เยี่ยนเว่ยฉือนอนหลับสบายหายห่วงนางมีนิสัยชอบนอนกอดสิ่งของ บนเตียงเล็ก มีที่ว่างเพียงพอสำหรับนางคนเดียว จะมีที่ว่างให้นางวางหมอนได้อย่างไร?แต่บนเตียงต่างออกไป ขณะที่นางหลับ ๆ ตื่น ๆ จึงสามารถกอดซ่างกวนซีได้อย่างอิสระนางสัมผัสซ่างกวนซีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนซ่างกวนซีอยากร้องไห้ อยากจะห้ามปรามก็ห้ามไม่ได้แต่เรื่องเหล่านี้ นางกลับจำไม่ได้เลยมีเพียงซ่างกวนซีเท่านั้นที่รู้ว่าการนอนร่วมเตียงกับนางเป็นอย่างไร ทั้งเจ็บปวดและมีความสุขปะปนกัน…… วันที่สิบห้าเดือนสี่นับตั้งแต่เยี่ยนเว่ยฉือปล่อยปลวกไป ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว นับตั้งแต่การซ่อมแซมจวนองค์ชายรองเสร็จสิ้น ก็ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือนช่วงเวลานี้ อวี๋เฟยเหยียนไปเลียบ ๆ เคียง ๆ บริเวณวังองค์ชายรองทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าบ้านเรือนจะถล่มลงมาวันนี้ อวี๋เฟยเหยียนกินข้าวไปพลางถอนหายใจไปพลาง “เฮ้อ พี่สะใภ้ วิธีการของเจ้าจะได้ผลจริงหรือไม่? เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเล่า”เยี่ยนเว่ยฉือกินข้าวไปพลางหัวเราะไปพลาง “หืม? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนะ”อวี๋เฟยเหยียนบ่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่เชื่อเจ้าลองถามศิษย์พี่ใ
ซ่างกวนซีอุ้มเย่เทียนซูไปยังห้องพัก คิดจะให้อวี๋เฟยเหยียนไปเชิญหมอ แต่กลับเป็นเยี่ยนเว่ยฉือที่คว้าข้อมือเย่เทียนซูไว้ก่อนเยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้ว “เขาบาดเจ็บภายใน อาการยังพอไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยา องค์ชายอวี๋ไปหาซื้อยามาเถิด ข้าจะช่วยเขาห้ามเลือด!”อวี๋เฟยเหยียนกะพริบตาปริบ มองซ่างกวนซีด้วยสีหน้าไม่แน่ใจเมื่อซ่างกวนซีเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยรู้จักตัวตนเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเว่ยฉือได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการใช้พิษแล้วเยี่ยนเว่ยฉือยังเคยรักษาเขาและรักษาฮวาอวี๋ด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่า เยี่ยนเว่ยฉือน่าจะมีความสามารถอยู่บ้างหลังจากเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือก็กลับไปหาเย่เทียนซู ถอดเสื้อผ้าของเขาออกทั้งหมดดูเหมือนว่าจะตั้งใจจะรักษาโดยการฝังเข็ม เพื่อห้ามเลือดที่ออกอยู่ภายในซ่างกวนซีเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ฝ่ามือทะลุใจ!”รอยฝ่ามือสีม่วงแดงปรากฏอยู่บนไหล่ของเย่เทียนซู หากลึกลงไปอีกครึ่งนิ้วก็จะโดนหัวใจเข้าอย่างจังเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้หันหลังกลับ ฝังเข็มไปพลางถามไปพลาง “ฝ่าบาทรู้จักที่มาบาดแผลของเขาด้วยหรือ?”ซ่างกวนซ
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน เย่เทียนซูก็ฟื้นขึ้นมาคำพูดแรกที่เขาพูดคือ “ศิษย์พี่ใหญ่ หมิงตาว… เป็นหมิงตาวที่ทำร้ายข้า”ซ่างกวนซีรีบเดินไปที่เตียง อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพยุงเย่เทียนซูขึ้นส่วนเยี่ยนเว่ยฉือก็ยกชามยาเข้ามาซ่างกวนซีกล่าวปลอบประโลม “อย่าใจร้อน ดื่มยาก่อนเถอะ”เย่เทียนซูพยักหน้า รับชามยาจากมือของเยี่ยนเว่ยฉือ ดื่มยาสีดำสนิทลงไปหลังจากดื่มเสร็จแล้ว เย่เทียนซูรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น ในปากรู้สึกขมก่อนแล้วก็หวาน ยังรู้สึกเย็น ๆ อีกด้วยเขามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสีหน้าประหลาดใจเยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “อร่อยใช่หรือไม่? ข้าใส่ชะเอมและใบสะระแหน่ลงไปด้วย”เย่เทียนซูกะพริบตา “มิน่าเล่าถึงได้มีรสหวาน แต่… ข้าก็ไม่ได้กลัวยาขมอยู่”เยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซี กล่าวว่า “ฝ่าบาทต่างหากที่กลัวยาขม ดังนั้นข้าจึงปรับเปลี่ยนตำรับยาหลายอย่าง เช่นนี้ เมื่อดื่มเสร็จแล้วก็จะไม่รู้สึกขมปร่า”เย่เทียนซูและอวี๋เฟยเหยียนต่างมองซ่างกวนซี ทันใดนั้นต่างก็ประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่กลัวยาขมด้วยหรือ?”ซ่างกวนซีกระตุกมุมปากอย่างขัดเขิน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องอื่น เจ้าเพิ่งบอกว่าคนที่ทำร้ายเจ้
เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “สำเร็จหรือไม่ ไปดูก็รู้แล้ว จางมามา...”“มาแล้ว มาแล้วเพคะ!” จางมามาเดินเข้ามาจากนอกห้อง มือถือของขวัญบางอย่างเยี่ยนเว่ยฉือรับของมา มองซ่างกวนซีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไปกันเถิด ไปเยี่ยมจวนองค์ชายรองกัน”ซ่างกวนซีเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆแต่กลับเป็นอวี๋เฟยเหยียนที่ปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ๆ ไปไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นพี่ ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลย ให้ศิษย์พี่ใหญ่ถือของขวัญไปเยี่ยมเขา มิเป็นการลดฐานะของเขาหรอกหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ท่านไม่เข้าใจ ซ่างกวนหลียิ่งเย่อหยิ่ง เราก็ยิ่งต้องถ่อมตน ควรรู้ว่าในเมืองหลวงแแห่งนี้ บางครั้งชื่อเสียงก็สำคัญกว่าอำนาจ”ซ่างกวนซีมองเยี่ยนเว่ยฉือ ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “เฟยเหยียน เตรียมรถม้า!”เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับเยี่ยนเว่ยฉือ…… จวนองค์ชายรองขณะนั้น ซ่างกวนเจวี๋ยก็อยู่ที่จวนองค์ชายรองเช่นกันเขามองซ่างกวนหลีด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วถาม “เสด็จพี่รอง ท่านเป็นอะไรไป ดูอิดโรย ใต้ตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งแตก แก้มตอบ ท่าน… ท่านดูเหมือนคนใกล้ตายเลย หรือว่าช่วงนี้จวนรับนางกำนัลเข้ามาใหม่?”“ไป
อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกว่าแปลกไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหนส่วนเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวด้วยความชื่นชม “โอ้ ช่างฝีมือของกรมโยธาทำงานประณีตนัก ดูสิ สวนนี้สร้างได้งดงามยิ่ง!”พ่อบ้านจวนวังองค์ชายรองยิ้ม “พระชายาชมเกินไป การซ่อมแซมนี้ มีกฎเกณฑ์ตามธรรมเนียมแต่โบราณกำหนดไว้ เราไม่สามารถฝ่าฝืน แต่ก็มิอาจทำให้องค์ชายรองเสียหน้าได้”กล่าวคือ พวกเขาทำตามกฎระเบียบ เยี่ยนเว่ยฉืออย่าคิดจะเล่นงานกับคำว่า ‘งดงาม’เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม ถามต่อ “นั่นสินะ องค์ชายรองมีชื่อเสียงเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทั่วโลกย่อมรู้เห็น เอ๊ะ หลังจากที่เรือนหลังนี้สร้างเสร็จ องค์ชายรองก็ย้ายเข้ามาอยู่ทันทีเลยใช่หรือไม่?”พ่อบ้านจวนองค์ชายรองตกใจเล็กน้อย รีบกล่าว “แน่นอน คงไม่ไปรบกวนที่จวนองค์ชายสี่ตลอดไป”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “อ๋อ… ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”การสนทนาของทั้งสอง ทำให้ซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนรู้สึกงงงวยแต่ซ่างกวนซีรู้ว่าคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือทุกคำมีความหมายแฝงอยู่ ไม่ใช่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่ความหมายนั้นคืออะไร? ซ่างกวนซีก็ยังคิดไม่ออกครู่หนึ่ง ทุกคนก็มาถึงห้องนอนของซ่างกวนหลี ซ่างกวนหลีและซ่างกวน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่างกวนหลีก็โมโหเขายิ้มแห้ง ๆ กล่าวว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่ห่วงใย ข้าแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วย”“ไม่เจ็บป่วยหรือ? แล้วเหตุใดใต้ตาจึงคล้ำเช่นนี้ เมื่อคืนไปย่องลักขโมยมาหรือ?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่อซ่างกวนหลีโมโหจนกัดฟันกรอด เค้นเสียงลอดไรฟันว่า “รัฐทายาทอวี๋ห่วงใยข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ใจชุ่มชื่นนัก”อวี๋เฟยเหยียนหัวเราะเยาะ “ข้าไม่มีเวลามานั่งห่วงใยคนไม่สำคัญ แต่เจ้าดูอิดโรยจริง ๆ ดูเหมือนจะสิ้นชีพในไม่ช้า โธ่… ข้ายังพอมีหน้ามีตาสำหรับฝ่าบาทอยู่บ้าง ข้าจะไปเลือกหมอหลวงฝีมือดีมาให้เจ้าเอง อย่างน้อยก่อนสิ้นชีพ ก็ให้เจ้าไปอย่างสบาย!”“อวี๋เฟยเหยียน! บังอาจ!” อะไรคือก่อนสิ้นชีพ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังสาปแช่งเขาให้ตาย!หากซ่างกวนหลีไม่โกรธก็ยังดี พอโกรธก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันใด“องค์ชาย! องค์ชาย!”“เสด็จพี่รอง! เสด็จพี่รอง! เป็นอะไรไป?”ซ่างกวนหลีล้มลงไปข้างหลัง องครักษ์จี้อู๋และซ่างกวนเจวี๋ยรีบเข้าไปประคองอวี๋เฟยเหยียนอึ้งเขาชี้ไปที่ปากของตนเอง กล่าวว่า “เทพเซียนช่วย นี่ข้าเก่งกาจเช่นนี้เลยหรือ? สามารถใช้คำพูดทำให้คนเลวคนหนึ่งตายได้? ต่อจากนี้จะฝึกวิทยายุทธไป
เมื่อได้ยินคำว่า ‘มีรางวัลใหญ่’ หมอทุกคนก็พากันเข้าไป ดูเหมือนจะกลืนซ่างกวนหลีเข้าไปให้ได้องครักษ์จี้อู๋กล่าวด้วยความกังวล “หยุด! หยุด! อย่ารุมกันเข้ามา เข้ามาทีละคน ๆ”แต่จี้อู๋มีเพียงคนเดียว รวมกับพ่อบ้านจวนองค์ชายรองก็มีเพียงสองคน ไม่อาจหยุดชายยี่สิบสามสิบคนได้โชคดีที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีเจตนาทำร้าย มีแต่เจตนาช่วยเหลือคนหนึ่งจับมือซ้าย คนหนึ่งจับมือขวา แม้แต่เท้าซ้ายและเท้าขวาก็ไม่ว่างทุกคนต่างใช้ความสามารถของตนในการรักษาซ่างกวนหลีซ่างกวนซีและคณะยืนอยู่ด้านนอก รอผลอย่างเงียบ ๆได้ยินหมอคนแรกกล่าวว่า “ชีพจรผิดปกติ นี่เป็นอาการของโรคนอนไม่หลับ”หมอคนที่สองส่ายหน้า “ไม่ใช่ ชีพจรอ่อนแอ ใต้ตาคล้ำ ชัดเจนว่าเป็นโรคไตเสื่อม”หมอคนที่สามก็ปฏิเสธ “ไม่ใช่ ชีพจรเบา ลื่นไหลไม่มั่นคง นี่คือการหยางพร่อง หักโหมเรื่องอย่างว่าบ่อยเกินไป!”…… ทุกคนต่างคนต่างพูด ทำให้ดูเหมือนซ่างกวนหลีกำลังจะตายซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนอดมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความสงสัยไม่ได้อวี๋เฟยเหยียนกระซิบถาม “พี่สะใภ้ นี่คือพลังของปลวกหรือ? วิเศษมาก!”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มมุมปาก “หากปลวกมีพลังเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องเห
ทรมาน?เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมาเร็วเกินไปแล้วอวี๋เฟยเหยียนเกาหัว “ห้าม้าฉีกร่าง? ประหารอย่างช้า ๆ? เทเหล็กหลอม หรือปักไม้ไผ่?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ นานมาแล้ว มีคนผู้หนึ่งสอบสวนบุรุษผู้หนึ่ง เขาผู้นี้มีจิตใจเข้มแข็ง ใช้การทรมานทุกอย่างก็มิอาจทำให้เขาพูดสักคำ สุดท้ายขุนนางผู้หนึ่งออกมาสอบสวน เขาเชิญหมอมาดูแลบุรุษผู้นั้นอย่างดี ไม่ถึงครึ่งเดือน บุรุษผู้นั้นถึงยอมพูด จากที่ไม่ยอมพูด กลายเป็นกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพลาดไป”อวี๋เฟยเหยียนถามด้วยความสงสัย “เขาใช้วิธีใด?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “คมดาบเหนือศีรษะ ไม่สามารถนอนหลับได้ เขาไม่ได้ใช้ทรมานใด ๆ เพียงแต่ไม่ให้บุรุษผู้นั้นนอน มีคำกล่าวว่ามนุษย์เราอายุเจ็ดสิบปี หนึ่งในสามเป็นเวลาหลับ คนเราหากนอนไม่เพียงพอ นานวันเข้าร่างกายจะเสื่อมโทรม สิ่งแรกที่เสื่อมโทรมคือจิตใจ”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจแล้ว ขุนนางผู้นั้นไม่ให้บุรุษที่ว่านอน จึงทำให้เขายอมแพ้แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซ่างกวนหลีอย่างไร?อวี๋เฟยเหยียนนึกถึงสภาพของซ่างกวนหลี แล้วถาม “หรือว่าสภาพของซ่างกวนหลี เป็นเพราะนอนไม่หลับ?”เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว จวนองค์ชายรองสร้างเสร็จ
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ