“แค่นี้รึ?”ฉินอวิ๋นฟานแปลกใจมาก กว่าต้าเยียนจะชิงเมืองอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเส้นทางการค้าได้ ไม่คิดว่าจะมอบให้ง่าย ๆ แบบนี้? แถมลูกไม้นี้ยังไม่ค่อยฉลาดเสียด้วย“เอ่อ... รัชทายาท ท่านคงไม่คิดว่านี่คือเรื่องหมู ๆ กระมัง?”ปฏิกิริยานี้ของฉินอวิ๋นฟานทำให้หวงต้าหยวนประหลาดใจมาก นางอธิบาย “เมืองอู่โจวคือเมืองเส้นทางการค้า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเป็นส่วนมาก ทั้งสมาคมการค้าใหญ่น้อยในเมืองอู่โจวมีมากถึงห้าสิบกว่าสมาคม เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะสอดมือเข้าไปได้ง่าย ๆ”“ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ขุนนางมากมายของต้าเยียนแฝงอยู่ในทุกภาคส่วนด้วยฐานะระดับล่าง ต่อให้ข้าอยากช่วยท่านก็ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกคนไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าน”“ในช่วงเวลาสั้น ๆ ท่านกวาดล้างคนพวกนี้ให้หมดไม่ได้หรอก และถึงจะกวาดล้างคนพวกนี้ได้ในสามเดือน ท่านก็ไม่มีคนมากพอที่จะแทนที่ตำแหน่งพวกเขา”“อีกสามเดือนท่านต้องไปสู่ขอองค์หญิงสามเยียนอวี่เฉิน แถมนางยังประกาศอีกว่าต้องการเป็นพระชายารัชทายาท ช่วยให้ท่านขึ้นครองบัลลังก์ ถึงตอนนั้นนางต้องเป็นฮองเฮาแน่นอน”“ฮ่า ๆ ๆ ๆ...”ฉินอวิ๋นฟานไม่เพีย
ครั้นฉินอวิ๋นฟานได้ยินคำพูดนี้ก็ตาโตขึ้นมาทันใด รู้สักว่ามีลุ้น เขารีบพูด “แน่นอน พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว แถมยังร่วมมือกันหลายครั้งอย่างนี้อีก ใช่ไหมเล่า ดูว่าเจ้าหน้าตาเป็นยังไงน่าจะไม่มีอะไรกระมัง?”เห็นท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยของฉินอวิ๋นฟาน หวงต้าหยวนแย้มรอยยิ้มเย็นชาทันที นางเอ่ยแบบราบเรียบว่า “ใช่ว่าจะปลดผ้าปิดหน้าให้ท่านไม่ได้ แต่... แค่ข้าปลดผ้าปิดหน้าเพื่อท่าน ท่านจะต้องแต่งกับข้า แม้จะเป็นเช่นนี้ ท่านยังกล้าให้ข้าปลดผ้าปิดหน้าอีกหรือไม่?”“หือ? ยังมีเรื่องดีเช่นนี้อยู่อีก?”ครั้นฉินอวิ๋นฟานได้ยิน โลกนี้ยังมีเรื่องดีอย่างนี้อยู่อีก? เห็นหน้าก็ตบแต่งเอากลับบ้านได้ นี่จะคุ้มเกินไปแล้วมั้ง? เขารีบทุบอกรับประกัน “แค่เจ้ากล้าปลดผ้าออก ข้าก็กล้าแต่ง ภรรยางามหยาดเยิ้มอย่างนี้ ไม่เท่ากับได้เปล่าหรือ!”“คิก ๆ ๆ...”ในตอนนี้เอง คำพูดประโยคหนึ่งของหวงต้าหยวนทำเอาฉินอวิ๋นฟานสะดุ้งถอยทันที เห็นเพียงนางหัวเราะคิก ๆ กะทันหันแล้วพูดขึ้นว่า “รัชทายาท จะพูดเสียมั่นใจขนาดนั้นไม่ได้ ทันทีที่ข้าปลดผ้าออก ท่านจะไม่มีทางให้ถอยหลังกลับแล้วนะ”“ใต้ฟ้าผืนหน้า สตรีที่ไม่ยินยอมเปิดเผยหน้าตามีอยู่สองประ
“อ้อ? เคลื่อนไหวแล้ว? มันยังไงกัน?”ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจมาก ถ้ามีอะไรพวกหลิวเป้ยก็น่าจะมารายงานก่อนทันทีจึงจะถูก แต่พวกเขากลับไม่มีปฏิกิริยา? นี่มันยังไงกัน? เขาจึงรีบถาม“เนื่องจากเรากักตุนก้อนเกลืออย่างต่อเนื่อง ทำให้เกลือบริโภคในแคว้นเริ่มขาดแคลน หลาย ๆ แห่งเริ่มขึ้นราคา ท่านก็รู้ ผู้บังคับการเกลือหลวงควบคุมตลาดเกลือหลวงทั่วแคว้น พวกเขาตั้งราคาและจัดสินค้าตามความต้องการของตลาด”หวงต้าหยวนกล่าว “และเมืองจัวที่ท่านดูแลมีเกลือบริโภคน้อยว่าที่อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด สืบเนื่องมาจากความผันแปรของอุปสงค์และอุปทาน ระยะนี้เมืองจัวของพวกท่านเกรงว่าจะเกิดปรากฏการณ์เกลือขาดตลาด และนี่ก็คือความจงใจของตระกูลเริ่น”“รูปแบบการต้มกบด้วยน้ำอุ่น[1]พรรค์นี้ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุด ในสถานการณ์ที่เทพไม่รู้ผีไม่รู้ พวกเขาไม่เพียงแต่ขึ้นราคาเกลือเป็นเท่าตัว ยังระงับการส่งเกลือได้ทุกเมื่อ และทันทีที่หยุดส่งก็จะเกิดปัญหาใหญ่”“อ้อ? มิน่าข้าถึงไม่ได้การรายงานอะไรจากทางเมืองจัวเลย ที่แท้พวกเขาก็เล่นลูกไม้นี้นี่เอง?”ฉินอวิ๋นฟานแยกเขี้ยวยิ้ม “แต่ต้องยอมรับเลยนะว่ารูปแบบนี้ร้ายจริง ๆ ต่อให้มีคนระแคะระ
ฉินอวิ๋นฟานยิ้มราบเรียบ แต่แล้วก็ล้วงของที่ห่อด้วยกระดาษออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นไปตรงหน้าหวงต้าหยวน“เอ่อ นี่คือ?”หวงต้าหยวนถามด้วยใบหน้าฉงนฉินอวิ๋นฟานยิ้มพูดอย่างมั่นใจ “เปิดออกดูก็รู้แล้วนี่”หวงต้าหยวนเปิดห่อกระดาษออกด้วยความสงสัยเต็มประดา จังหวะที่เห็นของสีขาวละเอียดเหมือนเม็ดทรายในนั้นแล้วนางก็ยิ่งสับสน เอ่ยปากถาม “นี่ นี่คืออะไรหรือ?”นาทีนี้หวงต้าหยวนยังดูไม่ออกว่าทรายละเอียดขาวคืออะไร ความจริงมันก็คือเกลือละเอียดที่ฉินอวิ๋นฟานแปรรูปแล้ว ก้อนเกลือจะมีกลิ่นฉุน และนี่ก็เป็นเพราะเทคโนโลยียุคนี้ล้าสมัยนั่นเอง หลังจากฉินอวิ๋นฟานบรรจงแปรรูปก็เปลี่ยนเป็นเกลือละเอียดในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงกำจัดสิ่งแปลกปลอมในเกลือออกทั้งหมด ยังทำให้รสชาติกลับมาเป็นปกติอีกด้วยดังนั้นเมื่อหวงต้าหยวนไม่ได้กลิ่นฉุนที่เป็นการกระตุ้นใด ๆ ย่อมไม่รู้ว่านี่คือสิ่งใด“เจ้าลองชิมดู ดูสิว่ารสชาติเป็นยังไง?”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มน้อย ๆ “วางใจเถอะ ข้าไม่วางยาหรอก และไม่ใช่เพื่อหลอกให้เจ้าเปิดผ้าปิดหน้าด้วย เจ้าไปชิมข้างหลังฉากบังลมได้เลย”พูดจบ ฉินอวิ๋นฟานหยิบขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเอาเข้าปากเพื่อสาธิตให้หวงต้าหยวน
“แหะ ๆ เจ้าหอหวง เจ้าต้องเหยียบเรื่องนี้ให้มิดเลยนะ! นี่คือสิ่งสำคัญที่ข้าจะใช้ตอบโต้ และเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างยุคยิ่งใหญ่ของเราด้วย!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะแหะ ๆ พลางพูด“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”หวงต้าหยวนเอ่ย “ข้าก็อยากเห็นท่านในอนาคตนัก ท่านจะสร้างโลกอย่างไรกันแน่!”“อนาคต อะไรก็เป็นไปได้!”ก่อนจะกลับ ฉินอวิ๋นฟานได้ส่งสายตาปิ้ง ๆ ให้หวงต้าหยวนทีหนึ่ง ทำเอาหวงต้าหยวนหัวใจวสันต์เต้นแรง ก็คือรัชทายาทผู้จริงจังและชั่วร้ายเช่นนี้ ทำให้นางนับวันยิ่งลุ่มหลง นับวันยิ่งคาดหวัง......“รัชทายาท จะได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะ พวกเราจะไปภัตตาคารต้าเฉียนหรือว่าจะกลับตำหนักรัชทายาทกันดีขอรับ?”เพิ่งออกจากหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียง เซี่ยงเทียนเวิ่นก็ถามอยู่ข้างตัวฉินอวิ๋นฟานด้วยความเคารพฉินอวิ๋นฟานหันไปมองทางเซี่ยงเทียนเวิ่นและฉายรอยยิ้มพอใจ เจ้านี่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่กี่เดือนมานี้ก้าวหน้าขึ้นมาก จากไม่มีมันสมองในสมัยก่อนจนใจเย็นสุขุมในตอนนี้ เปลี่ยนไปมากจริง ๆสมกับที่เกิดในตระกูลเซี่ยงตระกูลวิถียุทธ์ที่ซื่อสัตย์ พวกเขาไม่เพียงแต่มีกำลังแข็งแกร่ง ยังให้ความสำคัญกับมิตรภาพและคุณธรรม เห็นเซี่ยงเทียนเ
“เชอะ!”ฉินอวิ๋นฟานมองบนใส่จางเต้าหลินแรง ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเซี่ยงเทียนเวิ่นที่อยู่ข้างหลัง “มา นั่งดื่มชาด้วยกัน ไม่ต้องรักษากิริยามารยาทอะไรทั้งนั้น”เซี่ยงเทียนเวิ่นยังคงหวาดหวั่นอยู่เหมือนเดิม แต่ฉินอวิ๋นฟานออกปากแล้ว เขาจึงไม่ขัดขืนอีก นั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาทันที ฉินอวิ๋นฟานเทน้ำชาให้เขาด้วยตัวเอง ภาพนี้ทำให้เซี่ยงเทียนเวิ่นตื้นตันใจแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเล็กน้อยเวลาที่ฉินอวิ๋นฟานแข็งข้อขึ้นมาน่ากลัวจนขนหัวลุก เนื้อตัวบนล่างแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาเต็มเปี่ยม ประดุจเทพสังหาร แต่เวลาที่เขาทำตัวตามสบายก็สบายเสียนี่กระไร ไม่มีมาดของรัชทายาทเลยสักนิด เฉกเช่นสหายคนหนึ่ง“ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีธุระอะไร?”จางเต้าหลินวางถ้วยน้ำชาในมือลง ก่อนจะเปิดปากถาม“จางไท่เว่ย ไม่ขอปิดบัง มีธุระสองเรื่องที่อยากขอคำชี้แนะจากท่านจริง ๆ”ท่าทีของฉินอวิ๋นฟานเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที เขาเอ่ยเสียงหนัก “คาดว่าท่านคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว ท่าทีของเฮ่อชินอ๋องอยู่เหนือความคาดหมายของข้ามาก และข้าก็ไม่รู้เรื่องของเขาเลย ดังนั้นข้าจึงอยากขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องของเขาหน่อย”“ท่านนี่ ถือดียังไงคิดว่า
“มือเท้าสายใยลึกซึ้งแล้วยังไง?”จางเต้าหลินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เกิดอยู่ในตระกูลจ้าว ทั้งเป็นองค์ชายผู้สูงส่ง ใครบ้างไม่อยากถูกขนานนามเป็นจักรพรรดิ? ใครบ้างยินยอมเป็นคนธรรมดา? ใครบ้างที่อยากเป็นลูกน้องทั้งชีวิต?”“ทุกคนที่อยู่ในจุดนั้นมักไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็เหมือนกับสภาพการณ์ของท่านในตอนนั้น แสร้งเป็นโง่เง่าแล้วยังไง? พวกเขาปล่อยท่านไปไหม?”“ถ้ามีองค์ชายมากมายแต่ไม่ชิงบัลลังก์ ยี่สิบปีก่อนก็ไม่เกิดเรื่องเลือดล้างกำแพงวัง จะไม่เหลือแค่เฮ่อชินอ๋องคนเดียวแล้ว”“ในตอนที่เฮ่อชินอ๋องติดตามอดีตฮ่องเต้บุกใต้หล้า จู่ ๆ ก็แสดงความคมและปฏิภาณเหนือคนทั่วไปออกมา ทั้งยังสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับอดีตฮ่องเต้ เรียกได้ว่าผลงานมิอาจลบล้าง”“แต่ก็คนเช่นนี้ แต่เล็กจนโตติดตามอดีตฮ่องเต้ต้อย ๆ ยินยอมเป็นลูกน้องผู้ภักดีทั้งชีวิต ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”ซี้ด...คำพูดนี้ของจางเต้าหลินทำให้ฉินอวิ๋นฟานสูดปาก ในใจคือความตะลึงถึงขีดสุดครั้งแรกที่พบปะกับเฮ่อชินอ๋อง แม้ไม่มีความขัดแย้งใหญ่หลวงอะไร ฉินอวิ๋นฟานกลับเห็นเศษเสี้ยวความดูแคลนและความโหดเหี้ยมจากแววตาของฉินอ้าวถึงฉินอ้าวจะเหมือนอากาศธาตุที่อยู
“เหอะ ขนาดท่านที่เป็นคนไม่มีอิทธิพลอะไรยังมีใจคิดอยากได้บัลลังก์ แล้วทำไมเขาจะไม่กล้า?”จางเต้าหลินบุ้ยปากพูด “อีกอย่าง ไม่แน่ว่าเขาจะต้องให้ตัวเองนั่งตำแหน่งนั้นให้ได้นี่”“หือ? ความหมายของท่านคือเขาจะดันองค์ชายองค์อื่นขึ้น?”จากแนวคิดของจางเต้าหลิน ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจในพริบตา เฮ่อชินอ๋องก็เหมือนกับตระกูลใหญ่อื่น ๆ อาจจะดันองค์ชายองค์หนึ่งจากองค์ชายทั้งเก้า แต่องค์ชายองค์นี้คือใครกันนะ?หรือว่าจะเป็นพี่หก? จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็นึกถึงองค์ชายที่ไม่โดดเด่นคนนี้ องค์ชายที่ทำตัวธรรมดาที่สุด เขาถือดียังไงแต่งงานกับลูกสาวของแม่ทัพฝ่ายขวา? แถมแม่ทัพคนนี้ยังเคยเป็นผู้ติดตามที่ภักดีของเฮ่อชินอ๋องอีก“ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจได้สักที!”ได้จางเต้าหลินชี้แนะ กอปรกับความไวของปัญญาฉินอวิ๋นฟาน ไม่นานเขาก็ตระหนักประเด็นสำคัญของเรื่องได้ และการอนุมานเช่นนี้สามารถอธิบายได้โดยสมบูรณ์“มีบางเรื่องท่านรู้ก็พอ สถานการณ์ของต้าเฉียนซับซ้อนกว่าที่ท่านคิดมาก บัลลังก์ว่างเปล่า หมู่มังกรไร้เศียร สักวันต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ไท่ซั่งหวงพระชนมายุสูงแล้ว พระพลานามัยมิสู้แต่ก่อน จะสามารถทานได้ถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ เวลา