เยี่ยนเว่ยฉือนอนหลับสบายหายห่วงนางมีนิสัยชอบนอนกอดสิ่งของ บนเตียงเล็ก มีที่ว่างเพียงพอสำหรับนางคนเดียว จะมีที่ว่างให้นางวางหมอนได้อย่างไร?แต่บนเตียงต่างออกไป ขณะที่นางหลับ ๆ ตื่น ๆ จึงสามารถกอดซ่างกวนซีได้อย่างอิสระนางสัมผัสซ่างกวนซีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนซ่างกวนซีอยากร้องไห้ อยากจะห้ามปรามก็ห้ามไม่ได้แต่เรื่องเหล่านี้ นางกลับจำไม่ได้เลยมีเพียงซ่างกวนซีเท่านั้นที่รู้ว่าการนอนร่วมเตียงกับนางเป็นอย่างไร ทั้งเจ็บปวดและมีความสุขปะปนกัน…… วันที่สิบห้าเดือนสี่นับตั้งแต่เยี่ยนเว่ยฉือปล่อยปลวกไป ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว นับตั้งแต่การซ่อมแซมจวนองค์ชายรองเสร็จสิ้น ก็ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือนช่วงเวลานี้ อวี๋เฟยเหยียนไปเลียบ ๆ เคียง ๆ บริเวณวังองค์ชายรองทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าบ้านเรือนจะถล่มลงมาวันนี้ อวี๋เฟยเหยียนกินข้าวไปพลางถอนหายใจไปพลาง “เฮ้อ พี่สะใภ้ วิธีการของเจ้าจะได้ผลจริงหรือไม่? เหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเล่า”เยี่ยนเว่ยฉือกินข้าวไปพลางหัวเราะไปพลาง “หืม? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนะ”อวี๋เฟยเหยียนบ่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ไม่เชื่อเจ้าลองถามศิษย์พี่ใ
ซ่างกวนซีอุ้มเย่เทียนซูไปยังห้องพัก คิดจะให้อวี๋เฟยเหยียนไปเชิญหมอ แต่กลับเป็นเยี่ยนเว่ยฉือที่คว้าข้อมือเย่เทียนซูไว้ก่อนเยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้ว “เขาบาดเจ็บภายใน อาการยังพอไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยา องค์ชายอวี๋ไปหาซื้อยามาเถิด ข้าจะช่วยเขาห้ามเลือด!”อวี๋เฟยเหยียนกะพริบตาปริบ มองซ่างกวนซีด้วยสีหน้าไม่แน่ใจเมื่อซ่างกวนซีเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยรู้จักตัวตนเยี่ยนเว่ยฉือ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเว่ยฉือได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการใช้พิษแล้วเยี่ยนเว่ยฉือยังเคยรักษาเขาและรักษาฮวาอวี๋ด้วย ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่า เยี่ยนเว่ยฉือน่าจะมีความสามารถอยู่บ้างหลังจากเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือก็กลับไปหาเย่เทียนซู ถอดเสื้อผ้าของเขาออกทั้งหมดดูเหมือนว่าจะตั้งใจจะรักษาโดยการฝังเข็ม เพื่อห้ามเลือดที่ออกอยู่ภายในซ่างกวนซีเข้าไปดูใกล้ ๆ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ฝ่ามือทะลุใจ!”รอยฝ่ามือสีม่วงแดงปรากฏอยู่บนไหล่ของเย่เทียนซู หากลึกลงไปอีกครึ่งนิ้วก็จะโดนหัวใจเข้าอย่างจังเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้หันหลังกลับ ฝังเข็มไปพลางถามไปพลาง “ฝ่าบาทรู้จักที่มาบาดแผลของเขาด้วยหรือ?”ซ่างกวนซ
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกัน เย่เทียนซูก็ฟื้นขึ้นมาคำพูดแรกที่เขาพูดคือ “ศิษย์พี่ใหญ่ หมิงตาว… เป็นหมิงตาวที่ทำร้ายข้า”ซ่างกวนซีรีบเดินไปที่เตียง อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพยุงเย่เทียนซูขึ้นส่วนเยี่ยนเว่ยฉือก็ยกชามยาเข้ามาซ่างกวนซีกล่าวปลอบประโลม “อย่าใจร้อน ดื่มยาก่อนเถอะ”เย่เทียนซูพยักหน้า รับชามยาจากมือของเยี่ยนเว่ยฉือ ดื่มยาสีดำสนิทลงไปหลังจากดื่มเสร็จแล้ว เย่เทียนซูรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น ในปากรู้สึกขมก่อนแล้วก็หวาน ยังรู้สึกเย็น ๆ อีกด้วยเขามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสีหน้าประหลาดใจเยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “อร่อยใช่หรือไม่? ข้าใส่ชะเอมและใบสะระแหน่ลงไปด้วย”เย่เทียนซูกะพริบตา “มิน่าเล่าถึงได้มีรสหวาน แต่… ข้าก็ไม่ได้กลัวยาขมอยู่”เยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซี กล่าวว่า “ฝ่าบาทต่างหากที่กลัวยาขม ดังนั้นข้าจึงปรับเปลี่ยนตำรับยาหลายอย่าง เช่นนี้ เมื่อดื่มเสร็จแล้วก็จะไม่รู้สึกขมปร่า”เย่เทียนซูและอวี๋เฟยเหยียนต่างมองซ่างกวนซี ทันใดนั้นต่างก็ประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่กลัวยาขมด้วยหรือ?”ซ่างกวนซีกระตุกมุมปากอย่างขัดเขิน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องอื่น เจ้าเพิ่งบอกว่าคนที่ทำร้ายเจ้
เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “สำเร็จหรือไม่ ไปดูก็รู้แล้ว จางมามา...”“มาแล้ว มาแล้วเพคะ!” จางมามาเดินเข้ามาจากนอกห้อง มือถือของขวัญบางอย่างเยี่ยนเว่ยฉือรับของมา มองซ่างกวนซีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไปกันเถิด ไปเยี่ยมจวนองค์ชายรองกัน”ซ่างกวนซีเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆแต่กลับเป็นอวี๋เฟยเหยียนที่ปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ๆ ไปไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นพี่ ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปเยี่ยมเขาเลย ให้ศิษย์พี่ใหญ่ถือของขวัญไปเยี่ยมเขา มิเป็นการลดฐานะของเขาหรอกหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ท่านไม่เข้าใจ ซ่างกวนหลียิ่งเย่อหยิ่ง เราก็ยิ่งต้องถ่อมตน ควรรู้ว่าในเมืองหลวงแแห่งนี้ บางครั้งชื่อเสียงก็สำคัญกว่าอำนาจ”ซ่างกวนซีมองเยี่ยนเว่ยฉือ ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “เฟยเหยียน เตรียมรถม้า!”เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับเยี่ยนเว่ยฉือ…… จวนองค์ชายรองขณะนั้น ซ่างกวนเจวี๋ยก็อยู่ที่จวนองค์ชายรองเช่นกันเขามองซ่างกวนหลีด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วถาม “เสด็จพี่รอง ท่านเป็นอะไรไป ดูอิดโรย ใต้ตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งแตก แก้มตอบ ท่าน… ท่านดูเหมือนคนใกล้ตายเลย หรือว่าช่วงนี้จวนรับนางกำนัลเข้ามาใหม่?”“ไป
อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกว่าแปลกไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหนส่วนเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวด้วยความชื่นชม “โอ้ ช่างฝีมือของกรมโยธาทำงานประณีตนัก ดูสิ สวนนี้สร้างได้งดงามยิ่ง!”พ่อบ้านจวนวังองค์ชายรองยิ้ม “พระชายาชมเกินไป การซ่อมแซมนี้ มีกฎเกณฑ์ตามธรรมเนียมแต่โบราณกำหนดไว้ เราไม่สามารถฝ่าฝืน แต่ก็มิอาจทำให้องค์ชายรองเสียหน้าได้”กล่าวคือ พวกเขาทำตามกฎระเบียบ เยี่ยนเว่ยฉืออย่าคิดจะเล่นงานกับคำว่า ‘งดงาม’เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม ถามต่อ “นั่นสินะ องค์ชายรองมีชื่อเสียงเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทั่วโลกย่อมรู้เห็น เอ๊ะ หลังจากที่เรือนหลังนี้สร้างเสร็จ องค์ชายรองก็ย้ายเข้ามาอยู่ทันทีเลยใช่หรือไม่?”พ่อบ้านจวนองค์ชายรองตกใจเล็กน้อย รีบกล่าว “แน่นอน คงไม่ไปรบกวนที่จวนองค์ชายสี่ตลอดไป”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “อ๋อ… ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”การสนทนาของทั้งสอง ทำให้ซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนรู้สึกงงงวยแต่ซ่างกวนซีรู้ว่าคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือทุกคำมีความหมายแฝงอยู่ ไม่ใช่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่ความหมายนั้นคืออะไร? ซ่างกวนซีก็ยังคิดไม่ออกครู่หนึ่ง ทุกคนก็มาถึงห้องนอนของซ่างกวนหลี ซ่างกวนหลีและซ่างกวน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่างกวนหลีก็โมโหเขายิ้มแห้ง ๆ กล่าวว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่ห่วงใย ข้าแข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บป่วย”“ไม่เจ็บป่วยหรือ? แล้วเหตุใดใต้ตาจึงคล้ำเช่นนี้ เมื่อคืนไปย่องลักขโมยมาหรือ?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่อซ่างกวนหลีโมโหจนกัดฟันกรอด เค้นเสียงลอดไรฟันว่า “รัฐทายาทอวี๋ห่วงใยข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ใจชุ่มชื่นนัก”อวี๋เฟยเหยียนหัวเราะเยาะ “ข้าไม่มีเวลามานั่งห่วงใยคนไม่สำคัญ แต่เจ้าดูอิดโรยจริง ๆ ดูเหมือนจะสิ้นชีพในไม่ช้า โธ่… ข้ายังพอมีหน้ามีตาสำหรับฝ่าบาทอยู่บ้าง ข้าจะไปเลือกหมอหลวงฝีมือดีมาให้เจ้าเอง อย่างน้อยก่อนสิ้นชีพ ก็ให้เจ้าไปอย่างสบาย!”“อวี๋เฟยเหยียน! บังอาจ!” อะไรคือก่อนสิ้นชีพ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังสาปแช่งเขาให้ตาย!หากซ่างกวนหลีไม่โกรธก็ยังดี พอโกรธก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันใด“องค์ชาย! องค์ชาย!”“เสด็จพี่รอง! เสด็จพี่รอง! เป็นอะไรไป?”ซ่างกวนหลีล้มลงไปข้างหลัง องครักษ์จี้อู๋และซ่างกวนเจวี๋ยรีบเข้าไปประคองอวี๋เฟยเหยียนอึ้งเขาชี้ไปที่ปากของตนเอง กล่าวว่า “เทพเซียนช่วย นี่ข้าเก่งกาจเช่นนี้เลยหรือ? สามารถใช้คำพูดทำให้คนเลวคนหนึ่งตายได้? ต่อจากนี้จะฝึกวิทยายุทธไป
เมื่อได้ยินคำว่า ‘มีรางวัลใหญ่’ หมอทุกคนก็พากันเข้าไป ดูเหมือนจะกลืนซ่างกวนหลีเข้าไปให้ได้องครักษ์จี้อู๋กล่าวด้วยความกังวล “หยุด! หยุด! อย่ารุมกันเข้ามา เข้ามาทีละคน ๆ”แต่จี้อู๋มีเพียงคนเดียว รวมกับพ่อบ้านจวนองค์ชายรองก็มีเพียงสองคน ไม่อาจหยุดชายยี่สิบสามสิบคนได้โชคดีที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีเจตนาทำร้าย มีแต่เจตนาช่วยเหลือคนหนึ่งจับมือซ้าย คนหนึ่งจับมือขวา แม้แต่เท้าซ้ายและเท้าขวาก็ไม่ว่างทุกคนต่างใช้ความสามารถของตนในการรักษาซ่างกวนหลีซ่างกวนซีและคณะยืนอยู่ด้านนอก รอผลอย่างเงียบ ๆได้ยินหมอคนแรกกล่าวว่า “ชีพจรผิดปกติ นี่เป็นอาการของโรคนอนไม่หลับ”หมอคนที่สองส่ายหน้า “ไม่ใช่ ชีพจรอ่อนแอ ใต้ตาคล้ำ ชัดเจนว่าเป็นโรคไตเสื่อม”หมอคนที่สามก็ปฏิเสธ “ไม่ใช่ ชีพจรเบา ลื่นไหลไม่มั่นคง นี่คือการหยางพร่อง หักโหมเรื่องอย่างว่าบ่อยเกินไป!”…… ทุกคนต่างคนต่างพูด ทำให้ดูเหมือนซ่างกวนหลีกำลังจะตายซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนอดมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความสงสัยไม่ได้อวี๋เฟยเหยียนกระซิบถาม “พี่สะใภ้ นี่คือพลังของปลวกหรือ? วิเศษมาก!”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มมุมปาก “หากปลวกมีพลังเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องเห
ทรมาน?เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมาเร็วเกินไปแล้วอวี๋เฟยเหยียนเกาหัว “ห้าม้าฉีกร่าง? ประหารอย่างช้า ๆ? เทเหล็กหลอม หรือปักไม้ไผ่?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ นานมาแล้ว มีคนผู้หนึ่งสอบสวนบุรุษผู้หนึ่ง เขาผู้นี้มีจิตใจเข้มแข็ง ใช้การทรมานทุกอย่างก็มิอาจทำให้เขาพูดสักคำ สุดท้ายขุนนางผู้หนึ่งออกมาสอบสวน เขาเชิญหมอมาดูแลบุรุษผู้นั้นอย่างดี ไม่ถึงครึ่งเดือน บุรุษผู้นั้นถึงยอมพูด จากที่ไม่ยอมพูด กลายเป็นกลัวว่าจะพูดอะไรผิดพลาดไป”อวี๋เฟยเหยียนถามด้วยความสงสัย “เขาใช้วิธีใด?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “คมดาบเหนือศีรษะ ไม่สามารถนอนหลับได้ เขาไม่ได้ใช้ทรมานใด ๆ เพียงแต่ไม่ให้บุรุษผู้นั้นนอน มีคำกล่าวว่ามนุษย์เราอายุเจ็ดสิบปี หนึ่งในสามเป็นเวลาหลับ คนเราหากนอนไม่เพียงพอ นานวันเข้าร่างกายจะเสื่อมโทรม สิ่งแรกที่เสื่อมโทรมคือจิตใจ”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจแล้ว ขุนนางผู้นั้นไม่ให้บุรุษที่ว่านอน จึงทำให้เขายอมแพ้แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซ่างกวนหลีอย่างไร?อวี๋เฟยเหยียนนึกถึงสภาพของซ่างกวนหลี แล้วถาม “หรือว่าสภาพของซ่างกวนหลี เป็นเพราะนอนไม่หลับ?”เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว จวนองค์ชายรองสร้างเสร็จ
เยี่ยนเว่ยฉือหันไปมองฉินเซียงหรูที่อยู่ไม่ไกลนัก เห็นฉินเซียงหรูกำลังยิ้มเยาะเบา ๆ อยู่เขาชักแขนเสื้อขึ้น ถือสมุนไพร กล่าวอย่างมีนัยสำคัญว่า “องค์รัชทายาท แท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่เปิดเผยที่สุดในโลก!”“แค่กแค่กแค่ก...” เยี่ยนเว่ยฉือแทบจะสำลักน้ำลายตนเองนางทำท่าเขินอาย เดินเข้าไปหาเด็กหญิงทั้งสอง กล่าวว่า “เอาล่ะ อย่ามัวคุกเข่าอยู่เลย ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเถอะ”ทั้งสองสบตากัน แล้วก็ลุกขึ้นยืนเยี่ยนเว่ยฉือถามต่อว่า “พวกเจ้าอายุเท่าไร?”ไคจือตอบว่า “หม่อมฉันอายุสิบห้าปีเพคะ บ้านอยู่ที่หมู่บ้านหลี่เจีย เมื่อก่อนท่านแม่ป่วย ท่านพ่อจึงขายหม่อมฉันให้กับตลาดค้าทาส บัดนี้ท่านแม่จากไปแล้ว ท่านพ่อจึงแต่งงานใหม่ ไปใช้ชีวิตอยู่ทางใต้”กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางไม่มีญาติพี่น้องในเมืองหลวงอีกแล้วเยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันไปมองซ่านเย่ซ่านเย่ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “หม่อมฉัน… หม่อมฉันอายุสิบสี่ปีเพคะ เป็นเด็กกำพร้า มาจากทางใต้ ตามพ่อค้าตลาดค้าทาสมายังเมืองหลวง ไร้ญาติขาดมิตร”จางมามาเข้ามาใกล้เยี่ยนเว่ยฉือ กระซิบว่า “พระชายาวางใจเถิดเพคะ เด็กหญิงทั้งสอง หม่อมฉันไ
ซ่างกวนซีพยักหน้า “ถูกต้อง ส่วนเหตุผลที่พวกเขาปิดบังข่าวสาร ย่อมได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแน่ เรื่องที่สองที่ข้าให้เจ้าไปสืบหา คือการสืบหาว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากผู้ใด อ๋องจ่างซิ่นหรืออันกั๋วกง”อวี๋เฟยเหยียนพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องที่สามเล่า?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่สาม ซ่างกวนซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งพระองค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “มือสังหารสวมหน้ากากจากเป่ยอิ้นเป็นภัยคุกคามต่อเว่ยฉือ เขาเคยเห็นใบหน้าของเว่ยฉือ” ซ่างกวนซีหมายถึงเฉี่ยงหวู่อวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ใหญ่กลัวว่าเขาจะจำเยี่ยนเว่ยฉือได้?”ซ่างกวนซีพยักหน้า “ถูกต้อง เขาเป็นทหารองครักษ์แห่งกองราชองครักษ์ของเป่ยอิ้น มาพร้อมกับอวี้ฉีอวิ๋นจ้าว หากเขารู้จักเว่ยฉือจริง อวี้ฉีอวิ๋นจ้าวและอวี้ฉีอวิ๋นจิ่นย่อมมารบกวนเว่ยฉือในภายหลัง การมีความเกี่ยวข้องกับคนเป่ยอิ้น จะทำให้ตกเป็นเป้าหมาย ให้โอกาสอันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นใส่ร้ายป้ายสี”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจ ซ่างกวนซียังคงกังวลเรื่องปิ่นปักผมทองคำประดับหางหงส์นี่เองอวี๋เฟยเหยียนกล่าวว่า “ข้าจะหาทางฆ่าเขาเสีย!”ซ่างกวนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ไ
“ข้า...ข้าขอตัวก่อน!” เยี่ยนเว่ยฉือรีบวิ่งไปยังเรือนพักของตน ท่าทางนั้นดูราวกับว่ากำลังตกใจกลัวอวี๋เฟยเหยียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ นางเป็นอะไรรึ?”ซ่างกวนซีก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไรเขาจะกล่าวได้อย่างไรว่า เมื่อครู่ทั้งสองได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่ง กำลังทำเรื่องแนบชิดสนิทสนมกันไม่ได้ ไม่อาจระลึกถึงได้อีกต่อไปปรากฏว่าตำราลับห้องหอวสันตฤดูนั้นราบเรียบเกินไป ไม่อาจเทียบได้กับความจริง ซึ่งน่าตกตะลึงยิ่งนัก“เอ่อ… ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!”ซ่างกวนซีว่าแล้วก็จากไป มุ่งหน้าไปยังเรือนพักของตนอวี๋เฟยเหยียนมองไปยังทิศทางที่ซ่างกวนซีเสด็จไป แล้วมองไปยังทิศทางที่เยี่ยนเว่ยฉือจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง คิดในใจว่า “คืนนี้ทำไมถึงไม่นอนด้วยกันเล่า?”…… ไม่เพียงแต่ไม่นอนด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะนอนกันคนละที่ ทั้งสองก็ไม่อาจข่มตาหลับได้เยี่ยนเว่ยฉือนอนอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งก็คิดถึงมือสังหารชุดดำที่ต้องการสังหารนาง ครู่หนึ่งก็คิดถึงปิ่นปักผมทองคำที่ซ่อนเร้นแผนการอยู่ ครู่หนึ่งก็อดคิดถึงพี่น้องตระกูลอวี้ฉือไม่ได้ว่าทำไมจึงประพฤติตนเช่นนั้น?เมื่อนึกถึงพี่น้องตระกูลอวี้ฉือ ก
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์คับขัน ซ่างกวนซีครุ่นคิดว่า ควรจะผลักเยี่ยนเว่ยฉือออกไป แล้วตัวเองถ่วงเวลาไว้ดีหรือไม่แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ เยี่ยนเว่ยฉือก็โยนสิ่งของบางอย่างไปทางด้านหลังเกิดเสียงดังปัง ขวดเล็กตกแตก ควันขาวหนาทึบพวยพุ่งออกมา ทำให้ทหารองครักษ์ที่ตามมาน้ำหูน้ำตาไหล สำลักควัน ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีกซ่างกวนซีเห็นดังนั้นจึงพาเยี่ยนเว่ยฉือหลบเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ รอดพ้นจากการไล่ล่าของคนเป่ยอิ้นไปได้อย่างหวุดหวิดเมื่อพั่วจวินออกมาอีกครั้งก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองแล้วพั่วจวินขมวดคิ้วกล่าว “วิทยายุทธ์เยี่ยมยอดเช่นนี้ เป็นผู้ใดกัน?”…… เมื่อพั่วจวินกลับมารายงาน อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวและอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นก็แต่งกายเรียบร้อยแล้วอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวถามด้วยความกังวลว่า “คนล่ะ? ฆ่าตายหรือไม่?”พั่วจวินพยักหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ปล่อยให้พวกเขารอดไปได้ ดูจากรูปร่างแล้วเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ชายผู้นั้นวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ส่วนสตรีมีอาวุธลับ อาวุธลับนั้นสามารถแปรเป็นควัน ทำให้มองไม่เห็น”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวก็ยังคงสุภาพกับพั่วจวิน ไม่ได้โกรธเคืองที่จับตัวไม่ได้ แต่เพียงคาดเดาว่า “ชายหญิง หรือว
ซ่างกวนซีโอบกอดเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้แน่น นิ่งอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นพั่วจวินไม่ใช่ทหารองครักษ์ธรรมดา แต่เป็นมือสังหารที่มีรายชื่ออันดับสองในบัญชีอู๋ซินไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาจะมีโอกาสชนะหรือไม่ แม้แต่การพาเยี่ยนเว่ยฉือหนีไปก็ยากยิ่งนักดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือการรอคอยให้เหตุการณ์คลี่คลายไปตามธรรมชาติรอให้คนเป่ยอิ้นจากไปก่อน แล้วจึงหาทางจากไปเยี่ยนเว่ยฉือก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน จึงนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่ลมหายใจก็เบาบางยิ่งนักเดิมทีคิดว่าพี่น้องตระกูลอวี้ฉือจะต้องปรึกษาหารือแผนการบางอย่างแต่กลับเห็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายปรากฏว่าอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นทรุดตัวลง เข้าไปในอ้อมอกของอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เสด็จพี่สาม ท่านได้ยินหรือไม่ เขากล่าวว่าต้าหลี่มีหญิงงามล่มเมือง เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? จิ่นเอ๋อร์ไม่ยอม!”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเชยคางของอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นขึ้น ยิ้มเยาะว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไร? เพียงได้กลิ่นเลือดก็อดใจไม่ไหว แม้แต่โรงเตี๊ยมก็รอไม่ไหว? ต้องทำกันกลางที่โล่งแจ้งเช่นนี้หรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นจับมือของอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวไว้ ดึงมือของเขาออกจากคาง ออด
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของซ่างกวนซีก็เปลี่ยนสีทันที เยี่ยนเว่ยฉือก็อดวิตกกังวลไม่ได้เช่นกันสตรีที่พวกเขาพูดถึง เห็นได้ชัดว่าคือเยี่ยนเว่ยฉือทั้งสองยังคงเงียบ มองดูเหตุการณ์เบื้องล่างต่อไปอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามว่า “เบาะแส? เบาะแสอะไร?”เฉี่ยงหวู่รีบกล่าวว่า “ทูลองค์หญิง สตรีนางนั้นได้ทำปิ่นทองคำชิ้นหนึ่งตกไว้ ปิ่นทองคำนั้นถูกเจ้าหน้าที่เมืองหลวงเก็บไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของแคว้นต้าหลี่ ดูเหมือนจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราและสตรีนางนั้น พวกเขาคิดว่าสตรีนางนั้นเป็นคนทรยศที่ร่วมมือกับพวกเรา ดังนั้น เวลานี้ทั้งเมืองหลวงจึงกำลังตามหาสตรีนางนั้น พวกเราเพียงแค่รอ ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เมื่อเจ้าหน้าที่ต้าหลี่จับตัวสตรีนางนั้นได้ พวกเราก็สามารถจับตัวนางไปหาฮวาอวี๋ได้”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นหันไปมองอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว เพื่อฟังความคิดเห็นของเขาอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ที่นี่เป็นเมืองหลวงของต้าหลี่ ปล่อยให้พวกเขาจัดการเอง ย่อมราบรื่นกว่าพวกเราลงมือทำ ก็ดี ให้พวกเขาตามหา พวกเราเพียงรออยู่ก็แล้วกัน”เฉี่ยงหวู่และพวกพ้องต่างก็โล่งใจเมื่อครู่ พว
เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง กระซิบเตือนเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท เป็นเขา ชาวคนเป่ยอิ้นคนนั้น”ซ่างกวนซีคว้าเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้ กระโดดไปยังหลังคาอย่างเงียบเชียบครู่ต่อมา มือสังหารสวมหน้ากากแห่งเป่ยอิ้นพร้อมกับพวกพ้อง เดินผ่านตรอกเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของเมืองทั้งสองรีบร้อน ดูเหมือนจะร้อนใจอย่างยิ่งซ่างกวนซีรัดเอวของเยี่ยนเว่ยฉือไว้แน่น กล่าวเบา ๆ ว่า “เราไปดูกันเถอะ!”เยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้ปฏิเสธ…… ทิศเหนือของเมือง ณ เรือนร้างซ่างกวนซีตามไปพร้อมกับเยี่ยนเว่ยฉือ ตามรอยบุรุษชุดดำ จนมาถึงเรือนร้างแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของเมืองทั้งสองซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ มองลงไปในลานบ้าน เห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่หัวหน้าเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นองครักษ์มือสังหารสวมหน้ากากแห่งเป่ยอิ้นเดินเข้าไปในลานบ้าน เมื่อเห็นชายหญิงคู่นั้น จึงคุกเข่าข้างหนึ่ง รายงานว่า “กระหม่อมเฉี่ยงหวู่ ขอคารวะองค์ชายสาม คารวะองค์หญิงอวิ๋นจิ่น” ปรากฏว่ามือสังหารผู้นี้มีนามว่าเฉี่ยงหวู่ส่วนองค์หญิงอวิ๋นจิ่นที่เขาเอ่ยถึง ทำให้ซ่างกวนซีตกใจจนดวงตาเบิกกว้างเขารู้แล้วว่าชายหญิงคู่นั้นเป็น
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเว่ยฉือได้สัมผัสถึงฝีมือวิทยายุทธของซ่างกวนซี นางอดที่จะเปรียบเทียบซ่างกวนซีกับฮวาอวี๋ไม่ได้ฮวาอวี๋บินได้เร็ว แต่ซ่างกวนซีบินได้อย่างมั่นคงแม้ว่าเท้าจะลอยอยู่บนอากาศ เยี่ยนเว่ยฉือก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกปลอดภัย“ศพอยู่ข้างในสามศพ ถูกไฟไหม้จนเสียโฉม เจ้าแน่ใจหรือว่า… เจ้าจะทำได้?” ซ่างกวนซียังคงกังวลว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะรับมือไม่ไหวเยี่ยนเว่ยฉือกลับมาตั้งสติ พยักหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาทวางใจเถิด ข้าเคยเห็นศพที่น่าสยดสยองกว่านี้มาแล้ว”ซ่างกวนซีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างพิจารณานางอายุยังน้อย อยู่แต่กับหมู จะเคยเห็นศพที่น่าสยดสยองกว่านี้ได้อย่างไร?ก่อนที่ซ่างกวนซีจะคิดได้ เยี่ยนเว่ยฉือก็เดินไปหาศพแล้วนางเปิดผ้าขาวที่คลุมศพออก เห็นศพที่ถูกไฟไหม้จนเสียโฉมซ่างกวนซีสังเกตสีหน้าของเยี่ยนเว่ยฉืออย่างละเอียด พบว่านางมีสีหน้าสงบ ไม่มีความหวาดกลัวหรือรังเกียจแม้แต่น้อยซ่างกวนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกว่าเยี่ยนเว่ยฉือไม่ธรรมดาแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่รอผลการชันสูตรศพของเยี่ยนเว่ยฉืออย่างเงียบ ๆเยี่ยนเว่ยฉือตรวจสอบศพไปพลาง
ซ่างกวนซีพยักหน้าเบา ๆ มองไปยังเบื้องหน้าพลางกล่าวกับตนเองเบา ๆ ว่า “จะเป็นผู้ใดกันเล่า? อันกั๋วกง? อ๋องจ่างซิ่น? หรือว่า... ผิงอี้โหว?”อวี๋เฟยเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “คงไม่ใช่อ๋องจ่างซิ่นหรอก เขาไม่มีสติปัญญาเฉือยบแหลมเช่นนั้น!”ซ่างกวนซีพยักหน้ารับ “และก็ไม่ใช่อันกั๋วกงเช่นกัน หากอันกั๋วกงเป็นผู้วางแผน อันกั๋วกงกับซ่างกวนหลีก็ย่อมรู้ทั้งคู่ว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำนั้นคือเยี่ยนเว่ยฉือ บ่อนพนันก็ไม่จำเป็นต้องนำภาพวาดไปเสาะหาผู้ใด เพียงแต่สอบถามจากซ่างกวนหลีก็จะรู้ได้แล้วว่าผู้ซื้อปิ่นทองคำคือเยี่ยนเว่ยฉือ”อวี๋เฟยเหยียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “คงไม่ใช่ผิงอี้โหว เยี่ยนหานซานหรอกใช่หรือไม่? เขาก็ดูไม่ใช่คนมีสติปัญญาเช่นกัน!”ซ่างกวนซีถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าเป็นองค์รัชทายาท มีศัตรูมากมาย นอกจากที่ปรากฏแก่สายตาแล้ว ยังมีผู้ลอบคิดร้ายอีกมากมาย เหอะ!”อวี๋เฟยเหยียนรีบปลอบประโลมว่า “ศิษย์พี่ก็อย่ากังวลมากนักเลย อย่างไรเสีย เวลานี้ก็มีเพียงผู้ที่คิดร้ายต่อพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าปิ่นทองคำอยู่กับเยี่ยนเว่ยฉือ ตราบใดที่พวกเราไม่ยอมรับ พวกเขาก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าพวกเ