Share

บทที่ 10

ราชรถมังกรเคลื่อนออกจากตำหนัก ไม่ช้านานก็กลับมาถึงตำหนักเฉียนชิง

ยังไม่ทันจะก้าวเข้าสู่ประตูตำหนัก หลินจื่อโม่ประหลาดใจที่พบว่าเซี่ยเฟิ่งชิงยืนรออยู่ที่หน้าประตู

“ฮองเฮา เหตุใดถึงไม่ไปพักผ่อน กลับมายืนรอเราอยู่ที่นี่เล่า?”

เซี่ยเฟิ่งชิงคว้ามือของเขาแล้วดึงเข้าสู่ตำหนัก ปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงอันตื่นตระหนก “ไทเฮาทรงเรียกให้ฝ่าบาทเข้าพบ มิได้ทำให้ฝ่าบาทลำบากใจใช่หรือไม่เพคะ?”

หลินจื่อโม่ยิ้มบาง “เดิมทีคิดจะทำให้เราลำบาก แต่เราหาทางออกได้”

หลินจื่อโม่จูงมืออันอ่อนละมุนของนางเดินเข้าสู่ห้องชั้นใน ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักอี้เยว่โดยสังเขป แน่นอนว่าเขาได้ตัดเรื่องการหยอกล้อไทเฮาออกไป

เซี่ยเฟิ่งชิงฟังแล้วตาโตด้วยความตะลึง ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ฝ่า...ฝ่าบาทฆ่าขันทีใหญ่ข้างกายไทเฮาเชียวหรือ?”

“ก็แค่ข้ารับใช้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฆ่าก็ฆ่าไปเถิด”

หลินจื่อโม่หัวเราะเยาะ “พวกมันต่างก็อยากให้ข้าตาย ข้าจำต้องหาสุนัขที่จงรักภักดีมาอยู่ข้างกายก่อน”

เขามิได้ปิดบังความคิดของตนเองแม้แต่น้อย เพราะในยามนี้ทั่วหล้าก็มีเพียงเซี่ยเฟิ่งชิงผู้เดียวที่รู้ว่าเขามิใช่ฮ่องเต้ตัวจริง

ส่วนเซี่ยเฟิ่งชิง หลังจากเห็นจีจิ่งเหวินสิ้นพระชนม์ต่อหน้าต่อตาของนาง นางก็ไม่มีทางย้อนกลับไปเส้นทางเดิมได้อีกแล้ว

ค่ำคืนนั้น หลินจื่อโม่เพียงกอดเซี่ยเฟิ่งชิงไว้ในอ้อมแขนอย่างเงียบสงบ มิได้ทำสิ่งใดนอกจากผล็อยหลับไปพร้อมกัน

รุ่งเช้า หลินจื่อโม่เรียกหวังชิงที่เฝ้าประตูเข้ามา

“ไปเรียกเซี่ยอวิ๋น และพาหัวหน้าจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาสองสามคน เราจะพบพวกเขาที่ห้องหนังสือทิศใต้”

“ข้าน้อยรับพระบัญชา”

หวังชิงรับพระบัญชาแล้วรีบสาวเท้าออกไปโดยเร็ว

องครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์ต้าอู่นั้น เปรียบดั่งดวงเนตรของราชสำนัก ทำหน้าที่สอดส่องและรวบรวมข่าวสาร มีตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ เช่น ผู้บัญชาการใหญ่ รองผู้บัญชาการ และผู้ช่วยผู้บัญชาการ ซึ่งล้วนอยู่ในอาณัติขององค์ฮ่องเต้โดยตรง

โดยทั่วไป ทหารรักษาพระองค์จะประจำอยู่ตามประตูทั้งสี่ของวังหลวง แต่ผู้ที่เฝ้ายามหน้าประตูอู่เหมินทั้งยามกลางวันและกลางคืน กลับเป็นองครักษ์เสื้อแพร แสดงถึงฐานะและอำนาจอันสูงส่งยิ่ง

ในเวลาที่มีการประชุมราชสำนัก ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดก็คือองครักษ์เสื้อแพร พวกเขามีหน้าที่คอยอารักขาและปฏิบัติตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด

ทว่าหลินจื่อโม่กลับพบว่า ในรัชกาลนี้องครักษ์เสื้อแพรดูผิดแผกไปจากเดิม ยามค่ำคืน การเฝ้ารักษาพระตำหนักกลับตกเป็นหน้าที่ของขันทีและทหารรักษาพระองค์แทน องครักษ์เสื้อแพรกลับมีอยู่เพียงหยิบมือ

องครักษ์เสื้อแพรซึ่งควรเป็นดั่งคมอาวุธในมือขององค์ฮ่องเต้ สำหรับป้องกันภัยและควบคุมขุนนางที่คิดร้าย เป็นกองกำลังที่จงรักภักดีที่สุด เรียกใช้งานได้ดีที่สุด ดูเหมือนว่าบัดนี้จะหลุดจากการควบคุมของฮ่องเต้ไปแล้ว

ไม่นานนัก เซี่ยอวิ๋นก็มาถึง หลังจากที่เขากลับจากตำหนักไทเฮาเมื่อคืน เขายังต้องเฝ้ายามอีกตลอดทั้งคืน จนถึงบัดนี้ยังมิได้พักผ่อนเลย

แม้ว่าในดวงตาของเขาจะมีรอยเลือดคั่งอยู่บ้าง แต่จิตใจกลับสดชื่นและมีกำลังวังชา การเปลี่ยนแปลงท่าทีของฮ่องเต้และการเลื่อนตำแหน่ง ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมยิ่ง

“กระหม่อมเซี่ยอวิ๋น ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”

แม้ว่าในที่นี้จะไม่มีผู้ใดอื่น แต่เซี่ยอวิ๋นยังคงปฏิบัติตามมารยาทอย่างครบถ้วน

หลินจื่อโม่มิได้ห้ามปราม เพราะรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นเป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ห้ามไม่ได้ง่าย ๆ

“ผู้บัญชาการเซี่ย เรามีเรื่องให้เจ้าจัดการ”

หลินจื่อโม่เรียกเซี่ยอวิ๋นเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบสั่งการบางอย่างที่ข้างหู

เซี่ยอวิ๋นฟังแล้วก็แสดงสีหน้าตกตะลึง แต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ในทันที “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”

กล่าวจบ เขาหมุนตัวจากไปทันที

“จะไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ใช่หรือไม่เพคะ?”

เซี่ยเฟิ่งชิงมองดูด้วยความกังวล พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบา

“ก็แค่ข้ารับใช้ในราชสำนักเท่านั้น ในเมื่ออยู่ในมือของข้า พวกมันจะคิดกระทำการใดที่เกินขอบเขตได้อย่างไร? หากพวกมันรู้จักที่ต่ำที่สูงก็ดีไป หากไม่เช่นนั้น…”

หลินจื่อโม่ยิ้มบาง “ก็แค่เรื่องของการเสียชีวิตของคนไม่กี่คนเท่านั้นเอง”

คำพูดแฝงไว้ด้วยอำนาจ!

เปี่ยมด้วยความมั่นใจ!

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเยือกเย็น ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความสงบและมั่นคงในทุกสิ่งที่อยู่ในกำมือ

เซี่ยเฟิ่งชิงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววกระจ่างใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงนั้นจับจ้องไปที่หลินจื่อโม่

เมื่อสองวันก่อน เขายังเป็นเพียงบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง แม้ใบหน้าจะละม้ายคล้ายคลึงกับฮ่องเต้ ทว่าในยามนี้ นางได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เขาแล้ว

ดังนั้น นางตัดสินใจแล้วว่าจะเคียงข้างเขาในบทบาทที่ถูกกำหนดนี้จนถึงวาระสุดท้าย

แม้ว่าอีกไม่นานมันอาจจะต้องปิดฉากลง นางและเขารวมถึงทั้งตระกูลเซี่ยอาจต้องสิ้นชีวิตไปพร้อมกัน

แต่จากการกระทำของหลินจื่อโม่ในสองวันที่ผ่านมา นางก็คิดว่าบางทีละครเรื่องนี้อาจดำเนินไปชั่วชีวิต

เซี่ยเฟิ่งชิงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นางมากกว่าฮ่องเต้จีจิ่งเหวินผู้โหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง

ไม่นานนัก ขันทีน้อยจากตำหนักอี้เยว่ก็ได้นำกระดาษกองหนามามอบให้ นั่นคือบทลงโทษที่ให้จีจิ่งอี้คัดลอก ‘คติพจน์บรรพชนอู่หวง’ เมื่อวานนี้

หลินจื่อโม่เพียงเหลือบมองเล็กน้อยแล้วก็ละสายตาไป

จีจิ่งอี้เป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิด การลงโทษสิบไม้โบยเมื่อวานกับการคัดลอกคัมภีร์ห้าสิบจบนี้ คงเพียงพอที่จะทำให้เขาหลาบจำไปตลอดชีวิต

ยังคงเหลือแต่ไทเฮา ซึ่งเป็นเรื่องยากเล็กน้อยเพราะยังมีหนิงซงสุนัขเฒ่าอยู่ เขาจึงยังไม่อาจลงมือกับนางได้ในตอนนี้

เมื่อหวนคิดถึงโฉมงามล่มเมืองอย่างหนิงไต้ซี อีกทั้งเรือนร่างอวบอิ่มนุ่มนวลของนาง เพลิงไฟในท้องของหลินจื่อโม่ราวกับจะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

ภายในห้องหนังสือทิศใต้

หลินจื่อโม่ยืนเอามือไพล่หลังพลางสำรวจสถานที่ ความคิดในใจพลันไหวระริก

ห้องหนังสือนี้เรียบง่าย ปราศจากของตกแต่งฟุ่มเฟือย มีเพียงชั้นวางที่เต็มไปด้วยม้วนตำราและเอกสารมากมาย บางเล่มเป็นตำราโบราณที่หายากจากราชวงศ์ก่อน ๆ หรือแม้แต่จากยุคสมัยที่ล่วงเลยไปเนิ่นนาน

บนโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่และหนักแน่น มีบันทึกการคัดลอกวางอยู่หลายฉบับ แสดงให้เห็นว่าจี้จิ่งเหวินเคยเป็นฮ่องเต้ที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ทว่าโชคร้ายที่ต้องถูกบิดาและบุตรสาวตระกูลหนิงร่วมกันสกัดกั้น จนความมุ่งมั่นทั้งปวงกลายเป็นความโหดเหี้ยมทารุณไปเสียสิ้น

เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม หวังชิงจึงปรากฏตัว

“ฝ่าบาท ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรสวีเหลียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่กล่าวด้วยเสียงเรียบ “อนุญาต”

เมื่อประตูตำหนักเปิดออก ร่างทั้งห้าเคลื่อนเข้ามา

“กระหม่อมสวีเหลียง ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”

ชายวัยสี่สิบผู้หนึ่งก้าวนำหน้าเข้ามา ยกมือขึ้นทำความเคารพพอเป็นพิธี

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

อีกสี่คนที่ตามหลังเขามาครึ่งก้าวก็ทำความเคารพด้วยท่าทางคล้ายคลึงกัน แต่โค้งตัวลงมากกว่าเล็กน้อย

ช่างมิใส่ใจยิ่งนัก

หลินจื่อโม่มองรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเสแสร้งบนใบหน้าของสวีเหลียงและท่าทีที่ไม่จริงจังเหล่านั้น แต่เขากลับมิได้ใส่ใจอะไร เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย

“ผู้ใดอยู่บ้าง? จงนำที่นั่งมาให้พวกเขา”

หวังชิงนำเบาะผ้าไหมมาวางไว้เบื้องหลังทั้งห้าคน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

สวีเหลียงและพวกนั่งลงที่กลางห้องหนังสือ ตรงข้ามกับโต๊ะหนังสือตัวใหญ่

หลินจื่อโม่เหลือบมองพวกเขาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดจึงขาดไปหนึ่งคน?”

ระดับผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรนั้น ควรจะมีหนึ่งผู้บัญชาการ สองรองผู้บัญชาการ และสามผู้ช่วยผู้บัญชาการ แต่ตอนนี้กลับขาดไปหนึ่งคน

สวีเหลียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “โอ้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการเฉินผิง เมื่อวานขณะจับกุมผู้ร้ายคนสำคัญ เกิดพลาดท่าได้รับบาดเจ็บ ยามนี้พักรักษาตัวอยู่ที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่มองดูท่าทีเย็นชาของสวีเหลียง อีกทั้งความเหยียดหยามที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้

เขาเรียกเบา ๆ “หวังชิง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ไปนำตัวเฉินผิงมา”

“ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชา!”

หวังชิงออกไป สวีเหลียงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท เฉินผิงได้รับบาดเจ็บนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลินจื่อโม่ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เช่นนั้นก็ให้หามมา”

บรรยากาศภายในห้องหนังสือใต้พลันเปลี่ยนไปทันที

สวีเหลียงจ้องมองหลินจื่อโม่ด้วยสายตาคมกล้า ฮ่องเต้ผู้ที่เคยอ่อนแอกลับดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในความเงียบงันและอึดอัดนี้ สุดท้ายสวีเหลียงก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ไม่ทราบฝ่าบาทมีสิ่งใดให้พวกกระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status