาไม่ได้แล้ว แต่หลินจื่อโม่ก็พอใจแล้ว วันหลังค่อยว่ากัน วันหลังค่อยว่ากัน“เอาละ ในเมื่ออวี้เออร์มาแล้ว ก็คุยเป็นเพื่อนเสด็จแม่ไปนะ เรายังมีธุระ ขอตัวก่อนละ”หลินจื่อโม่ชักแขนออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ทอดถอนใจเบา ๆ ที่ต้องจากไปองค์หญิงจิ้นหยางพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “อวี้เอ๋อร์ถวายพระพรลาเสด็จพี่เพคะ เสด็จพี่คราวหน้ามีเวลาอย่าลืมหาเล่นกับอวี้เออร์นะเพคะ”หนิงไต้ซีถอนหายใจยาว ๆ ใ
หลินจื่อโม่กลับถึงตำหนักเฉียนชิง หลังจากที่ความตื่นเต้นหายไป ผลที่ตามมาจากการอดหลับอดนอนทั้งคืนก็ค่อย ๆ แสดงออกมา เขาง่วงมากแต่ว่ากลับถึงห้องนอนแล้ว ก็ดึงตัวเซี่ยเฟิงชิงมาถามคำถามมากมายเขาเคยได้ยินชื่อบัณฑิตเฉินมาก่อนว่าเคยเป็นมหาบัณฑิตตำหนักหัวไก้ ราชครูประจำองค์รัชทายาท เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่จีจิ่งเหวินสมัยยังอยู่ที่ตำหนักบูรพาหลินจื่อโม่มีคนข้างกายที่สามารถใช้งานได้น้อยเกินไป โดยเฉพาะในราชสำนัก ต่อให้ไม่ใช่พวกเดียวกับหนิงซง ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหลินจื่อโม่ดังนั้น ปฏิกิริยาแรกหลังจากเขาได้ยินชื่อนี้ก็คืออยากลองดูว่าจะชักชวนให้มาเป็นพวกตนได้หรือไม่ อาศัยว่าเคยเป็นครูและศิษย์กันมาก่อน ดึงตัวผู้อาวุโสท่านนี้กลับมาทว่าคำตอบรับที่ได้มาคือ บัณฑิตเฉินเป็นโรคจักษุตั้งแต่กำเนิด จึงค่อย ๆ มองอะไรไม่ชัดแล้ว ดังนั้นจึงเกษียณไปเพื่อพักฟื้นเซี่ยเฟิ่งชิงอธิบายทุกอย่างที่นางรู้ให้เขาฟังโดยละเอียด บัณฑิตเฉินมีนามว่าซีเหนียน กำลังจะเข้าสู่วัยที่ฟังคำใด ๆ จิตก็ยังคงนิ่ง ซึ่งก็คือวัยหกสิบปีจงรักภักดี ตรงไปตรงมา ไม่ยอมก้มหัวให้เรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุนี้เองฮ่องเต้พร
“ข้า…ไม่มีอะไร เขาก็แค่มาขอรางวัลให้ขันทีคนหนึ่งที่ติดตามเขา ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”หนิงไต้ซีพยายามแกล้งพูดอย่างสบาย ๆ สิ่งที่หลินจื่อโม่ทำกับนางเหล่านั้นน่าอัปยศเกินไป ต่อให้เป็นบิดาและน้องชายของตัวเองก็บอกไม่ได้แต่จะละไว้ไม่พูดถึงเลยแบบนี้ นางก็ไม่ยอมแววตาของหนิงไต้ซีเย็นเยียบ นางกล่าวเบา ๆว่า “เจ้าไปที่อารามต้าเต๋อซิ เตือนนักพรตเถาหน่อยว่า เขาไม่ได้ถวายยาอายุวัฒนะให้ฝ่าบาทมากี่วันแล้ว”หนิงไป๋ตะลึง “แต่ว่าท่านพ่อบอกแล้วว่า…”“สามเดือนนานเกินไป ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”…หลินจื่อโม่ตื่นแล้ว ครั้งนี้เขาหลับลึกมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป หรือว่าเพราะชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท้องพระโรงเมื่อวานตื่นมาล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก แต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย วันนี้เขาสวมชุดลำลองเซี่ยเฟิงชิงผูกผ้าคาดชุดให้เขาด้วยตนเอง พูดอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ฝ่าบาทจะออกไปนอกเมืองอีกแล้วหรือเพคะ? มีราษฎรผู้ประสบภัยมากขนาดนั้น อันตรายเกินไปนะเพคะ”หลินจื่อโม่ส่ายหัว “เราต้องไปให้ได้ ไม่เห็นพวกเขาทำงานกับตา เราไม่วางใจ”แม้ว่าเขาจะสั่งการให้แต่ละกรมไปบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยนอกเมืองแล้ว แต่ว่าเข
หลินจื่อโม่ก็เห็นแล้วผู้ประสบภัยคนหนึ่งที่ถึงคิวแล้วถือชามด้วยสองมือ ผู้สูงอายุที่ตักข้าวต้มให้ตักให้เขาหนึ่งทัพพีเต็ม ๆ ข้าวต้มถึงกับพูนขึ้นมาจนเห็นเป็นยอดสูงข้าวต้มนี้ไม่ได้แค่ข้น นี่แทบจะเป็นข้าวสวยที่หุงจนแฉะแล้วผู้ประสบภัยคนนั้นถือชามที่เต็มไปด้วยข้าวต้ม โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง “พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่นัก พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่จริง ๆ”ขุนนางขั้นเจ็ดคนนั้นพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ระวังหน่อยนะ ข้าวต้มนี้ร้อนมาก”ถึงตอนนี้เขาเหมือนเพิ่งจะเห็นหลินจื่อโม่และคณะ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเสื้อผ้าและดาบประจำตัวขององครักษ์ผ้าแพรแล้ว ก็รีบวางทัพพีในมือลง กำมือทำการคารวะ “คารวะใต้เท้าทุกท่าน”สวีต้าชุนกับหวังชิงเบี่ยงตัวออก ให้เห็นหลินจื่อโม่ที่อยู่ข้างหลังหลินจื่อโม่เดินไพล่หลังขึ้นไปข้างหน้า ใช้ทัพพีไม้ตักควานจากก้นหม้อขึ้นมาหนึ่งทัพพีข้าวใหม่แต่ละเม็ดที่สมบูรณ์ถูกต้มจนบาน ข้าวต้มหอมเตะจมูก“ไม่เลว”หลินจื่อโม่พยักหน้าและชมคำหนึ่ง ส่งทัพพีไม้คืนให้ผู้สูงอายุขุนนางคนนั้นถอนหายใจ พูดด้วยน้ำใสใจจริงว่า “ในสถานการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้ ประชาชนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ข้าน้อยก็เพียงแต่ทำ
ตำหนักกันเฉวียน“ไม่…ไม่ได้นะ อย่าแตะต้องตัวข้า!”ท่ามกลางเสียงตำหนิ หลินจื่อโม่เงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย ร่างเพรียวบางที่คลุมเครือสายหนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นต่อหน้าเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตางดงามดั่งเทพธิดาในภาพวาด แต่งกายหรูหรา เวลานี้ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ ชุดกระโปรงถูกฉีกจนขาดหลายจุด แม้นางพยายามใช้แขนปิดบังแล้วหลินจื่อโม่มองภาพอันเย้ายวนตรงหน้าอย่างตะลึงงันเหมือนว่า…เขาจะเดินทางข้ามมิติแล้ว“ไสหัวไป! เจ้า…เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ?!”หญิงที่งามเหมือนหยาดน้ำค้างบนเตียงกล่าวตำหนิเขา ความอับอายและความโกรธปกคลุมเต็มใบหน้า“ข้า? ดังนั้นนี่คือ…”สิ่งนี้ทำให้หลินจื่อโม่อดไม่ได้ที่จะสูดลมเย็นทีหนึ่งบ้าเอ๊ย ตกลงเจ้าของร่างคนเดิมกำลังทำอะไรอยู่???จากนั้นก็มีความทรงจำส่วนหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาราวกับกระแสน้ำเขา เป็นตัวตายตัวแทนของฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเหยียน?!จากความทรงจำ เจ้าของร่างคนเดิมมีหน้าตาที่เหมือนกับฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นจึงถูกจับเข้าวัง และไม่รู้เพราะอะไร คำสั่งแรกของฮ่องเต้ที่ป่วยออดแอดก็คือให้เขามาตำหนักกันเฉวียนต้องบอกก่อนว
ตอนมาถึงถนนใหญ่ ทหารรักษาพระองค์กองหนึ่งลาดตระเวนผ่านมาพอดี“ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี…”ทหารรักษาพระองค์กองนี้คุกเข่าลงคำนับหลินจื่อโม่“พวกเจ้าหยุดก่อน พาเราไปตำหนักฮองเฮา”ขณะที่ทหารรักษาพระองค์กำลังจะไป หลินจื่อโม่กลับเอ่ยปากกะทันหันเฉาสี่หันกลับไปฉับพลัน มองเขาด้วยสีหน้าที่ตะลึงงันเวลานี้ เขาตระหนักถึงความผิดปกติแล้ว แต่ตอนนี้หลินจื่อโม่ก็คือภาพลักษณ์ของฮ่องเต้ อีกทั้งยังสวมเพ้ามังกร ถ้าหากเขาเอ่ยปากห้ามเวลานี้ เช่นนั้นไม่เท่ากับล่วงเกินเบื้องสูงหรอกหรือ?“ฝ่าบาท ควรเสด็จกลับตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เฉาสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม กึ่งก้มหน้า ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นจ้องเขาด้วยเจตนาข่มขู่อันเยือกเย็น“บัดซบ เราอยากไปที่ใด สุนัขขันทีอย่างเจ้ามีสิทธิ์ออกความเห็นด้วยหรือ?!”หลินจื่อโม่พลิกมือก็เหวี่ยงฝ่ามือใส่ใบหน้าเขา ตบจนเขาล้มลงกับพื้น มองดูรอยฝ่ามือสีแดงบนใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นของเขา หลินจื่อโม่ที่เดิมทีกลัวว่าเขาจะบอกตัวตนของตนออกมา เพื่อยับยั้งเขา พลันยกเท้าขึ้นเตะใส่ปากของเขาโดยตรง ทำให้เสียงที่อยากพูดของเขากลายเป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปว
ฮ่องเต้จีจิ่งเหวิน จักรพรรดิรุ่นที่สิบสองของราชวงศ์ต้าอู่ ขึ้นครองราชย์ศักราชเซวียนเจิ้ง ปีที่สามสิบเอ็ด และได้เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นหงฮว่าปีนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี เพราะอายุยังน้อย อำนาจในราชสำนักจึงตกอยู่ในมือไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน กับสามขุนนางที่ปรึกษาแผ่นดิน ในกรณีนี้ จีจิ่งเหวินก็เหมือนกับหุ่นเชิด เป็นแค่สิ่งของมงคลที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ก็เท่านั้นประกอบกับสูญเสียความสามารถในด้านนั้นของผู้ชาย นิสัยของเขาจึงวิปริตหัวรุนแรง ไม่รู้ว่ามีนางกำนัลกี่คนที่ตายภายใต้การทารุณกรรมของเขาเซี่ยเฟิ่งชิง บิดาเป็นขุนพลอวิ๋นฮุย[1] ขุนนางขั้นสาม เพียงเพราะได้ยินว่าชื่อเสียงของจีจิ่งเหวินไม่ดี จึงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายโดนตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ลดตำแหน่งเป็นขุนพลติ้งหยวน[2] ย้ายไปอยู่ที่ชายแดน เพื่อความสงบสุขของครอบครัว เซี่ยเฟิ่งชิงตัดสินใจเข้าวังสิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ฮ่องเต้ไม่ได้ทรมานนาง กลับกันยิ่งใจกว้างต่อนาง เพราะรูปลักษณ์ที่งามหยาดเยิ้มล้มบ้านล้มเมืองของนาง และยังถึงขั้นแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาดังนั้น ในช่วงเวลานั้น จีจิ่งเหวินถึงขั้นงมงายเชื่อเรื่องยาอายุวัฒน
หอเหวินยวนมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งราชเลขาธิการของสำนักราชเลขาธิการ เขากำลังเขียนความเห็นของตนลงบนหนังสือฎีกา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว จึงบิดขี้เกียจทีหนึ่ง“ท่านราชเลขาธิการน้อยยิ่งอยู่ยิ่งทำงานราชการได้คล่องแล้ว เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ โดยเฉพาะตัวอักษรนี่ ไหลลื่นดั่งสายน้ำ เบาบางดั่งหมอกควัน”ขุนนางที่อยู่ข้างๆ ยังไม่ทันได้อ่านความเห็นบนหนังสือฎีกาอย่างละเอียด ก็ชมตัวอักษรของชายหนุ่มผู้นี้ก่อนแล้วชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหนิงไป๋ ลูกชายของเลขาธิการหนิงซงแห่งสำนักราชเลขาธิการ“ผู้ช่วยหลิวพูดถูกมาก ท่านราชเลขาธิการน้อยฉลาดหลักแหลมโดยกำเนิด งานด้านราชสำนักเพียงชี้แนะก็รู้แจ้ง ราชวงศ์ต้าอู่ของเราสามารถมีผู้ปราดเปรื่องอย่างท่านราชเลขาธิการน้อย เป็นวาสนาของต้าอู่ วันข้างหน้า ต้าอู่ต้องสามารถก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรืองภายใต้การนำของท่านราชเลขาธิการน้อยแน่นอน!”ปัจจุบันในสำนักราชเลขาธิการ แทบเป็นคนของราชเลขาธิการหนิงซงทั้งหมด ภายใต้การเยินยอของพวกเขา หนิงไป๋ตัวลอยไปนานแล้ว แต่ว่าบนใบหน้ากลับยังวางมาดสุภาพและถ่อมตน“ใต้เท้าทุกท่านชมเกินไปแล้ว ข้ากับท่านพ่อยังห่างชั้นกันมาก ที่ทำงานราชการก็