เยี่ยนเว่ยฉือถอยหลังไปทีละก้าวจนหลังชนบานประตูเสียงดังกึกอันกั๋วกงรู้ว่าซ่างกวนซีอยู่ในห้อง แต่เขาไม่ยอมปรากฏตัว และไม่แม้แต่จะออกมาปกป้องนางเลยหรือซ่างกวนซีอาจจะเกลียดนางไปแล้วเพราะรู้ว่านางไม่ใช่เยี่ยนชิงซู?เมื่อคิดได้เช่นนั้น อันกั๋วกงก็ยิ้มเยาะพลางก้าวเข้าไปหาเยี่ยนเว่ยฉือดูท่าเขาต้องการจะจับนางด้วยตัวเองหรือ?เย่เทียนซูที่อยู่ในความมืดกลอกตาแล้วพูดว่า “ตาแก่ผู้นี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง ถึงกับยอมเสียศักดิ์ศรีเพื่อที่จะได้ระบายความโกรธและลงมือทำร้ายสาวน้อยไร้ทางสู้!”อวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ยอมออกมาไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พวกเราควรทำอย่างไรดี?”เย่เทียนซูเองก็คำนึงปัญหานี้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ครุ่นคิดถึงต้นสายปลายเหตุ ก็มีคนมาเยือนที่จวนองค์รัชทายาทแห่งนี้เพิ่มอีก“ท่านพ่อ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!” เสียงของเด็กสาวพูดขึ้น“ซูเอ๋อร์ อย่าดื้อ พวกเราต้องยอมรับผิดและขอโทษ ตอนนี้เรื่องเลยเถิดไปไกลแล้ว องค์รัชทายาทคงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับเจ้าอีกแน่!” คนที่พูดประโยคนั้นเป็นชายวัยกลางคนดูเหมือนทั้งสองคนจะคิดว่าไม่มีใครอยู่ในจวนองค์รัชทายาท ถึงได้พูดจาไม่ม
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเยี่ยนชิงซูเห็นท่านหญิงหมิงหยางเดินเข้ามา นางก็รีบกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ “ท่านแม่ ท่านมาก็ดีแล้ว พวกเขาบอกว่าท่านพ่อมีความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้เจ้าค่ะ!”หมิงหยางลูบเรือนผมยาวของลูกสาวด้วยความรัก จากนั้นก็มองไปที่อันกั๋วกงพลางขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านใต้เท้าอันกั๋วกง นั่นอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า? เหตุใดท่านไม่เชิญพี่ชายของข้ามาพูดคุยรายละเอียดกันเล่า?”อันกั๋วกงแค่นเสียงเย็น ท่านหญิงหมิงหยางใช้ชื่อพี่ชายใหญ่อ๋องจ่างซิ่นมาอ้างเช่นนี้ เพื่อต้องการจะกดดันเขาอย่างนั้นน่ะหรือ?ทุกวันนี้ จะเป็นคนจากในหรือนอกราชสำนักก็ไม่มีใครไม่รู้ว่า บรรดาขุนนางบุ๊นจะเชื่อฟังอันกั๋วกง และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊จะภักดีกับอ๋องจ่างซิ่นคนหนึ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและอีกคนเป็นฝ่ายบู๊ ทั้งสองต่างต่อสู้ขับเคี่ยวกันในราชสำนัก จนเกือบจะทำให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหมดบทบาทไปเลยนี่คือเหตุผลที่เยี่ยนหานซานกล้าที่จะให้บุตรีอนุมาแทนที่บุตรีภรรยาเอกเพราะมีจวนอ๋องจ่างซิ่นคอยหนุนหลังเขาอยู่อย่างไรเล่า!แน่นอนว่าเมื่ออันกั๋วกงได้ยินสิ่งที่ท่านหญิงหมิงหยางพูด เขาก็พยายามสงบเสงี่ยมเจียมต
เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มและพูดว่า “โธ่ถัง โกรธมากไม่ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีวิธีที่จะทำให้ทั้งจวนโหวเอาตัวรอดไปได้โดยไม่เป็นอันตราย ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังสามารถขึ้นเป็นชายาองค์รัชทายาทได้อย่างราบรื่นด้วย และจะกรุยทางให้ท่านพ่อเดินไปสู่ความก้าวหน้าด้านการงาน เราพึ่งพาจวนอ๋องจ่างซิ่นเพียงอย่างไม่พอหรอก เรายังพึ่งจวนองค์รัชทายาทได้อีกด้วย มีแต่คำว่า ‘ได้กับได้’ ท่านพ่อคงไม่ได้ไม่เห็นด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”เยี่ยนหานซานสะดุ้งเล็กน้อยพลางลังเลในใจท่านหญิงหมิงหยางพึ่งพาจวนอ๋องจ่างซิ่นมาหลายปี แต่กลับทำให้เขาได้เป็นแค่ผิงอี้โหวธรรมดา ๆแม้จะมีตำแหน่ง แต่ในหกกรมเขาก็มีอำนาจน้อยมากถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็คือองค์รัชทายาท แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีอำนาจ แต่ใครจะกล้ารับประกันว่าในภายภาคหน้าเขาจะไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ดู ๆ แล้วหากจะผูกสัมพันธ์ไว้กับทั้งสองทางก็คงไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรมิตรรายล้อมมาพร้อมหลายเส้นทาง ศัตรูมากมายกลายเป็นเพิ่มอุปสรรคเมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยนหานซานก็เดินแยกออกมา เยี่ยนเว่ยฉือที่เห็นเช่นนั้นก็เดินกระโดดปึ๋งตามเขาไปราวกับกระต่ายน้อยหลังจากที่พวกเขาทั้งสอง
นี่จะโยนข้อกล่าวหาทั้งหมดมาให้เยี่ยนเว่ยฉือหรือ?ริมฝีปากของเยี่ยนเว่ยฉือขยับเพราะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ อันกั๋วกงก็ชิงพูดก่อนว่า “เจ้าพูดอะไรเหลวไหล! ข้าได้ทำการตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้ว เยี่ยนเว่ยฉืออาศัยที่ในเขตนอกเมืองตั้งแต่อายุหกขวบและไม่เคยกลับมาที่เมืองหลวงเลย นางจะรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร และนางรู้ได้อย่างไรว่าเวลาไหนจะต้องเข้าไปสลับตัวแทนได้ หากเจ้าไม่ได้เป็นคนพานางมา นางคงจะกลับบ้านไม่ถูกเสียด้วยซ้ำ!”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หาได้ยากที่อันกั๋วกงจะพูดอะไรที่ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างเยี่ยนหานซานขมวดคิ้วหน้าบึ้ง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ เขาโจมตีเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความโกรธแค้น “นางคนชั่วช้า เจ้าพูดมาสิว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้องหญิงรองของเจ้าต้องไปพบองค์รัชทายาท และเจ้าเข้าไปแทนที่นางอย่างไร?”เยี่ยนหานซานขยิบตาให้เยี่ยนเว่ยฉือบอกนางเป็นนัย ๆ ว่าให้รับผิดทั้งหมดท่านหญิงหมิงหยางที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “นั่นสิ เว่ยฉือ เจ้ายอมรับผิดเถิด ฝ่าบาทคงจะทรงลดโทษให้เจ้าเพราะเห็นแก่ที่เจ้ายังเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างแน่นอน”ยังไม่ทันไรก็ให้นางยอมรับผิดแล้ว?เยี
พูดเช่นนี้…ก็ใช่ว่าจะผิดเสียทีเดียวเพราะถึงอย่างไรในวันนั้นบนราชโองการก็ไม่ได้แถลงชื่อของบุตรีภรรยาเอกที่ได้รับพระราชทานการแต่งงานเอาไว้และท่านหญิงหมิงหยางเองก็ยังไม่ได้ให้กำเนิดทายาท!สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงหมายถึงในตอนนั้นก็คือหากท่านหญิงหมิงหยางให้กำเนิดบุตรี นางก็จะได้เป็นชายารัชทายาท แต่หากเป็นบุตรชาย ก็จะรอครรภ์บุตรคนต่อไปกล่าวโดยสรุปคือสิทธิประโยชน์นี้มีเพื่อมอบให้ท่านหญิงหมิงหยางทว่าในพระราชโองการนั้นไม่ได้เขียนไว้ละเอียดนัก เขียนเพียงแค่พระราชทานการแต่งงานให้บุตรีภรรยาเอกท่านหญิงหมิงหยางที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้ฟังสิ่งที่เยี่ยนเว่ยฉือพูด ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีนางขึ้นเสียงอย่างโกรธแค้น “นางสารเลว เจ้ายังจะมีหน้าพูดเอาดีเข้าตัวอีกนะ เป็นเพราะฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าของพี่ชายข้าถึงได้ออกพระราชโองการเช่นนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”เยี่ยนเว่ยฉือโต้กลับ “ท่านหญิงหมิงหยาง ตอนนั้นที่ท่านแต่งเข้ามาในจวนเสนาบดี ท่านแม่ของข้ายังเป็นนายหญิงของที่นั่น หลังจากที่ท่านเข้ามาก็กลายเป็นภรรยาเทียบเท่า แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าอนุ! หากข้าไม่ใช่บุตรีภรรยาเอก แล้วท่านคิดว่าเด็กที่ยังไ
ฮ่องเต้คังอู่ทรงยิ้มอ่อนพลางส่ายหัวอย่างจนใจเยี่ยนหานซานกลอกตาใส่เยี่ยนเว่ยฉืออย่างเกลียดชังทว่าอันกั๋วกงกลับทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง‘นางเด็กบ้านี่พูดถูก ในเมื่อองค์รัชทายาททรงสมรรถภาพทางเพศบกพร่อง เช่นนั้นก็คงมีทายาทไม่ได้ องค์รัชทายาทที่ไม่มีทายาท ในภายภาคหน้าจะสืบทอดบัลลังก์อย่างไร? มันไม่คุ้มที่จะขัดแย้งกับฝ่าบาทเพื่อคนไม่สมประกอบเช่นนี้ และบางทีอาจจะส่งผลถึงความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อองค์ชายรองอีกด้วย’เมื่อคิดได้เช่นนั้น อันกั๋วกงก็แค่นเสียงเย็น “หึ ฝ่าบาท พอดีกระหม่อมแก่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบาย กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่รอให้ฮ่องเต้ทรงแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ฮ่องเต้เองก็ทรงชินกับการกระทำอันหยิ่งผยองนี้แล้ว จึงทรงทำเพียงโบกพระหัตถ์สื่อเป็นนัยให้ทุกคนออกไป……เมื่อเยี่ยนเว่ยฉือเดินออกมาถึงหน้าประตูวัง ก็พบเข้ากับรัฐทายาทแห่งอ๋องเซียวเหยา อวี๋เฟยเหยียนที่ถือกระบี่ยาวและทำสีหน้าโกรธเกรี้ยวลงจากหลังม้าอวี๋เฟยเหยียนคิดไว้ว่าจะไปช่วยเยี่ยนเว่ยฉือแก้สถานการณ์ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นผิงอี้โหวยืนอยู่ด้วยเมื่อเขาเห็นเยี่ยนเว่ย
ไม่ได้มีเพียงเยี่ยนหานซานที่ต้องการตรวจสอบ แต่ยังรวมไปถึงอันกั๋วกงด้วยหลังจากที่อันกั๋วกงออกจากพระตำหนักจิ่วหลง เขาไม่ได้รีบออกจากพระราชวังในทันที แต่ถูกฮองเฮาเรียกตัวไปที่ตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อสอบถามเรื่องราวหลังจากฟังคำบรรยายของอันกั๋วกงแล้ว ฮองเฮาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความสับสนนางพูดว่า “ซ่างกวนซีบกพร่องเรื่องสมรรถภาพจริงหรือ?”อันกั๋วกงถอนหายใจ “หากเขาบกพร่องจริง เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องบีบคั้นเขามากเกินไป ฝ่าบาททรงรักและโปรดปรานเขามาโดยตลอด หากเรายังกัดเขาไม่ปล่อยอยู่เช่นนี้ อาจเป็นการทำลายไมตรีระหว่างฝ่าบาทกับท่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาก็จะทำให้องค์ชายรองเหนื่อยเปล่า ๆ ”ฮองเฮาพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่อย่างยิ่ง ซ่างกวนซีเข้าร่วมกองทัพมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตอนนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว อาจได้รับบาดเจ็บมาจากในสนามรบก็เป็นได้”“ใช่ อีกทั้งในร่างกายเขาก็ยังเต็มไปด้วยพิษกู่เย็น แม้จะมียอดฝีมือมาช่วยระงับพิษเอาไว้ แต่ใครจะรู้เล่า พิษนั้นอาจก่อโรคที่ทำให้เป็นหมันก็ได้นี่? แต่ก็ต้องเฝ้าระวังกันไปก่อน ข้าจะหาคนส่งไปทดสอบดูสักหน่อย”เมื
เยี่ยนเว่ยฉือกลับมายังห้องโถงเพื่อรับประทานอาหารต่อ ขณะที่นางนั่งรับประทานอยู่นั้น จางมามาก็คอยเติมน้ำชาและอาหารให้พลางพูดว่า “องค์รัชทายาททรงมีชีวิตที่ยากลำบากมาตลอดครึ่งแรกของชีวิต แต่บัดนี้ทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสาวผู้งดงามและจิตใจดีเช่นท่านแล้ว ครึ่งหลังของชีวิตคงจะทรงสุขสบายเป็นแน่”เยี่ยนเว่ยฉือกำลังแทะซี่โครงหมูอยู่ นางหันไปมองจางมามาด้วยความสงสัยและเอ่ยถามว่า “ยากลำบากหรือ? เขาเป็นองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยากลำบากเล่า?”จางมามาถอนหายใจและกล่าวว่า “พระชายาคงไม่ทราบ องค์รัชทายาททรงสูญเสียพระมารดาไปตั้งแต่อายุได้เพียงแปดปี พออายุได้สิบสี่ปี พระองค์ก็ทรงถูกฝ่าบาทส่งไปเป็นทหาร ในยามนั้น ฝ่าบาทยังไม่ทรงอนุญาตให้พระองค์เปิดเผยฐานะ จึงต้องทรงฝ่าฟันจากตำแหน่งทหารธรรมดา จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทั้งสาม สิบปีผ่านไป องค์ชายคนอื่น ๆ ต่างทรงมีชีวิตที่สุขสบาย แต่องค์รัชทายาทกลับไม่เคยได้หลับพักผ่อนอย่างสบายใจเลยสักวัน”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เอาเถิด มามา นั่งลงก่อนเถอะ”เยี่ยนเว่ยฉือทำท่าเชื้อเชิญให้จางมามามานั่งลงจางมามาไม่กล้า “ไม่ได้ ไม่
ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือวางยาเขาเมื่อไร และถอนพิษให้เขาเมื่อไร?เขาถึงกับไม่เข้าใจว่า การที่เขาได้มีความสัมพันธ์กับท่านหญิงหมิงหยางเพื่อถอนพิษนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่อย่างไรก็ตาม เขาหวาดกลัวกลเม็ดของเยี่ยนเว่ยฉือ และไม่อยากไปยั่วโมโหดาวอัปมงคลผู้นี้อีกแล้วท่านหญิงหมิงหยางได้ยินลู่อู๋ถาม ก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ได้ยินซูเอ๋อร์บอกว่า พี่น้องชาวเป่ยอิ้นจะไปล่องเรือที่ทะเลสาบปี้โป และยังเชิญลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์และสาวงามจากตระกูลดังมากมายในเมืองหลวงไปร่วมงานด้วย พวกองค์ชายหลายคนก็จะไป ซ่างกวนซีก็ต้องพาเยี่ยนเว่ยฉือไปด้วยแน่"ลู่อู๋เบิกตากว้าง ถามอย่างกังวลว่า "ท่านจะทำอะไร?"ท่านหญิงหมิงหยางยิ้มอย่างเย็นชา "อวี๋ฉืออวิ๋นจ้าวคนนั้น ต้องการแต่งงานกับองค์หญิงที่เกิดจากภรรยาเอกของพวกเรากลับไป แต่ฝ่าบาททรงหวงแหนองค์หญิงเหวินหลิงที่ยังทรงพระเยาว์ ในตอนนั้นคงต้องเลือกจากขุนนางที่มีฐานะเทียบเท่ากัน เกรงว่าหลานสาวของข้า ท่านหญิงอิ๋นตาง แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ดีเท่าที่ควรแต่ก็มีฐานะสูงศักดิ์ ข้ากลัวว่าฝ่าบาทจะหมายปองนาง สู้ข้าช่วยเขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงลงมือดีกว่า"ลู
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่างกวนซีก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น ริมฝีปากและฟันประกบกัน เสียงน้ำลายแลกเปลี่ยนดังซี้ดซ้าด"อ๊า…"หลังจากเสียงกรีดร้องดังขึ้น คนสองคนบนเตียงก็จบการต่อสู้อันแสนสุขนี้ลงในที่สุดและซ่างกวนซีที่เฉลียวฉลาด แม้ในขณะที่จูบอย่างลืมตัว ก็ไม่ลืมที่จะเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อได้ยินว่าบนเตียงไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว ซ่างกวนซีก็หยุดการสัมผัสอันแนบชิดทันที และไม่ลืมที่จะเอามืออุดปากเยี่ยนเว่ยฉือไว้เยี่ยนเว่ยฉือยังไม่ได้สติจากการจูบอันเร่าร้อนนั้น ร่างกายของนางราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆ สมองไม่สามารถคิดอะไรได้โชคดีที่นางเชื่อฟัง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ส่งเสียงใด ๆซ่างกวนซีแอบกระตุ้นวิชาสหัสเหมันต์ในร่างกายของเขา พยายามกดไฟโทสะที่ไม่สมควรปะทุออกมารอเพียงให้คนสองคนบนเตียงจากไป พวกเขาจะได้หลุดพ้นแต่คนทั้งสองหลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ดูเหมือนจะไม่คิดที่จะจากไปในทันที แต่กลับนอนกอดกัน พูดคุยกันอย่างสบาย ๆท่านหญิงหมิงหยางกล่าวว่า "เยี่ยนเว่ยฉือ นางต่ำช้าคนนั้น กล้าดีอย่างไรมาวางแผนกับข้าแบบนี้ ข้าไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่"ลู่อู๋ถอนหายใจ "หากท่านไม่จ้างมือสังหารไปฆ่านางก่อน นางก็คงไม
"เสียงอะไร?" ลู่อู๋บนเตียงหยุดการกระทำของเขาอย่างไรก็ตาม ท่านหญิงหมิงหยางที่ยังคงดื่มด่ำอยู่ในรสชาติของกามารมณ์ จะได้ยินเสียงของคนอื่นได้อย่างไรเมื่อเห็นลู่อู๋หยุด นางก็อดไม่ได้ที่จะเร่งเร้า "อย่าหยุดสิ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย!"ลู่อู๋ขมวดคิ้วถาม "ท่านไม่ได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือ?"ท่านหญิงหมิงหยางถามว่า "หา? หรือว่าไฟไหม้อีกแล้ว?"ลู่อู๋เงี่ยหูฟังอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเสียงแล้ว เขาก็ปลอบโยนว่า "คงเป็นข้าหูฝาดไปเอง อาจจะเป็นเสียงร้องของคนข้างห้องที่ดังเกินไป""หึ เจ้าอยู่บนตัวข้า ยังได้ยินเสียงร้องของหญิงอื่นอีก ช่างโลภจริง ๆ!""หญิงอื่นร้องเสียงดังแค่ไหน ก็ไม่ไพเราะเท่าเสียงของท่านหรอก มา ๆ ๆ ข้าจะปรนนิบัติท่านหญิงต่อ!"เสียงเตียงโยกเยกดังขึ้นอีกครั้งและคนสองคนที่อยู่ใต้เตียงก็เหมือนถูกกดจุดเยี่ยนเว่ยฉือคิดไม่ออกว่า วิธีที่จะไม่ให้นางส่งเสียงมีมากมายหลายวิธี สามารถอุดปากนาง สามารถกดจุดนาง หรือแม้แต่ทำให้สลบไปก็ยังได้ เหตุใดซ่างกวนซีถึงเลือกใช้วิธีที่แย่ที่สุดในเมื่อใจของนางว้าวุ่นอยู่แล้ว การจูบอย่างกะทันหันนี้แทบจะเหมือนฟ้าผ่ากับไฟใต้ดินหัวใจที่ไม่สงบแต่เดิมยิ่
ซ่างกวนซีหันศีรษะกลับมา มองไปที่ใต้เตียงอย่างใจเย็น คิดว่าจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไรแต่ใครจะรู้ว่าคนสองคนหลังฉากกั้นนั้น ไม่เพียงแต่จะพัวพันกัน แต่ยังพูดจาเหลวไหลอีกด้วยหอวสันต์อนันตกาลแห่งนี้ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน บริเวณอ่างอาบน้ำหลังฉากกั้นมีกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่ง เพียงแค่เปิดจุกกระบอก น้ำร้อนก็จะไหลออกมาอย่างต่อเนื่องท่านหญิงหมิงหยางเอนกายอยู่ในอ่างอาบน้ำ เอื้อมมือไปสัมผัสน้ำร้อนที่ไหลออกมา พูดอย่างซาบซึ้งว่า "เจ้าหาที่เช่นนี้เจอได้อย่างไร ทั้งปลอดภัยและน่าสนใจ น้ำนี่ เจ้าของหอคงตั้งใจทำเป็นพิเศษแน่ ๆ"ลู่อู๋ใช้ผ้าเปียกชื้นเช็ดถูร่างกายของท่านหญิงหมิงหยางอย่างเบามือขณะเช็ดก็พูดว่า "การปล่อยให้น้ำไหลจากกระบอกไม้ไผ่ ต้องใช้ความใส่ใจอะไรมากมายนัก แค่มีถังกักเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่บนดาดฟ้าเท่านั้นเอง การทำให้น้ำไหลต่างหากที่ทำให้ข้าเปลืองแรงไปไม่น้อย!"ท่านหญิงหมิงหยางผลักเขาเบา ๆ ค่อนขอดอย่างเขินอายว่า "พูดอะไรน่ะ! เจ้านี่ ดูเหมือนจะสุภาพเรียบร้อย แต่ปากคอเราะรายจริง ๆ"ลู่อู๋ก้มตัวลง โอบกอดนางจากข้างหลัง กระซิบข้างหูว่า "ท่านก็ชอบที่ข้าพูดจาไม่สุภาพมิใช่หรือ? ไม่เพียงแต่ชอบ
หลังจากออกจากห้องมาแล้ว พวกเขาไม่ลืมที่จะปิดประตูจากภายนอกอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครขึ้นมาพบพิรุธแต่สิ่งที่กลัวมักจะเกิดขึ้นทั้งสองเดินอยู่ในทางเดินที่มืดมิด วางแผนที่จะไปดูห้องอื่น ๆในห้องที่มีกลอนประตูแต่ละห้อง มีเสียงครางอื้ออึงดังออกมาไม่ต้องดูก็รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ทั้งสองคนฟังเสียงจนรู้สึกกระวนกระวาย อยากจะจากไป ก็พลันได้ยินเสียงของหลงหยางดังขึ้น "ลูกค้าทั้งสองเชิญทางนี้"แย่แล้ว! หลงหยางพาคนขึ้นมา และกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา!นี่เป็นสุดทางเดิน ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวเลยหรือว่าจะต้องต่อสู้กัน?ในขณะที่สถานการณ์คับขัน ซ่างกวนซีกลับเปิดประตูห้องพักห้องสุดท้ายออก ข้างในมืดสนิทไม่มีการจุดไฟ เห็นได้ชัดว่าไม่มีแขกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ซ่างกวนซีก็ปิดประตูลง กอดเยี่ยนเว่ยฉือไว้ พลิกตัวเข้าไปใต้เตียง"ชู่ว!" ซ่างกวนซีทำท่าทางให้เงียบ จากนั้นก็กอดเยี่ยนเว่ยฉือแน่น ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงไม่ขยับเขยื้อนเดิมทีคิดว่าจะหลบสักพัก คนข้างนอกก็จะจากไป ใครจะรู้ว่าไฟในห้องกลับถูกจุดขึ้นเยี่ยนเว่ยฉือตกใจจนต้องสูดหายใจเข้า รีบเอามือปิดปากตัวเองหลงหยางคนนี้
ยิ่งได้คบหาด้วยนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่านางแปลกประหลาดยิ่งรู้สึกว่านางแปลกประหลาด ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นในตัวนางยิ่งอยากรู้อยากเห็นในตัวนาง ก็ยิ่งไม่อยากเปิดโปงคำโกหกที่ไม่แนบเนียนของนางต้องให้นางสารภาพด้วยตัวเอง ถึงจะรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าเมื่อซ่างกวนซีคิดถึงตรงนี้ เขาก็ดับโทสะในใจลงได้ เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยนเว่ยฉือก็พูดขึ้นว่า "ฝ่าบาท พวกเราออกไปเดินสำรวจกันเถอะ ข้ามีวิธีออกไป!"เยี่ยนเว่ยฉือรอแทบไม่ไหวที่จะออกจากห้องที่คลุมเครือนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางรู้สึกว่าของในห้องไม่สะอาดอีกอย่าง การที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง ดูสุ่มเสี่ยงอันตรายไปหน่อยซ่างกวนซีมองนาง ถามว่า "อย่างไรเล่า เจ้าปีนประตูงัดกุญแจเป็นด้วยหรือ? ช่างมากความสามารถจริง ๆ!"เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ "นี่… นี่ไม่เป็นหรอก ไว้ข้าค่อย ๆ เรียนรู้ไปในภายหลังก็ได้!"ซ่างกวนซีเหลือบมองนางอย่างจนใจ เด็กสาวคนนี้พูดอะไรก็เข้าข้างตนเองไปเสียหมดเยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่เชือกแดงตรงประตู แล้วกล่าวว่า "ข้าจะเรียกคนขึ้นมา ทำให้เขาหมดสติ จากนั้นพวกเราก็ออกไปได้แล้ว"นี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง ด้วยวรยุท
เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในทันทีให้ตายสิ ไม่เคยกินหมู ต้องไม่เคยเห็นหมูวิ่งด้วยหรือไร นางรู้แน่นอนอยู่แล้ว แต่จะอธิบายได้อย่างไรล่ะว่านางรู้มาจากไหน?"ไม่… ไม่รู้จัก! ข้าแค่รู้สึกว่า...รู้สึกว่าที่นี่มันไม่สะอาดน่ะ!" เยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าไป ไม่กล้ามองซ่างกวนซีเพราะรู้สึกผิดซ่างกวนซีเดินเข้าไปใกล้ ถามต่อ "อ้อ? อย่างนั้นหรือ? ไม่รู้จัก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้ใช้ทำอะไร ไม่ได้มีไว้ดูเล่นหรือ?""ข้า… ข้าเดาเอาน่ะ!" เยี่ยนเว่ยฉือถอยหลังไปเรื่อย ๆซ่างกวนซียิ้มอย่างเย็นชา พุ่งเข้าไปประชิดตัวเยี่ยนเว่ยฉืออย่างไม่ทันตั้งตัว จับเอวของนางไว้เยี่ยนเว่ยฉือร้องอุทานอย่างตกใจ "ฝ่าบาท! ฝ่าบาทจะทำอะไร!""ไม่ทำอะไร!" ซ่างกวนซีใช้มือข้างหนึ่งจับเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้ ไม่ให้นางหนีไป มืออีกข้างหยิบแท่งหยกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วพูดต่อ "ข้าดูของในห้องนี้แล้วรู้สึกแปลกใหม่มาก อยากจะหารือกับเจ้าสักหน่อย มา เรามาทายกันดูว่านี่ใช้ทำอะไร?"ซ่างกวนซีนำสิ่งของนั้นเข้าไปใกล้เยี่ยนเว่ยฉือ เยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า "ฝ่าบาท ท่าน… ท่านอย่าแตะต้องข
ยิ่งไปกว่านั้น ทางเดินยังมืดสนิท ไม่มีแม้แต่โคมไฟสักดวงซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือไว้แน่น ร่างกายของเขาแผ่กลิ่นอายระวังภัยออกมาหลงหยางเห็นดังนั้นจึงนำผ้าแพรยาวออกมา สองปลายยื่นให้กับซ่างกวนซีและเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วอธิบายว่า "ท่านทั้งสองอย่าเข้าใจผิด แขกที่มาหาความสุขที่นี่ ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา ยิ่งมีฐานะสูงส่ง ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของทุกท่าน การมองเห็นให้น้อยที่สุดจึงเป็นเรื่องดีที่สุด ท่านวางใจได้ เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว แสงไฟย่อมสว่างไสวแน่นอน!"ซ่างกวนซีตอบกลับอย่างเฉยเมย "ดี!"หลงหยางยิ้ม ดึงตรงกลางผ้าแพรยาว นำทางทั้งสองคนเข้าไปข้างในเยี่ยนเว่ยฉือพบว่า ในที่ที่มืดมิดเหมือนกัน หลงหยางกลับเดินได้อย่างราบรื่น เลี้ยวซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว โดยไม่มีการสะดุดแม้แต่น้อยหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หลงหยางก็หยุดฝีเท้าลงและเปิดประตูบานหนึ่งเยี่ยนเว่ยฉือและซ่างกวนซีก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งในห้องสว่างมาก...สว่างจนน่าตกตะลึง!ผ้าไหมสีแดง เก้าอี้หวาย แท่นร่วมรักกระดิ่ง แท่งหยก ห่วงขอบตาแพะเตียงใหญ่กว้างขวาง อ่างอาบน้ำคู่ และเทียน
หลังจากทุกคนนั่งลง อวี๋เฟยเยี่ยนก็หัวเราะ "ครั้งที่แล้วรีบไปหน่อย ลืมจ่ายค่าสุรา วันนี้ข้าขอจ่ายให้พร้อมกันไปเลย ข้าไม่ต้องการติดค้างเงินผู้ใด"หลงหยางยิ้มตอบ "คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว พวกท่านมาอุดหนุนร้านของข้า ก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ครั้งที่แล้วเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่โทษคุณชายทั้งหลาย ถือว่าร้านเลี้ยงพวกท่านก็แล้วกัน คุณชายอย่าได้ใส่ใจ!"เย่เทียนซูหัวเราะเสียงดัง "ฮ่า ๆ ๆ เจ้านี่ช่างใจกว้างเสียจริง แต่วันนี้พวกเราไม่ได้มาเพียงร่ำสุราเท่านั้น"เย่เทียนซูชี้ไปที่ฉินเซียงหรู แล้วกล่าวต่อ "พวกเราสองคนจะไปที่ชั้นสอง สัมผัสความสุขของการหาเพื่อนรู้ใจที่ซ่อนอยู่ในความเงียบสงบ"เย่เทียนซูชี้ไปที่อวี๋เฟยเยี่ยน แล้วพูดว่า "ส่วนคุณชายท่านนี้จะไปที่ชั้นสี่ เพื่อสัมผัสกับบริการพิเศษของที่นี่"ชั้นสี่?นั่นไม่ใช่ที่ที่บุรุษปรนนิบัติบุรุษด้วยกันหรอกหรือ?อวี๋เฟยเยี่ยนเบิกตากว้าง กำลังจะโต้แย้ง ทว่าเย่เทียนซูรีบพูดว่า "ส่วนสองท่านนี้ แค่อยากหาที่เงียบ ๆ เพื่อสนทนา!"เย่เทียนซูลูบที่ติ่งหูของตนเอง ยิ้มอย่างมีความหมายหลงหยางเป็นคนแบบไหนกัน เขาต้อนรับแขกทุกวัน เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากเขาเ