“ถ้าจับไอ้หัวขโมยนั่นได้ผมจะเค้นเอาชิปกลับมาและฆ่ามันทิ้งด้วยตัวผมเอง!”
เสียงหนักลอดไรฟันจากใบหน้าที่กรามถูกขบจนนูนเป็นสันของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดภายในห้องเล็กแคบที่เขายืนอยู่หัวโต๊ะรายล้อมด้วยชายอีกหกคนซึ่งก็มีสีหน้าเข้มเครียดพอกัน นัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องผ่านกระจกนิรภัยไปยังอีกห้องที่เครื่องเร่งอนุภาคแบบไซโคลตรอนวางแน่นิ่งอยู่
วันนี้ถือว่าเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้สำหรับแดเนียล นักธุรกิจหนุ่มอายุสามสิบห้าปีเจ้าของความสูง 185 เซ็นติเมตรทายาทตระกูลไพรซ์ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากขุนนางในตระกูลอันเก่าแก่และมั่งคั่งทางด้านอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในอเมริกา
เขาต้องเรียกประชุมนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ทั้งหกมาพร้อมหน้ากันในห้องทำงานซึ่งอยู่ติดกับห้องปฏิบัติการที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลับ ๆ ใต้คฤหาสน์ไพรซ์อันโอฬารที่กินเนื้อที่กว่าแปดร้อยเอเคอร์ย่านชานเมืองแถบซานตา โมนิกาของลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอเนียเพื่อจะรับรู้ว่าข้อมูลการค้นพบอะตอมของธาตุลำดับที่ 119 ซึ่งทั้งหมดร่วมกันทำการวิจัยและทดลองอย่างยิ่งยวดจนได้มานั้นถูกจารกรรมไปเมื่อคืนนี้ แดเนียลถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าขณะมองไปยังเอกสารกองพะเนินตรงหน้าก่อนตบโต๊ะเสียงดัง
“บ้าเอ๊ย!...เราค้นพบมันแล้ว เกาะแห่งความเสถียรนั่น”
“ใช่...แดน เราค้นพบมัน แต่ก็มีคนมารู้การทดลองที่เราเก็บไว้เป็นความลับอย่างดีนี้ด้วย คุณคิดว่า...คุณสงสัยใคร?”
มอโรว์ ชายร่างสูงผิวสองสีอายุประมาณสามสิบห้าซึ่งเป็นหนึ่งในทีมนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ถามขึ้นขณะหรี่ตาลง
“มีเบาะแสแค่เล็กน้อยเท่านั้น คือมันปลอมตัวเข้ามาที่นี่ ...จีน่า แม่บ้านของผมถูกวางยาสลบและถูกมัดไว้หลังคฤหาสน์ แต่มันทำทุกอย่างได้แนบเนียนมาก ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ รื้อค้น หรือแม้แต่ชิปข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ก็หายไปเหมือนไม่มีใครเข้ามาที่นี่”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมันล่องหนได้คุณก็คงสงสัยพวกเราหนึ่งในหก...ไม่คนใดก็คนหนึ่ง”
นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์คนเดิมพูดต่อ แต่มุขขบขันไม่ได้ทำให้ทุกคนในที่นั้นยิ้มออกมาได้ แดเนียลไหวไหล่ก่อนเสยผมสีน้ำตาลเข้มขลับอย่างเครียด ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อเถอะว่าอาจเป็นผมที่จัดฉากเพื่อจะได้ครอบครองข้อมูลการค้นพบธาตุชนิดใหม่ของโลกเพียงคนเดียวก็เป็นได้ หรือคุณคิดว่ายังไงล่ะ มอโรว์?”
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายถามกลับไปก่อนค้ำยันมือหนาใหญ่ทั้งสองไว้บนโต๊ะ ทุกคนเงียบกันไปอีกพักใหญ่ในบรรยากาศอึมครึมก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงของชายคนหนึ่งในชุดลำลองพร้อมแล็ปท็อปขนาดเล็ก เขาหันไปพยักหน้าให้บอดี้การ์ดร่างยักษ์ก่อนประตูจะถูกปิดลง
“สวัสดีครับ คุณแดเนียล”
ชายหนุ่มใบหน้าคมสันใต้กรอบเรือนผมหยักศกสีทองสว่างกล่าวทักพร้อมทั้งยิ้มให้ทุกคนในที่นั้น
“สวัสดีคุณเออร์วิ่ง” แดเนียลทักตอบก่อนหันไปยังทุกคนในที่นั้น
“ทุกคนครับ ผมขอแนะนำให้รู้จักคุณเออร์วิ่ง ซีเมียน เขาเป็นนักสืบที่ผมเรียกให้มาช่วยสืบเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืน”
“และผมก็ได้ข้อมูลที่คุณต้องการครับ แดเนียล อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าเธอคือใคร”
“เธออย่างนั้นหรือ?”
ปื้นคิ้วหนาบนใบหน้าคร้ามคมขมวดมุ่นแสดงความฉงนต่อคำพูดของผู้มาใหม่ เออร์วิ่งก้าวช้า ๆ ผ่านทุกคนที่นั่งอยู่ไปยืนเคียงข้างแดเนียลที่หัวโต๊ะก่อนวางแล็ปท็อปลงและเปิดมันขณะให้คำอธิบาย
“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผมพยายามสืบหาทุกอย่างเท่าที่ผมจะพบได้จากห้องปฏิบัติการที่มีระบบป้องกันภัยแน่นหนาของคุณ...แต่ไม่พบอะไรเลยทั้งเส้นผม ลายนิ้วมือหรือแม้แต่ร่องรอยบางอย่างที่อาจตกหล่นอยู่ในห้องทำงานหรือห้องทดลองที่มีเครื่องไซโคลตรอนตั้งอยู่ แต่ผมกลับพบเบาะแสบางอย่างที่กล้องวงจรปิดในบ้านของคุณจับภาพเอาไว้ได้ นั่นคือสัญลักษณ์ตัวอักษร เอส กลับหัวเล็ก ๆ บนต้นคอของแม่บ้านตอนเธอเดินผ่านห้องโถงออกมาตอนเที่ยงคืน”
“คุณกำลังจะบอกอะไรกับผมอย่างนั้นหรือ เออร์วิ่ง?”
“ผมแค่อยากจะบอกคุณว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่โจรธรรมดาที่แค่อยากขโมยข้อมูลของคุณเพราะอยากมีชื่อเสียง แต่มันเป็นแผนขององค์กรลับที่มีเครือข่ายอันตรายมาก”
“องค์กรลับ...”
“ใช่ครับ...แดเนียล และคุณก็รู้ดีว่าคุณได้ค้นพบอะไร ถึงผมจะไม่ใช่อัจฉริยะทางด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์แต่ก็พอจะรู้ว่าการค้นพบธาตุลำดับที่ 94 หรือพลูโทเนียมทำให้สหรัฐสามารถพัฒนาระเบิดปรมณูลูกแรกได้ และไซออนเนตก็เช่นเดียวกัน พวกเขาอาจไม่ใช่อัจฉริยะด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์เหมือนผม แต่เขารู้วิธีการต่อยอดว่าทำยังไงถึงจะใช้ธาตุชนิดใหม่ที่พวกคุณเพิ่งค้นพบไปพัฒนาเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างร้ายแรงยิ่งกว่านิวเคลียร์”
“พระเจ้า! เออร์วิ่ง คุณรีบบอกพวกเรามาเถอะว่าไอ้หัวขโมยนั่นมันเป็นใครกันแน่”มอโรว์เป็นฝ่ายถามอย่างร้อนใจ เขาก็เหมือนกับอีกหลายคนในที่นั้นซึ่งนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ทว่าตรงข้ามกับแดเนียลที่แม้เคร่งเครียดมากกว่าใคร ๆ แต่เขากลับมีทีท่าเยือกเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด“เออร์วิ่ง...ผมไม่รู้ว่านี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เรายังไม่ได้แจ้งให้คณะกรรมาธิการร่วมของสหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศรู้เรื่องนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือเราโชคดีที่มีคุณ”“ผมตั้งใจกับงานทุกอย่างที่ได้รับอยู่แล้วครับ คุณแดเนียล”เออร์วิ่งกล่าวก่อนเคาะปลายนิ้วลงบนแล็ปท็อปให้หน้าจอมอนิเตอร์แสดงใบหน้าตรงของหญิงสาวผมยาวดำขลับตัดกับสีนัยน์ตาประกายน้ำตาลแกมเขียวสว่าง จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากอิ่มเผยอเล็กน้อยบนโครงหน้ารูปไข่“ผู้หญิงคนนี้เป็นสายลับมือหนึ่งที่เข้ามาฉกข้อมูลลับของคุณถึงในคฤหาสน์ไพรซ์ เธอทำงานให้กับไซออนเนต...มันเป็นองค์กรลับที่มีเครือข่ายอยู่ในอเมริกาและยังเชื่อมโยงกับพวกผลิตอาวุธและนักค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ น่าแปลกที่ไซออนเนตเหมือนไม่มีความซับซ้อนอย่างองค์กรลับทั่วไป แต่กลับเข้าถึงได้ยาก เป็นองค์กรที่ดูสะอาดแต
“คุณมาช้าไปยี่สิบห้านาทีค่ะ เฟลรอฟ”หญิงสาวติติงด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบขณะบริกรเดินเข้ามาเพื่อรับออเดอร์“เอสเปรซโซ่ที่หนึ่ง...ขอเข้ม ๆ เลยนะ”เฟลรอฟ ชายร่างสูงใหญ่เชื้อสายรัสเซียสั่งก่อนหันมายังเจ้าของใบหน้ารูปไข่สวยคม โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลแกมเขียวใสสว่างที่จ้องเขาแทบไม่กระพริบ“ขอโทษทีที่ทำให้รอนาน ผมกำลังรับคำสั่งจากนายใหญ่ เขาตื่นเต้นมากที่ภารกิจของคุณประสบความสำเร็จ”เฟลรอฟกล่าวยิ้มแย้มขณะประสานมือหนาทั้งสองบนโต๊ะ เขามีท่าทีที่ดูเป็นมิตร แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่อลินทิราเริ่มจับสังเกตุจากประกายตาคู่นั้นซึ่งไม่มีวันเก็บงำอารมณ์ได้เช่นรอยยิ้ม“ฉันทำตามหน้าที่ค่ะ และตอนนี้ทุกอย่างก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี”“น่าชื่นชม...ผมรู้สึกชื่นชมความสามารถของคุณมากจริง ๆ ออโซลย่า...ห้องปฏิบัติการด้านฟิสิกส์ในคฤหาสน์ไพรซ์มีระบบความปลอดภัยแน่นหนามาก แต่คุณก็ทำได้ คุณเข้าไปเอาข้อมูลที่นายใหญ่ของเราต้องการออกมาได้ ผมเคยพบกับแดเนียล ไพรซ์ เจ้าของคฤหาสน์ เขาเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทั้งหล่อเหลาและฉลาดหลักแหลม ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังแดเนียลคือนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์มือฉกาจและเขาก็เก็บเรื่องนี
ไซออนเนตหักหลังเธอและคงต้องส่งคนออกตามล่าหากรู้ว่านักฆ่าขององค์กรถูกเธอฆ่าทิ้ง สาวสวยลูกครึ่งไทย เวเนซูเอล่ามิได้ยินดีต่อการก่ออาชญากรรมใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เธอจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง เธอก็เป็นแค่สายลับที่ตั้งใจทำงานให้องค์กรด้วยความสัตย์ซื่อเสมอมา อลินทิราไม่เคยทำงานพลาดและทุกคนให้การยอมรับเธอในฐานะของ ออโซลย่า สายลับสาวแห่งไซออนเนต ทว่านานเข้าความไม่ชอบมาพากลทำให้เธอต้องถอนตัวออกมา แม้จะรู้ว่าทุกอย่างอาจสายเกินไปก็ตามหญิงสาวตั้งความหวังไว้ว่าจะทำภารกิจสุดท้ายคือการจารกรรมข้อมูลจากห้องปฏิบัติการทดลองด้านฟิสิกส์ในคฤหาสน์ไพรซ์เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรหากแต่สิ่งนั้นก็มีมูลค่าตอบแทนสูงถึงยี่สิบล้านดอลล่าห์และเพื่อแลกกับอิสรภาพจากการเป็นสายลับที่ทำงานให้องค์กรมาจนตอนนี้เธอมีอายุครบยี่สิบหกปี และเมื่อเหตุการณ์พลิกผันเธอจึงคิดได้อย่างเดียวเท่านั้นคือการมุ่งหน้ากลับไปหาแม่บุญธรรมที่รัฐยูทาการเดินทางไกลกว่าพันเก้าร้อยไมล์จากท่าอาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ในกรุงนิวยอร์คเพื่อมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตกของอเมริกาซึ่งที่หมายคือรัฐยูทาห์เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับอลินทิราที่เปลี่ยนแปลงชื่อสกุลตัวเองในปฏ
บทเพลงคันทรี่ที่ดังจากวิทยุตลอดเวลาทำให้คนขับรถคาดิลแล็ครุ่นเก่ามาตลอดเส้นทางซึ่งขนาบข้างด้วยทิวทัศน์ของทุ่งทรายปกคลุมด้วยหญ้าบนแผ่นดินกว้างและหุบผาแปลกตาไม่ได้รู้สึกอ้างว้างแต่อย่างใด หญิงสาวเต็มไปด้วยความหวังมากมายว่าเธอจะกลับไปดูแลหญิงอันเป็นที่รักในบั้นปลายชีวิตหากเธอไม่เห็นว่ามีรถเอสยูวีสีดำสนิทวิ่งตามมาห่าง ๆ นานนับชั่วโมงแล้ว“โอ...ให้ตายสิ!”อลินทิราอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อละสายตาจากถนนด้านหน้าไปยังกระจกมองหลัง สัญชาติญาณบอกเธอถึงความไม่ปกติ หากจำไม่ผิดรถคันนี้ก็วิ่งตามหลังเธอมาตลอดตั้งแต่ออกจากซอลท์เลคซิตี้หรืออาจเป็นคนของไซออนเนต? หรืออาจเป็นพวกเอฟบีไอตามแกะรอยเธอมาจากนิวยอร์ค? แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเธอก็ต้องรีบปลีกห่างให้ไกลจากรถเจ้าปัญหาคั้นนั้น“ออโซลย่า...คิดสิ...เธอต้องทำอะไรสักอย่าง” หญิงสาวท่องเหมือนคนเสียสติ ความหวังกำลังละลายเหมือนน้ำแข็งด้วยความร้อนรุ่มที่รุมเร้าข้างใน และท้ายที่สุดเธอก็หักพวงมาลัยรถคาดิลแล็ครุ่นเก่าแล่นไปตามป้ายบอกทางCanyonlands National Parkอลินทิราเหยียบคันเร่งจนมิดเข็มไมล์เพื่อพารถของเธอมุ่งไปตามเส้นทางของอุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ หญิงสาวสังเกตเห็