เว่ยจื้อโหยวนอนฟังในสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือให้แต่งออกไปแล้วที่ให้แต่งออกไปใช่ตัวเธอหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอนี่ไม่ใช่ว่าเธอตายไปแล้วหรือ หรือว่าเครื่องบินไม่ได้ตก หรือว่านี่เป็นความฝัน แต่ไม่น่าจะใช่ความฝันแล้วล่ะในเมื่อความจริงตีแสกหน้าเธอขนาดนี้
เว่ยจื้อโหยวถอนหายใจยอมรับชะตากรรมของตัวเอง แทนที่จะได้เข้าไปทำงานในหน่วยลับกลับต้องมาตายตั้งแต่เดินทาง ตายไปแล้วไม่พอแทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ก็ลงนรกตามแต่ผลกรรมของการกระทำที่ผ่านมา
แต่พระเจ้ากลับเล่นตลกอะไรกับเธอกันส่งเธอมายังโลกโบราณล้าหลังที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์โลกไม่พอ พอฟื้นขึ้นมาก็พบเจอแต่เรื่องน่าอดสู ครอบครัวยากจนแร้นแค้น ย่าแท้ ๆ ใจดำอำมหิตยังดีที่พ่อแม่ของร่างเดิมนั้นรักลูกและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลูกโดนขายไป
แต่ว่าต่อจากนี้ล่ะจะทำยังไง ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ต้องมีพวกเศรษฐีมีเงินลุ่มหลงในตัณหาบ้ากามโดยไม่สนใจว่าใครจะยิมยอมพร้อมใจหรือไม่ มันน่าจับมาตัดให้เป็ดกินนัก
เว่ยจื้อโหยวนึกโมโหร่างเดิมจะทำตัวอ่อนแอกตัญญูไปทำไมนักหนา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีพละกำลังมากกว่าคนอื่นตั้งเท่าไหร่ จะเก็บงำความสามารถของตัวเองไปเพื่ออะไรกัน ไม่เห็นจะต้องอับอายผู้คนเลยสักนิดหากใครจะคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด หากเป็นเธอแล้วล่ะก็จะอัดให้ฟันร่วงเลยพวกที่ชอบบูลลี่คนอื่น
เว่ยจื้อโหยวนอนฟังพ่อแม่ ตายายและลุงใหญ่ป้าสะใภ้ใหญ่อันเป็นครอบครัวของเธอในโลกใบนี้คุยกันเพื่อหาทางออกของปัญหาในครั้งนี้จนเธอหลับไปอีกครั้ง
“ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้ามองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยอาโหยวเลย หากยังไม่หาบ้านสามีให้นางแต่งออกไปแล้วล่ะก็ข้าเกรงว่าบ้านใหญ่คงไม่จบเพียงเท่านี้แน่ อีกอย่างเศรษฐีเฒ่านั่นคงไม่ยอมรามือง่าย ๆ เจ้าค่ะ” นางเหลียนซื่อพูดออกมาด้วยความทุกข์ใจ
“นั่นสิขอรับท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย หนทางเดียวคือต้องหาบ้านสามีให้อาโหยวแต่งออกไปถึงแม้ใจข้าจะไม่ยินยอมก็ตามที แต่มันยังดีกว่าให้อาโหยวต้องตกนรกไปทั้งชีวิต ท่านพ่อตาท่านแม่ยายเห็นว่ามีครอบครัวใดที่เหมาะสมหรือไม่ขอรับ ขอแค่เป็นคนดี ขยันทำมาหากินข้ากับเหมยชิงก็ไม่ขัดข้องขอรับ” เจี้ยนป๋อ
“จะบอกว่ามีมันก็มีอยู่หรอกนะลูกเขย เจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียวเป็นคนดี พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว เหลือแค่เจ้าหนุ่มนั่นและน้องชายน้องสาว พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีขยันขันแข็งเพียงแต่ว่าญาติพี่น้องของพ่อแม่นิสัยไม่ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะนางจางซื่อป้าสะใภ้ใหญ่ที่ชอบกดขี่ข่มเหงหลานชายหลานสาวทั้ง ๆ ที่พวกเขาแยกบ้านออกมาแล้วหลังเสียพ่อแม่ อย่าเรียกว่าแยกบ้านเลยต้องเรียกว่าไล่ออกมาจะดีกว่า ยังดีที่มีที่ดินสินเดิมของมารดาเจ้าหนุ่มนั่นอยู่ 3 หมู่ จึงได้มาปลูกบ้านอาศัยอยู่กับน้อง ๆ แต่ยังไม่วายคนบ้านใหญ่มักมาหยิบเอาข้าวของในบ้านไปบ่อยครั้งเวลาที่เจ้าหนุ่มไม่อยู่บ้านออกไปล่าสัตว์ หากให้อาโหยวแต่งเข้าไปแล้วจะรับมือกับคนพวกนี้ได้หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องคิดและตัดสินใจให้ดี หากตกลงกันได้แล้วพรุ่งนี้แม่กับตาเฒ่าจะไปพูดจากับเจ้าหนุ่มนั่นให้เอง” แม่เฒ่าเหลียน
“ท่านแม่ยายขอรับ หากเขาเป็นคนดีก็ย่อมไม่มีปัญหา หากบ้านนั้นรังแกอาโหยวทั้งที่แยกบ้านออกมาแล้ว ข้าเองก็พร้อมที่จะสนับสนุนนางขอรับ อาโหยวไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรนางยังมีบ้านเดิมคอยสนับสนุน” เจี้ยนป๋อ
“ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่เจ้าค่ะท่านแม่” นางเหลียนซื่อ
“เช่นนั้นพวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ อดทนอยู่แบบนี้ไปก่อนค่อยหาทางขยับขยายอย่าไปคิดอะไรมาก พวกเจ้าออกมาแล้วถือว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าก็อยากจะรอดูน้ำหน้านังเฒ่าเซียนซื่อจริง ๆ แก่แล้วแก่เลยเลอะเลือน หากหลานชายไม่ได้เป็นขุนนางขึ้นมาข้าจะรอดูว่านางเฒ่านั่นจะเป็นยังไง” แม่เฒ่าเหลียนเอ่ยออกมาด้วยความโมโห
เช้าวันต่อมาแม่เฒ่าเหลียนตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางรีบเดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดชายป่าเชิงเขาเพื่อพูดคุยเรื่องระหว่างหลานสาวของนางและเจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียว เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านนางจึงส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้านอยู่ด้านนอกรั้วไม้ไผ่
“อาเซียว อาเซียวเจ้าอยู่บ้านหรือไม่” แม่เฒ่าเหลียนที่นางต้องถามแบบนี้เพราะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มออกไปล่าสัตว์แล้วนอนค้างในป่าหรือไม่
“อยู่ขอรับ ท่านยายเหลียนท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ หรือต้องการให้ข้าช่วยเหลือเรื่องอันใด” อวิ๋นเซียว
“ยายมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับเจ้า ขอยายเข้าไปในบ้านก่อนได้หรือไม่”
“ขอรับ เช่นนั้นเชิญด้านในขอรับ”
เมื่อเข้ามาในบ้านแม่เฒ่าเหลียนก็พูดออกมาโดยไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ ทั้งสิ้น ด้วยที่ผ่านมานางเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาอยู่แล้วคิดอย่างไรก็พูดออกไปเช่นนั้น
“ที่ยายมาวันนี้ ยายมีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”
“เรื่องอะไรหรือขอรับถึงทำให้ท่านยายมาหาข้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเช่นนี้”
“อาเซียวเจ้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง ก่อนพ่อแม่ของเจ้าจะเสียไปพวกเขาได้ทาบทามหญิงสาวบ้านใดเอาไว้ให้เจ้าหรือไม่”
“ไม่มีขอรับท่านยาย ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่ทันได้พูดคุยหรือทาบทามคู่หมายให้ข้าหรอกขอรับ ว่าแต่ท่านยายถามทำไมหรือขอรับ”
“ยายพูดตรง ๆ เลยแล้วกันที่ยายมาหาเจ้าวันนี้ ยายอยากให้เจ้าแต่งหลานสาวยายมาเป็นภรรยา เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ทำไมถึงเป็นข้าล่ะขอรับ แล้วหลานสาวท่านยายจะยินยอมหรือขอรับ ข้าเองก็ยากจนไหนจะเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวที่ยังเล็กอีก 2 คน นางจะมาทนลำบากกับข้าได้หรือขอรับ”
“อาโหยวหลานยายเป็นคนดี ยายจะไม่ปิดบังเจ้าหากเจ้าไม่ยินดีแต่งนางก็ไม่เป็นไร อาโหยวหลานยายนั้นหน้าตาสะสวยจนต้องไปต้องตาต้องใจเศรษฐีเฒ่าแต่ตัวนางไม่ยินยอม พ่อแม่นางเองก็มีปากเสียงกับบ้านใหญ่ จนต้องแยกตัวตัดขาดออกมาและย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ แต่พวกเรากลัวว่าฝั่งนั้นมีทั้งเงินและอำนาจจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ หากนางยังไม่ตบแต่งให้แก่ชายอื่น ยายเองเห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เจ้าเป็นคนดีมาก ยายจึงได้บากหน้ามาหาเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรยายไม่บังคับใจเจ้า”
“หากนางเต็มใจข้าก็ไม่ว่าอันใดขอรับ ข้าเองก็กลัวว่าหากมีการเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหารตามที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกเอาไว้ ข้าเองไม่มีเงิน 10 ตำลึงทองจ่ายให้กับทางการก็คงต้องไปเป็นทหาร น้องสองคนยังเล็กนักข้าเองก็อับจนหนทางเช่นเดียวกัน อย่างที่ท่านยายรู้ พวกบ้านใหญ่นั้นหาดีไม่ได้ ทรัพย์สินของท่านพ่อท่านแม่พวกเขาก็ยึดเอาไปจนหมดข้าเองก็เหนื่อยใจ ตอนข้าอยู่ไม่เท่าไหร่หากข้าไม่อยู่พวกเขาก็จะคอยมารังแกน้อง ๆ ของข้า และหยิบฉวยเอาข้าวของในบ้านไปจนหมด หากข้าแต่งภรรยาเข้ามาคงมีคนคอยดูแลน้อง ๆ ของข้า แต่นางจะยินยอมมาลำบากกับข้าหรือขอรับ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อาโหยวเป็นคนดีมาก นางย่อมยินยอมตบแต่งเป็นภรรยาของเจ้าดีกว่าไปตกนรกในบ้านเศรษฐีเฒ่าผู้นั้น เช่นนั้นก็เอาตามนี้ เจ้าเองก็ไปสู่ขอนางได้เลย เอาล่ะยายออกมานานแล้วยายขอตัวกลับก่อนเจ้าสะดวกวันไหนก็ไปพูดคุยตกลงกันได้ ส่วนสินสอดนั้นยายไม่ต้องการ เจ้าจะให้หรือไม่ให้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยายหวังว่าเจ้าจะรักและดูแลนางอย่างดีก็พอ”
“ขอรับท่านยาย ข้าขอบคุณท่านยายที่เมตตาขอรับ”
แม่เฒ่าเหลียนกลับถึงบ้านก่อนเวลาอาหารเช้านิดหน่อย ทุกคนในครอบครัวมองมาที่นางอย่างมีความหวัง เพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้ที่แม่เฒ่าเหลียนออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้านั้นด้วยเรื่องอะไร
“ท่านแม่สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลียนซื่อถามมารดาออกมาด้วยความร้อนรน
“อืม อาเซียวตกลงแล้ว เหลือเพียงแค่ให้เขามาพูดจาสู่ขอส่วนสินสอดนั้นแล้วแต่เขาจะหามา จะมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เราก็แค่หาสินเดิมให้อาโหยวติดตัวไปบ้างข้าเชื่อว่าอาเซียวจะดูแลอาโหยวเป็นอย่างดี”
“เป็นเช่นนี้ข้าก็โล่งใจเจ้าค่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจะพูดคุยกับลูกวันนี้ ข้าเชื่อว่าอาโหยวจะเต็มใจและไม่คัดค้านเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะ แม่เชื่อว่าอาโหยวต้องเข้าใจ นี่เป็นทางออกทางเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นมาในปลายยามอู่ ตอนนี้นางรู้สึกหิวเป็นอย่างมากไหน ๆ ก็มาอยู่ในร่างนี้แล้วกลับไปก็กลับไปไม่ได้แล้ว จากเด็กกำพร้าไม่มีครอบครัว นางเองก็อยากมีครอบครัวดูสักครั้ง พ่อแม่และทุกคนรักใคร่เจ้าของร่างเดิมเป็นอย่างมาก
ถึงนางจะรู้สึกผิดที่มาสวมรอยเป็นลูกสาวและหลานสาวของพวกเขา ยังดีกว่าให้พวกเขาเสียใจที่ได้รับรู้ว่าเว่ยจื้อโหยวที่เป็นลูกสาวและหลานสาวของพวกเขานั้นได้ตกตายไปตั้งแต่โดนคนบ้านเว่ยรุมทุบตีแล้ว
“อาโหยว ตื่นแล้วหรือลูก เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่ แม่เอาข้าวต้มกับยามาให้เจ้า ลุกขึ้นมากินเสียจะได้หายเร็ว แม่มีเรื่องจะบอกกล่าวกับเจ้าด้วย”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“เจ้ากินข้าวให้อิ่มกินยาเสร็จแล้วแม่กับพ่อค่อยพูดคุยกับเจ้า”
หลังจากรอให้ลูกสาวกินข้าวกินยาเสร็จพอดีกับสามีของนางเดินเข้ามาเพื่อพูดคุยเรื่องแต่งงานของลูกสาว เจี้ยนป๋อเองในใจก็กลัวว่าลูกสาวจะไม่ยินยอมและต่อต้านแต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือกด้วยเงินทองในมือก็ไม่มี เงินที่หามาได้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในมือมารดาของเขาทั้งสิ้น
“อาโหยวลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่ พ่อขอโทษนะที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”
“ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อเจ้าค่ะ อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย หากจะมีคนผิดก็เป็นท่านย่ากับคนบ้านใหญ่เจ้าค่ะ”
“พ่อกับแม่มีเรื่องจะบอกกล่าวกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะเข้าใจพ่อกับแม่เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเพื่อช่วยเหลือให้เจ้ารอดพ้นจากคนชั่วช้าพวกนั้น พ่อจำเป็นจะต้องให้เจ้าแต่งออกไป”
“ห๊ะ แต่งออกไป แต่งงาน แต่งกับผู้ใดหรือเจ้าคะ ทำไมรวดเร็วถึงเพียงนี้”
“แต่งกับเจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียว เรื่องนี้ท่านยายของเจ้าเป็นคนจัดการ เขาเป็นคนดีเพียงแต่ว่ายากจนและมีน้องชายน้องสาวยังเล็กให้ดูแล ไม่มีพ่อแม่สามีอยู่เหนือเจ้า พ่อกับแม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสุขในชีวิตวันข้างหน้า เจ้าเองเป็นคนขยันอาเซียวเองก็เช่นกัน อย่างน้อย ๆ ก็เป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นไปได้ พ่อกับแม่เชื่อว่าบ้านใหญ่ไม่ยอมรามือ”
“เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจในเมื่อท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าดีลูกเองก็ไม่ขัดข้อง”
“เช่นนั้นเจ้านอนพักเสีย พ่อจะเข้าป่ากับลุงใหญ่ของเจ้าเผื่อจะได้อะไรติดไม้ติดมือมาขายบ้าง”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปแล้ว เว่ยจื้อโหยวได้แต่พูดกับตัวเองว่า “อะไรกันวะเนี่ย ตายแล้วก็มาเกิดใหม่ที่นี่ มีครอบครัวครบ แล้วยังจะได้สามีมาอีก อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้น ชาติที่แล้วไม่เห็นจะได้แต่งงานเลย แฟนยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ หวังว่าสามีคงจะไม่ขี้เหร่เกินไปหรอกมั้ง ช่างมันเถอะ ๆ มีสามีก็ดีแล้วเรื่องอื่นช่างมัน นอนดีกว่า หวังว่ามันจะเป็นเรื่องจริงนะ คงไม่ใช่เพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น”
หลังจากที่แม่เฒ่าเหลียนได้ไปตกลงยกหลานสาวให้กับเจ้าหนุ่มบ้านอวิ๋นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่เฒ่าก็เรียกลูกสาวมาหารือเรื่องสินเดิมของหลานสาวโดยไม่สนใจว่าอวิ๋นเซียวจะมีสินสอดมาสู่ขอหลานสาวตัวเองหรือไม่ส่วนลูกชายกับลูกเขยนางไล่ให้เข้าป่าไปล่าสัตว์ ลูกสะใภ้อยู่ช่วยงานที่บ้าน พ่อเฒ่าเหลียนไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านว่าลูกสาวและลูกเขยย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านต้าหลี่แห่งนี้“เหมยชิงแม่ว่าเราต้องเตรียมสินเดิมให้อาโหยวติดตัวไปบ้าง ถึงแม่จะไม่รู้ว่าอาเซียวจะมีสินสอดมาแต่งอาโหยวหรือไม่ ทางเราเองไม่ต้องการสินสอดอันใดขอเพียงอาโหยวปลอดภัยไม่ต้องตกเป็นเมียน้อยผู้อื่นแม่ย่อมยินดี”“ข้าเห็นด้วยกับท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่ได้มีเงินทองอันใดเท่าที่มีอยู่น้อยนิดเราจะเอาอะไรมาเป็นสินเดิมให้อาโหยวดีเจ้าคะ” เหมยชิง“แม่มีผ้าอยู่ทำผ้าห่มให้อาโหยวดีหรือไม่ ตัดชุดใหม่ให้อาโหยวสัก 2 ชุด แล้วก็ให้ธัญพืชหยาบกับข้าวสารไปสัก 5 ชั่ง ถ้ามากกว่านี้เห็นทีจะไม่ไหว มันกะทันหันเกินไป แม่เองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร อีกอย่างหลานสาวของเจ้าเพิ่งออกเรือนไป บ้านเราไม่มีใครที่อยู่ในวัยออกเรือนอีก จึงไม่มีของที่เตรียมเอาไว้ หลานชายเจ้ายังเล็กอีกน
สามพี่น้องเข็นรถเข็นที่ใส่หมูที่จะนำมาเป็นสินสอดเอาไว้ เมื่อเดินมาถึงบ้านตระกูลเหลียนอวิ๋นเซียวเรียกแม่เฒ่าเหลียนอยู่หน้าบ้าน“ท่านยายเหลียนขอรับ ท่านยายเหลียนอยู่หรือไม่ขอรับ” อวิ๋นเซียว“อยู่ ๆ ใครมาล่ะนั่น อ้าวอาเซียวกับน้อง ๆ เองหรือ เข้ามาก่อนสิ แล้วนี่เอาอะไรมาเยอะแยะ” แม่เฒ่าเหลียนมองดูรถเข็นที่มีหมูป่าตัวใหญ่ทั้งยังมีไข่ไก่ป่า กระต่ายป่าและไก่ป่าอีกจำนวนหนึ่ง“เอ่อ คือ.. คือว่าข้าเองก็ไม่ได้มีเงินทองข้าเลยนำของทั้งหมดนี้มาเป็นสินสอดเพื่อสู่ขอภรรยาขอรับ หวังว่าท่านยายจะไม่รังเกียจ”“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ ยายไม่รังเกียจเลย ขอบใจเจ้ามากนะ หมูป่าไม่ใช่จะล่ากันได้ง่าย ๆ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของอาเซียวที่มีต่ออาโหยวแล้ว”“ขอบพระคุณท่านยายมากขอรับ เช่นนั้นวันนี้ข้าสามารถรับตัวภรรยากลับไปได้เลยหรือไม่” อวิ๋นเซียว“จะดีหรืออาโหยวยังไม่หายดีเลย จะลำบากให้พวกเจ้าต้องมานั่งดูแลนางหรือไม่” แม่เฒ่าเหลียน“ไม่ลำบากขอรับ ข้าจะดูแลนางอย่างดี”“เช่นนั้นเข้ามาคุยกันในบ้านเถิด จะได้พูดคุยทำความรู้จักกับพ่อตาแม่ยายและน้อง ๆ ของอาโหยวด้วย”“ขอรับท่านยาย”“อี้ปิง เจี้ยนป๋อ มายกของ
วันนี้เว่ยจื้อโหยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส นับตั้งแต่นางแต่งให้อวิ๋นเซียวเขาดูแลนางอย่างดีจนถึงตอนนี้อาการป่วยของนางหายสนิทแล้ว นางจึงมีความคิดว่าจะสำรวจพื้นที่รอบ ๆ บ้านของสามีและพรุ่งนี้จะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมแต่งงานมาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่นางยังบริสุทธิ์ผุดผ่องถึงแม้ว่านางจะร่วมห้องกับสามีแต่หาได้มีการร่วมหอไม่ จนนางสงสัยว่าเจ้าสามีหน้าเดียวของนางเป็นตอไม้หรือไม่หรือนางไม่มีเสน่ห์พอเว่ยจื้อโหยวไม่มีทางรู้เลยว่าตลอดเวลาอวิ๋นเซียวนั้นต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้เพียงใด เพราะภรรยาของเขาป่วยและร่างกายของนางบาดเจ็บเขาสู้อดทนอดกลั้นแต่ถ้าหากเขารู้ว่าภรรยาคนงามของเขากล่าวหาว่าเขาเป็นตอไม้แล้วล่ะก็เขาคงได้แต่เสียใจที่ปล่อยนางเอาไว้จนถึงวันนี้ “ยังเช้าอยู่เลยเจ้านอนอีกหน่อยเถอะ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงเดี๋ยวจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อวิ๋นเซียว“ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านอย่าทำเหมือนข้าอ่อนแอเจ็บป่วยง่ายสิเจ้าคะ ครั้งนี้ที่ข้าล้มป่วยมีสาเหตุมาจากอะไรไม่ใช่ท่านไม่รู้นี่เจ้าคะ” เว่ยจื้อโหยวมองค้อนให้สามี“ได้ ๆ ข้าตามใจเจ้า แต่อย่าทำอะไรให้ตัวเองต้องเหนื่อย หากข้าไม่อยู่ฝากเจ้าดูแลน้องชายน้องสาวด้วยนะ
หลังจากที่เตรียมของเสร็จแล้วทั้ง 4 คนก็พร้อมใจกันเดินขึ้นเขาไปทันที จื้อโหยวนั้นแม้ในใจจะแอบบ่นก่นด่าพระเจ้าอยู่ไม่น้อยที่ให้นางตายไปแล้วก็ไม่ให้ตายไปเลยหรือเกิดใหม่ทั้งทีแต่ไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กทารกแต่ให้มาอยู่ในร่างคนที่บังเอิญมีชื่อแซ่เดียวกับตัวเอง ยังดีที่ไม่ลบความสามารถและความทรงจำก่อนตายของนาง“ข้าขอโทษเจ้านะภรรยา ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”“หาใช่ความผิดของท่านเจ้าค่ะ ถือเสียว่าเรามีชะตาต้องกัน ข้าเชื่อว่าในวันข้างหน้าพวกเราจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเจ้าค่ะ”ทั้งสี่คนเดินมาจนถึงป่าไผ่ อวิ๋นเซียวแยกกับทั้งสามคนตรงนี้ เขาเพียงกำชับว่าให้นางและน้อง ๆ ดูแลตัวเองให้ดีและอย่าเข้าไปในป่าลึกอาจจะพบเข้ากับสัตว์ป่าอันตรายได้ ซึ่งทั้งสามคนก็รับปาก แต่เว่ยจื้อโหยวนั้นแม้ในใจนางรับปากแต่ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ทำตามก็เป็นได้ หากว่านางยังไม่เจออะไรที่สามารถนำมากินเป็นอาหารได้จำเป็นจะต้องเดินเข้าป่าลึกไปอีกหน่อย อย่างน้อย ๆ ให้มีอะไรติดไม้ติดมือออกมาบ้างนางทะลุมิติมาแต่ตัว พรวิเศษหรือก็ไม่มี มีเพียงแค่สองมือ ความทรงจำ และความสามารถติดมาเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรังแกกันมากไปหรอกหรือ“เฮอะ ไม่ยุ
อวิ๋นเซียวที่ไม่ทันฟังคำพูดน้องสาวให้กระจ่าง ก็รีบวางไม้ไผ่ในมือลงและรีบวิ่งไปยังชายป่าตามทิศทางที่น้องสาวชี้ไปด้วยความร้อนใจ เขาไม่น่าปล่อยให้นางกับน้องสาวเข้าป่าไปกันตามลำพังเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับนางเขาเองคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อตาท่านแม่ยาย ไหนจะครอบครัวท่านยายเหลียนและน้อง ๆ ของนางอีกอวิ๋นเฟยที่ยืนอ้าปากค้างมองตามหลังพี่ชายที่รีบวิ่งออกไปทั้งที่นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้แต่ส่ายหน้าในความใจร้อนและร้อนใจของผู้เป็นพี่ชาย แต่นางก็สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่พวกนางสามพี่น้องโดนบีบบังคับให้ต้องออกมาจากบ้านสายหลักพี่ชายนางคิดอยู่เสมอว่าเขาจะไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ คงไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวให้เขาที่มีฐานะยากจนแต่ในเมื่อเขามีโอกาสได้แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงพี่สะใภ้มาก ด้วยรูปโฉมของพี่สะใภ้เองก็งดงามออกปานนั้น อีกทั้งพี่สะใภ้ยังรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมขนาดนี้หากนางเป็นพี่ชายก็คงต้องร้อนใจไม่ต่างกันอวิ๋นเซียววิ่งมาด้วยความเร็ว ด้วยความร้อนใจไม่นานเขามาถึงชายป่าพี่มีภรรยาและน้องชายรออยู่ เขาวิ่งมาก็พบว่าภรรยาของตัวเองนอนอยู่ข้าง ๆ หมูป่าตัวใหญ่ เขาตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด
อวิ๋นเซียวกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับภรรยาได้เช่นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วใช่ว่าเขาอยากจากนางไปเป็นทหารเสียเมื่อไหร่ เห็นกันอยู่ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย“ภรรยา พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงสัญญาณที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมชาวบ้าน ข้าในฐานะตัวแทนครอบครัวจะต้องไปเข้าร่วมประชุม เจ้าพาน้อง ๆ กินข้าวไปก่อนไม่ต้องรอข้า”“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่รู้หรือไม่”“น่าจะเรื่องเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เอาไว้ไปถึงก็คงจะรู้”“เจ้าค่ะ”ที่ลานหน้าศาลพรรพชนของหมู่บ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนมาแล้วครอบครัวละ 1 คน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามากันครบทุกคนแล้วก็เริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเรียกทุกครอบครัวมาในวันนี้“เอาล่ะ ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ข้ามีเรื่องอยู่สองเรื่องที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รับรู้กันเอาไว้และจะต้องทำตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้าเองก็หนักใจเช่นกันแต่ถ้าหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่ทำตามแล้วครอบครัวของเจ้าจะมีความผิดร้ายแรง”“มันเรื่องอันใดกันแน่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านรีบ ๆ พูดมาเถอะ พวกข้าเองก็ร้อน
เว่ยจื้อโหยวพาน้องชายน้องสาวเดินไปดูหลุมดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน เมื่อเดินมาถึงอวิ๋นซวนที่วิ่งนำหน้าไปก่อนนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาเอากิ่งไม้ที่วางทับข้างบนปากหลุมออกในหลุมที่ขุดเอาไว้มีปลาอยู่แน่นไปหมดแถมปลายังมีขนาดใหญ่อีกด้วย“อู้วว ปละ..ปลา ปลาเต็มไปหมดเลยขอรับพี่สะใภ้ อีกทั้งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ พี่สะใภ้เก่งที่สุดเลยขอรับ”“จริงหรืออาซวน ในนั้นมีปลาจริงหรือเจ้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” “ข้าพูดเรื่องจริงพี่รองข้าจะไปโกหกท่านทำไม หรือท่านไม่เชื่อในตัวพี่สะใภ้กันแน่”“ข้าเปล่าสักหน่อย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่ามากล่าวหาข้า ข้าหาได้คิดดังเช่นที่เจ้าว่ามา”“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว อาเฟยไปเอาถังน้ำมา เราจะจับปลาไปขังเอาไว้ในโอ่งก่อนพรุ่งนี้เราค่อยนำไปขายในเมือง จะได้ซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่มด้วย”“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”“อาซวนหากเราต้องการเข้าไปในตัวเมืองเราจะต้องทำเช่นไร เดินไปหรือแล้วตัวเมืองอยู่ไกลหรือไม่”“นั่งเกวียนรับจ้างไปขอรับ หากเดินเท้าก็ร่วม 2 ชั่วยาม หากเรานำปลาเข้าไปขายข้าเกรงว่าเดินไปคงไม่สะดวก”“เอาเช่นนี้ อาซวนเจ้าวิ่งไปบ้านเดิมข้าสักประเดี๋ยว บอกกับท่านลุงใหญ
หลังจากออกมาจากเหลาอาหารแล้วเหลียนอี้ปิงพาน้องเขยไปที่ตลาดค้าสัตว์เพื่อเลือกซื้อเกวียนเทียมลาหรือวัวขึ้นอยู่กับว่าเงินในมือพวกเขาพอหรือไม่ เงิน 10 ตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้เพื่อจ่ายให้กับทางการแทนการไปเป็นทหารตั้งแต่แรกนั้น ได้จากการนำสินเดิมของท่านแม่และภรรยาของเขาไปจำนำเอาไว้ที่โรงรับจำนำ“พี่ใหญ่ขอรับ หลังจากเราซื้อเกวียนแล้วข้าว่าพี่ใหญ่ไปเอาสินเดิมของแม่ยายกับพี่สะใภ้มาคืนพวกนางเถอะขอรับ ข้าคิดว่าต่อไปในภายภาคหน้าพวกเราคงไม่ขัดสนเงินทองเท่าไหร่ เป็นไปได้หากข้ามีเงินในอนาคตข้าก็อยากจะซื้อที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเองขอรับ”“ได้ตกลง เช่นนั้นเราก็แวะโรงรับจำนำก่อนก็แล้วกัน ข้าคิดว่าเงินเรามีพอที่จะซื้อเกวียนวัวหรือเกวียนลาได้”เมื่อตกลงกันได้แล้วเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่โรงรับจำนำและทำการไถ่ถอนสินเดิมของภรรยาและมารดาออกมาทั้งหมด รวมเป็นเงิน 8ตำลึงทอง ทำให้ในตอนนี้เงินในมือเหลืออยู่เพียง 2 ตำลึงทองกับอีก 6 ตำลึงเงินที่ได้จากการขายปลาหลังจากจัดการธุระที่โรงรับจำนำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดค้าสัตว์ทันที ด้วยจำนวนเงินที่มีในมือ คงจะซื้อได้เพียงเกวียนเทียมลาเท่านั้น หรือ
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก
หลังจากที่ราชครูเถียนได้ตัดสินใจออกไปแบบนั้นแล้ว เขาไม่เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วตระกูลเถียนคงได้ล่มสลายเพราะสตรีสมองหมูสองคนนี้เป็นแน่ เถียนเสี่ยวมี่ไม่ยินยอมจึงได้โวยวายว่าบิดาไม่ยุติธรรม“ท่านพ่อ ท่านจะมาทำแบบนี้กับข้าและท่านแม่ไม่ได้ เหตุใดเราสองแม่ลูกจะต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ การที่ลูกรักพี่จิ้งลูกผิดหรือเจ้าคะ”“ผิด เพราะหยวนจิ้งไม่ได้มีไมตรีต่อเจ้า การที่เจ้าไปวิ่งตามหยวนจิ้งแบบนั้นนอกจากจะด้อยค่าตัวเองแล้วยังทำลายเกียรติของตระกูลเถียนด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายผู้คนบ้างหรือ”“ท่านพี่ ให้โอกาสเราแม่ลูกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลมี่มี่ให้ดี จะไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก”“ข้าตัดสินใจแล้ว การกระทำของเสี่ยวมี่ที่ผ่านมามันบ่งบอกได้ถึงว่านางไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี ตัวข้าเป็นขุนนางตำแหน่งราชครู แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้แล้วข้าจะมีหน้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นไร พวกเจ้าสองแม่ลูกอย่าลืมว่ายังมีลูกชายทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอนาคตไกล อย่าให้การกระทำสิ้นคิดของเจ้ามาทำลายตระกูลเถียนและหน้าที่การงานของทุกคน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าให้ได้ปรับปรุงตัวเ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หยวนจิ้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากส่งหลาน ๆ กลับจวนแม่ทัพแล้ว ตัวเขาเองก็มุ่งหน้ากลับจวนกั๋วกงทันทีหยวนจิ้งกลับมาถึงก็ตรงไปที่เรือนของฮูหยินทันที เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้อีก ก่อนจะจัดการคนอื่นต้องจัดการคนในครอบครัวก่อน คนแรกคือท่านแม่ของเขาเอง“ท่านแม่อยู่หรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะคุณชาย กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินท่านราชครูเจ้าค่ะ”“ขอบใจ มีอะไรก็ไปทำเถอะ"“เจ้าค่ะคุณชาย”หยวนจิ้งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ตอนนี้นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่กับฮูหยินจวนราชครู หยวนจิ้งเองไม่คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว ในใจเขาคิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปถึงจวนราชครู หวังว่าฮูหยินจะกลับไปสั่งสอนลูกสาวหรือตัวฮูหยินเองที่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและอย่าได้คิดมาเล่นแง่หาข้ออ้างอะไรอีก แม้แต่ท่านแม่ของตัวเองวันนี้หยวนจิ้งเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้“คารวะท่านแม่ขอรับ คารวะฮูหยินท่านราชครู"“อ้าว อาจิ้งทำไมกลับมาไวนักล่ะลูก ไหนว่าไปที่ตำหนักองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” “อุ๊ย ดูพูดเข้าสิ หลานจิ้งฮูหยงฮูหยินอะไรกัน เรียกท่านป้าเถอะจ้ะ” ฮูหยินราชครู“ไม่ล่ะขอรับ ข้าไม่ส
เว่ยจื้อโหยวพาลูก ๆ และสามีเดินทางรอนแรมจากหมู่บ้านต้าลี่ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงเสียที คนที่มารอรับพวกเขาอยู่นอกประตูเมืองคือเฟยหลงกับหยวนจิ้ง เด็กน้อยทั้งสี่ต่างขดตัวนอนหลับอยู่ภายในรถม้ากับพี่เลี้ยงสี่ขาทั้งสี่เฟยหลงพาน้องชายนอกสายเลือดที่เขารักไม่ต่างจากคนสายเลือดเดียวกันเข้าไปพักที่จวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นหลายปีจวนแม่ทัพแห่งนี้มีอวิ๋นซวนกับหย่งคังและหย่งหมิงพักอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงหย่งหมิงกับอวิ๋นซวนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาหลวง“ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ ตอนนี้อาซวนกับอาหมิงคงยังไม่กลับจากสถานศึกษา” หยวนจิ้ง“พาหลาน ๆ ไปนอนในห้องหับเสียก่อน เดินทางมาไกล ต้าเป่ากับน้อง ๆ คงเหนื่อยแย่” เฟยหลง “ขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง” อวิ๋นเซียว"เอาล่ะ ซ้ายมือเป็นเรือนของอาเหิงกับครอบครัว ส่วนอาเซียวอยู่เรือนหน้าก็แล้วกัน เรือนด้านขวานั้นอาหมิงกับอาซวนพักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปพักอยู่ที่เรือนหลังก็แล้วกัน" เฟยหลงแจกแจงที่พักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนพักเรียบร้อยแล้ว รถม้าทั้ง 10 คันก็เขาไปจอดเรียบร้อยที่พื้นที่ด้านหลังของจวน ม้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวก