Share

บทที่ 6

ต้วนหัวสีหน้าแดงก่ำจนแทบระเบิดด้วยความขมขื่น สุดท้ายก็จำต้องคุกเข่าลงด้วยความเสียหน้า

เขารู้สึกว่านี่คือการถูกฮ่องเต้เหยียดหยาม

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ปลดต้วนหัวออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมขุนนาง และให้เหอหลี่ มหาบัณฑิตแห่งหอเหวินยวนมารับตำแหน่งแทน!”

แม้หลินจื่อโม่จะยังไม่รู้จักคนที่ชื่อ ‘เหอหลี่’ โดยละเอียด แต่เขาก็รู้ว่าอายุของคนผู้นี้ล่วงเลยไปห้าสิบกว่าปีแล้ว ซ้ำยังไร้ตำแหน่งที่สมฐานะ ยังเป็นแค่มหาบัณฑิต สิ่งนี้ชี้ชัดว่าเขาไม่เข้าพวกกับขุนนางทั้งหลาย อีกทั้งยังยืนอยู่ในขั้วตรงข้ามกับราชเลขาธิการ

เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับหลินจื่อโม่แล้ว

“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมขุนนาง ย่อมอยู่ภายใต้การดูแลของราชเลขาธิการ หากจะปลดกระหม่อมก็ต้องผ่านการอนุญาตจากราชเลขาธิการเสียก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ต้วนหัวเงยหน้า พร้อมทั้งโต้แย้งเสียงดังทันควัน

“บังอาจนัก! เจ้ากล้าตะโกนใส่เราหรือ?!”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ราชเลขาธิการ’ อีกครั้ง ดวงตาของหลินจื่อโม่กลับเย็นเยียบขึ้นทันตา พร้อมทั้งโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ เขาตวาดเสียงเย็นเยียบ “เราถามเจ้าหน่อย ใครใหญ่กว่า ระหว่างราชเลขาธิการหรือเรา?!”

“แน่นอนว่า... ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนหัวก้มหน้า ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ เสียงที่ตอบออกมานั้นแทบจะเค้นออกมาจากไรฟัน

แม้ทุกคนจะรู้ว่าราชเลขาธิการทรงอำนาจเหนือราชสำนัก ควบคุมทุกเรื่องในราชสำนัก แต่ฮ่องเต้ ก็คือฮ่องเต้ ต่อให้เป็นโจโฉผู้ควบคุมกองทัพทั้งหมด ยังต้องแสดงความเคารพต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วยการเรียกขานว่าฝ่าบาทอย่างเคารพ

เว้นเสียแต่ว่าจะคิดกบฏ!

นับประสาอะไรกับราชเลขาธิการอย่างหนิงซง ที่ยังไม่ได้มีอำนาจในราชสำนักอย่างสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ

สามขุนนางใหญ่ที่ปรึกษาแผ่นดิน ถึงแม้เสนาบดีกรมคลังจะเคารพนับถือหนิงซงเป็นพิเศษ แต่เสนาบดีกรมกลาโหมอย่างสวีเหวินจง เป็นขุนนางชั้นสูงจากตระกูลทหาร ตามธรรมชาติแล้วย่อมอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น ด้วยเหตุนี้ หนิงซงจึงควบคุมได้เพียงหนึ่งในสามของราชสำนักเท่านั้น

ดังนั้น หนิงซงจึงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะอ้างอำนาจของฮ่องเต้ในการออกคำสั่งแก่บรรดาขุนนาง

“เราอยู่เหนือกว่าราชเลขาธิการ แล้วเรายังปลดเจ้าไม่ได้อีกหรือ?!”

แววตาของหลินจื่อโม่เปล่งประกายเย็นชา

บัดนี้ ขุนนางหวาดกลัวแต่ราชเลขาธิการ ทว่าไม่หวาดกลัวฮ่องเต้เช่นเขาผู้นี้

เขาจำต้องเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์นี้ให้ได้!

“กระหม่อมทุ่มเทให้กับราชสำนักมานานกว่าสามสิบปี มีความผิดอันใด เพราะเหตุใดฝ่าบาทต้องปลดกระหม่อมจากตำแหน่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?!”

ต้วนหัวตะโกนลั่นราวกับถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม “กระหม่อมไม่ยอมรับ!”

ด้วยวัยของเขาไม่ได้น้อยกว่าเหอหลี่มากนัก ใช้ความพยายามทั้งชีวิตจนมาถึงจุดนี้ หากถูกปลดจากตำแหน่งก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกประหารชีวิต

เมื่ออำนาจในมือของเขาหลุดลอยไป ไม่ต้องให้หลินจื่อโม่ลงมือเอง ศัตรูทางการเมืองของเขาก็จะเอาชีวิตเขาไปอยู่ดี

“เพียงเพราะเจ้าไม่เคารพเราฮ่องเต้ผู้นี้!”

เสียงของหลินจื่อโม่ดังก้อง ดวงเนตรฉายแววคมกริบ ทอดสายตาไปทั่วท้องพระโรง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางตำแหน่งใด ไม่มีผู้ใดกล้าจ้องตากับเขา ทุกคนล้วนต่างก้มหน้าลงไป

หลินจื่อโม่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเป็นขุนนาง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่า หากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะขุนนางเหล่านั้นที่เล่นการเมืองมาหลายสิบปีได้

ดังนั้น เขาจึงต้องใช้วิธีตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

การไม่เคารพฮ่องเต้ถือเป็นหนึ่งในความผิดมหันต์สิบประการ และอำนาจในการตัดสินอยู่ในมือของฮ่องเต้

การกระทำนี้คือการเชือดไก่ให้ลิงดู และเพื่อเป็นการสร้างอำนาจ

นี่คืออำนาจโดยชอบธรรมของผู้เป็นฮ่องเต้

อำนาจแห่งสวรรค์มิอาจมองดูได้โดยตรงก็เพราะเช่นนี้

“ลากมันออกไป!”

หลินจื่อโม่ไม่ได้ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตะโกนต่อไป

ทหารรักษาพระองค์สองนายเข้ามาลากตัวต้วนหัวออกไป ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง กลัวว่าจะนำหายนะมาสู่ตน หนิงไป๋ยิ่งไม่กล้ายกหน้าขึ้น

“กระหม่อมเหอหลี่ ขอขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!”

เหอหลี่ก้มลงคำนับ ณ ชั่วขณะนั้น มหาบัณฑิตผู้อาวุโสวัยห้าสิบปีกว่ามีน้ำตาคลอเบ้า

เหตุใดเขาจึงยังคงยืนอยู่ในราชสำนักได้ ที่จริงแล้ว เขามีความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้เพราะความไม่เอาไหน บ่อยครั้งที่เขาต่อต้านพระองค์บนราชสำนักอย่างเปิดเผย

และนี่ก็เป็นสิ่งที่พรรคพวกของราชเลขาธิการปรารถนาจะเห็น

วันนี้ เขามาพร้อมกับความคิดที่จะลาออกและพร้อมที่จะสละชีพ แต่ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้ที่ไม่เคยสนใจปกครองบ้านเมืองจะปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังไม่สนใจเรื่องราวในอดีต และมอบตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมขุนนางที่เป็นตำแหน่งสำคัญให้เขา

กรมขุนนาง ดูแลการแต่งตั้ง ตรวจสอบ เลื่อนขั้น ลดตำแหน่ง และการโยกย้ายขุนนาง

ตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นตำแหน่งรองของกรมนี้ และในเวลานี้ เสนาบดีกรมขุนนางมีอายุมากกว่าแปดสิบแล้ว บ่อยครั้งที่ป่วยจนไม่อาจเข้าร่วมประชุมราชสำนักได้ การเกษียณของเขาก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้วนหัวจึงเข้าข้างราชเลขาธิการอย่างเต็มใจและยินดีที่จะเป็นสุนัขของเขา

หลินจื่อโม่พอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น หลินจื่อโม่ก็ลุกขึ้นยืน เดินผ่านข้างกายหนิงไป๋ ชะงักไปเล็กน้อย “เราไม่ประสงค์จะพบเจ้าในหอเหวินยวนอีก หากกล้าก้าวเข้ามาอีกครั้ง สังหารไม่ละเว้น!”

“หากคราวหน้ายังกล้าไม่เคารพเรา เราจะลงโทษเจ้าด้วยการถูกสับเป็นหมื่นชิ้น!”

หลังจากเอ่ยขู่แล้วเขายังรู้สึกไม่พอใจ จึงถีบไปอย่างแรง ทำให้หนิงไป๋ล้มคว่ำหงาย

ใบหน้าของหนิงไป๋บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่มากกว่านั้นคือความรู้สึกถูกดูหมิ่นและความเคียดแค้น ถึงกระนั้น เมื่อเขามองขึ้นไปเล็กน้อย เขาก็เห็นแววตาของหลินจื่อโม่ที่เย็นชาจับขั้วหัวใจ ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

“เจ้า...อยากตายหรือ?!”

หลินจื่อโม่มองลงมาจากที่สูง แววตาคู่นั้นราวกับมองแมลงที่กำลังคลานอยู่บนพื้น คำพูดเย็นชาดังขึ้น “เจ้าเกลียดชังเราหรือ?!”

“กระหม่อม...มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

ในขณะนี้ ใบหน้าของหนิงไป๋เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สนใจความอับอายใดๆ ก้มลงกราบแนบพื้นด้วยความกลัวจนปัสสาวะราดพื้น

ความอ่อนแอและท่าทางอัปยศของเขาถูกสายตาของขุนนางทั้งหลายในราชสำนักมองเห็น แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป

ขุนนางที่ก่อนหน้านี้เคยยกย่องเขาอย่างสูงส่ง ณ เวลานี้ต่างหาที่ซ่อนหน้าไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าหลินจื่อโม่คงไม่ฆ่าเขาในเวลานี้ แต่เขากลับถูกทำให้ตกใจจนขวัญเสียด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ บุคคลเช่นนี้ มิอาจเป็นผู้สำเร็จการใหญ่ได้

นี่เป็นเรื่องน่าอับอายโดยแท้!

หลินจื่อโม่ไม่เพียงแต่ย่ำยีหนิงไป๋ แต่ยังรวมถึงพวกเขาทุกคน

หลินจื่อโม่จากไป

แต่ในท้องพระโรงที่กว้างใหญ่ยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่หนักหน่วง

ฮ่องเต้ผู้ถูกมองว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดนั้น ได้ทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ทันในชั่วขณะ

มีขุนนางไม่กี่คนไปช่วยเหลือหนิงไป๋ที่ล้มลง แต่กลับได้กลิ่นเหม็นที่ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อย่างไรก็ตาม หนิงไป๋กลับผลักพวกเขาออกและรีบหนีไป

ความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้ไม่ได้ทำให้หนิงไป๋รู้สึกขอบคุณ แต่กลับทำให้เขาต้องการจะฆ่าทุกคนที่เห็นท่าทางอัปยศของเขาให้สิ้นซาก

มิฉะนั้น เขาจะยังมีหน้าปรากฏตัวในราชสำนักอีกหรือ?

……

เมื่อออกจากหอเหวินยวน หลินจื่อโม่พลันคิ้วขมวดแน่น

ราชเลขาธิการ ในเรื่องของตำแหน่งอาจต่ำกว่าเขาจริง แต่ว่าไทเฮานั้นก็เหนือกว่าตัวเขาหนึ่งขั้นตามธรรมชาติ

กตัญญู!

ในหมู่ราษฎร บุตรน้อมนำบิดามารดา

ในหมู่ขุนนาง ผู้น้อยน้อมนำผู้ใหญ่

ในราชสำนัก ขุนนางน้อมนำฮ่องเต้

คำว่า 'กตัญญู' นั้นมิอาจก้าวข้ามไปได้

ฮ่องเต้เองก็เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากหลักการนี้ ดุจบิดาผู้ครองแผ่นดินของปวงชน แต่หากไม่ซื่อสัตย์ อาจถูกโค่นล้มหรือถูกทอดทิ้งได้

ข้อเท็จจริงพื้นฐานเหล่านี้ หลินจื่อโม่เองก็รู้ดีแก่ใจ

แต่หากเขาปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ ก็จะถูกไทเฮาและราชเลขาธิการเล่นงานเสียก่อน

เขาทอดสายตาไปยังขันทีที่ถูกหามออกมา แววตาฉายประกายเย็นชา

ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าขันทีหรือนางกำนัล ต่างถูกไทเฮาควบคุม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้ เขาจะต้องกุมอำนาจเหนือวังหลวง รวมถึงนอกวังหลวงให้จงได้

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status