หลังจากที่ทั้งสองกลับมา พวกเขาก็ไปพบซ่างกวนซีทันทีเพื่ออธิบายสถานการณ์ซ่างกวนซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วหลังจากได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวว่า “นักฆ่าจากเป่ยอินได้เข้ามาในเมืองแล้ว แต่สายสืบในเมืองหลวงกลับไม่ได้รับข่าวใดใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะซ่อนตัวได้ดีมาก”อวี๋เฟยเหยียนถามอย่างเป็นกังวล “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขาบุกมาที่นี่เพื่ออะไรหรือ? หรือว่าจะมาลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท”ซ่างกวนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ข้าคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพียงเพราะฮวาอวี๋ ไม่รู้ว่าฮวาอวี๋ขโมยอะไรไป พวกเขาถึงได้ไล่ตามอย่างสุดหล้าฟ้าเขียวเช่นนี้ ยอมแม้กระทั่งเข้าถ้ำเสือ”สำหรับชาวเป่ยอิน เมืองหลวงของแคว้นต้าหลีนั้นถือว่าเป็นถ้ำเสือความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างเป่ยอินและแคว้นหลีไม่ค่อยดีมาตลอดที่พวกเขาไม่ได้ทำสงครามกัน เพียงเพราะแค่ไม่รู้ความแข็งแกร่งของกันและกันแต่ทุกคนตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงราษฎรทั่วไปต่างก็รู้ดีว่าสงครามครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาก็รอเพียงโอกาสเท่านั้นซ่างกวนซีเคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะ ซึ่งเป็นท่าทางที่เขาทำประจำเวลาใช้ความคิดหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “แจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ เทียนซูตามพวกเขาไปแล้ว พบว่าพวกเขาเข้าพักในโรงแรมตามปกติ แล้วก็ถามหาชายที่สวมเสื้อสีม่วง รูปร่างหน้าตาดี คงจะเป็นฮวาอวี๋ นอกนั้นก็มิได้ทำอะไร และมิได้ติดต่อกับขุนนางของเรา แต่ชายที่สวมหน้ากากระมัดระวังมาก คาดว่าเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นเทียนซูจึงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป”ซ่างกวนซีพยักหน้า “ไม่เป็นไร เพียงเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอ ชาวเป่ยอินมีสถานะที่ละเอียดอ่อน เราไม่ควรไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาทำอะไรตามอำเภอใจ”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจความหมายของซ่างกวนซี นั่นคือ หากมือสังหารชาวเป่ยอินมาเพราะฮวาอวี๋ พวกเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่หากพวกเขามาเพราะแคว้นต้าหลี่ ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งอวี๋เฟยเหยียนกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าเข้าใจแล้ว ได้แจ้งให้ที่ว่าการเมืองทราบแล้ว เชื่อว่าเจียงโม่ หัวหน้าหน่วยตรวจสอบจะไปหาพวกเขาในไม่ช้า”ซ่างกวนซีพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามต่อ “ทางเยี่ยนเว่ยฉือ จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้า “จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม้แปรรูปหนึ่งพันท่อน ทั้งหมดถูกส่งไปยังจวนองค์ชายรอง ประมาณครึ่งเดือนก็จะซ่อมแซมเสร็จ”“เยี่ยนเว่ยฉือมีการเค
เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “จวนองค์รัชทายาทเงียบสงบเกินไป น่าเบื่อนัก ข้าจึงจะไป… จับสัตว์เล็ก ๆ กลับมาเลี้ยง”“หืม? สัตว์เล็ก?” อวี๋เฟยเหยียนแสดงสีหน้าไม่เข้าใจเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ป่าสนย่อมมีกระรอกน้อยใช่หรือไม่เล่า ฮิฮิ!”ริมฝีปากของอวี๋เฟยเหยียนขยับ แต่ก็มิได้พูดอะไร แต่ในใจกลับอดบ่นไม่ได้“ข้า องค์ชายเซียวเหยาผู้สง่างาม กลับต้องไปจับกระรอกกับเจ้า? หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป จะเอาหน้าตาของจวนอ๋องเซียวเหยาไปไว้ที่ไหน? ท่านพ่อคงหักขาข้าแน่!”เยี่ยนเว่ยฉือเห็นสีหน้าไม่เต็มใจของอวี๋เฟยเหยียนก็มิได้อธิบายอะไร เพียงแต่ยิ้มแล้วเอนตัวพิงรถม้า หลับตาลงโชคดีที่ป่าสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงหลังจากออกจากประตูเมืองตะวันตก เดินไปอีกเพียงหนึ่งก้านธูปก็มาถึงชายป่าสนแล้วจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็พาอวี๋เฟยเหยียนลงจากรถม้า เดินตรงเข้าไปในป่าวันนี้เยี่ยนเว่ยฉือสะพายกระเป๋าย่ามใบเล็กมาด้วยอวี๋เฟยเหยียนเห็นว่านางหยิบขนมที่เหลือจากตอนเช้าออกมาอวี๋เฟยเหยียนอดที่จะกระตุกมุมปากไม่ได้ ถามว่า “นี่… พี่สะใภ้ เจ้าออกมาข้างนอกยังพกขนมมาด้วยหรือ? คิดจะเที่ยวเล่นในป่าทั้ง
ซ่างกวนหลีส่ายหน้าเบา ๆ รู้สึกว่าเรื่องราวไม่เรียบง่ายเช่นนั้น จึงตัดสินใจสืบหาข่าวสาร…… ค่ำคืนนั้น เวลาเที่ยงคืน ณ จวนองค์รัชทายาทนอกห้องบ่าวรับใช้มีเสียงแมวร้องและเสียงนกหวีดดังขึ้น ปลุกให้ซูเค่อและฝูฉวีตื่นขึ้นทั้งสองรู้ว่าเป็นคนขององค์ชายรองที่มาขอรับข่าวสารฝูฉวีพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “ช่วงนี้สงบสุขดี นอกจากหว่านชิงแล้ว องค์ชายรัชทายาทก็ไม่ได้ให้ใครเข้าไปในห้องตำราอีก จะมีข่าวสารอะไรส่งให้องค์ชายรองเล่า โอ๊ย!”ซูเค่อแต่งตัวพลางปลอบประโลม “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าไปดูเอง”สักครู่ซูเค่อก็แต่งตัวเสร็จ เดินไปที่ประตูหลังห้องน้ำมีเสียงถามจากนอกประตู “องค์ชายทรงอยากทราบว่า เพราะเหตุใดพระชายาจึงไปยังป่าสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือบ่อยครั้ง”ซูเค่อคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบ “ข้าไม่ทราบ”“ไม่ทราบ? ซูเค่อ เจ้าคงไม่ได้หลงลืมกำพืดของตนเองหรอกกระมัง?” บุคคลผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจซูเค่อขมวดคิ้ว “ข้าไม่ทราบจริง ๆ นับตั้งแต่หว่านชิงและชวนหงประสบเหตุ องค์ชายรัชทายาทและพระชายาก็ระมัดระวังพวกเรามากขึ้น ข้า… ข้าจะพยายามสืบหาข่าวสารเพิ่ม”“ฮึ่ม ให้เวลาเจ้าสามวัน หากสืบหาไม่ได้ เจ้าก็ไปอธิบาย
อวี๋เฟยเหยียนคุกเข่าลงพลางบ่นพึมพำ “มดก็หน้าตาเหมือนกันหมด”เมื่อเขาเห็นชัด ๆ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “โอ้ มดที่นี่เหตุใดถึงเป็นสีขาว?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “นี่เรียกว่าปลวก ท่านอย่าดูถูกมันเชียว ฝูงปลวกสามารถทำลายบ้านหลังหนึ่งได้ภายในเจ็ดถึงแปดวัน”พูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่ต้นสนใหญ่ตรงหน้า กล่าวว่า “เห็นต้นไม้นี้หรือไม่ ดูภายนอกแล้วเหมือนจะธรรมดา แต่ข้างในคงถูกปลวกกินจนกลวงแล้ว”อวี๋เฟยเหยียนมองลำต้นที่แข็งแรง ไม่ได้สงสัยคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือ เพราะต้นสนรอบ ๆ มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่มีเพียงต้นนี้ที่ยอดเล็ก ใบไม้บาง ดูเหมือนจะยืนต้นตายในไม่ช้าอวี๋เฟยเหยียนคิดถึงเรื่องราวที่พวกเขาทำในช่วงนี้ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าจะนำปลวกเหล่านี้ไปยังจวนองค์ชายรอง ให้พวกมันทำลายเรือนไม้ที่สร้างเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ถูกต้อง มีคำกล่าวว่า กำแพงพันลี้พังเพราะรูหนู คราวนี้เขาคงไม่ไปหาเรื่องคนอื่นอีก ไม่อย่างนั้นก็จับปลวกเหล่านี้ไปลงโทษซะ!”อวี๋เฟยเหยียนตาเป็นประกาย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าใช้น้ำตาลแช่ไม้แปรรูป ปลวกชอบของหวานเป็นที่สุด! ข้าจะช่วยเจ้าขุดเอง”เยี่ยน
บรรดานางกำนัลใกล้ชิดที่ฮองเฮาทรงคัดเลือกมาล้วนมิใช่บุคคลธรรมดาหว่านชิงงามสง่า ชวนหงงดงามเย้ายวน ฝูฉวีงดงามบริสุทธิ์ ส่วนซูเค่อฉลาดหลักแหลมเมื่อซูเค่อเห็นปลวก พลันนึกถึงน้ำตาลจำนวนมากที่จวนนี้ใช้ไป รวมถึงเรื่องการซ่อมแซมจวนองค์ชายรองนางเข้าใจทันทีว่าเยี่ยนเว่ยฉือวุ่นวายอยู่ครึ่งเดือนเพื่อสิ่งใดซูเค่อสูดหายใจเข้าลึก ๆมิใช่เพียงแต่ประหลาดใจกับวิธีการของเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ยังประหลาดใจกับความอดทนของนางอีกด้วยต้องรู้ก่อนว่า ปลวกมิใช่อสรพิษหรือเสือร้าย ไม่อาจกลืนกินบ้านเรือนได้อย่างรวดเร็วและให้เห็นผลลัพธ์ทันทีทันใดนี่เป็นแผนการระยะยาวหากแผนการนี้สำเร็จ ตัวเรือนถล่มลงมา องค์ชายรองสิ้นชีพ นั่นก็ถือว่าจบสิ้นที่สำคัญ วิธีการนี้ช่างแยบยลยิ่งนัก ถึงแม้ว่ากรมอาญา ศาลต้าหลี่ และหน่วยงานลับจะร่วมมือกันสืบสวน ก็คงหาเบาะแสใด ๆ ไม่ได้องค์ชายรองคงได้แต่กลืนเลือดลงคอซูเค่อครุ่นคิดในใจ “พระชายาหาได้เป็นเพียงสตรีเหลาะแหละเช่นที่ตาเห็น ไม่น่าแปลกใจที่องค์ชายรัชทายาททรงโปรดปรานนางเป็นพิเศษ”ซูเค่อเดินเข้าไป ใช้เท้าเหยียบปลวกที่กระจัดกระจายอยู่ แล้วฝังมันไว้ใต้ก้อนอิฐ จากนั้นก็ไม่สนใจอีก
เยี่ยนเว่ยฉือนอนหลับสบายหายห่วงนางมีนิสัยชอบนอนกอดสิ่งของ บนเตียงเล็ก มีที่ว่างเพียงพอสำหรับนางคนเดียว จะมีที่ว่างให้นางวางหมอนได้อย่างไร?แต่บนเตียงต่างออกไป ขณะที่นางหลับ ๆ ตื่น ๆ จึงสามารถกอดซ่างกวนซีได้อย่างอิสระนางสัมผัสซ่างกวนซีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนซ่างกวนซีอยากร้องไห้ อยากจะห้ามปรามก็ห้ามไม่ได้แต่เรื่องเหล่านี้ นางกลับจำไม่ได้เลยมีเพียงซ่างกวนซีเท่านั้นที่รู้ว่าการนอนร่วมเตียงกับนางเป็นอย่างไร ทั้งเจ็บปวดและมีความสุขปะปนกัน…… วันที่สิบห้าเดือนสี่นับตั้งแต่เยี่ยนเว่ยฉือปล่อยปลวกไป ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว นับตั้งแต่การซ่อมแซมจวนองค์ชายรองเสร็จสิ้น ก็ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือนช่วงเวลานี้ อวี๋เฟยเหยียนไปเลียบ ๆ เคียง ๆ บริเวณวังองค์ชายรองทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าบ้านเรือนจะถล่มลงมาวันนี้ อวี๋เฟยเหยียนกินข้าวไปพลางถอนหายใจไปพลาง “เฮ้อ พี่สะใภ้ วิธีการของเจ้าจะได้ผลจริงหรือไม่? เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเล่า”เยี่ยนเว่ยฉือกินข้าวไปพลางหัวเราะไปพลาง “หืม? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนะ”อวี๋เฟยเหยียนบ่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่เชื่อเจ้าลองถามศิษย์พี่ใ
ซ่างกวนซีอุ้มเย่เทียนซูไปยังห้องพัก คิดจะให้อวี๋เฟยเหยียนไปเชิญหมอ แต่กลับเป็นเยี่ยนเว่ยฉือที่คว้าข้อมือเย่เทียนซูไว้ก่อนเยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้ว “เขาบาดเจ็บภายใน อาการยังพอไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยา องค์ชายอวี๋ไปหาซื้อยามาเถิด ข้าจะช่วยเขาห้ามเลือด!”อวี๋เฟยเหยียนกะพริบตาปริบ มองซ่างกวนซีด้วยสีหน้าไม่แน่ใจเมื่อซ่างกวนซีเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยรู้จักตัวตนเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเว่ยฉือได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการใช้พิษแล้วเยี่ยนเว่ยฉือยังเคยรักษาเขาและรักษาฮวาอวี๋ด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่า เยี่ยนเว่ยฉือน่าจะมีความสามารถอยู่บ้างหลังจากเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือก็กลับไปหาเย่เทียนซู ถอดเสื้อผ้าของเขาออกทั้งหมดดูเหมือนว่าจะตั้งใจจะรักษาโดยการฝังเข็ม เพื่อห้ามเลือดที่ออกอยู่ภายในซ่างกวนซีเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ฝ่ามือทะลุใจ!”รอยฝ่ามือสีม่วงแดงปรากฏอยู่บนไหล่ของเย่เทียนซู หากลึกลงไปอีกครึ่งนิ้วก็จะโดนหัวใจเข้าอย่างจังเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้หันหลังกลับ ฝังเข็มไปพลางถามไปพลาง “ฝ่าบาทรู้จักที่มาบาดแผลของเขาด้วยหรือ?”ซ่างกวนซ
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ