เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “จวนองค์รัชทายาทเงียบสงบเกินไป น่าเบื่อนัก ข้าจึงจะไป… จับสัตว์เล็ก ๆ กลับมาเลี้ยง”“หืม? สัตว์เล็ก?” อวี๋เฟยเหยียนแสดงสีหน้าไม่เข้าใจเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ป่าสนย่อมมีกระรอกน้อยใช่หรือไม่เล่า ฮิฮิ!”ริมฝีปากของอวี๋เฟยเหยียนขยับ แต่ก็มิได้พูดอะไร แต่ในใจกลับอดบ่นไม่ได้“ข้า องค์ชายเซียวเหยาผู้สง่างาม กลับต้องไปจับกระรอกกับเจ้า? หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป จะเอาหน้าตาของจวนอ๋องเซียวเหยาไปไว้ที่ไหน? ท่านพ่อคงหักขาข้าแน่!”เยี่ยนเว่ยฉือเห็นสีหน้าไม่เต็มใจของอวี๋เฟยเหยียนก็มิได้อธิบายอะไร เพียงแต่ยิ้มแล้วเอนตัวพิงรถม้า หลับตาลงโชคดีที่ป่าสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงหลังจากออกจากประตูเมืองตะวันตก เดินไปอีกเพียงหนึ่งก้านธูปก็มาถึงชายป่าสนแล้วจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็พาอวี๋เฟยเหยียนลงจากรถม้า เดินตรงเข้าไปในป่าวันนี้เยี่ยนเว่ยฉือสะพายกระเป๋าย่ามใบเล็กมาด้วยอวี๋เฟยเหยียนเห็นว่านางหยิบขนมที่เหลือจากตอนเช้าออกมาอวี๋เฟยเหยียนอดที่จะกระตุกมุมปากไม่ได้ ถามว่า “นี่… พี่สะใภ้ เจ้าออกมาข้างนอกยังพกขนมมาด้วยหรือ? คิดจะเที่ยวเล่นในป่าทั้ง
ซ่างกวนหลีส่ายหน้าเบา ๆ รู้สึกว่าเรื่องราวไม่เรียบง่ายเช่นนั้น จึงตัดสินใจสืบหาข่าวสาร…… ค่ำคืนนั้น เวลาเที่ยงคืน ณ จวนองค์รัชทายาทนอกห้องบ่าวรับใช้มีเสียงแมวร้องและเสียงนกหวีดดังขึ้น ปลุกให้ซูเค่อและฝูฉวีตื่นขึ้นทั้งสองรู้ว่าเป็นคนขององค์ชายรองที่มาขอรับข่าวสารฝูฉวีพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “ช่วงนี้สงบสุขดี นอกจากหว่านชิงแล้ว องค์ชายรัชทายาทก็ไม่ได้ให้ใครเข้าไปในห้องตำราอีก จะมีข่าวสารอะไรส่งให้องค์ชายรองเล่า โอ๊ย!”ซูเค่อแต่งตัวพลางปลอบประโลม “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าไปดูเอง”สักครู่ซูเค่อก็แต่งตัวเสร็จ เดินไปที่ประตูหลังห้องน้ำมีเสียงถามจากนอกประตู “องค์ชายทรงอยากทราบว่า เพราะเหตุใดพระชายาจึงไปยังป่าสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือบ่อยครั้ง”ซูเค่อคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบ “ข้าไม่ทราบ”“ไม่ทราบ? ซูเค่อ เจ้าคงไม่ได้หลงลืมกำพืดของตนเองหรอกกระมัง?” บุคคลผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจซูเค่อขมวดคิ้ว “ข้าไม่ทราบจริง ๆ นับตั้งแต่หว่านชิงและชวนหงประสบเหตุ องค์ชายรัชทายาทและพระชายาก็ระมัดระวังพวกเรามากขึ้น ข้า… ข้าจะพยายามสืบหาข่าวสารเพิ่ม”“ฮึ่ม ให้เวลาเจ้าสามวัน หากสืบหาไม่ได้ เจ้าก็ไปอธิบาย
อวี๋เฟยเหยียนคุกเข่าลงพลางบ่นพึมพำ “มดก็หน้าตาเหมือนกันหมด”เมื่อเขาเห็นชัด ๆ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “โอ้ มดที่นี่เหตุใดถึงเป็นสีขาว?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “นี่เรียกว่าปลวก ท่านอย่าดูถูกมันเชียว ฝูงปลวกสามารถทำลายบ้านหลังหนึ่งได้ภายในเจ็ดถึงแปดวัน”พูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่ต้นสนใหญ่ตรงหน้า กล่าวว่า “เห็นต้นไม้นี้หรือไม่ ดูภายนอกแล้วเหมือนจะธรรมดา แต่ข้างในคงถูกปลวกกินจนกลวงแล้ว”อวี๋เฟยเหยียนมองลำต้นที่แข็งแรง ไม่ได้สงสัยคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือ เพราะต้นสนรอบ ๆ มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่มีเพียงต้นนี้ที่ยอดเล็ก ใบไม้บาง ดูเหมือนจะยืนต้นตายในไม่ช้าอวี๋เฟยเหยียนคิดถึงเรื่องราวที่พวกเขาทำในช่วงนี้ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าจะนำปลวกเหล่านี้ไปยังจวนองค์ชายรอง ให้พวกมันทำลายเรือนไม้ที่สร้างเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ถูกต้อง มีคำกล่าวว่า กำแพงพันลี้พังเพราะรูหนู คราวนี้เขาคงไม่ไปหาเรื่องคนอื่นอีก ไม่อย่างนั้นก็จับปลวกเหล่านี้ไปลงโทษซะ!”อวี๋เฟยเหยียนตาเป็นประกาย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าใช้น้ำตาลแช่ไม้แปรรูป ปลวกชอบของหวานเป็นที่สุด! ข้าจะช่วยเจ้าขุดเอง”เยี่ยน
บรรดานางกำนัลใกล้ชิดที่ฮองเฮาทรงคัดเลือกมาล้วนมิใช่บุคคลธรรมดาหว่านชิงงามสง่า ชวนหงงดงามเย้ายวน ฝูฉวีงดงามบริสุทธิ์ ส่วนซูเค่อฉลาดหลักแหลมเมื่อซูเค่อเห็นปลวก พลันนึกถึงน้ำตาลจำนวนมากที่จวนนี้ใช้ไป รวมถึงเรื่องการซ่อมแซมจวนองค์ชายรองนางเข้าใจทันทีว่าเยี่ยนเว่ยฉือวุ่นวายอยู่ครึ่งเดือนเพื่อสิ่งใดซูเค่อสูดหายใจเข้าลึก ๆมิใช่เพียงแต่ประหลาดใจกับวิธีการของเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ยังประหลาดใจกับความอดทนของนางอีกด้วยต้องรู้ก่อนว่า ปลวกมิใช่อสรพิษหรือเสือร้าย ไม่อาจกลืนกินบ้านเรือนได้อย่างรวดเร็วและให้เห็นผลลัพธ์ทันทีทันใดนี่เป็นแผนการระยะยาวหากแผนการนี้สำเร็จ ตัวเรือนถล่มลงมา องค์ชายรองสิ้นชีพ นั่นก็ถือว่าจบสิ้นที่สำคัญ วิธีการนี้ช่างแยบยลยิ่งนัก ถึงแม้ว่ากรมอาญา ศาลต้าหลี่ และหน่วยงานลับจะร่วมมือกันสืบสวน ก็คงหาเบาะแสใด ๆ ไม่ได้องค์ชายรองคงได้แต่กลืนเลือดลงคอซูเค่อครุ่นคิดในใจ “พระชายาหาได้เป็นเพียงสตรีเหลาะแหละเช่นที่ตาเห็น ไม่น่าแปลกใจที่องค์ชายรัชทายาททรงโปรดปรานนางเป็นพิเศษ”ซูเค่อเดินเข้าไป ใช้เท้าเหยียบปลวกที่กระจัดกระจายอยู่ แล้วฝังมันไว้ใต้ก้อนอิฐ จากนั้นก็ไม่สนใจอีก
เยี่ยนเว่ยฉือนอนหลับสบายหายห่วงนางมีนิสัยชอบนอนกอดสิ่งของ บนเตียงเล็ก มีที่ว่างเพียงพอสำหรับนางคนเดียว จะมีที่ว่างให้นางวางหมอนได้อย่างไร?แต่บนเตียงต่างออกไป ขณะที่นางหลับ ๆ ตื่น ๆ จึงสามารถกอดซ่างกวนซีได้อย่างอิสระนางสัมผัสซ่างกวนซีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนซ่างกวนซีอยากร้องไห้ อยากจะห้ามปรามก็ห้ามไม่ได้แต่เรื่องเหล่านี้ นางกลับจำไม่ได้เลยมีเพียงซ่างกวนซีเท่านั้นที่รู้ว่าการนอนร่วมเตียงกับนางเป็นอย่างไร ทั้งเจ็บปวดและมีความสุขปะปนกัน…… วันที่สิบห้าเดือนสี่นับตั้งแต่เยี่ยนเว่ยฉือปล่อยปลวกไป ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว นับตั้งแต่การซ่อมแซมจวนองค์ชายรองเสร็จสิ้น ก็ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือนช่วงเวลานี้ อวี๋เฟยเหยียนไปเลียบ ๆ เคียง ๆ บริเวณวังองค์ชายรองทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าบ้านเรือนจะถล่มลงมาวันนี้ อวี๋เฟยเหยียนกินข้าวไปพลางถอนหายใจไปพลาง “เฮ้อ พี่สะใภ้ วิธีการของเจ้าจะได้ผลจริงหรือไม่? เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเล่า”เยี่ยนเว่ยฉือกินข้าวไปพลางหัวเราะไปพลาง “หืม? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนะ”อวี๋เฟยเหยียนบ่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่เชื่อเจ้าลองถามศิษย์พี่ใ
ซ่างกวนซีอุ้มเย่เทียนซูไปยังห้องพัก คิดจะให้อวี๋เฟยเหยียนไปเชิญหมอ แต่กลับเป็นเยี่ยนเว่ยฉือที่คว้าข้อมือเย่เทียนซูไว้ก่อนเยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้ว “เขาบาดเจ็บภายใน อาการยังพอไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยา องค์ชายอวี๋ไปหาซื้อยามาเถิด ข้าจะช่วยเขาห้ามเลือด!”อวี๋เฟยเหยียนกะพริบตาปริบ มองซ่างกวนซีด้วยสีหน้าไม่แน่ใจเมื่อซ่างกวนซีเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยรู้จักตัวตนเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเว่ยฉือได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการใช้พิษแล้วเยี่ยนเว่ยฉือยังเคยรักษาเขาและรักษาฮวาอวี๋ด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่า เยี่ยนเว่ยฉือน่าจะมีความสามารถอยู่บ้างหลังจากเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือก็กลับไปหาเย่เทียนซู ถอดเสื้อผ้าของเขาออกทั้งหมดดูเหมือนว่าจะตั้งใจจะรักษาโดยการฝังเข็ม เพื่อห้ามเลือดที่ออกอยู่ภายในซ่างกวนซีเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ฝ่ามือทะลุใจ!”รอยฝ่ามือสีม่วงแดงปรากฏอยู่บนไหล่ของเย่เทียนซู หากลึกลงไปอีกครึ่งนิ้วก็จะโดนหัวใจเข้าอย่างจังเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้หันหลังกลับ ฝังเข็มไปพลางถามไปพลาง “ฝ่าบาทรู้จักที่มาบาดแผลของเขาด้วยหรือ?”ซ่างกวนซ
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน เย่เทียนซูก็ฟื้นขึ้นมาคำพูดแรกที่เขาพูดคือ “ศิษย์พี่ใหญ่ หมิงตาว… เป็นหมิงตาวที่ทำร้ายข้า”ซ่างกวนซีรีบเดินไปที่เตียง อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพยุงเย่เทียนซูขึ้นส่วนเยี่ยนเว่ยฉือก็ยกชามยาเข้ามาซ่างกวนซีกล่าวปลอบประโลม “อย่าใจร้อน ดื่มยาก่อนเถอะ”เย่เทียนซูพยักหน้า รับชามยาจากมือของเยี่ยนเว่ยฉือ ดื่มยาสีดำสนิทลงไปหลังจากดื่มเสร็จแล้ว เย่เทียนซูรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น ในปากรู้สึกขมก่อนแล้วก็หวาน ยังรู้สึกเย็น ๆ อีกด้วยเขามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสีหน้าประหลาดใจเยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “อร่อยใช่หรือไม่? ข้าใส่ชะเอมและใบสะระแหน่ลงไปด้วย”เย่เทียนซูกะพริบตา “มิน่าเล่าถึงได้มีรสหวาน แต่… ข้าก็ไม่ได้กลัวยาขมอยู่”เยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซี กล่าวว่า “ฝ่าบาทต่างหากที่กลัวยาขม ดังนั้นข้าจึงปรับเปลี่ยนตำรับยาหลายอย่าง เช่นนี้ เมื่อดื่มเสร็จแล้วก็จะไม่รู้สึกขมปร่า”เย่เทียนซูและอวี๋เฟยเหยียนต่างมองซ่างกวนซี ทันใดนั้นต่างก็ประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่กลัวยาขมด้วยหรือ?”ซ่างกวนซีกระตุกมุมปากอย่างขัดเขิน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องอื่น เจ้าเพิ่งบอกว่าคนที่ทำร้ายเจ้
เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “สำเร็จหรือไม่ ไปดูก็รู้แล้ว จางมามา...”“มาแล้ว มาแล้วเพคะ!” จางมามาเดินเข้ามาจากนอกห้อง มือถือของขวัญบางอย่างเยี่ยนเว่ยฉือรับของมา มองซ่างกวนซีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไปกันเถิด ไปเยี่ยมจวนองค์ชายรองกัน”ซ่างกวนซีเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆแต่กลับเป็นอวี๋เฟยเหยียนที่ปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ๆ ไปไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นพี่ ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลย ให้ศิษย์พี่ใหญ่ถือของขวัญไปเยี่ยมเขา มิเป็นการลดฐานะของเขาหรอกหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ท่านไม่เข้าใจ ซ่างกวนหลียิ่งเย่อหยิ่ง เราก็ยิ่งต้องถ่อมตน ควรรู้ว่าในเมืองหลวงแแห่งนี้ บางครั้งชื่อเสียงก็สำคัญกว่าอำนาจ”ซ่างกวนซีมองเยี่ยนเว่ยฉือ ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “เฟยเหยียน เตรียมรถม้า!”เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับเยี่ยนเว่ยฉือ…… จวนองค์ชายรองขณะนั้น ซ่างกวนเจวี๋ยก็อยู่ที่จวนองค์ชายรองเช่นกันเขามองซ่างกวนหลีด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วถาม “เสด็จพี่รอง ท่านเป็นอะไรไป ดูอิดโรย ใต้ตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งแตก แก้มตอบ ท่าน… ท่านดูเหมือนคนใกล้ตายเลย หรือว่าช่วงนี้จวนรับนางกำนัลเข้ามาใหม่?”“ไป
เยี่ยนเว่ยฉือหันไปมองฉินเซียงหรูที่อยู่ไม่ไกลนัก เห็นฉินเซียงหรูกำลังยิ้มเยาะเบา ๆ อยู่เขาชักแขนเสื้อขึ้น ถือสมุนไพร กล่าวอย่างมีนัยสำคัญว่า “องค์รัชทายาท แท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่เปิดเผยที่สุดในโลก!”“แค่กแค่กแค่ก...” เยี่ยนเว่ยฉือแทบจะสำลักน้ำลายตนเองนางทำท่าเขินอาย เดินเข้าไปหาเด็กหญิงทั้งสอง กล่าวว่า “เอาล่ะ อย่ามัวคุกเข่าอยู่เลย ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถอะ”ทั้งสองสบตากัน แล้วก็ลุกขึ้นยืนเยี่ยนเว่ยฉือถามต่อว่า “พวกเจ้าอายุเท่าไร?”ไคจือตอบว่า “หม่อมฉันอายุสิบห้าปีเพคะ บ้านอยู่ที่หมู่บ้านหลี่เจีย เมื่อก่อนท่านแม่ป่วย ท่านพ่อจึงขายหม่อมฉันให้กับตลาดค้าทาส บัดนี้ท่านแม่จากไปแล้ว ท่านพ่อจึงแต่งงานใหม่ ไปใช้ชีวิตอยู่ทางใต้”กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางไม่มีญาติพี่น้องในเมืองหลวงอีกแล้วเยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันไปมองซ่านเย่ซ่านเย่ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “หม่อมฉัน… หม่อมฉันอายุสิบสี่ปีเพคะ เป็นเด็กกำพร้า มาจากทางใต้ ตามพ่อค้าตลาดค้าทาสมายังเมืองหลวง ไร้ญาติขาดมิตร”จางมามาเข้ามาใกล้เยี่ยนเว่ยฉือ กระซิบว่า “พระชายาวางใจเถิดเพคะ เด็กหญิงทั้งสอง หม่อมฉันไ
ซ่างกวนซีพยักหน้า “ถูกต้อง ส่วนเหตุผลที่พวกเขาปิดบังข่าวสาร ย่อมได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแน่ เรื่องที่สองที่ข้าให้เจ้าไปสืบหา คือการสืบหาว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากผู้ใด อ๋องจ่างซิ่นหรืออันกั๋วกง”อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องที่สามเล่า?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่สาม ซ่างกวนซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งพระองค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “มือสังหารสวมหน้ากากจากเป่ยอิ้นเป็นภัยคุกคามต่อเว่ยฉือ เขาเคยเห็นใบหน้าของเว่ยฉือ” ซ่างกวนซีหมายถึงเฉี่ยงหวู่อวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ใหญ่กลัวว่าเขาจะจำเยี่ยนเว่ยฉือได้?”ซ่างกวนซีพยักหน้า “ถูกต้อง เขาเป็นทหารองครักษ์แห่งกองราชองครักษ์ของเป่ยอิ้น มาพร้อมกับอวี้ฉีอวิ๋นจ้าว หากเขารู้จักเว่ยฉือจริง อวี้ฉีอวิ๋นจ้าวและอวี้ฉีอวิ๋นจิ่นย่อมมารบกวนเว่ยฉือในภายหลัง การมีความเกี่ยวข้องกับคนเป่ยอิ้น จะทำให้ตกเป็นเป้าหมาย ให้โอกาสอันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นใส่ร้ายป้ายสี”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจ ซ่างกวนซียังคงกังวลเรื่องปิ่นปักผมทองคำประดับหางหงส์นี่เองอวี๋เฟยเหยียนกล่าวว่า “ข้าจะหาทางฆ่าเขาเสีย!”ซ่างกวนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ไ
“ข้า...ข้าขอตัวก่อน!” เยี่ยนเว่ยฉือรีบวิ่งไปยังเรือนพักของตน ท่าทางนั้นดูราวกับว่ากำลังตกใจกลัวอวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ นางเป็นอะไรรึ?”ซ่างกวนซีก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไรเขาจะกล่าวได้อย่างไรว่า เมื่อครู่ทั้งสองได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังทำเรื่องแนบชิดสนิทสนมกันไม่ได้ ไม่อาจระลึกถึงได้อีกต่อไปปรากฏว่าตำราลับห้องหอวสันตฤดูนั้นราบเรียบเกินไป ไม่อาจเทียบได้กับความจริง ซึ่งน่าตกตะลึงยิ่งนัก“เอ่อ… ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!”ซ่างกวนซีว่าแล้วก็จากไป มุ่งหน้าไปยังเรือนพักของตนอวี๋เฟยเหยียนมองไปยังทิศทางที่ซ่างกวนซีเสด็จไป แล้วมองไปยังทิศทางที่เยี่ยนเว่ยฉือจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง คิดในใจว่า “คืนนี้ทำไมถึงไม่นอนด้วยกันเล่า?”…… ไม่เพียงแต่ไม่นอนด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะนอนกันคนละที่ ทั้งสองก็ไม่อาจข่มตาหลับได้เยี่ยนเว่ยฉือนอนอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็คิดถึงมือสังหารชุดดำที่ต้องการสังหารนาง ครู่หนึ่งก็คิดถึงปิ่นปักผมทองคำที่ซ่อนเร้นแผนการอยู่ ครู่หนึ่งก็อดคิดถึงพี่น้องตระกูลอวี้ฉือไม่ได้ว่าทำไมจึงประพฤติตนเช่นนั้น?เมื่อนึกถึงพี่น้องตระกูลอวี้ฉือ ก
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์คับขัน ซ่างกวนซีครุ่นคิดว่า ควรจะผลักเยี่ยนเว่ยฉือออกไป แล้วตัวเองถ่วงเวลาไว้ดีหรือไม่แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ เยี่ยนเว่ยฉือก็โยนสิ่งของบางอย่างไปทางด้านหลังเกิดเสียงดังปัง ขวดเล็กตกแตก ควันขาวหนาทึบพวยพุ่งออกมา ทำให้ทหารองครักษ์ที่ตามมาน้ำหูน้ำตาไหล สำลักควัน ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีกซ่างกวนซีเห็นดังนั้นจึงพาเยี่ยนเว่ยฉือหลบเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ รอดพ้นจากการไล่ล่าของคนเป่ยอิ้นไปได้อย่างหวุดหวิดเมื่อพั่วจวินออกมาอีกครั้งก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองแล้วพั่วจวินขมวดคิ้วกล่าว “วิทยายุทธ์เยี่ยมยอดเช่นนี้ เป็นผู้ใดกัน?”…… เมื่อพั่วจวินกลับมารายงาน อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวและอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นก็แต่งกายเรียบร้อยแล้วอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวถามด้วยความกังวลว่า “คนล่ะ? ฆ่าตายหรือไม่?”พั่วจวินพยักหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ปล่อยให้พวกเขารอดไปได้ ดูจากรูปร่างแล้วเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ชายผู้นั้นวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ส่วนสตรีมีอาวุธลับ อาวุธลับนั้นสามารถแปรเป็นควัน ทำให้มองไม่เห็น”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวก็ยังคงสุภาพกับพั่วจวิน ไม่ได้โกรธเคืองที่จับตัวไม่ได้ แต่เพียงคาดเดาว่า “ชายหญิง หรือว
ซ่างกวนซีโอบกอดเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้แน่น นิ่งอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นพั่วจวินไม่ใช่ทหารองครักษ์ธรรมดา แต่เป็นมือสังหารที่มีรายชื่ออันดับสองในบัญชีอู๋ซินไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาจะมีโอกาสชนะหรือไม่ แม้แต่การพาเยี่ยนเว่ยฉือหนีไปก็ยากยิ่งนักดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือการรอคอยให้เหตุการณ์คลี่คลายไปตามธรรมชาติรอให้คนเป่ยอิ้นจากไปก่อน แล้วจึงหาทางจากไปเยี่ยนเว่ยฉือก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน จึงนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่ลมหายใจก็เบาบางยิ่งนักเดิมทีคิดว่าพี่น้องตระกูลอวี้ฉือจะต้องปรึกษาหารือแผนการบางอย่างแต่กลับเห็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายปรากฏว่าอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นทรุดตัวลง เข้าไปในอ้อมอกของอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เสด็จพี่สาม ท่านได้ยินหรือไม่ เขากล่าวว่าต้าหลี่มีหญิงงามล่มเมือง เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? จิ่นเอ๋อร์ไม่ยอม!”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเชยคางของอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นขึ้น ยิ้มเยาะว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไร? เพียงได้กลิ่นเลือดก็อดใจไม่ไหว แม้แต่โรงเตี๊ยมก็รอไม่ไหว? ต้องทำกันกลางที่โล่งแจ้งเช่นนี้หรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นจับมือของอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวไว้ ดึงมือของเขาออกจากคาง ออด
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของซ่างกวนซีก็เปลี่ยนสีทันที เยี่ยนเว่ยฉือก็อดวิตกกังวลไม่ได้เช่นกันสตรีที่พวกเขาพูดถึง เห็นได้ชัดว่าคือเยี่ยนเว่ยฉือทั้งสองยังคงเงียบ มองดูเหตุการณ์เบื้องล่างต่อไปอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามว่า “เบาะแส? เบาะแสอะไร?”เฉี่ยงหวู่รีบกล่าวว่า “ทูลองค์หญิง สตรีนางนั้นได้ทำปิ่นทองคำชิ้นหนึ่งตกไว้ ปิ่นทองคำนั้นถูกเจ้าหน้าที่เมืองหลวงเก็บไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของแคว้นต้าหลี่ ดูเหมือนจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราและสตรีนางนั้น พวกเขาคิดว่าสตรีนางนั้นเป็นคนทรยศที่ร่วมมือกับพวกเรา ดังนั้น เวลานี้ทั้งเมืองหลวงจึงกำลังตามหาสตรีนางนั้น พวกเราเพียงแค่รอ ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เมื่อเจ้าหน้าที่ต้าหลี่จับตัวสตรีนางนั้นได้ พวกเราก็สามารถจับตัวนางไปหาฮวาอวี๋ได้”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นหันไปมองอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว เพื่อฟังความคิดเห็นของเขาอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ที่นี่เป็นเมืองหลวงของต้าหลี่ ปล่อยให้พวกเขาจัดการเอง ย่อมราบรื่นกว่าพวกเราลงมือทำ ก็ดี ให้พวกเขาตามหา พวกเราเพียงรออยู่ก็แล้วกัน”เฉี่ยงหวู่และพวกพ้องต่างก็โล่งใจเมื่อครู่ พว
เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง กระซิบเตือนเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท เป็นเขา ชาวคนเป่ยอิ้นคนนั้น”ซ่างกวนซีคว้าเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้ กระโดดไปยังหลังคาอย่างเงียบเชียบครู่ต่อมา มือสังหารสวมหน้ากากแห่งเป่ยอิ้นพร้อมกับพวกพ้อง เดินผ่านตรอกเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของเมืองทั้งสองรีบร้อน ดูเหมือนจะร้อนใจอย่างยิ่งซ่างกวนซีรัดเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้แน่น กล่าวเบา ๆ ว่า “เราไปดูกันเถอะ!”เยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้ปฏิเสธ…… ทิศเหนือของเมือง ณ เรือนร้างซ่างกวนซีตามไปพร้อมกับเยี่ยนเว่ยฉือ ตามรอยบุรุษชุดดำ จนมาถึงเรือนร้างแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของเมืองทั้งสองซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ มองลงไปในลานบ้าน เห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่หัวหน้าเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นองครักษ์มือสังหารสวมหน้ากากแห่งเป่ยอิ้นเดินเข้าไปในลานบ้าน เมื่อเห็นชายหญิงคู่นั้น จึงคุกเข่าข้างหนึ่ง รายงานว่า “กระหม่อมเฉี่ยงหวู่ ขอคารวะองค์ชายสาม คารวะองค์หญิงอวิ๋นจิ่น” ปรากฏว่ามือสังหารผู้นี้มีนามว่าเฉี่ยงหวู่ส่วนองค์หญิงอวิ๋นจิ่นที่เขาเอ่ยถึง ทำให้ซ่างกวนซีตกใจจนดวงตาเบิกกว้างเขารู้แล้วว่าชายหญิงคู่นั้นเป็น
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเว่ยฉือได้สัมผัสถึงฝีมือวิทยายุทธของซ่างกวนซี นางอดที่จะเปรียบเทียบซ่างกวนซีกับฮวาอวี๋ไม่ได้ฮวาอวี๋บินได้เร็ว แต่ซ่างกวนซีบินได้อย่างมั่นคงแม้ว่าเท้าจะลอยอยู่บนอากาศ เยี่ยนเว่ยฉือก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกปลอดภัย“ศพอยู่ข้างในสามศพ ถูกไฟไหม้จนเสียโฉม เจ้าแน่ใจหรือว่า… เจ้าจะทำได้?” ซ่างกวนซียังคงกังวลว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะรับมือไม่ไหวเยี่ยนเว่ยฉือกลับมาตั้งสติ พยักหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาทวางใจเถิด ข้าเคยเห็นศพที่น่าสยดสยองกว่านี้มาแล้ว”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างพิจารณานางอายุยังน้อย อยู่แต่กับหมู จะเคยเห็นศพที่น่าสยดสยองกว่านี้ได้อย่างไร?ก่อนที่ซ่างกวนซีจะคิดได้ เยี่ยนเว่ยฉือก็เดินไปหาศพแล้วนางเปิดผ้าขาวที่คลุมศพออก เห็นศพที่ถูกไฟไหม้จนเสียโฉมซ่างกวนซีสังเกตสีหน้าของเยี่ยนเว่ยฉืออย่างละเอียด พบว่านางมีสีหน้าสงบ ไม่มีความหวาดกลัวหรือรังเกียจแม้แต่น้อยซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกว่าเยี่ยนเว่ยฉือไม่ธรรมดาแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่รอผลการชันสูตรศพของเยี่ยนเว่ยฉืออย่างเงียบ ๆเยี่ยนเว่ยฉือตรวจสอบศพไปพลาง
ซ่างกวนซีพยักหน้าเบา ๆ มองไปยังเบื้องหน้าพลางกล่าวกับตนเองเบา ๆ ว่า “จะเป็นผู้ใดกันเล่า? อันกั๋วกง? อ๋องจ่างซิ่น? หรือว่า... ผิงอี้โหว?”อวี๋เฟยเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “คงไม่ใช่อ๋องจ่างซิ่นหรอก เขาไม่มีสติปัญญาเฉือยบแหลมเช่นนั้น!”ซ่างกวนซีพยักหน้ารับ “และก็ไม่ใช่อันกั๋วกงเช่นกัน หากอันกั๋วกงเป็นผู้วางแผน อันกั๋วกงกับซ่างกวนหลีก็ย่อมรู้ทั้งคู่ว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำนั้นคือเยี่ยนเว่ยฉือ บ่อนพนันก็ไม่จำเป็นต้องนำภาพวาดไปเสาะหาผู้ใด เพียงแต่สอบถามจากซ่างกวนหลีก็จะรู้ได้แล้วว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำคือเยี่ยนเว่ยฉือ”อวี๋เฟยเหยียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “คงไม่ใช่ผิงอี้โหว เยี่ยนหานซานหรอกใช่หรือไม่? เขาก็ดูไม่ใช่คนมีสติปัญญาเช่นกัน!”ซ่างกวนซีถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าเป็นองค์รัชทายาท มีศัตรูมากมาย นอกจากที่ปรากฏแก่สายตาแล้ว ยังมีผู้ลอบคิดร้ายอีกมากมาย เหอะ!”อวี๋เฟยเหยียนรีบปลอบประโลมว่า “ศิษย์พี่ก็อย่ากังวลมากนักเลย อย่างไรเสีย เวลานี้ก็มีเพียงผู้ที่คิดร้ายต่อพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าปิ่นทองคำอยู่กับเยี่ยนเว่ยฉือ ตราบใดที่พวกเราไม่ยอมรับ พวกเขาก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าพวกเ