อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกว่าแปลกไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหนส่วนเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวด้วยความชื่นชม “โอ้ ช่างฝีมือของกรมโยธาทำงานประณีตนัก ดูสิ สวนนี้สร้างได้งดงามยิ่ง!”พ่อบ้านจวนวังองค์ชายรองยิ้ม “พระชายาชมเกินไป การซ่อมแซมนี้ มีกฎเกณฑ์ตามธรรมเนียมแต่โบราณกำหนดไว้ เราไม่สามารถฝ่าฝืน แต่ก็มิอาจทำให้องค์ชายรองเสียหน้าได้”กล่าวคือ พวกเขาทำตามกฎระเบียบ เยี่ยนเว่ยฉืออย่าคิดจะเล่นงานกับคำว่า ‘งดงาม’เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม ถามต่อ “นั่นสินะ องค์ชายรองมีชื่อเสียงเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทั่วโลกย่อมรู้เห็น เอ๊ะ หลังจากที่เรือนหลังนี้สร้างเสร็จ องค์ชายรองก็ย้ายเข้ามาอยู่ทันทีเลยใช่หรือไม่?”พ่อบ้านจวนองค์ชายรองตกใจเล็กน้อย รีบกล่าว “แน่นอน คงไม่ไปรบกวนที่จวนองค์ชายสี่ตลอดไป”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “อ๋อ… ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”การสนทนาของทั้งสอง ทำให้ซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนรู้สึกงงงวยแต่ซ่างกวนซีรู้ว่าคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือทุกคำมีความหมายแฝงอยู่ ไม่ใช่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่ความหมายนั้นคืออะไร? ซ่างกวนซีก็ยังคิดไม่ออกครู่หนึ่ง ทุกคนก็มาถึงห้องนอนของซ่างกวนหลี ซ่างกวนหลีและซ่างกวน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่างกวนหลีก็โมโหเขายิ้มแห้ง ๆ กล่าวว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่ห่วงใย ข้าแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วย”“ไม่เจ็บป่วยหรือ? แล้วเหตุใดใต้ตาจึงคล้ำเช่นนี้ เมื่อคืนไปย่องลักขโมยมาหรือ?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่อซ่างกวนหลีโมโหจนกัดฟันกรอด เค้นเสียงลอดไรฟันว่า “รัฐทายาทอวี๋ห่วงใยข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ใจชุ่มชื่นนัก”อวี๋เฟยเหยียนหัวเราะเยาะ “ข้าไม่มีเวลามานั่งห่วงใยคนไม่สำคัญ แต่เจ้าดูอิดโรยจริง ๆ ดูเหมือนจะสิ้นชีพในไม่ช้า โธ่… ข้ายังพอมีหน้ามีตาสำหรับฝ่าบาทอยู่บ้าง ข้าจะไปเลือกหมอหลวงฝีมือดีมาให้เจ้าเอง อย่างน้อยก่อนสิ้นชีพ ก็ให้เจ้าไปอย่างสบาย!”“อวี๋เฟยเหยียน! บังอาจ!” อะไรคือก่อนสิ้นชีพ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังสาปแช่งเขาให้ตาย!หากซ่างกวนหลีไม่โกรธก็ยังดี พอโกรธก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันใด“องค์ชาย! องค์ชาย!”“เสด็จพี่รอง! เสด็จพี่รอง! เป็นอะไรไป?”ซ่างกวนหลีล้มลงไปข้างหลัง องครักษ์จี้อู๋และซ่างกวนเจวี๋ยรีบเข้าไปประคองอวี๋เฟยเหยียนอึ้งเขาชี้ไปที่ปากของตนเอง กล่าวว่า “เทพเซียนช่วย นี่ข้าเก่งกาจเช่นนี้เลยหรือ? สามารถใช้คำพูดทำให้คนเลวคนหนึ่งตายได้? ต่อจากนี้จะฝึกวิทยายุทธไป
เมื่อได้ยินคำว่า ‘มีรางวัลใหญ่’ หมอทุกคนก็พากันเข้าไป ดูเหมือนจะกลืนซ่างกวนหลีเข้าไปให้ได้องครักษ์จี้อู๋กล่าวด้วยความกังวล “หยุด! หยุด! อย่ารุมกันเข้ามา เข้ามาทีละคน ๆ”แต่จี้อู๋มีเพียงคนเดียว รวมกับพ่อบ้านจวนองค์ชายรองก็มีเพียงสองคน ไม่อาจหยุดชายยี่สิบสามสิบคนได้โชคดีที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีเจตนาทำร้าย มีแต่เจตนาช่วยเหลือคนหนึ่งจับมือซ้าย คนหนึ่งจับมือขวา แม้แต่เท้าซ้ายและเท้าขวาก็ไม่ว่างทุกคนต่างใช้ความสามารถของตนในการรักษาซ่างกวนหลีซ่างกวนซีและคณะยืนอยู่ด้านนอก รอผลอย่างเงียบ ๆได้ยินหมอคนแรกกล่าวว่า “ชีพจรผิดปกติ นี่เป็นอาการของโรคนอนไม่หลับ”หมอคนที่สองส่ายหน้า “ไม่ใช่ ชีพจรอ่อนแอ ใต้ตาคล้ำ ชัดเจนว่าเป็นโรคไตเสื่อม”หมอคนที่สามก็ปฏิเสธ “ไม่ใช่ ชีพจรเบา ลื่นไหลไม่มั่นคง นี่คือการหยางพร่อง หักโหมเรื่องอย่างว่าบ่อยเกินไป!”…… ทุกคนต่างคนต่างพูด ทำให้ดูเหมือนซ่างกวนหลีกำลังจะตายซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนอดมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความสงสัยไม่ได้อวี๋เฟยเหยียนกระซิบถาม “พี่สะใภ้ นี่คือพลังของปลวกหรือ? วิเศษมาก!”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มมุมปาก “หากปลวกมีพลังเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องเห
ทรมาน?เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมาเร็วเกินไปแล้วอวี๋เฟยเหยียนเกาหัว “ห้าม้าฉีกร่าง? ประหารอย่างช้า ๆ? เทเหล็กหลอม หรือปักไม้ไผ่?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ นานมาแล้ว มีคนผู้หนึ่งสอบสวนบุรุษผู้หนึ่ง เขาผู้นี้มีจิตใจเข้มแข็ง ใช้การทรมานทุกอย่างก็มิอาจทำให้เขาพูดสักคำ สุดท้ายขุนนางผู้หนึ่งออกมาสอบสวน เขาเชิญหมอมาดูแลบุรุษผู้นั้นอย่างดี ไม่ถึงครึ่งเดือน บุรุษผู้นั้นถึงยอมพูด จากที่ไม่ยอมพูด กลายเป็นกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพลาดไป”อวี๋เฟยเหยียนถามด้วยความสงสัย “เขาใช้วิธีใด?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “คมดาบเหนือศีรษะ ไม่สามารถนอนหลับได้ เขาไม่ได้ใช้ทรมานใด ๆ เพียงแต่ไม่ให้บุรุษผู้นั้นนอน มีคำกล่าวว่ามนุษย์เราอายุเจ็ดสิบปี หนึ่งในสามเป็นเวลาหลับ คนเราหากนอนไม่เพียงพอ นานวันเข้าร่างกายจะเสื่อมโทรม สิ่งแรกที่เสื่อมโทรมคือจิตใจ”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจแล้ว ขุนนางผู้นั้นไม่ให้บุรุษที่ว่านอน จึงทำให้เขายอมแพ้แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซ่างกวนหลีอย่างไร?อวี๋เฟยเหยียนนึกถึงสภาพของซ่างกวนหลี แล้วถาม “หรือว่าสภาพของซ่างกวนหลี เป็นเพราะนอนไม่หลับ?”เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว จวนองค์ชายรองสร้างเสร็จ
“อ๋อ!!! ที่แท้ก็อย่างนี้เอง!” อวี๋เฟยเหยียนมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความตกใจ พูดด้วยความชื่นชม “นี่แผนล่อลวงศรเดียวปักษาสองตัวเลยนะ ทั้งลองใจซูเค่อ ทั้งทำให้ซ่างกวนหลีนอนไม่หลับ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”“ผิดแล้ว!” เยี่ยนเว่ยฉือขัดจังหวะอวี๋เฟยเหยียน “นี่ไม่ใช่ศรเดียวล่อลวงปักษาสองตัว แต่เป็นศรเดียวล่อลวงปักษาสามตัวเลยต่างหาก!”“ศรเดียวล่อลวงปักษาสามตัว? ตัวที่สามอยู่ที่ไหนล่ะ?” อวี๋เฟยเหยียนถามด้วยความอยากรู้ซ่างกวนซีทนฟังไม่ไหวแล้ว กล่าวด้วยความเหนื่อยหน่าย “เมื่อครู่ นางไม่ได้บอกให้เจ้าไปตะโกนเรียกหมอหรอกหรือ? ภายในวันนี้ ทั่วเมืองหลวงก็จะรู้แล้วว่าซ่างกวนหลีไตวาย ล้มป่วย ใกล้จะสิ้นชีพในไม่ช้า”เยี่ยนเว่ยฉือโอบแขนซ่างกวนซี ยิ้มแย้มกล่าว “ฝ่าบาทเดาได้จริง ๆ ด้วย ท่านฉลาดนัก!!”ปากหวานนัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเหลือทน แต่กลับไม่ดึงแขนออกเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ในบรรดาคนฉลาด ฝ่าบาทเป็นผู้ที่งดงามที่สุด ในบรรดาคนงดงาม ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุด ดังนั้นองค์ชายรัชทายาทของข้า เป็นคนฉลาดและงดงามที่สุดในโลก!”ครั้งนี้ ซ่างกวนซีอดหัวเราะไม่ได้“ช่างซุกซนนัก!” เขาใช้มือแตะหน้าผากของเยี่ยน
เยี่ยนเว่ยฉือคาดไม่ถึงว่าแผนศรเดียวล่อลวงปักษาสามตัวของนาง กลับกลายเป็นล่อลวงปักษาได้สี่ตัวในสายตาซ่างกวนซีนี่ช่างเป็นความโชคดีอย่างไม่คาดฝัน!ดังนั้น รุ่งเช้าวันต่อมา ซ่างกวนซีจึงสวมชุดองค์รัชทายาท เข้าเฝ้าในราชสำนักต้าหลี่องค์ชายรัชทายาทไม่เคยเข้าเฝ้าในราชสำนักมาก่อน วันนี้มาด้วยตนเอง ย่อมทำให้เหล่าขุนนางแตกตื่นเหล่าขุนนางต่างมององค์ชายรัชทายาท อันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นยิ่งแสดงสีหน้าระมัดระวัง มีเพียงฮ่องเต้คังอู่บนบัลลังก์ และหยางอวิ๋นเฟิงในหมู่ขุนนางที่แสดงสีหน้ายินดีซ่างกวนซีเข้าไปใกล้ กล่าวว่า “กระหม่อมขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”ฮ่องเต้คังอู่หัวเราะ “ชูจิ่งเอ๋อร์ ร่างกายเจ้าหายดีแล้วหรือ?”ซ่างกวนซีพยักหน้า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมหายดีแล้ว ไม่กล้าพักผ่อนอยู่แต่ในจวน ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อหารือราชการ อนึ่งเพื่อถวายความช่วยเหลือแด่ฝ่าบาท และเพื่อประโยชน์อันผาสุกของราษฎร”เข้าเฝ้าเพื่อหารือราชการ?อันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นหันมองหน้ากัน ต่างรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอ๋องจ่างซิ่นเป็นคนใจร้อน อดทนไม่ได้ ถามว่า “องค์ชายรัช
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย” ซ่างกวนซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าน้องรองจะแข็งแรงและกลับไปยังกรมกลาโหมโดยเร็ววันเพื่อจัดการกับค่าจ้างทหารในไตรมาสที่สอง[footnoteRef:0] ซึ่งเงินจำนวนนี้ได้ล่าช้ามาเกือบเดือนแล้ว เหล่าทหารที่ปกป้องชายแดนและต่อสู้กับศัตรูยอมสละชีวิตและเลือดเนื้อเพียงเพื่อเงินไม่กี่ตำลึงกับอาหารสามมื้อต่อวัน หากทางราชสำนักจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี นั่นจะไม่ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารสูญเสียไปอย่างใหญ่หลวงเอาหรือ?” [0: ช่วงไตรมาสที่สองของปี ซึ่งหมายถึงช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน] “อะไรนะ? ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างทหารในไตรมาสที่สองหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามในฐานะที่เป็นแม่ทัพ เขาจึงกังวลกับเรื่องค่าจ้างของเหล่าทหารเป็นอย่างมากซ่างกวนซีพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเรื่องจริงที่ยังไม่ได้มีการแจกจ่าย”อ๋องจ่างซิ่นขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้ากรมกรมกลาโหมอยู่ที่ใด? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เจ้ากรมกลาโหมเจี่ยงกวงจี้เดินออกมาอย่างเร่งรีบและพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”อ๋องจ่างซิ่นถามว่า “เจ้าทำงานอย่างไรของเจ้า? ค่าทหารในไตรมาสที่สองนี้ควรจะจ่ายไปตั้งแต่เดื
ตามนี้?เอาตามนี้อย่างนั้นหรือ?อันกั๋วกงตกตะลึง เขายังไม่ได้แสดงจุดยืนของเขาเลย!ซ่างกวนซีรีบขอบคุณ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อสำหรับพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ!”……หลังจบการเข้าเฝ้า อันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นก็เดินออกจากพระตำหนักมาด้วยกันอันกั๋วกงขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะบ่น “ฝ่าบาทเริ่มควบคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ตลอดทั้งเช้าพระองค์ทรงไม่ให้โอกาสข้าพูดเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”อ๋องจ่างซิ่นเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรงไม่ให้โอกาสเจ้าได้พูด แต่เป็นเพราะเจ้าให้โอกาสองค์รัชทายาทพูดต่างหาก ในอดีต ขุนนางทุกคนในราชสำนักทำเหมือนเจ้าเป็นผู้นำ หากเจ้าไม่พยักหน้าก็ไม่มีใครกล้าพูด แม้ฝ่าบาทจะทรงมีความคิดอะไรแต่ก็ยากที่จะตรัสออกมา ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะองค์รัชทายาทได้กลับมาแล้ว เจ้าเด็กซ่างกวนซีนั่นโตมาเฉลียวฉลาด แม้จะมีท่าทีสง่างามนุ่มนวล แต่เขาก็กล้าพูดกล้าทำไปเสียทุกเรื่อง! หากมีคนคอยออกปากแทนฝ่าบาทเช่นนี้ จะไม่ทำให้พระองค์ทรงได้คืบเอาศอก ถือโอกาสสนับสนุนไปตามนั้นได้หรือ?”ไม่ต้องพูดถึงว่าแม้อ๋องจ่างซิ่นที่แม้จะเป็นคนที่ใช้กำลังมากกว่าสมอง แต่สิ่งที่เขานั้นพูดก็สมเหตุสมผลมาก
อวี๋เฟยเหยียนซึ่งอยู่ในความมืดขมวดคิ้วและพูดว่า "บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว? มีเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่นี่ในขณะที่เรากำลังจะมาตรวจสอบงั้นรึ?"ซ่างกวนซีขมวดคิ้วและพูดว่า "ดูเหมือนว่าจะมีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าพวกเรา และได้จัดฉากให้ข้ากระโจนเข้าไปร่วมวงด้วย"ใบหน้าของอวี๋เฟยเหยียนเต็มไปด้วยความกังวล "ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างมาก ถึงขั้นทำให้เยี่ยนเว่ยฉือไปซื้อปิ่นปักผมโดยบังเอิญได้"ซ่างกวนซีส่ายหัวแล้วพูดว่า "การที่เยี่ยนเว่ยฉือไปโรงรับจำนำเป็นความบังเอิญจริง ๆ ทว่าปิ่นปักผมคู่นั้นถูกเตรียมไว้นานแล้ว นางได้กลายเป็นชายาองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ซื้อเครื่องประดับ คนที่อยู่เบื้องหลังเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมและนำปิ่นนั้นมาขายให้นางก็เท่านั้น”“เช่นนั้นมันจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของโรงรับจำนำหรือไม่?” อวี๋เฟยเหยียนถามซ่างกวนซีขมวดคิ้วและตอบว่า "ถ้าอย่างนั้น เราต้องดูว่าเจ้าของโรงรับจำนำยังมีชีวิตอยู่หรือไม่"“ศิษย์พี่ ดูสิ เจียงโม่มาแล้ว” อวี๋เฟยเหยียนชี้ไปที่เจียงโม่หัวหน้าหน่วยตรวจสอบที่นำคนมาช่วยดับไฟเจียงโม่พาคนมาช่วยดับไฟ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงทำให้
“ยังอยู่ในห้องของข้า” เยี่ยนเว่ยฉือตอบตามความจริง“เอามันมาให้ข้า เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ไม่ได้!” ซ่างกวนซีพูดอย่างจริงจังเยี่ยนเว่ยฉืออยากจะบอกว่าการใส่สิ่งนี้ไว้ในสร้อยข้อมือของนางปลอดภัยกว่าการวางไว้ที่อื่นแต่เนื่องจากซ่างกวนซีต้องการมัน นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับไปเอา"เยี่ยนเว่ยฉือแกล้งกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบของ แต่จริง ๆ แล้วนางไปเดินเล่นหลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับมาที่ห้องตำราและยื่นปิ่นปักผมอีกอันให้กับซ่างกวนซีหลังจากที่ซ่างกวนซีได้ปิ่นปักผม รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงและพูดด้วยความประหลาดใจ "นี่คือ... ปิ่่นหางหงส์! ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?"อวี๋เฟยเหยียนก้าวไปข้างหน้าและถามว่า "เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?"ซ่างกวนซีหยิบปิ่นปักผมมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดด้วยความตกใจ "มันเป็นขนหงส์สีทองจริง ๆ! นี่คือสมบัติที่ฝังไปพร้อมร่างเสด็จแม่ของข้า!"ตอนที่เขาดูภาพวาดเมื่อครู่ เขาไม่สามารถบอกวัสดุหรือสีได้ แต่ตอนนี้เขามีมันอยู่ในมือแล้ว และซ่างกวนซีก็จำที่มาของปิ่นปักผมนี้ได้ทันที!“หา?!” อวี๋เฟยเหยียนและเยี่ยนเว่ยฉ
เยี่ยนเว่ยฉือสะดุ้งเล็กน้อย อวี๋เฟยเหยียนจริงจังเช่นนี้ หรือว่าซ่างกวนซีจะโกรธอีกแล้ว?เยี่ยนเว่ยฉือพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าแค่ไปตกปลาเอง หากองค์รัชทายาทไม่ชอบ พรุ่งนี้ข้าไม่ไปแล้วดีหรือไม่?"อวี๋เฟยเหยียนพูดอย่างจนใจ "มันไม่เกี่ยวกับเรื่องตกปลา เจ้ารีบตามมาเถอะ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง"เยี่ยนเว่ยฉือถามอย่างร้อนใจ "ท่านจะไปด้วยหรือไม่?"หากมีคนนอกอยู่ด้วย อย่างน้อยซ่างกวนซีก็จะไม่ลงมือกับนาง!อวี๋เฟยเหยียนไม่รู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือกำลังคิดอะไรอยู่แน่นอนว่าเขาต้องไป เขายังต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันเขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”เยี่ยนเว่ยฉือถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตามอวี๋เฟยเหยียนไปห้องตำราหลังจากเข้ามาในห้องตำรา ซ่างกวนซีไม่ได้อ้อมค้อม และส่งกระดาษให้เยี่ยนเว่ยฉือดูเยี่ยนเว่ยฉือเพียงเหลือบมองก็รู้ว่าภาพวาดนั้นคืออะไรนางพูดด้วยความประหลาดใจ "ไม่จริงน่า คนจากบ่อนพนันเจอจวนองค์รัชทายาทเร็วขนาดนี้เลยหรือ?"ซ่างกวนซีขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้าเคยเห็นรูปนี้หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าทางบ่อนกำลังตามหาปิ่นนี้อยู่ ปิ่นนี้... เป็นของเจ้าหรือเปล่า?"คำถามหนึ่งชุดทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้
เยี่ยนเว่ยฉือเข้าใจว่าฉินเซียงหรูต้องการบอกว่าการร่วมรักระหว่างสามีภรรยานั้นสอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติและธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานมากนักเยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าช้า ๆ บ่งบอกว่าตนเข้าใจเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นคนยุคใหม่ ถึงแม้ตอนนั้นจะน่าอาย แต่เรื่องที่จบแล้วก็ถือว่าแล้วกันไปตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่ปล่อยวางไม่ได้ก็คือซ่างกวนซี ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาถึงไม่กล้ามาทานอาหารเย็นเล่า?ทว่าเยี่ยนเว่ยฉือเดาผิด สาเหตุที่ซ่างกวนซีไม่กลับมาทานอาหารเย็นกับนางก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการซ้ำยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยด้วย……ณ ห้องตำราซ่างกวนซีกำลังมองภาพวาดในมือและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเขาถามอวี๋เฟยเหยียน “เจ้าแน่ใจหรือว่าปิ่นปักผมในภาพนี้เป็นของเว่ยฉือ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้น ๆ?”อวี๋เฟยเหยียนตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เคยเห็นมาก่อนหรือ? ปิ่นที่ท่านเคยเห็นคงเป็นของพี่สะใภ้ ปิ่นนี้เป็นปิ่นคู่”ภาพวาดนี้เป็นภาพที่อันกั๋วกงส่งมอบแด่ฮ่องเต้คังอู่เมื่อตอนเข้าเฝ้าว่าราชการเช้าของวันนี้ฮ่องเต้คังอู่ไม่ได้ปิดบังเหล่าขุนนาง แต่กลับพิมพ์ภาพวาดนี้ออกมาและมี
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็มาถึงแม่น้ำเสี่ยวเหลียงที่ค่อนข้างห่างไกลอีกครั้งวันนี้แตกต่างจากเมื่อวาน เพราะฉินเซียงหรูพบว่าเยี่ยนเว่ยฉือได้นำกระถางกำยานออกมาด้วยฉินเซียงหรูถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้คืออะไรหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือตอบว่า “บริเวณริมน้ำนี้ยุงชุมนัก สิ่งนี้เอาไว้ไล่ยุงน่ะ”ฉินเซียงหรูค่อย ๆ สูดลมหายใจลึก พลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “กลิ่นช่างสดชื่น ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะได้ปลากลับไปอย่างเต็มอิ่มอีกแล้ว!”ฉินเซียงหรูตกปลาอย่างเงียบ ๆ ส่วนเยี่ยนเว่ยฉือก็อ่านตำราแพทย์ที่นำติดตัวมาด้วยอย่างเงียบ ๆ เช่นกันบางครั้งที่ปลาติดเบ็ด เยี่ยนเว่ยฉือก็จะปรบมือและส่งเสียงไชโยโห่ร้องยกยออย่างเต็มที่ทั้งสองตกปลากันจนถึงตอนเย็นอีกครั้งสิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อนคือคราวนี้หลังจากข้องใส่ปลาเต็ม ฉินเซียงหรูไม่ได้รีบเก็บข้าวของเดินทางกลับ แต่ตะโกนไปทางป่าว่า “ชิงโจว ออกมาเอาของสิ!”ชิงโจว?เยี่ยนเว่ยฉือมองไปยังป่าด้วยความสับสน และแน่นอนว่าครู่ต่อมาชิงโจวก็ออกจากป่ามายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม“ขอทำความเคารพชายารัชทายาทและคารวะท่านหมอฉิน”ฉินเซียงวางมือเท้าเอวแล้วยิ้ม “โอ้ ข้าก็ว่าเห
ซ่างกวนซีสะดุ้งเบา ๆ ขณะนั้นก็เข้าใจทันทีว่าฉินเซียงหรูหมายถึงอะไรที่แท้ฉินเซียงหรูก็รู้เจตนาของเขาอยู่แล้วฉินเซียงหรูต้องการบอกว่าการที่เขามีความรู้สึกต้องการอย่างแรงกล้ากับเยี่ยนเว่ยฉือในครั้งนี้ทำให้เกิดการกระตุ้นความร้อนภายในและสลายพิษเย็นไปได้ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปอาจรู้สึกไม่เหมือนเดิมแม้จะมีครั้งต่อไป แต่ครั้งต่อไปที่ว่าก็อาจจะไม่มีความรู้สึกนั้นแล้วว่ากันตามตรง ล้วนเป็นเพราะยังไม่ได้สมหวัง เลยยิ่งโหยหามากขึ้นเรื่อย ๆแต่หากสำเร็จดั่งหวังไปแล้ว ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้นจะหายไปและหลงเหลือแต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่?เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่างกวนซีก็รีบพูดว่า “ไม่มีทางหรอก!”ฉินเซียงหรูพูดอย่างขบขัน “ไม่มีทางอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ริมฝีปากของซ่างกวนซีขยับ แต่เขาพูดไม่ออก เขาหมายจะพูดว่าความสนใจที่เขามีให้เยี่ยนเว่ยฉือนั้นไม่มีทางลดน้อยลงแต่เหตุใดต้องบอกฉินเซียงหรูเรื่องนี้ด้วย หากจะพูดก็ควรพูดกับเยี่ยนเว่ยฉือสิเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินเซียงหรูก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท แม้ท่านจะมั่นใจว่าไม่มีทาง แต่ท่านก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของแม่นางเ
“ช่วย...” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตะโกนขอความช่วยเหลือจนจบประโยค ซ่างกวนซีก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเอง”ฉินเซียงหรูถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนัก เขาจับกรอบประตูด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างมือตบหน้าอกของตัวเอง “องค์รัชทายาท หลอกกันเช่นนี้ ถึงตายได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งสูญเสียชีวิตสามปีให้กับท่าน ไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ! เฮ้อ!”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”ฉินเซียงหรูที่เห็นคราบน้ำบนรองเท้าของซ่างกวนซีก็รู้ว่าเขายืนอยู่ในลานเป็นเวลานานจนเนื้อตัวของเขาเปื้อนน้ำค้างไปหมดแล้วฉินเซียงหรูเม้มปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทไม่ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อว่าราชกิจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เรื่องราวยังไม่ชัดเจน ข้าไม่มีอารมณ์ไปเข้าเฝ้าหรอก!”ซ่างกวนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาฉินเซียงหรูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัน พลางขยับหลีกทางหลบไปข้าง ๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้น เชิญองค์รัชทายาทเข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ซ่างกวนซีเดินเข้าไปในห้องของฉินเซียงหรูฉินเซียงจุดตะเกียงน้ำมัน และจุดเตาเผาดินแดงขนาดเล็ก จากนั้นก็เริ่มต้มชาเมื่อเห็นเช่นนั้น ซ่างกวนซีก็พูดว่า “ไม่ต้องต้มชา
“ท่านอย่าเข้าไป!” ฉินเซียงหรูเอื้อมมือไปคว้าอวี๋เฟยเหยียน แต่คว้าได้เพียงชายเสื้อ ทำให้ห้ามไว้ไม่ทันจากนั้นเขาก็เห็นอวี๋เฟยเหยียนผลักประตูด้วยความกระวนกระวายใจเสียงดังตึงตังทำให้บุรุษและสตรีบนเตียงแข็งค้างอยู่กับที่อวี๋เฟยเหยียนคาดไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นซ่างกวนซีจับเยี่ยนเว่ยฉือกดลงในท่านั้นแม้ทั้งสองคนจะแต่งตัวมิดชิด แต่ท่าทางของพวกเขา...ทำให้คนที่เห็นจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนซ่างกวนซีหันไปมองอวี๋เฟยเหยียนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยไฟลุกโชนไม่รู้ว่าโมโหเพราะถูกรบกวนหรือโมโหเพราะไม่ได้เติมเต็มความปรารถนา!อวี๋เฟยเหยียนเองก็แข็งตัวอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาฝืนใจพูดออกมา “ศะ...ศิษย์พี่ใหญ่ ตะ...ตัวท่านละลายแล้วหรือ?”นี่มันคำถามบ้าอะไรกัน!!เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกอายและโกรธมาก นางผลักซ่างกวนซีด้วยกำลังทั้งหมดและรีบออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองเมื่อเห็นนางวิ่งออกไป ฉินเซียงหรูก็ส่ายหัวอย่างยินดีบนความทุกข์ของคนอื่น “จิ๊ ๆ ๆ ที่แท้ซ่างกวนซีก็ยังบริสุทธิ์อยู่นี่เอง! ฮ่า ๆ ๆ!”ขณะเดียวกันซ่างกวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง เขามองไปที่อวี๋เฟยเหยียนซึ่งยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม พลา
เมื่อเห็นความดื้อรั้นของเขา เยี่ยนเว่ยฉือจึงพูดว่า “เช่นนั้นหากท่านไม่อ่าน ข้าก็จะอธิบายให้ฟัง”อธิบาย? อธิบายอะไร? ซ่างกวนซีเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความยากลำบากเยี่ยนเว่ยฉือสงบจิตสงบใจและกล่าวว่า “ท่าร่วมประเวณีท่าแรกเรียกว่าตาแปะเข็นรถ หลังจากทั้งสองถอดอาภรณ์ออกหมดแล้ว ให้บุรุษเริ่ม…”“หยุดพูด!” เมื่อซ่างกวนซีได้ยินเสียงใสเหมือนระฆังเงินของเยี่ยนเว่ยฉือ กล่าวถึงเรื่องน่าอายในห้องหอนั่น กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาเลยทว่าเยี่ยนเว่ยฉือกลับประหลาดใจที่ได้พบว่า “โอ้ องค์รัชทายาท ท่านหน้าแดงแล้วนี่ ท่านร้อนรึ? ท่านรู้สึกร้อนแล้วใช่หรือไม่?”ซ่างกวนซีไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาจริง ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นเยี่ยนเว่ยฉือที่เห็นว่าได้ผล นางก็เริ่มพูดอย่างไม่หยุดหย่อนทันที โดยพรรณนาถึงเนื้อหาในตำราอย่างสมจริงท่าบางท่าที่ยากจะอธิบาย นางก็พยายามสาธิตท่าทางเหล่านั้นด้วยตัวเองโชคดีที่นางใส่เสื้อผ้ามิดชิด จึงไม่ถึงกับมองไปแล้วทิ่มแทงสายตาอะไรมากนักแต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถต้านทานภาพที่จินตนาการขึ้นในหัวได้เลยทุกครั้งที่เยี่ยนเว่ยฉืออธิบายท่าทาง ในหัวขอ