เฉินผิงยกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นมาว่า “กระหม่อม น้อมรับพระราชกระแสรับสั่ง”สวีต้าชุนดีใจเป็นอย่างยิ่ง คุกเข่าก้มคำนับ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมสวีต้าชุน ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”หลินจื่อโม่โบกมือ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ ทำงานก่อน เราจะดูว่า ตระกูลสิงที่เป็นตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวงนี้ มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเท่าไหร่”ตอนนี้เฉินผิงเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร มีงานยุ่งมาก ยังจะคอยติดตามหลินจื่อโม่นั้นไม่ค่อยเหมาะ สวีต้าชุนคนนี้ทำงานละเอียดและรวดเร็ว ทำให้เขาพอใจอย่างมากในสมุดพับบันทึกไว้ว่าตระกูลสิงมีเงินสี่ล้านตำลึง ฉางยงมีสองล้านเก้าแสนตำลึง รวมกันแล้วเกือบเจ็ดล้านตำลึงแค่ดูตัวเลขยังไม่มีความรู้สึกอะไร เมื่อหลินจื่อโม่เดินเข้าไปในห้องโถง มองเห็นเงินทองกองอยู่ในนั้น รู้สึกวิงเวียนหน้ามืดขึ้นมาทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา เงินทองมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลสิง อาศัยภัยพิบัติได้เงินทองมาตั้งมากมายเท่าไหร่ยังมีฉางยง วันนี้ไม่ว่าใครมา ล้วนจะต้องตาย!“ผ่างๆ ผ่าง...”เสียงตีระฆังดังไปทั่วทุกมุมของเมือ
หนิงไป๋พยายามตั้งสติจนได้ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า: “ท่านพ่อ ท่านว่าต่อไปจีจิ่งเหวินจะมาบ้าใส่พวกเราไหม?”เขาคือคุณชายตระกูลหนิงที่โด่งดังทั่วเมืองหลวง ราชเลขาธิการน้อยอันเป็นที่รู้กันว่าไม่ควรทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็นึกว่าตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่ไม่มีใครกล้าแตะ แต่ว่าคนเหิมเกริมนั้นกลัวคนบ้าบิ่น คนบ้าบิ่นก็กลัวคนไม่กลัวตายตอนนี้ฮ่องเต้ไร้ค่าพระองค์นี้เองก็คือคนที่ไม่กลัวตายคนนั้น นอกจากนี้อีกไม่นานก็จะตายแล้วจริง ๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงกลัวมาก“หึ”หนิงซงยิ้มและพูดว่า “เขาไม่กล้าหรอก อย่างไรก็ตาม…”…หลินจื่อโม่ไม่ได้ไปที่ประตูไช่ซื่อ ตอนที่ฉางยงถูกตัดศีรษะเขาได้กลับถึงวังแล้ว ขณะนี้กำลังให้หวังชิงร่างพระบรมราชโองการเพื่อส่งไปหลายที่ให้กรมคลังจัดสรรเงินซื้อธัญญาหาร พรุ่งนี้เช้าตั้งซุ้มแจกข้าวต้มที่นอกเมืองให้กรมโยธาจัดซื้อไม้ สร้างซุ้มไม้ที่นอกเมือง เพื่อเป็นที่พักให้ผู้ประสบภัยให้สำนักหมอหลวงเตรียมกำลังคน เพื่อตรวจโรคและจ่ายยาขณะที่กำลังแจกจ่ายข้าวต้มพรุ่งนี้ ป้องกันการเกิดโรคระบาดพระราชโองการส่งถึงแต่ละกรมทีละฉบับ ๆ แล้ว หลินจื่อโม่ถึงค่อยโล่งใจเขตประสบภัยทุกแห่งจะได้รับกา
เซี่ยเฟิ่งชิงฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามเขาไว้ เพียงแต่พยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ได้เพคะ แต่อย่างไรก็รีบกลับมาพักผ่อนนะเพคะ ฝ่าบาทไม่ได้บรรทมมาทั้งคืนแล้ว”หลินจื่อโม่ตบมือนางเบา ๆ เข้าไปใกล้นางแล้วจูบปากแดง ๆ เล็ก ๆ นั้นหนึ่งที เปิดประตู ก้าวเท้าออกไปเขายิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย“หวังชิง”“กระหม่อมพร้อมรับพระบัญชา”“เคลื่อนขบวนเสด็จไปตำหนักอี้เยว่!”ราชรถตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลินจื่อโม่กำลังจะขึ้นไปนั่ง สวีต้าชุนก็นำหนังสือเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเข้ามาถวาย“ฝ่าบาท เหวินป๋อจงอดีตผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายขวากรมขุนนางยอมรับเรื่องการรับสินบนทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ในบ้านเขายึดได้เงิน 800,000 ตำลึง โฉนดบ้าน 13 ฉบับ โฉนดที่ดิน 200 กว่าไร่ แก้วแหวนอัญมณี วัตถุโบราณ ภาพวาดภาพเขียนต่าง ๆ ที่เหลือระบุไว้อย่างละเอียดแล้วทั้งหมด ขอเชิญทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”หลินจื่อโม่ชะงักครู่หนึ่ง รับบัญชีรายการมาดูคร่าว ๆ แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เป็นตัวบ่อนทำลายตัวดีจริง ๆ สิ่งของเหล่านี้เราให้เจ้าจัดการ รีบขายให้เร็วที่สุด เราต้องการแต่เงิน เดี๋ยวเอาเงินที่ยึดมาได้จากบ้านนี้ บ้านฉางยง บ้านตระกูลสิง แล้วก็บ้านสวีเหลียงส่งเข้า
นุ่มนวล ละมุนรู้สึกชา ๆ “ข้าต้องรู้สึกผิดไปเองแน่ ๆ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”ไม่ว่าอย่างไรนางไม่มีทางยอมรับเพราะว่าคืนนั้นนางก็ลองสัมผัสหน้าอกตัวเอง ยังลองบีบดูด้วยซ้ำ กลับไม่รู้สึกดีแบบนั้นหนิงไต้ซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฟันซี่เล็ก ๆ ขาวราวกับหอยเบี้ยที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันกัดกันดังกรอด ดูเหมือนว่า ถ้าหลินจื่อโม่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางจะกระโจนเข้าไปกัดเขาแรง ๆ หนึ่งที“สารเลว อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้า…”ทว่าความคิดของนางยังไม่ทันหยุดลง ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู“ฝ่าบาทเสด็จ!”“หา!”หนิงไต้ซีตกใจจนตัวสั่นทันทีทำไมเขามาล่ะ?จากนั้นนางกำนัลที่อยู่นอกประตูกราบบังคมทูลอย่างหวั่นเกรงและเร่งรีบว่า “ฝ่าบาท ไทเฮาทรงประชวร วันนี้ไม่สะดวก…อ๊า ฝ่าบาท…”เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูตำหนักถูกเปิดออกหลินจื่อโม่สาวเท้าเข้าไป อ้างความชอบธรรมว่า “ไทเฮาทรงประชวร ข้าเป็นพระโอรสจะไม่มาเยี่ยมได้อย่างไร? หลีกไป!”นางกำนัลสองคนกระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้แล้ว ตามติดไปอยากจะห้าม แต่ก็ไม่กล้าเดิมทีขันทีประจำตำหนักอี้เยว่นั้นกล้าห้าม เสียดายว่าถูกหลินจื่อโม่ปลิดชีพไปเสียแล้ว
หลินจื่อโม่ยิ้มยาหยี หน้าตาดูไม่มีพิษมีภัย “เราบอกแล้วมิใช่หรือว่ามีเรื่องอยากหารือกับเสด็จแม่ ท่านให้นางกำนัลสองคนนี้ออกไปก่อนดีกว่าไหม? คำพูดบางคำให้ไม่สะดวกจะให้พวกนางได้ยิน”หนิงไต้ซีใจเต้นตึกตัก นางอยากจะตะโกนเสียงดัง แต่มีดเล่มนั้นอยู่ในมือหลินจื่อโม่ แค่ยื่นมาก็จะบาดโดนตัวนางได้นางไม่กล้าเดิมพันว่าองครักษ์ที่อยู่นอกประตูจะเข้ามาช่วยนางได้เร็ว หรือนางจะตายเร็วกันแน่ จึงได้แต่ยอมจำนนประนีประนอม“พวกเจ้า…ออกไป”นางสั่งเสียงสั่นเครือ แอบภาวนาในใจว่านางกำนัลทั้งสองจะมองเห็นมีดในมือหลินจื่อโม่ แล้วจะไปเรียกองครักษ์มาอย่างฉับไว“เพคะ”น่าเสียดายที่แผนของนางไม่สำเร็จนางกำนัลสองคนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติเลย ถอยออกไปแต่โดยดี และยังปิดประตูตำหนักให้ด้วยหนิงไต้ซีอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ตอนนี้ยิ่งวิตกกังวลจนไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว“เจ้าเก็บมีดให้ดี ๆ ได้หรือไม่”หลินจื่อโม่เหมือนจะไม่ได้ยิน พูดแต่เรื่องตัวเองว่า “เรามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาขอของสิ่งหนึ่งจากเสด็จแม่”“ของ…ของอะไร?”หลินจื่อโม่ไม่ตอบ แต่ยื่นมือลงไปลูบไล้เท้าเรียวสวยคู่นั้นอันงามละเอียดดุจหยก และพึมพำเบา ๆ ว่
“ได้เลย ท่านลงโทษเรา เราก็ลงโทษท่าน เกมที่สนุกขนาดนี้ แค่คิดก็…ตื่นเต้นเสียจริง ๆ”หลินจื่อโม่ยังคงยิ้ม โอบหนิงไต้ซีไว้ไม่ปล่อย สัมผัสความรู้สึกอันนุ่มนวลราวกับไม่มีกระดูกนั้นอย่างเต็มที่หนิงไต้ซีนั่งไม่ติดเหมือนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยหนาม อยากจะผละออกอีกครั้ง แต่ก็ถูกดึงกลับมาอย่างรุนแรง“อย่ารีบสิเสด็จแม่ ท่านดูสิ เราพกมีดหายากมาด้วยเล่มหนึ่ง ตั้งใจอยากให้ท่านชื่นชมประเมินค่าเสียหน่อย”หลินจื่อโม่พูดที่ข้างหูนางเบา ๆ ทำให้นางขนลุกซู่ที่คอทุกอณูเสียงชิ้งดังขึ้น ฝักมีดตกลงบนพื้น เผยให้เห็นมีดสั้นสีดำทึบไร้เงาหนิงไต้ซีตกใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง พูดเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท เจ้า…เจ้าอย่าวู่วาม มาตุฆาตถือเป็นความอกตัญญูอย่างมหันต์ ไม่สิ เป็นการขัดต่อหลักมนุษยธรรม บรรดาขุนนางจะไม่ยอมรับเจ้า!”“มาตุฆาต? จะเป็นไปได้อย่างไร เราชอบเสด็จแม่เสียขนาดนั้น จริงนะเสด็จแม่ ก็แค่ให้ท่านชื่นชมประเมินค่ามันเท่านั้นเอง”ในใจหลินจื่อโม่ขำจนแทบบ้า สวมบทคนโรคจิตครั้งแรกในชีวิต ก็เหมือนจะสมบทบาทไม่เบาเพื่อให้ดูสมจริง เขาเอามีดเข้าไปใกล้หน้าอกหนิงไต้ซีอย่างช้า ๆ คมมีดลากไปเบา ๆ บนเสื้อคลุมตัวนั้น“ท่าน
“เจ้า! หยาบช้า!”หนิงไต้ซีคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป หน้าแดงก่ำ มือถือกระบี่ยาว หายใจแรง เหมือนมีแรงกระตุ้นให้แทงได้ทุกเมื่อ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าไม่มึนศีรษะแล้ว หลังจากที่ตื่นตระหนกตกใจและถูกหลู่เกียรติให้อับอาย อาการป่วยของนางก็เหมือนจะหายดี มีกำลังวังชาขึ้นมาไม่น้อยในพริบตาดังนั้นนางยิ่งอยากสู้ตายกับหลินจื่อโม่แล้วหลินจื่อโม่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไทเฮาอยากจะประลองกระบี่กับเราหรือ? เลิกล้มเสียเถอะ ท่านเอาชนะกระบี่วิเศษของเราไม่ได้หรอก”เวลานี้เอง ก็มีเสียงหวานจ๋อยดังมาจากนอกประตู “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์มาแล้วเพคะ เข้าไปได้ไหม?”หลินจื่อโม่ตะลึง เสียงนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่เพียงไม่นาน เขาก็บอกได้ว่าเป็นใครจากการเรียกชื่อจีฉู่อวี้ องค์หญิงจิ้นหยาง พระธิดาเพียงคนเดียวของฮ่องเต้เซวียนเจิ้ง น้องสาวคนเดียวของจีจิ่งเหวิน“ฮึ่ย!”หลินจื่อโม่เจ็บจี๊ดขึ้นมา องค์หญิงนี่มาผิดเวลาจริง ๆ เดิมทีเขายังอยากจะแกล้งหนิงไต้ซีต่ออีกหน่อยดังนั้น บรรยากาศแปลกประหลาดในตำหนักที่มีทั้งความคุกรุ่นและความอึดอัดคลุมเครือปะปนกันถูกทำลายในพริบตาหนิงไต้ซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เปลี่ยนจากใบหน้าท
หนิงไต้ซีเบิกตากว้างทันที มองดูหลินจื่อโม่ด้วยสีหน้าตะลึงงันกินอะไรผิดมาหรือ? คำพูดเมื่อกี้เจ้าเป็นคนพูดหรือ? เจ้าเคยสังเกตจิ้นหยางเมื่อไรกัน?องค์หญิงจิ้นหยางก็อึ้งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนางเด็ก ๆ เสด็จพี่ฮ่องเต้รักและตามใจนางจริง แต่ว่าตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์แล้วนิสัยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียวแล้วแต่วันนี้กลับพูดว่าไม่มีทางลืมนาง? และยังบอกว่านางซูบลง?นางตอบสนองเร็วมาก ใบหน้านางเบิกบานอีกครั้งทันที พุ่งเข้ามากอดแขนหลินจื่อโม่ “หื้ม ๆ เสด็จพี่ดีที่สุดเลย!”ในใจหลินจื่อโม่ถึงกับสั่นไหวโอ้พระเจ้า เห็นอายุยังน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเก็บอาการเก่งขนาดนี้องค์หญิงมาแล้ว ก็แกล้งหยอกไทเฮาไม่ได้แล้ว แต่หลินจื่อโม่ก็พอใจแล้ว วันหลังค่อยว่ากัน วันหลังค่อยว่ากัน“เอาละ ในเมื่ออวี้เออร์มาแล้ว ก็คุยเป็นเพื่อนเสด็จแม่ไปนะ เรายังมีธุระ ขอตัวก่อนละ”หลินจื่อโม่ชักแขนออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ทอดถอนใจเบา ๆ ที่ต้องจากไปองค์หญิงจิ้นหยางพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “อวี้เอ๋อร์ถวายพระพรลาเสด็จพี่เพคะ เสด็จพี่คราวหน้ามีเวลาอย่าลืมหาเล่นกับอวี้เออร์นะเพคะ”หนิงไต้ซีถอนหายใจยาว ๆ ใ