“ข้าละแปลกใจนัก ข้าเป็นแค่คนที่ไม่สนโลกคนหนึ่ง จะมีเส้นสายอะไรให้ท่านยืมได้?”จางเต้าหลินถามด้วยความสนใจฉินอวิ๋นฟานไม่ปิดบัง เขาเอ่ยแบบจริงจังมาก “จางไท่เว่ย ข้าไม่ขอพูดตามตรง นับจากเริ่นซวี่ถูกข้าฆ่าแล้ว เริ่นจื้อคุนก็เจ็บแค้นใจ ตอนนี้เขาเริ่มเล่นงานข้าแล้ว ข้าจำเป็นต้องโต้ตอบ”“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ท่านก็โต้ตอบไปสิ ถึงยังไงท่านก็ไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่าย ๆ คนทั่วไปคิดจะให้ท่านเสียเปรียบ เกรงว่าจะไม่ง่าย”จางเต้าหลินพูดอย่างหน้าไม่ยี่หระ“จางไท่เว่ย คำพูดนี้ผิดถนัด คาดว่าท่านน่าจะรู้ว่าเกลือหลวงคือสิ่งสำคัญของบ้านเมืองนับแต่โบราณกาล ทันทีที่กองทัพขาดเกลือบริโภค จะอ่อนเปลี้ยไร้กำลังในเสี้ยววินาที ไม่มีกำลังต่อสู้อีก”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “และเริ่นจื้อคุนก็กุมเกลือหลวงทั้งหมดซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของต้าเฉียน มันอันตรายมาก ตอนนี้เขาเริ่มเล่นตุกติกกับการส่งเกลือหลวงไปเมืองจัวแล้ว ต้องการเล่นงานข้าชัด ๆ ข้าคิดจะใช้โอกาสนี้ถีบเขาออกจากเกลือหลวงเสียเลย แล้วกุมเกลือหลวงเอาไว้เสียเอง”“เราต่างรู้ความสำคัญของเกลือหลวงดี และข้าไม่มีคนสนิทและเส้นสายในด้านนี้ ต้องการคนที่เชื่อถื
“ลองชิมดูสิ ดูสิว่าเป็นยังไง!”ฉินอวิ๋นฟานยกมือทำท่าทางและบอกจางเต้าหลินไม่ได้ปฏิเสธ แต่หยิบนิด ๆ ส่งเข้าปาก จังหวะที่รสเค็มจาง ๆ เข้าปาก จางเต้าหลินแตกตื่นขึ้นมาทันใด ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ในนั้นคือความเหลือเชื่อทั้งหมด“จะเป็น จะเป็นไปได้ยังไง? เกลือบริโภคละเอียดได้ขนาดนี้เชียวหรือ? แห้งสดชื่นอย่างยิ่ง ยืดอายุการเก็บได้นาน และยังไม่มีรสขมเฝื่อนเลย วิเศษจริง ๆ!”จางเต้าหลินผุดลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มองเกลือบริโภคละเอียดในมือ ใจของเขาเต้นเร่าโดยสิ้นเชิง เกลือบริโภคชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ท้องตลาด จะต้องเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนเลือนลั่นที่สุดแน่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ มันจะเปลี่ยนรูปโฉมตลาดเกลือบริโภคบนโลกนี้ทั้งหมด สลัดความขมเฝื่อน หนึ่งก้าวพัฒนา!“ความจริงถ้าข้าอยากจะผลักดันเกลือบริโภคละเอียดแบบใหม่นี้รอบด้านกลับไม่ยาก เพียงแต่จะทำให้หลาย ๆ คนสูญเสียผลประโยชน์ และจะทำให้ตลาดเกลือหลวงของต้าเฉียนเกิดความโกลาหลลุกลามใหญ่โต ดังนั้นข้าจึงต้องการโอกาสหนึ่ง ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ข้าต้องคว้าเอาไว้ให้ได้”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย“ถ้าตระกูลเริ่นใช้สิทธิ์ในการจัดสรรปันส่วนเกลือหลวงเล่นงานท่าน เช่นนั้นจะเป็น
“ไม่ว่าอะไรก็ต้องดำเนินอย่างมีขั้นมีตอนสิ กินคำเดียวก็เป็นเจ้าอ้วนไม่ได้นะ”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มอย่างมั่นใจ “แม้ทหารในค่ายทานหลางกับค่ายทัพหน้าข้าจะมีไม่มาก ก็แค่สองแสนต้น ๆ แต่พวกเขาคือทหารชั้นยอดทั้งหมด กำลังรบไม่ธรรมดา ต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้ท่านได้รู้ว่าอะไรคือหนึ่งศึกเลื่องชื่อ!”จางเต้าหลินพูดถึงขนาดนี้แล้ว ได้แต่อธิบายปัญหาข้อหนึ่ง นั่นก็คือเขาไม่เห็นงามกับกำลังรบของค่ายทานหลางและค่ายทัพหน้า ยิ่งอธิบายว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องทั้งสองค่ายนี้ของเขาเลย จางเต้าหลินเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ได้พูดถึงคนอื่น?ที่ฉินอวิ๋นฟานต้องการคือผลลัพธ์ ยิ่งทุกคนคิดว่าสองค่ายนี้ไม่เพียงพอให้กลัวก็ยิ่งเป็นผลดี เขาต้องการพัฒนาแบบซุ่มเงียบกลับไม่รู้ว่าค่ายทานหลางและค่ายทัพหน้า ภายใต้การดูแลของหานซิ่นเกิดการปฏิรูปแบบหน้ามือเป็นหลังมือนานแล้ว กอปรกับเทคโนโลยีทันสมัยของเขา กำลังรบสุดสะพรึง มิใช่ทหารโบร่ำโบราณเหล่านี้จะสามารถเปรียบเทียบได้“ได้ ท่านมีแผนการของตัวเองก็พอ!”จางเต้าหลินไม่พูดอะไรมากอีก ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ความสามารถและคุณธรรมของฉินอวิ๋นฟานที่แสดงออกในระยะนี้ยอดเยี่ยมที่สุดจริง ๆ ใช้อุบายช่วงชิง
ฉินอวิ๋นฟานสองมือไพล่หลัง ยืดอก ใบหน้าจริงจัง เขากลัวว่าจางเต้าหลินจะมองจุดประสงค์ของเขาออกแล้วไล่เขาไป อย่างไรเสีย ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเมื่อหลายเดือนก่อนของเขาปรากฏตัวแล้ว เขาจะไปได้อย่างไร?!วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพบหน้าสักครั้ง เขาก็อยากดูสิว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขารูปหน้าคร่าตาเป็นอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณต่อหน้าสักครั้ง ตอบแทนอีกฝ่ายให้มาก“อวี่ม่อ เตรียมถ้วยตะเกียบอีกชุด!”ฉินอวิ๋นฟานพูดถึงขนาดนี้แล้ว จางเต้าหลินย่อมไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ หากเขายังคงรักษาความระแวดระวังระดับสูง สัญชาตญาณของบิดาเฒ่าบอกว่าฉินอวิ๋นฟานไม่มีประสงค์ดีแผนร้ายสำเร็จ ฉินอวิ๋นฟานลิงโลดอยู่ในใจ หมุนตัวเดินไปยังห้องอาหาร อดรนทนไม่ไหวอยากเห็นบุตรสาวจางเต้าหลินจางอวี่ม่อว่าหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ครั้นถึงห้องโถงรับแขก สาวใช้สองคนกำลังยุ่งงวด เจ็ดกับหนึ่งแกงครบแล้ว รอแต่เจ้าบ้านนั่งลง ฉินอวิ๋นฟานไม่เกรงใจสักนิด หย่อนบั้นท้ายลงนั่งตำแหน่งหลักทันที จางเต้าหลินที่อยู่ด้านหลังหน้าดำเป็นหมิ่นหม้อก่อนจะนั่งอยู่ด้านข้าง“เอ๊ะ ท่านพ่อ เขาคือใครหรือ?”จางอวี่ม่อไม่รู้ว่าที่บ้านมีแขกมา วินาทีที่นางมา
ยามในใจจางอวี่ม่อว้าวุ่นนัก ถ้าฉินอวิ๋นฟานจำนางได้เช่นนั้นจะยุ่งแล้ว บิดาเฒ่ากำชับหลายครั้งหลายหนว่าห้ามเปิดเผยตัวตนและความสามารถเพื่อลบล้างข้อสงสัยของฉินอวิ๋นฟาน จางอวี่ม่อได้แต่ปฏิเสธออกไป แต่การแสดงเงอะ ๆ งะ ๆ นั้นได้เปิดโปงตัวเองไปหมดแล้ว ต่อหน้าจิ้งจอกหนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่อย่างฉินอวิ๋นฟานและจางเต้าหลิน พวกเขาต่างได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อย“เป็นเช่นนี้ แม่นางอวี่ม่อ ถึงตอนนั้นข้าจะบาดเจ็บหนัก แต่ข้าไวต่อเสียงคนมาก โดยเฉพาะเสียงของหญิงสาว และเสียงของท่านกับเสียงของแม่นางที่ช่วยชีวิตข้าเหมือนกันมาก ดังนั้นข้าจึงถามเจ้าไปเช่นนี้”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มเล็กน้อยเวลานี้ฉินอวิ๋นฟานดีใจลิงโลด การแสดงออกของจางอวี่ม่อเปิดโปงนางหมดแล้ว ตอนนี้เขามั่นใจเต็มร้อยว่าจางอวี่ม่อก็คือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขา และยังเป็นความสุดยอดในอีกประเภทหนึ่งด้วยจากมุมของความชอบ นี่คือความรู้สึกของใจเต้น จากมุมของความเซ็กซี่ เขาต้องตอบแทนผู้มีพระคุณช่วยชีวิตแน่ รูปแบบของการตอบแทนพระคุณของหญิงทั่วไปก็คือการมอบใจอุทิศกาย ดูท่าฉินอวิ๋นฟานต้องเลียนแบบผู้หญิงบ้างแล้ว“นานขนาดนี้แล้ว รัชทายาทต้องจำผิดแน่ ปกติข้าออกบ้าน
“ได้ ๆ ๆ... กินข้าว กินข้าว!”ฉินอวิ๋นฟานในยามนี้พึงพอใจแล้ว กินข้าวไปพลาง แอบชำเลืองมองจางอวี่ม่อไปพลาง ในใจลิงโลดที่สุด ส่วนจางเต้าหลินที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับทำหน้าบูดบึ้ง กินข้าวไปแค่ไม่กี่คำ เอาแต่จ้องดวงตาที่ซุกซนของฉินอวิ๋นฟาน......หลังจากฉินอวิ๋นฟานกลับไป จางเต้าหลินถามหน้าขมึงทึง “อวี่ม่อ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”“เอ่อ ท่านพ่อ ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ว่าคนที่ช่วยก็คือฉินอวิ๋นฟาน”จางอวี่ม่อพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “อีกอย่าง มืดตึ๊ดตื๋อออกอย่างนั้น และเขาก็บาดเจ็บหนักด้วย น่าจะปกปิดตัวตนได้จึงจะถูก ทำไมเขาถึงเอาแต่พูดว่าเป็นข้านะ? ใช้แค่เสียง? มันไม่พอมั้ง?”“เฮ้อ!”จางเต้าหลินถอนหายใจแรง ๆ ทีหนึ่ง บุตรสาวเติบใหญ่รั้งไว้ไม่อยู่แท้ ๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางกลับปกปิดเขาถึงสามเดือน? ตอนนี้ดีเลย ถูกเจ้าฉินอวิ๋นฟานรู้เข้าแล้ว นี่ไม่เปิดเผยหมดแล้วหรือ?!เขาส่ายหน้าพูด “ด้วยความเข้าใจและการสังเกตฉินอวิ๋นฟาน เขารู้แล้วว่าเจ้าก็คือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขา แถมด้วยนิสัยกับอารมณ์ของเขา ต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่”“เชอะ เขารู้แล้วจะทำไม? ข้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขาเชียวนะ
“ข้าก็ไม่อยากส่งเจ้าไปเหมือนกัน”จางเต้าหลินพูดด้วยความจนใจ “เจ้าไปหลบก่อนสักระยะหนึ่ง เอาไว้พ้นช่วงนี้ไปแล้วค่อยกลับมาเถอะ!”......หลังจากออกจากจวนไท่เว่ย ฉินอวิ๋นฟานตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้นกลางถนน เขากุมมือเซี่ยงเทียนเวิ่นและพูดด้วยความดีใจว่า “สหายเทียนเวิ่น บังเอิญจริง บังเอิญมาก ๆ คนที่ช่วยเราในตอนนั้นกลับเป็นลูกสาวของจางไท่เว่ยจางอวี่ม่อ!”“ยอดไปเลย ดีสุด ๆ ข้าหาตัวนางเจอสักที!”เซี่ยงเทียนเวิ่นตกใจกับการกระทำแบบไม่มีปีมีขลุ่ยนี้ของฉินอวิ๋นฟาน อย่างไรเสียฉินอวิ๋นฟานก็คือรัชทายาท ทั้งยังเป็นนายของเขา เขาจึงตอบไปแบบสั่น ๆ “ยิน ยินดีด้วยขอรับรัชทายาท”“ไม่ได้การ ข้าต้องรับผิดชอบนาง ข้าต้องมอบใจถวายกาย ข้าต้องสู่ขอนาง!”ฉินอวิ๋นฟานพูดแบบยากจะปกปิดความตื่นเต้น“หา? นี่ นี่ก็ได้หรือขอรับ?”ถ้อยคำของฉินอวิ๋นฟานทำเอาซีพียูของเซี่ยงเทียนเวิ่นไหม้ไปเลย ครึ่งค่อนวันยังไม่ตอบสนอง อีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขาไม่ใช่หรือ? แถมอีกฝ่ายยังเหมือนไม่คิดอยากได้การตอบแทนจากเขาด้วย แล้วทำไมเขาต้องรับผิดชอบอีกฝ่ายด้วย?โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า ‘มอบใจถวายกาย’ ทำไมรู้สึกทะแม่ง ๆ นะ? แน่ใจว่าไ
ฉินอวิ๋นฟานเลิกคิ้วพูด“คืออย่างนี้ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปรับช่วงเมืองอู่โจวแล้วใช่ไหม องค์ชายใหญ่คิดจะนำทัพกองหนึ่งอารักขาคุ้มครองเรา ข้าคิดว่าไม่จำเป็น ก็เลยไม่กล้ารับปาก”อู่จ้านเอ่ย“หา? เขาจะส่งกองทัพกองหนึ่งมาคุ้มครองความปลอดภัยเรา? อยากกินลมผาย? ไสหัวไปยิ่งไกลยิ่งดี!”พอฉินอวิ๋นฟานได้ยินว่าพี่ใหญ่หน้าด้านอย่างนี้แล้วก็ปรอทแตก อีกฝ่ายทำให้เสียเมืองเอง กว่าเขาจะเอากลับมาได้ก็ยังจะมาแบ่งผลประโยชน์ด้วยอีก? โลกนี้ยังมีเรื่องดีเช่นนี้ที่ไหน?“นั่นสิ เห็นชัดว่าองค์ชายใหญ่มีความคิดจะเอาเปล่า ๆ พวกเราต้องทุ่มเทอย่างหนัก ใช้เงินทองมหาศาลกว่าเมืองจัวจะเจริญเช่นทุกวันนี้ จะให้คนอื่นมาสอดมือง่าย ๆ ได้ยังไง?”อู่จ้านเอ่ยเสียงหนัก“ไม่ต้องสนใจเขา ไม่มีใครคว้าผลสำเร็จของข้าฉินอวิ๋นฟานไปได้หรอก ถ้าเขากล้ายื่นมือมา ข้าจะสับมือของเขาทิ้งซะ!”ฉินอวิ๋นฟานแค่นลมกับพฤติกรรมเช่นนี้ขององค์ชายใหญ่ เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายสมหวังหรอก ยิ่งไม่ให้หน้าเขา!“ได้!”อู่จ้านเอ่ย “จริงสิ เสี่ยวฟาน ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อกี้มีขันทีน้อยมารายงาน บอกว่าขุนนางทูตของต้าเยียนมาถึงตำหนักเหยียนเหนียนแล้ว ต้องการ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ