สามพี่น้องเข็นรถเข็นที่ใส่หมูที่จะนำมาเป็นสินสอดเอาไว้ เมื่อเดินมาถึงบ้านตระกูลเหลียนอวิ๋นเซียวเรียกแม่เฒ่าเหลียนอยู่หน้าบ้าน
“ท่านยายเหลียนขอรับ ท่านยายเหลียนอยู่หรือไม่ขอรับ” อวิ๋นเซียว
“อยู่ ๆ ใครมาล่ะนั่น อ้าวอาเซียวกับน้อง ๆ เองหรือ เข้ามาก่อนสิ แล้วนี่เอาอะไรมาเยอะแยะ” แม่เฒ่าเหลียนมองดูรถเข็นที่มีหมูป่าตัวใหญ่ทั้งยังมีไข่ไก่ป่า กระต่ายป่าและไก่ป่าอีกจำนวนหนึ่ง
“เอ่อ คือ.. คือว่าข้าเองก็ไม่ได้มีเงินทองข้าเลยนำของทั้งหมดนี้มาเป็นสินสอดเพื่อสู่ขอภรรยาขอรับ หวังว่าท่านยายจะไม่รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ ยายไม่รังเกียจเลย ขอบใจเจ้ามากนะ หมูป่าไม่ใช่จะล่ากันได้ง่าย ๆ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของอาเซียวที่มีต่ออาโหยวแล้ว”
“ขอบพระคุณท่านยายมากขอรับ เช่นนั้นวันนี้ข้าสามารถรับตัวภรรยากลับไปได้เลยหรือไม่” อวิ๋นเซียว
“จะดีหรืออาโหยวยังไม่หายดีเลย จะลำบากให้พวกเจ้าต้องมานั่งดูแลนางหรือไม่” แม่เฒ่าเหลียน
“ไม่ลำบากขอรับ ข้าจะดูแลนางอย่างดี”
“เช่นนั้นเข้ามาคุยกันในบ้านเถิด จะได้พูดคุยทำความรู้จักกับพ่อตาแม่ยายและน้อง ๆ ของอาโหยวด้วย”
“ขอรับท่านยาย”
“อี้ปิง เจี้ยนป๋อ มายกของเข้าไปเก็บในบ้านช่วยอาเซียวหน่อย ส่วนพวกเจ้าตามข้าเข้าไปนั่งในบ้านก่อน” แม่เฒ่าเหลียนเรียกลูกชายและลูกเขยออกมาช่วยอวิ๋นเซียวยกของไปเก็บในบ้าน
หลังจากที่ทุกคนมากันครบพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วขาดเพียงแค่เว่ยจื้อโหยวที่ยังนอนอยู่ในห้อง พ่อเฒ่าเหลียนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับแปลงผักก็มาพร้อมกับเว่ยหย่งหมิงที่วิ่งไปตามผู้เป็นตา
“เอาล่ะทีนี้มากันครบทุกคนแล้ว บ้านสกุลเหลียนของพวกเราเจ้าเองคงรู้จักกันทุกคนอยู่แล้วคงไม่ต้องแนะนำอีก ส่วนทางนี้เว่ยเจี้ยนป๋อเป็นพ่อของอาโหยว แล้วก็แม่ของอาโหยวเหลี่ยนเหมยชิงซึ่งเป็นลูกสาวของยายเอง เด็กสองคนนี้เป็นน้องสาวของอาโหยว คนโตเว่ยหย่งหมิง ส่วนคนเล็กเว่ยหย่งคัง”
“คารวะท่านพ่อตาแม่ยายของรับ สวัสดีน้องชายภรรยา นี่คือน้องชายของข้าอวิ๋นซวนและน้องสาวอวิ๋นเฟยขอรับ” อวิ๋นเซียว
“คารวะท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ” อวิ๋นเฟย
“คารวะท่านลุงท่านป้าขอรับ” อวิ๋นซวน
“เจี้ยนป๋อ เหมยชิง อาเซียวอยากจะรับอาโหยวไปวันนี้พวกเจ้าจะว่าอย่างไร” แม่เฒ่าเหลียน
“พวกเขาไม่ขัดข้องขอรับท่านแม่ยาย” เจี้ยนป๋อ
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านพี่เจ้าค่ะ” เหมยชิง
“เช่นนั้นเจ้าไปเรียกอาโหยวให้ลุกขึ้นอาบน้ำผลัดผ้าเสีย เดี๋ยวแม่กับพี่สะใภ้ของเจ้าจะช่วยกันเตรียมของให้อาโหยว ส่วนตาเฒ่ากับอาปิงช่วยกันยกไปวางใส่รถเข็น” แม่เฒ่าเหลียนแจกแจงหน้าที่ของแต่ละคน
ใช้เวลาไม่นานสินเดิมที่เตรียมเอาไว้อย่างเร่งด่วนก็ถูกนำไปวางในรถเข็น เว่ยจื่อโหยวถูกผู้เป็นแม่ปลุกให้ลุกขึ้นอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบเร่งด่วน ถึงแม้ว่านางจะยังสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังทำตามคำของมารดาคือไปอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่ท่านแม่และป้าสะใภ้ของนางเร่งมือตัดเย็บขึ้น
“เอาล่ะอาโหยว สามีของลูกมารับแล้ว ต่อไปนี้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของลูกให้มีความสุข หากต้องการให้พ่อแม่ช่วยเหลืออันใดก็สามารถบอกกล่าวพ่อกับแม่ได้”
“เจ้าค่ะท่านแม่” เว่ยจื้อโหยวได้แต่รับคำของผู้เป็นแม่ในใจพลันก่นด่าอวิ๋นเซียวจะรีบอะไรขนาดนั้นนางยังไม่หายดีเลยด้วยซ้ำไป
“ท่านแม่ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้าพาอาโหยวมาแล้วเจ้าค่ะ ข้าวของเตรียมครบหรือยังเจ้าคะ”
“เรียบร้อยแล้วเหมยชิง ไปพวกเราไปส่งอาโหยวกัน” แม่เฒ่าเหลียน
“ส่งนางให้ข้าเถอะขอรับท่านยาย” อวิ๋นเซียว
แม่เฒ่าเหลียนส่งหลานสาวถึงมืออวิ๋นเซียว เขาอุ้มนางขึ้นนั่งบนรถเข็นที่เขาจัดแบ่งพื้นที่เอาไว้จากนั้นเขาและน้องชายจึงได้กล่าวลาครอบครัวภรรยาและพาน้องชายน้องสาวเข็นรถกลับบ้านของพวกเขาไป
เว่ยจื้อโหยวคิดว่ามันแหวกแนวไปหน่อยไหม ไม่ใช่ว่าเวลาแต่งงานเจ้าบ่าวต้องเอาเกี้ยวมารับเจ้าสาวหรือเอารถม้ามารับหรอกหรือ เหตุใดสามีหมาด ๆ ของนางถึงได้เอารถเข็นมารับกันเล่า
“พี่ใหญ่พี่สะใภ้สวยมาก” อวิ๋นเฟย
“อืม ต่อไปเจ้าต้องดูแลนางให้ดีนางไม่สบายยังไม่หายดี” อวิ๋นเซียว
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะเวลาไม่รอช้าแล้วอาเซียวพวกเราฝากอาโหยวด้วย” แม่เฒ่าเหลียน
“พี่ใหญ่ หากว่าพี่เขยทำไม่ดีต่อท่าน ท่านก็กลับมาหาพวกเรานะขอรับ” เว่ยหย่งหมิง
“ข้าจะดูแลนางให้ดีที่สุดขอรับ ข้าลาล่ะ”
จากนั้นเขาก็เข็นรถที่มีเว่ยจื้อโหยวนั่งอยู่ นางมีใบหน้าที่ซีดเซียวแต่ทว่าอาการเจ็บป่วยไม่สามารถกลบความงามของนางไปได้ ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านอวิ๋นเซียวเข็นรถเดินนำหน้าน้องสาวและน้องชายพาภรรยากลับบ้านพร้อมทั้งสินเดิมของนาง
“ไอ้โหยว ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าหนุ่มบ้านอวิ๋นจะเอาหมูป่าไปสู่ขอภรรยาจริง ๆ แถมยังได้ภรรยาคนงามกลับมาเสียด้วย” ชาวบ้านหนึ่ง
“นั่นน่ะซี ข้าว่านะเจ้าหนุ่มนี่ชาติที่แล้วคงทำบุญมาไม่น้อย ถึงชาตินี้จะโชคร้ายอยู่บ้างที่ต้องมีญาติร้ายกาจเช่นนางเฉียนซื่อแต่ยังโชคดีได้ภรรยาคนงามแต่งเข้าบ้าน” ชาวบ้านสอง
อวิ๋นเซียวเข็นรถที่เต็มไปด้วยข้าวของและภรรยาหมาด ๆ เร่งฝีเท้าเดินมุ่งหน้าหลับบ้าน โดยไม่สนใจต่อเสียงซุบซิบนินทา ด้านนางเฉียนซื่อพอได้ยินชาวบ้านพูดถึงเรื่องที่อวิ๋นเซียวนำสัตว์ป่าไปเป็นสินสอดสู่ขอภรรยาก็ได้แต่ก่นด่าสาปแช่ง
เสียดายหมูป่าและยิ่งแค้นเคืองอวิ๋นเซียวกับน้อง ๆ หมูป่าเชียวนะหากนางสามารถเอามาได้จากพวกเด็กเหลือขอพวกนั้นมันจะต้องทำเงินให้นางมากมายเป็นแน่
นางเฉียนซื่อหมายมาดในใจว่านางจะต้องแย่งกำจัดเจ้าพวกนั้นไปให้ได้ พ่อแม่พวกมันตายไปแล้วยังหลงเหลือลูกของพวกมันนางจะต้องหาทางเอาเด็กเหลือขอสองคนนั้นขายให้พ่อค้าทาสเท่านี้ก็จะหมดเสี้ยนหนามตำใจของนาง
รอก่อนเถอะรอให้ถึงเวลาที่พี่ชายของพวกมันถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเสียก่อนเถอะ ส่วนเมียที่เพิ่งแต่งเข้ามาของมันนางจะจับขายไปเสียด้วยกัน ยิ่งคิดนางเฉียนซื่อก็ยิ่งแค้น ใครใช้ให้พวกมันเกิดมาเป็นลูกของผู้หญิงที่นางเกลียดสุดหัวใจกันล่ะ
เว่ยจื้อโหยวนั่งมาในรถเข็นแบบงง ๆ ถึงตอนนี้ยังคงไม่เข้าใจการแต่งงานมันง่ายขนาดนี้เลยหรือ ไม่ต้องมีแม่สื่อมาสู่ขอ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยง เพียงแค่เอาสินสอดมาแล้วก็รับเอาภรรยากลับไปเช่นนี้ก็ได้หรือ แถมยังสายตาและคำนินทาของชาวบ้านตลอดทางที่ผ่านมาอีกล่ะ
แต่ช่างเรื่องของคำนินทาไปก่อนเถอะ ร่างนี้อายุเพิ่งจะ 17 ยังไม่ถึง 18 เลย แต่ว่าสามีก็หล่อจริง ๆ นะ ถึงแม้ว่าจะยากจนไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ไหน ๆ ก็มีสามีหล่นใส่หัวแล้วนางก็จะเต็มใจรับเอาไว้ก็ได้ เด็กสองคนก็ถือว่าหน้าตาดีมากเพียงแต่ผอมไปหน่อยหลังจากนี้ก็ถึงเวลาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ได้รับมา
เว่ยจื้อโหยวที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนมาถึงถึงบ้านของอวิ๋นเซียว เขาจอดรถเข็นและอุ้มนางเข้าบ้าน หลังจากที่อุ้มภรรยาไปนอนบนเตียงในห้องนอนอันคับแคบของเขาแล้ว เขาก็ออกมาช่วยน้องชายน้องสาวขนสินเดิมของภรรยาเข้าบ้าน
“อดทนหน่อยนะอาโหยว ที่นี่ออกจะคับแคบไปหน่อย แต่ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดี ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมากเจ้านอนพักผ่อนก่อน ตื่นมาจะได้กินข้าว”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าพักผ่อนเถอะข้าจะออกไปตุ๋นน้ำแกงไก่เอาไว้ให้เจ้าบำรุงร่างกาย”
“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ”
“ข้าเต็มใจ” อวิ๋นเซียวตอบออกไปพร้อมกับหน้าแดง เขาไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะงดงามปานนี้ ในใจก็กลัวว่านางจะไม่ยินดีและรังเกียจที่เขายากจนแต่ดูแล้วนางคงเต็มใจแต่งให้เขาจริง ๆ หาใช่โดนบังคับหรือจำใจแต่งให้เขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตกไปเป็นอนุของเศรษฐีเฒ่า
อวิ๋นเซียวปล่อยให้ภรรยาหมาด ๆ ได้นอนพักผ่อน จากนั้นเขาเข้าครัวนำไก่ป่าที่ล่ามาได้ไปตุ๋นเป็นน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายภรรยา เขาได้แต่หวังว่าจะหาเงินได้เพียงพอที่จะจ่ายให้กับทางการจะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่เงินตั้ง 10 ตำลึงทอง เขาจะไปหาทันได้ยังไงกัน
เว่ยจื้อโหยวหลับไปจนถึงพลบค่ำนางตื่นขึ้นมาเพราะอวิ๋นเซียวเรียกให้นางลุกขึ้นมากินข้าวหลังจากที่นางกินน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายแล้วอวิ๋นเซียวให้นางดื่มยาต่อทันที จากนั้นเขายกน้ำเข้ามาให้นางเช็ดตัวแล้วค่อยปล่อยให้นางนอนต่อ
เวลาผ่านไปแล้ว 7 วันนับตั้งแต่เว่ยจื้อโหยวแต่งเข้ามาเป็นภรรยาอวิ๋นเซียว ตอนนี้ร่างกายของนางหายดีแล้ว ทุกวันอวิ๋นเซียวจะเข้าป่าล่าสัตว์และนำสัตว์ป่าที่ได้มาไปขายแลกเงิน
จากนั้นก็ซื้อข้าวสารและเครื่องปรุงต่าง ๆ กลับมา ส่วนน้องชายน้องสาวทำงานบ้านและดูแลแปลงผักเล็ก ๆ หลังบ้าน นางได้รับการเอาใจใส่จากอวิ๋นเซียวและน้องสาวน้องชาย เขาดูแลนางอย่างดีดังเช่นที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้กับครอบครัวของนาง แต่ผ่านมาแล้ว 7 วัน นางยังไม่ได้เข้าหอเลยแล้วแบบนี้จะเรียกว่าเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร
วันนี้เว่ยจื้อโหยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส นับตั้งแต่นางแต่งให้อวิ๋นเซียวเขาดูแลนางอย่างดีจนถึงตอนนี้อาการป่วยของนางหายสนิทแล้ว นางจึงมีความคิดว่าจะสำรวจพื้นที่รอบ ๆ บ้านของสามีและพรุ่งนี้จะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมแต่งงานมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่นางยังบริสุทธิ์ผุดผ่องถึงแม้ว่านางจะร่วมห้องกับสามีแต่หาได้มีการร่วมหอไม่ จนนางสงสัยว่าเจ้าสามีหน้าเดียวของนางเป็นตอไม้หรือไม่หรือนางไม่มีเสน่ห์พอเว่ยจื้อโหยวไม่มีทางรู้เลยว่าตลอดเวลาอวิ๋นเซียวนั้นต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้เพียงใด เพราะภรรยาของเขาป่วยและร่างกายของนางบาดเจ็บเขาสู้อดทนอดกลั้นแต่ถ้าหากเขารู้ว่าภรรยาคนงามของเขากล่าวหาว่าเขาเป็นตอไม้แล้วล่ะก็เขาคงได้แต่เสียใจที่ปล่อยนางเอาไว้จนถึงวันนี้ “ยังเช้าอยู่เลยเจ้านอนอีกหน่อยเถอะ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงเดี๋ยวจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อวิ๋นเซียว“ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านอย่าทำเหมือนข้าอ่อนแอเจ็บป่วยง่ายสิเจ้าคะ ครั้งนี้ที่ข้าล้มป่วยมีสาเหตุมาจากอะไรไม่ใช่ท่านไม่รู้นี่เจ้าคะ” เว่ยจื้อโหยวมองค้อนให้สามี“ได้ ๆ ข้าตามใจเจ้า แต่อย่าทำอะไรให้ตัวเองต้องเหนื่อย หากข้าไม่อยู่ฝากเจ้าดูแลน้องชายน้องสาวด้วยนะ
หลังจากที่เตรียมของเสร็จแล้วทั้ง 4 คนก็พร้อมใจกันเดินขึ้นเขาไปทันที จื้อโหยวนั้นแม้ในใจจะแอบบ่นก่นด่าพระเจ้าอยู่ไม่น้อยที่ให้นางตายไปแล้วก็ไม่ให้ตายไปเลยหรือเกิดใหม่ทั้งทีแต่ไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กทารกแต่ให้มาอยู่ในร่างคนที่บังเอิญมีชื่อแซ่เดียวกับตัวเอง ยังดีที่ไม่ลบความสามารถและความทรงจำก่อนตายของนาง“ข้าขอโทษเจ้านะภรรยา ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”“หาใช่ความผิดของท่านเจ้าค่ะ ถือเสียว่าเรามีชะตาต้องกัน ข้าเชื่อว่าในวันข้างหน้าพวกเราจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเจ้าค่ะ”ทั้งสี่คนเดินมาจนถึงป่าไผ่ อวิ๋นเซียวแยกกับทั้งสามคนตรงนี้ เขาเพียงกำชับว่าให้นางและน้อง ๆ ดูแลตัวเองให้ดีและอย่าเข้าไปในป่าลึกอาจจะพบเข้ากับสัตว์ป่าอันตรายได้ ซึ่งทั้งสามคนก็รับปาก แต่เว่ยจื้อโหยวนั้นแม้ในใจนางรับปากแต่ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ทำตามก็เป็นได้ หากว่านางยังไม่เจออะไรที่สามารถนำมากินเป็นอาหารได้จำเป็นจะต้องเดินเข้าป่าลึกไปอีกหน่อย อย่างน้อย ๆ ให้มีอะไรติดไม้ติดมือออกมาบ้างนางทะลุมิติมาแต่ตัว พรวิเศษหรือก็ไม่มี มีเพียงแค่สองมือ ความทรงจำ และความสามารถติดมาเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรังแกกันมากไปหรอกหรือ“เฮอะ ไม่ยุ
อวิ๋นเซียวที่ไม่ทันฟังคำพูดน้องสาวให้กระจ่าง ก็รีบวางไม้ไผ่ในมือลงและรีบวิ่งไปยังชายป่าตามทิศทางที่น้องสาวชี้ไปด้วยความร้อนใจ เขาไม่น่าปล่อยให้นางกับน้องสาวเข้าป่าไปกันตามลำพังเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับนางเขาเองคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อตาท่านแม่ยาย ไหนจะครอบครัวท่านยายเหลียนและน้อง ๆ ของนางอีกอวิ๋นเฟยที่ยืนอ้าปากค้างมองตามหลังพี่ชายที่รีบวิ่งออกไปทั้งที่นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้แต่ส่ายหน้าในความใจร้อนและร้อนใจของผู้เป็นพี่ชาย แต่นางก็สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่พวกนางสามพี่น้องโดนบีบบังคับให้ต้องออกมาจากบ้านสายหลักพี่ชายนางคิดอยู่เสมอว่าเขาจะไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ คงไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวให้เขาที่มีฐานะยากจนแต่ในเมื่อเขามีโอกาสได้แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงพี่สะใภ้มาก ด้วยรูปโฉมของพี่สะใภ้เองก็งดงามออกปานนั้น อีกทั้งพี่สะใภ้ยังรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมขนาดนี้หากนางเป็นพี่ชายก็คงต้องร้อนใจไม่ต่างกันอวิ๋นเซียววิ่งมาด้วยความเร็ว ด้วยความร้อนใจไม่นานเขามาถึงชายป่าพี่มีภรรยาและน้องชายรออยู่ เขาวิ่งมาก็พบว่าภรรยาของตัวเองนอนอยู่ข้าง ๆ หมูป่าตัวใหญ่ เขาตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด
อวิ๋นเซียวกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับภรรยาได้เช่นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วใช่ว่าเขาอยากจากนางไปเป็นทหารเสียเมื่อไหร่ เห็นกันอยู่ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย“ภรรยา พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงสัญญาณที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมชาวบ้าน ข้าในฐานะตัวแทนครอบครัวจะต้องไปเข้าร่วมประชุม เจ้าพาน้อง ๆ กินข้าวไปก่อนไม่ต้องรอข้า”“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่รู้หรือไม่”“น่าจะเรื่องเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เอาไว้ไปถึงก็คงจะรู้”“เจ้าค่ะ”ที่ลานหน้าศาลพรรพชนของหมู่บ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนมาแล้วครอบครัวละ 1 คน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามากันครบทุกคนแล้วก็เริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเรียกทุกครอบครัวมาในวันนี้“เอาล่ะ ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ข้ามีเรื่องอยู่สองเรื่องที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รับรู้กันเอาไว้และจะต้องทำตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้าเองก็หนักใจเช่นกันแต่ถ้าหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่ทำตามแล้วครอบครัวของเจ้าจะมีความผิดร้ายแรง”“มันเรื่องอันใดกันแน่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านรีบ ๆ พูดมาเถอะ พวกข้าเองก็ร้อน
เว่ยจื้อโหยวพาน้องชายน้องสาวเดินไปดูหลุมดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน เมื่อเดินมาถึงอวิ๋นซวนที่วิ่งนำหน้าไปก่อนนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาเอากิ่งไม้ที่วางทับข้างบนปากหลุมออกในหลุมที่ขุดเอาไว้มีปลาอยู่แน่นไปหมดแถมปลายังมีขนาดใหญ่อีกด้วย“อู้วว ปละ..ปลา ปลาเต็มไปหมดเลยขอรับพี่สะใภ้ อีกทั้งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ พี่สะใภ้เก่งที่สุดเลยขอรับ”“จริงหรืออาซวน ในนั้นมีปลาจริงหรือเจ้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” “ข้าพูดเรื่องจริงพี่รองข้าจะไปโกหกท่านทำไม หรือท่านไม่เชื่อในตัวพี่สะใภ้กันแน่”“ข้าเปล่าสักหน่อย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่ามากล่าวหาข้า ข้าหาได้คิดดังเช่นที่เจ้าว่ามา”“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว อาเฟยไปเอาถังน้ำมา เราจะจับปลาไปขังเอาไว้ในโอ่งก่อนพรุ่งนี้เราค่อยนำไปขายในเมือง จะได้ซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่มด้วย”“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”“อาซวนหากเราต้องการเข้าไปในตัวเมืองเราจะต้องทำเช่นไร เดินไปหรือแล้วตัวเมืองอยู่ไกลหรือไม่”“นั่งเกวียนรับจ้างไปขอรับ หากเดินเท้าก็ร่วม 2 ชั่วยาม หากเรานำปลาเข้าไปขายข้าเกรงว่าเดินไปคงไม่สะดวก”“เอาเช่นนี้ อาซวนเจ้าวิ่งไปบ้านเดิมข้าสักประเดี๋ยว บอกกับท่านลุงใหญ
หลังจากออกมาจากเหลาอาหารแล้วเหลียนอี้ปิงพาน้องเขยไปที่ตลาดค้าสัตว์เพื่อเลือกซื้อเกวียนเทียมลาหรือวัวขึ้นอยู่กับว่าเงินในมือพวกเขาพอหรือไม่ เงิน 10 ตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้เพื่อจ่ายให้กับทางการแทนการไปเป็นทหารตั้งแต่แรกนั้น ได้จากการนำสินเดิมของท่านแม่และภรรยาของเขาไปจำนำเอาไว้ที่โรงรับจำนำ“พี่ใหญ่ขอรับ หลังจากเราซื้อเกวียนแล้วข้าว่าพี่ใหญ่ไปเอาสินเดิมของแม่ยายกับพี่สะใภ้มาคืนพวกนางเถอะขอรับ ข้าคิดว่าต่อไปในภายภาคหน้าพวกเราคงไม่ขัดสนเงินทองเท่าไหร่ เป็นไปได้หากข้ามีเงินในอนาคตข้าก็อยากจะซื้อที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเองขอรับ”“ได้ตกลง เช่นนั้นเราก็แวะโรงรับจำนำก่อนก็แล้วกัน ข้าคิดว่าเงินเรามีพอที่จะซื้อเกวียนวัวหรือเกวียนลาได้”เมื่อตกลงกันได้แล้วเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่โรงรับจำนำและทำการไถ่ถอนสินเดิมของภรรยาและมารดาออกมาทั้งหมด รวมเป็นเงิน 8ตำลึงทอง ทำให้ในตอนนี้เงินในมือเหลืออยู่เพียง 2 ตำลึงทองกับอีก 6 ตำลึงเงินที่ได้จากการขายปลาหลังจากจัดการธุระที่โรงรับจำนำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดค้าสัตว์ทันที ด้วยจำนวนเงินที่มีในมือ คงจะซื้อได้เพียงเกวียนเทียมลาเท่านั้น หรือ
เว่ยจื้อโหยวที่วันนี้ว่างมาก งานพลิกหน้าดินก็ทำเสร็จแล้ว ในระหว่างที่ต้องใช้เวลาตากหน้าดินหลายวัน ในระหว่างรอนางจึงคิดว่าสมควรจะเข้าป่าเพื่อหาของป่านำไปขายเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ไม่แน่ว่านางที่มาจากอนาคตอาจจะพบเจออะไรที่กินได้แต่ชาวบ้านที่นี่ไม่รู้จักก็เป็นได้ ป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์มากขนาดนี้นางมั่นใจว่าจะต้องมีของกินมากมายในป่าที่สามารถทำเงินให้กับนางได้แน่นอนเมื่อคิดได้ว่าจะเข้าป่ามันก็ต้องมีการเตรียมตัวกันสักนิด ก่อนอื่นต้องหาเสียมเล็ก ๆ หรือพลั่วเล็ก ๆ ติดตัวไปด้วย ต่อมาก็เป็นมีด กระบอกใส่น้ำดื่ม แล้วอาวุธล่ะจะเอาอะไรติดตัวไปด้วย ธนูสามีของนางก็เอาติดตัวไปด้วยแล้ว ลองหาในห้องเก็บของดูเผื่อจะมีหลงเหลืออยู่บ้างเว่ยจื้อโหยวค้นหาของในห้องเก็บของนางพบธนูอันใหญ่ที่มีสภาพเก่าแล้วแต่ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมทั้งลูกธนูอีก 1กระบอกมีประมาณ 15 ลูกได้ นี่อาจจะเป็นสมบัติตกทอดมาจาดพ่อสามีก็เป็นได้ นอกจากธนูแล้วนางยังเอาเชือกสำหรับกับดักสัตว์ไปด้วย หลังจากหาของที่ต้องการครบแล้วนางก็นำไปใส่ตะกร้าไม้ไผ่อันใหญ่ยกขึ้นสะพายหลังเตรียมเข้าป่าตามที่ตั้งใจเอาไว้เว่ยจื้อโหยวสะพายตะกร้าออกจากบ้านอย่างอาร
เว่ยจื้อโหยวเดินแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไก่ป่าและกระต่ายป่า ในมือยังถือหน่อไม้มาด้วย 2 หน่อ วันนี้นางใช้เวลาเดินในป่ามากไปหน่อย ตอนนี้ถึงกับหมดแรงไปเลยทีเดียวเมื่อเดินมาได้ใกล้จะถึงบ้าน นางก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วแน่นเสียงด่าทอน้องชายน้องสาวดังมาจากหน้าบ้าน คงจะเป็นนังมนุษย์ป้าสะใภ้มหาภัยแน่ ๆ หาไม่แล้วใครจะกล้าและหน้าด้านมาด่าเด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 หนาวด้วยซ้ำ จิตใจไร้สำนึกขนาดนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินกลับบ้านทันที นางเข้าด้านหลังบ้าน หลังจากนำตะกร้าเข้าไปวางไว้ในห้องนอนของนางเสร็จแล้วจึงปิดประตูใส่กุญแจเอาไว้ ไม่รอช้านางรีบเดินออกไปด้านหน้าบ้านก็พบน้องชายและน้องสาวยืนมองป้าสะใภ้อยู่ข้างหน้าต่าง“ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”“พี่สะใภ้ท่านกลับมาเสียที ข้าหนวกหูจะตายแล้วเจ้าค่ะ นางจะเข้ามาในบ้านแต่ข้ากับน้องไม่ยอมเปิดประตูเพราะทุกครั้งที่นางเข้ามานางจะมาหยิบฉวยเอาของในครัวไปจนหมด”“พวกเจ้าทำดีแล้ว ไม่ต้องกลัวข้าจะจัดการเอง”“เจ้าค่ะ”“โอ้ย หนวกหูจริง ๆ ผู้ใดปล่อยสุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านผู้อื่นช่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่อง”สิ้นเสียงของเว่ยจื้อ
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก
หลังจากที่ราชครูเถียนได้ตัดสินใจออกไปแบบนั้นแล้ว เขาไม่เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วตระกูลเถียนคงได้ล่มสลายเพราะสตรีสมองหมูสองคนนี้เป็นแน่ เถียนเสี่ยวมี่ไม่ยินยอมจึงได้โวยวายว่าบิดาไม่ยุติธรรม“ท่านพ่อ ท่านจะมาทำแบบนี้กับข้าและท่านแม่ไม่ได้ เหตุใดเราสองแม่ลูกจะต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ การที่ลูกรักพี่จิ้งลูกผิดหรือเจ้าคะ”“ผิด เพราะหยวนจิ้งไม่ได้มีไมตรีต่อเจ้า การที่เจ้าไปวิ่งตามหยวนจิ้งแบบนั้นนอกจากจะด้อยค่าตัวเองแล้วยังทำลายเกียรติของตระกูลเถียนด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายผู้คนบ้างหรือ”“ท่านพี่ ให้โอกาสเราแม่ลูกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลมี่มี่ให้ดี จะไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก”“ข้าตัดสินใจแล้ว การกระทำของเสี่ยวมี่ที่ผ่านมามันบ่งบอกได้ถึงว่านางไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี ตัวข้าเป็นขุนนางตำแหน่งราชครู แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้แล้วข้าจะมีหน้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นไร พวกเจ้าสองแม่ลูกอย่าลืมว่ายังมีลูกชายทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอนาคตไกล อย่าให้การกระทำสิ้นคิดของเจ้ามาทำลายตระกูลเถียนและหน้าที่การงานของทุกคน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าให้ได้ปรับปรุงตัวเ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หยวนจิ้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากส่งหลาน ๆ กลับจวนแม่ทัพแล้ว ตัวเขาเองก็มุ่งหน้ากลับจวนกั๋วกงทันทีหยวนจิ้งกลับมาถึงก็ตรงไปที่เรือนของฮูหยินทันที เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้อีก ก่อนจะจัดการคนอื่นต้องจัดการคนในครอบครัวก่อน คนแรกคือท่านแม่ของเขาเอง“ท่านแม่อยู่หรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะคุณชาย กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินท่านราชครูเจ้าค่ะ”“ขอบใจ มีอะไรก็ไปทำเถอะ"“เจ้าค่ะคุณชาย”หยวนจิ้งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ตอนนี้นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่กับฮูหยินจวนราชครู หยวนจิ้งเองไม่คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว ในใจเขาคิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปถึงจวนราชครู หวังว่าฮูหยินจะกลับไปสั่งสอนลูกสาวหรือตัวฮูหยินเองที่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและอย่าได้คิดมาเล่นแง่หาข้ออ้างอะไรอีก แม้แต่ท่านแม่ของตัวเองวันนี้หยวนจิ้งเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้“คารวะท่านแม่ขอรับ คารวะฮูหยินท่านราชครู"“อ้าว อาจิ้งทำไมกลับมาไวนักล่ะลูก ไหนว่าไปที่ตำหนักองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” “อุ๊ย ดูพูดเข้าสิ หลานจิ้งฮูหยงฮูหยินอะไรกัน เรียกท่านป้าเถอะจ้ะ” ฮูหยินราชครู“ไม่ล่ะขอรับ ข้าไม่ส
เว่ยจื้อโหยวพาลูก ๆ และสามีเดินทางรอนแรมจากหมู่บ้านต้าลี่ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงเสียที คนที่มารอรับพวกเขาอยู่นอกประตูเมืองคือเฟยหลงกับหยวนจิ้ง เด็กน้อยทั้งสี่ต่างขดตัวนอนหลับอยู่ภายในรถม้ากับพี่เลี้ยงสี่ขาทั้งสี่เฟยหลงพาน้องชายนอกสายเลือดที่เขารักไม่ต่างจากคนสายเลือดเดียวกันเข้าไปพักที่จวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นหลายปีจวนแม่ทัพแห่งนี้มีอวิ๋นซวนกับหย่งคังและหย่งหมิงพักอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงหย่งหมิงกับอวิ๋นซวนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาหลวง“ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ ตอนนี้อาซวนกับอาหมิงคงยังไม่กลับจากสถานศึกษา” หยวนจิ้ง“พาหลาน ๆ ไปนอนในห้องหับเสียก่อน เดินทางมาไกล ต้าเป่ากับน้อง ๆ คงเหนื่อยแย่” เฟยหลง “ขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง” อวิ๋นเซียว"เอาล่ะ ซ้ายมือเป็นเรือนของอาเหิงกับครอบครัว ส่วนอาเซียวอยู่เรือนหน้าก็แล้วกัน เรือนด้านขวานั้นอาหมิงกับอาซวนพักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปพักอยู่ที่เรือนหลังก็แล้วกัน" เฟยหลงแจกแจงที่พักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนพักเรียบร้อยแล้ว รถม้าทั้ง 10 คันก็เขาไปจอดเรียบร้อยที่พื้นที่ด้านหลังของจวน ม้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวก