แชร์

บทที่ 12

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”

“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”

หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

แม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชา

ท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันที

เฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนาง

แม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแล้ว ราชสำนักก็เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ โดยปกติไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ แต่ถ้าหากองค์รัชทายาทจับจุดอ่อนได้ นี่จะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง

ไร้เขา ไร้อำนาจ

เขาอธิบายเสียงสั่นเครือ “กระหม่อมถูกใส่ความ บ้านหลังนี้เช่าโดยกระหม่อม ไม่ได้ซื้อมา กระหม่อมยินดีที่จะยกเลิกสัญญาเช่าทันที...”

“เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ที่บรรพชนกำหนด แค่ยกเลิกสัญญาเช่าก็สิ้นเรื่องแล้วหรือ?”

หลี่เฉินยิ้มเยาะ จ้องมองไปที่เฉินจิ้งชวน และพูดอย่างใจเย็น “ข้าไม่อยากฟังเจ้าอธิบาย ข้าไม่อยากรู้ว่าใครเป็นคนให้เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือเพื่อประจบประแจงข้า แต่ข้าอยากจะยืมหัวของตระกูลเฉิน แสดงให้คนเหล่านั้นเห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำให้ข้าขุ่นเคือง”

เฉินจิ้งชวนใจสลายเมื่อได้ยินสิ่งนี้

เมื่อมองดูองครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาที่ดุร้ายรอบตัว เขาก็รู้ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แค่พูดเท่านั้น

เวลานี้ เขารู้สึกเสียใจแล้วจริงๆ เขารีบอ้อนวอนทันที “ได้โปรดองค์รัชทายาท ได้โปรดเมตตาด้วยเถอะ!”

ด้านหลังเฉินจิ้งชวน มีผู้หญิงตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมา ทันใดนั้นก็เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้น ชี้ไปที่หลี่เฉินแล้วตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “แม้ว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง แต่ตระกูลเฉินของพวกเราก็เป็นพ่อค้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน หากไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านก็จะฆ่าหรือไร เช่นนั้น คนในใต้หล้าจะสบายใตได้เยี่ยงไร? ท่านอย่าลืมสิ ผู้คนในเมืองหลวงต่างเฝ้าดูท่านจากด้านหลัง!”

เฉินจิ้งชวนเห็นลูกชายของเขากระโดดออกมาและพูดคำเหล่านี้ เขาก็โกรธมาก เขาตบทันที และตะโกนด่าด้วยความโมโห “หุบปาก ไอ้ลูกเนรคุณ! เจ้าอยากให้ตระกูลเฉินเราตายทั้งหมดใช่ไหม!?”

พูดจบ เฉินจิ้งชวนก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่เฉิน แล้วร่ำไห้ออกมา “องค์รัชทายาท กระหม่อมสั่งสอนลูกไม่ดี ได้โปรดเมตาพวกเราด้วย”

หลี่เฉินมองไปที่เด็กหนุ่มที่แสดงอาการไม่พอใจที่โดนตบหน้า กล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เลว ใจกล้าไม่เบา”

“ตระกูลเฉินพวกเจ้า ในฐานะพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ทุกวันนี้ ภัยพิบัติมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ต้องแลกลูกกันกิน แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวงก็ทำงานหนักเพื่ออาหารสามมื้อต่อวัน แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าเป็นพ่อธัญพืชที่ยอมให้ข้าวขึ้นรามากกว่าขายในราคาปกติ ตอนนี้ราคาข้าวในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า มันเป็นความผิดของใคร? มันเป็นความผิดของพ่อค้าธัญพืชอย่างพวกเจ้า!”

“ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วพ่อค้าเห็นคุณค่าของผลกำไร และเหยียบย่ำความชอบธรรมของวิญญูชน พวกเจ้ากำลังสร้างความมั่งคั่งจากวิกฤติของประเทศ ตอนที่กำลังดูดเลือดสูบเนื้อประชาชน ทำไมท่านถึงไม่รู้ว่าผู้คนกำลังเฝ้าดูอยู่? ผลกรรมมาถึงแล้ว แต่คิดจะใช้ประชนชนเป็นโล่กันธนูงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าประชาชนโง่หรือเปล่า?”

หลี่เฉินพูดเสียงดัง และผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ตื่นเต้น

พ่อค้าธัญพืชมีเงินและธัญพืช แต่พวกเขาต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อแลกธัญพืชจำนวนน้อยนิด ดังนั้นความไม่พอใจของสาธารณชนจึงเดือดพล่านแล้ว แต่แค่ไม่มีใครระบายออกมา

บัดนี้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้นำด้วยตัวเอง และคำพูดเหล่านี้ก็โดนใจพวกเขามาก

“องค์รัชทายาททรงมีเมตตา องค์รัชทายาททรงมีเมตตา!”

ในหมู่ฝูงชน มีคนเฒ่าคนแก่หลายคนพากันคุกเข่าลงและตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

ทันใดนั้นประชาชนก็คุกเข่าลง แล้วตะโกนว่าองค์รัชทายาททรงมีเมตตา

เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินครองใจผู้คนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เฉินจิ้งชวนแทบน้ำดีแตก เขารู้สึกว่าภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้น

เขาจะจัดการกับคนที่รู้วิธีการเล่นกับจิตใจผู้คนแบบนี้ได้อย่างไร?

“ทหาร พ่อค้าตระกูลเฉิน หัวหน้าตระกูลเฉินจิ้งชวน เพิกเฉยต่อระเบียบมารยาทของจักรวรรดิ ทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจกับเลือดและหยาดเหงื่อของผู้คนเมื่อประเทศกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤต ไม่เข้าใจความยากลำบากของราชสำนัก และทำเงินได้มากมายจากภัยพิบัติของประเทศ ทั้งยังกล่าวโจมตียังองค์รัชทายาท ถือเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง”

“ตามคำสั่งขององค์รัชทายาท ตระกูลเฉินสามชั่วโคตรจะถูกตัดหัวต่อสาธารณะ และทรัพย์สินทั้งหมด จะถูกนำเข้าไปในท้องพระคลังเพื่อใช้บรรเทาภัยพิบัติ”

เมื่อหลี่เฉินออกสั่งคำ หัวคนก็เตรียมหลุดออกจากบ่า

เฉินเจิ้งชวนรู้สึกหน้ามืด เขาตกใจมากจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อขอความเมตตา แต่กลับถูกองครักษ์เสื้อแพรสองคนหยุดเอาไว้ และเอาดาบจ่อที่คอของพวกเขา

“องค์รัชทายาททรงโปรดเมตตา กระหม่อมทำไม่ถูกเพราะสิ้นหวัง กระหม่อมยินดีบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อร้องขอชีวิต องค์รัชทายาทได้โปรดเมตตา เมตตาเหนือกฎหมาย!”

หลี่เฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นก็หันหัวม้า แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังถัดไป

ครั้งนี้ประชาชนเปิดทางให้อย่างยินดี

เสียงกรีดร้องของเฉินจิ้งชวนค่อยๆ จางหายไป และพวกเขากำลังเข้าใกล้บ้านหลังที่สอง ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลหู เมื่อหลี่เฉินเห็นสวีฉังชิงดูซีดเซียว จึงพูดเบาๆ ว่า “กลัวหรือ? คิดว่าข้าโหดร้ายหรือไม่?”

สวีฉังชิงไม่กล้าพูดออกมา เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น “กระหม่อม กระหม่อมแค่คิดว่า พ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ทั้งสามนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ที่พวกเขากล้ารวมตัวกันปฏิเสธคำเชิญขององค์รัชทายาท คงเป็นเพราะมีบางคนขวางไว้ องค์รัชทายาทการฆ่าเช่นนี้ย่อมเป็นสุข แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะตกอยู่ในมือของศัตรู”

“ไม่เลว รู้จักพิจารณาปัญหาจากจุดยืนของข้าด้วย” หลี่เฉินกล่าวอย่างพึงพอใจ

สวีฉังชิงยิ้มอย่างขมขื่น

องค์ชายรัชทายาทออกมาพร้อมโบกสะบัดธงอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนเห็นวิธีการของตนเท่านั้น แต่ยังพาเขามาอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเขานั้นเป็นคนขององค์รัชทายาทช และร่องรอยนี้ไม่อาจลบล้างออกไปได้แม้ว่าเขาต้องการก็ตาม ซึ่งนั่นหมายความสวีฉังชิงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องติดตามองค์รัชทายาทไปจนถึงจุดจบ

“จะเล่นไปบนมือของพวกเขาก็ดี หรือจะทำเหนือความคาดหมายของพวกเขาก็ช่าง มันไม่ใช่สิ่งที่ข้ากำลังพิจารณาอยู่ตอนนี้ สิ่งที่ข้าต้องการทำก็คือใช้มีดที่ดาบที่สุด เพื่อขจัดความยุ่งเหยิงในเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”

“ข้าไม่มีเวลาหรือฝึกความความชำนาญไปอย่างช้าๆ เพื่อจะต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาเฒ่าที่วางแผนหลอกกันและกันในราชสำนัก ข้าจะฆ่าใครก็ตามที่ขวางทางข้า จะเอาชนะทุกวิถีทาง ข้าเป็นผู้สืบทอดใต้หล้านี้ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากเราไม่ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบพิเศษนี้ หรือจะให้ข้ารอตาเฒ่าจ้าวเสวียนจีนั่นมาฆ่า?”

“เมื่อพิจารณาจากจิตวิญญาณของเขาแล้ว เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยสิบปี ตอนนั้นข้าก็จะอายุสามสิบหรือสี่สิบปี แม้ว่าข้าจะทนได้ แต่จักรวรรดิไม่สามารถทนได้ และข้าก็ไม่มีความอดทน ข้าไม่สนใจที่จะเล่นแผนพวกนั้นด้วยซ้ำ ข้าแค่ฆ่าพวกมันให้หมด”

หลังจากที่หลี่เฉินพูดจบ เขาก็กระตุ้นท้องม้าเบาๆ ม้าตัวนี้ฉลาดมาก มันเร่งความเร็วขึ้นทันที โดยทิ้งสวีฉังชิงไว้ข้างหลัง

สวีฉังชิงมองแผ่นหลังขององค์รัชทายาท และรู้สึกว่าองค์รัชทายาทคิดเรื่องนี้ง่ายเกินไป ถ้าหากคำว่าฆ่าสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ฝ่าบาทก็คงจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้

ไม่ว่าสวีฉังชิงจะคิดอะไร แต่หลี่เฉินก็มาถึงหน้าประตูจวนหูแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตระกูลเฉินได้แพร่มาถึงที่นี่แล้ว

ด้านนอกประตูตระกูลหู มีหูเชียนและคนตระกูลหูกำลังรออยู่

ไม่เพียงแต่มีหูเชียนเท่านั้น แต่ยังมีชายวัยกลางคนที่ท่าทางไม่ธรรมดาอยู่หนึ่งคน ยืนอยู่ข้างหูเชียน

เมื่อเห็นหลี่เฉินมาแต่ไกล และบนร่างกายคลุ้งไปด้วยจิตสังหารและกลิ่นเลือดที่แน่นหนา หูเชียนจึงถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความกลัวว่า “ใต้เท้าเฉียน จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ? ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจบเห่แล้ว”

เฉียนฮั่นเหลือบมองหูเชียนที่หน้าซีดเผือดแล้วพูดเสียงเย็นชา “มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้ายังจะกลัวอะไร? ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะมอบทรัพย์สินของครอบครัวเจ้ามากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อแลกการคุ้มครองจากข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือขององค์รัชทายาท แม้ว่าจะไม่เห็นแก่หน้าข้า ก็ต้องเห็นแก่หน้าราชเลขาธิการบ้าง เขาจะกล้าได้อย่างไร?”

หูเชียนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขารู้สึกว่าหากเขาสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้ แม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินของครอบครัวไปครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็จะยังมีอีกครึ่งหนึ่ง เขาจะวางแผนเมื่อถึงเวลา

ขณะที่เขาพูด หลี่เฉินก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว

“จงมีความสุภาพให้เพียงพอ และปล่อยให้องค์รัชทายาทจับจุดอ่อนอะไรได้”

หลังจากเฉียนฮั่นพูดจบ เขาก็โค้งคำนับหลี่เฉินก่อน และกล่าวว่า “กระหม่อมเฉียนฮั่นขุนนางธุรการทั่วไปจากสำนักสารบรรณกลาง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

“กระหม่อมหูเชียน นำครอบครัวเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

“องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

หลี่เฉินสบตากับเฉียนฮั่น พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เฉียนฮั่นรีบตอบว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมกับหูเชียนเป็นมิตรสหายกัน และบังเอิญเป็นแขกที่บ้านของหูเชียน”

หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ไม่ใช่หูเชียนบอกว่าตัวเองต้องไปตรวจบัญชีที่สาขาอื่นไม่ใช่หรือ เป็นไปได้ไหมว่านายท่านหูของเจ้าสามารถหายตัวมาได้ หรือจะบอกว่า เพราะใต้เท้าเฉียนอยู่ที่นี่ ดังนั้นหูเชียนจึงหาข้ออ้างไม่ไปงานเลี้ยงของข้า?”

เฉียนฮั่นขมวดคิ้ว แต่สีหน้าของเขายังคงสงบ เขาตอบว่า “บางทีอาจมีความเข้าใจผิดบางประการ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงต้องสนใจพ่อค้าคนหนึ่งด้วย สถานะของพระองค์สูงส่ง ถ้าหากองค์รัชทายาทรู้สึกว่าเสียหน้า ข้าจะให้หูเชียนขออภัยฝ่าบาท”

หูเชียนเห็นสิ่งนี้ เขาก็คุกเข่าลงทันทีและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”

เมื่อเห็นหนึ่งคนร้องหนึ่งคนรับ แม้แต่คำพูดลวกๆ ก็ยังหน้าซื่อใจคดมาก หลี่เฉินก็รู้สึกขำขึ้นมา

“ไม่เลว เทียบเฉินจิ้งชวนแล้วดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดเมื่อฆ่า”

สีหน้าของเฉียนฮั่นพลันเปลี่ยนไป “องค์รัชทายาทหมายความว่าอย่างไร?”

“ในฐานะขุนนางธุรการทั่วไปจากสำนักสารบรรณกลาง เจ้าเป็นขุนนางขั้นที่สาม แล้วเหตุใดจึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อค้าคนหนึ่ง?”

หลี่เฉินแสะยิ้มอย่างเย็นชา เขาไม่ฟังเฉียนฮั่นอธิบาย แต่ขยิบตาให้ซานเป่า

ขันทีซานเป่าหัวเราะหึๆ พูดกับองครักษ์เสื้อแพรทั้งซ้ายขวาว่า “ไป ไปตรวจค้นร่างกายของใต้เท้าเฉียนหน่อยสิว่ามีอะไรหรือไม่”

เฉียนฮั่นเห็นองครักษ์เสื้อแพรสองนายวิ่งเข้ามา ก็ตะโกนด้วยความตกใจปนโมโหว่า “ข้าเป็นนักเรียนของใต้เท้าราชเลขาธิการจ้าว เป็นคนสนิทมาก พวกเจ้ากล้าไม่เคารพข้าหรือ!?”

ขันทีซานเป่ากล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ข้าต้องการจะดูหมิ่นเจ้ามานานแล้ว ใต้เท้าราชเลขาธิการจ้าวแล้วอย่างไร? ข้างหลังข้า คือองค์รัชทายาท!”

“องค์รัชทายาทแล้วอย่างไร!? องค์รัชทายาทสามารถใช้มือเดียวปิดฟ้าได้หรือ? ถ้าหากใต้เท้าราชเลขาธิการโกรธขึ้นมา แม้แต่องค์รัชทายาทก็ยังต้องก้มหัว!”

เฉียนฮั่นที่หวาดกลัวและโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด พูดคำเหล่านี้ต่อหน้าหลี่เฉินและคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

เมื่อพูดจบ เฉียนฮั่นก็ตระหนักได้ว่าเขาได้ก่อให้หายนะครั้งใหญ่แล้ว

ใบหน้าของเขาซีดเผือด แต่เขาก็กัดฟันและจ้องมองไปที่หลี่เฉินอย่างใกล้ชิด

ไม่ว่าเขาจะพูดผิดแค่ไหน แต่สุดท้ายก็มีโอกาสที่จะแก้ไข ตราบใดที่ท่านราชเลขาธิการช่วยเขา เขาก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

แต่ถ้าหากพบข้าวของของเขา เขาก็อาจจะถูกฆ่าตายในทันที

หลี่เฉินดวงตาเย็นเฉียบ เขากล่าวอย่างราบเรียบว่า “ใจกล้าดีนี่”

เจตนาฆ่ากำลังก่อตัวขึ้นแล้ว และกำลังจะถึงจุดสุดยอด

ขันทีซานเป่าตะโกนเสียงเย็นชา “ค้นตัวเขา!”

ไม่ว่าเฉียนฮั่นพยายามจะขัดขืนแค่ไหน แต่เขาที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัวจะเอาอะไรไปสู้กับองครักษ์เสื้อแพรสองนายได้?

เฉียนฮั่นถูกองครักษ์เสื้อแพรกดลงกับพื้น เสื้อผ้าของเขาก็ถูกฉีกออก ยิ่งเขาดิ้นรนมากขึ้นเท่าไร เสื้อผ้าของเขาก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น

ขุนนางขั้นที่สามผู้สง่างามในราชวงศ์ ได้สูญเสียความสง่างามทั้งหมดของเขาไปอย่างสิ้นเชิงในเวลานี้

เฉียนฮั่นทั้งโกรธทั้งอับอาย เขาตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าดูหมิ่นข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ! องค์รัชทายาท ท่านทำตัวเผด็จการเยี่ยงนี้ ไม่กลัวขุนนางบุ๋นบู๋และความคิดเห็นของสาธารณชนเลยหรือ?”

เขาเพิ่งจะพูดจบ องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก็ดึงตั๋วเงินและโฉนดที่ดินจำนวนมากออกจากอ้อมแขนของเขา

ขันทีซานเป่าตาลุกวาวเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขารีบเดินเข้าไปดู ทันใดนั้นก็สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก

เขาส่งตั๋วเงินและโฉนดที่ดินทั้งหมดไปให้หลี่เฉินด้วยความเคารพและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท จากการค้นตัวของเฉียนฮั่นพวกเราค้นพบตั๋วเงินที่มีมูลค่าสูงสุดถึงหนึ่งแสนตำลึง และมีทั้งหมดสี่สิบกว่าใบ ยังมีโฉนดที่ดินและสัญญาทางธุรกิจหลายสิบฉบับ”

หลี่เฉินส่ายตั๋วเงินในมือแล้วเยาะเย้ย “แค่ตั๋วเงินก็มีมูลค่ากว่าสี่ล้านตำลึง ใต้เท้าเฉียน แค่ตัวเจ้าคนเดียว ก็อาจมีเงินมากกว่าครึ่งของท้องพระคลัง”

เฉียนฮั่นหน้าซีดจนเทา เงินพวกนั้น เขาเพิ่งได้รับเงินจากตระกูลหู แต่เพราะใจร้อน ลงมือเร็วเกินไป จึงซ่อนของกลางไม่ทันแล้วถูกจับได้

เขารู้แล้วว่า ตัวเองจบสิ้นแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉียนฮั่นก็ยิ่งดุร้ายและโกรธมากยิ่งขึ้น เขาตะโกนใส่หลี่เฉินราวกับขวดที่แตกไปแล้ว “แล้วอย่างไร? ข้าเป็นคนสนิทของราชเลขาธิการ ท่านกล้าฆ่าข้าเหรอ!? ท่านราชเลขาธิการไม่ปล่อยท่านไปแน่!”

หลี่เฉินระเบิดจิตสังหารออกมา เจตนาฆ่าในตัวหลี่เฉินมาถึงขีดจำกัดแล้ว

“ฆ่า”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 19

    หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 20

    ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกไป ขุนนางทุกคนในวังก็โกรธจัด โดยเฉพาะซุนปั๋วหลี่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตะโกนด้วยความโมโหว่า “ชายที่โดนตอนแล้วอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกปราญช์ และพูดถ้อยคำสกปรกในโถงใหญ่!?”เมื่อซานเป่าได้ยินคำว่าชายที่โดนตอนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขันทีในโลกอยากจะได้ยิน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าซุน นี่เป็นคำพูดขององค์รัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าจะเผยแพร่คำพูดขององค์รัชทายาทส่งๆ ได้ ท่านสามารถถามองค์รัชทายาทด้วยตัวเองได้”“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นชายที่โดนตอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าคำว่าจงรักภักดีมันเขียนเช่นไร ไม่ว่าปากของข้าน้อยจะสกปรกแค่ไหน ก็ไม่เท่าใต้เท้าซุนที่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรง เป็นสุนัขให้ผู้อื่นในขณะที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักนั้นสกปรกมาก”ซุนปั๋วหลี่ตาโต โมโหจนพูดไม่ออก“เจ้า...”“เอาล่ะ!”หวังเถิงฮ่วน มหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่เหลือบมองซานเป่าอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซุนปั๋วหลี่ว่า “ใต้เท้าซุน ท่านกับข้าแค่รออย่างอดทนอีกสักพัก ไม่มีเหตุผลที่จะไปเถียงกับสุนัขที่ตอนแล้วเพื่อทำลายอารมณ์ของตัวเอง” ใ

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1028

    เสียงประตูศาลบูรพกษัตริย์เปิดออกช้าๆหลี่เฉินก้าวออกไปด้านนอกที่หน้าประตู ซูจิ่นพ่ากำลังยืนอยู่ในชุดแต่งงานซูจิ่นพ่าในวันนี้ สวมอาภรณ์มงคลสีแดงเข้ม งามสง่าและสมบูรณ์แบบปิ่นประดับมุกหงส์ห้อยระย้า ประดับเครื่องสำอางบางเบา ใบหน้าเรียวรูปเมล็ดแตงดูประณีตดุจรังสรรค์จากสวรรค์ คิ้วเรียวบางราวภูผาไกล ดวงตากระจ่างใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ปลายจมูกงามระหง ริมฝีปากอิ่มสีกลีบท้องามเหนือคำบรรยาย งามดุจเทพธิดานี่แหละความงามที่ทำให้แผ่นดินล่มสลาย"แต่โบราณมา คำสดุดีที่สูงสุดสำหรับสตรีคงเป็น แต่จิ่นพ่าในวันนี้กลับงดงามยิ่งกว่าเทพลั่วเสียอีก ย้อนคิดถึงสี่มหางามในประวัติศาสตร์ แม้แต่ซีซือ หรือหวังเจาจวิน ก็คงไม่อาจงามไปกว่านี้แล้ว"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้ซูจิ่นพ่ารู้สึกประหม่าเล็กน้อยนางก้มหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา "หม่อมฉันคารวะองค์รัชทายาท"แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอภิเษก และตามกฎหมายแล้ว ซูจิ่นพ่าคือพระชายาองค์รัชทายาทโดยสมบูรณ์ แต่ในวังหลวง ระเบียบแห่งราชสำนักมาก่อนความสัมพันธ์ในครอบครัว และคู่สมรสหลี่เฉินยกมือขึ้น ตรัสด้วยเสียงอ่อนโยน "ลุกขึ้นเถิด ไปกับข้า"ซูจ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1027

    ความอ่อนนุ่มของร่างกายหญิงสาวถูกกอบกุมไว้ จ้าวชิงหลานรู้สึกว่าทั่วร่างของตนเองเหมือนถูกทำให้ชาไปครึ่งซีกแต่สิ่งที่ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้ยิ่งกว่านั้น คือคำพูดของหลี่เฉิน"ดังนั้นเจ้าจึงปล่อยให้พวกกบฏทำตามอำเภอใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะการตัดสินใจของเจ้า มีราษฎรบริสุทธิ์มากมายต้องสังเวยชีวิต? เจ้าช่างโหดร้ายและไร้หัวใจยิ่งนัก!"หลี่เฉินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ "ข้าโหดร้ายไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าคิดว่าเป็นข้าหรือบิดาเจ้าจ้าวเสวียนจีที่แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่ละเลยชีวิตผู้คน?""หากไม่ใช่เพราะเขา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้น และตอนนี้เจ้ากลับมาว่าข้าโหดร้ายไร้หัวใจ?""ใช่ มันเป็นความจริงที่มีผู้คนจำนวนมากต้องสังเวยชีวิตเพราะการตัดสินใจของข้า แต่แล้วอย่างไรเล่า? การเสียสละบางส่วนเพื่อรักษาภาพรวมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าคือองค์รัชทายาท เป็นว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต ข้าต้องรักษาแผ่นดินนี้ ต้องรักษาการปกครองของราชวงศ์หลี่ ข้าจำต้องมองภาพรวม ต้องชั่งน้ำหนักความสูญเสีย ไม่ใช่จดจ่อเพียงแค่ชีวิตของคนเพียงหนึ่งหรือสองคน""หากข้าปล่อยให้ทุกอย่างพังทลาย ทั้งแผ่นดินก็จะสูญสิ้น ดังนั้น สิ่งที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1026

    ภายในศาลบูรพกษัตริย์จ้าวชิงหลานผลักหลี่เฉินออกไปด้วยแรงทั้งหมดของนาง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายและโกรธเกรี้ยว นางเงื้อมือขึ้นหมายจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหลี่เฉินแต่เมื่อเห็นสายตาสงบนิ่งของหลี่เฉิน นางกลับชะงักไปเล็กน้อย มือที่เงื้อขึ้นสุดท้ายก็ค่อยๆ ลดลงมา นางไม่มีความกล้าพอที่จะฟาดลงไปจริงๆ"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!"จ้าวชิงหลานตวาดเสียงดังหลี่เฉินไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงคว้าข้อมือของจ้าวชิงหลานไว้ ก่อนจะดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้งฝ่ามือของเขากดอยู่ที่ท้ายทอยของนาง กดศีรษะของนางให้แนบไปกับแผงอกของเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา "เจ้าจะยอมตามใจข้าสักครั้งไม่ได้เลยหรือ?"จ้าวชิงหลานดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ผลกลับเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นางไม่อาจขยับตัวได้เลย"แค่ไม่ยอมตามใจเจ้า เจ้ากล้าทำกับข้าได้ถึงเพียงนี้ ถ้าข้ายอมตามใจ เจ้าคงคิดทำอะไรมากกว่านี้อีกแน่!"จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอับอาย นางรู้สึกว่าความบริสุทธิ์ของตนเองกำลังถูกหลี่เฉินล่วงเกินจนแทบไม่เหลืออะไรแต่ไม่ว่าดิ้นรนเพียงใด นางก็สลัดหลี่เฉินออกไปไม่ได้ความรู้สึกหมดหนทางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง"เจ้าไม่ต้องกลัว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1025

    ซูผิงเป่ยเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น ตวาดออกมา "ราษฎรล้วนบริสุทธิ์ พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้?""แต่ละคนล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นบิดา เป็นบุตร เป็นมารดา เป็นธิดา เป็นเสาหลักของบ้าน!""แต่เจ้ากลับพรากชีวิตพวกเขาไปโดยไร้ความหมาย แถมยังต้องตายอย่างโหดร้าย! ในวันนั้น ภูเขาจิ่งซานเต็มไปด้วยซากศพ! คนจำนวนมากถูกฝูงแมลงพิษของเจ้ากัดกินจนเหลือเพียงกระดูกขาว! หลี่อิ๋นหู่ เจ้าไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์บ้างหรือ!?"เสียงคำรามของซูผิงเป่ยดังราวกับฟ้าคำราม ทำให้สีหน้าของหลี่อิ๋นหู่ยิ่งบึ้งตึงเขารู้ดีว่าเหตุการณ์ที่ภูเขาจิ่งซานจะเป็นมลทินที่ตามติดตัวเขาไปตลอดชีวิตแต่เขาไม่แยแสเขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนขึ้นโดยผู้ชนะ ตราบใดที่เขาชนะในท้ายที่สุด ไม่ว่ามลทินใดๆ ก็จะกลายเป็นเกียรติของเขา"ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงดื้อดึงจะต่อต้านจนถึงที่สุดสินะ"ทันทีที่หลี่อิ๋นหู่กล่าวจบ กองพลธนูห้าร้อยนายที่อยู่เบื้องหลังก็พร้อมกันขึ้นสายยิงขณะที่บนกำแพงเมือง ทหารรักษาการณ์ก็ยกคันศรขึ้นเช่นกันกองทัพของทั้งสองฝ่าย ประจันหน้ากัน คนหนึ่งอยู่ด้านล่างกำแพง อีกคนอยู่ด้านบน ต่างฝ่ายต่างเล็งลูกธนูเข้าใส่กัน สถาน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1024

    "พอได้แล้ว"ซูจิ่นพ่าตัดบทความขัดแย้งของทั้งสอง สีหน้าของนางยังคงเรียบเย็น แต่ในใจกลับถอนหายใจเบาๆคนหนึ่งคือรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ผู้ที่ขุนนางราชสำนักต่างเกรงกลัวยามพบหน้าอีกคนคือตัวแทนจากตำหนักบูรพา คนสนิทของพระที่นั่งสีเจิ้ง ขุนนางทั้งหลายต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างน้อยก็ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองแต่สองคนนี้กลับมาขัดแย้งกันเพื่อแย่งชิงความดีความชอบต่อหน้านางทั้งหมดนี้เป็นเพราะชุดเจ้าสาวที่นางสวมอยู่และเป็นเพราะอำนาจนางเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายคนถึงลุ่มหลงในอำนาจนัก"กองทัพทหารหนักที่ส่งมาครั้งนี้มีกี่นาย?" ซูจิ่นพ่าถามเหอคุนตอบทันที "ทั้งหมดหกร้อยนาย มาพร้อมกันครบถ้วน"ซูจิ่นพ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทหารหนักเป็นอาวุธสำคัญในการตั้งรับ แต่หากถูกส่งมาที่นี่ทั้งหมด แล้วใครจะดูแลความปลอดภัยขององค์รัชทายาท?"เหอคุนหัวเราะเล็กน้อย "องค์ชายคาดการณ์ไว้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทต้องถามเช่นนี้ จึงให้กระหม่อมเรียนพระชายาองค์รัชทายาทว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาท องค์ชายมีการเตรียมการไว้แล้ว"ซูจิ่นพ่าไม่ใช่คนที่ชอบเสียเวลาถกเถียง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1023

    ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ร่างของหลูฝูเฉินที่ถูกซัดกระเด็นลอยมาตกลงตรงบริเวณด้านหน้าเกี้ยวของซูจิ่นพ่าพอดีกับที่ก่อนหน้านี้ขุนนางกรมพิธีการยืนอยู่เมื่อร่างของหลูฝูเฉินกระแทกพื้น เสียงดังปังตามมาด้วยเลือดสดที่พุ่งกระจายออกมาเต็มใบหน้าของขุนนางกรมพิธีการ ทำให้เจ้าตัวตกใจจนคลานหนีไปทั่ว ทั้งยังร้องโหยหวนอย่างหวาดกลัวราวกับว่าเขาคือคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียเองเพียงแต่ ไม่มีใครสนใจว่าขุนนางกรมพิธีการจะหวาดกลัวหรือทุกข์ทรมานเพียงใดซูจิ่นพ่ามองร่างของหลูฝูเฉินที่นอนหงายอยู่กับพื้นด้วยสายตาเย็นชา และหลูฝูเฉินเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ เขาหันศีรษะมามองซูจิ่นพ่าด้วยความยากลำบาก"ทำตัวเอง ย่อมไม่รอด"เพียงหกคำจากปากของซูจิ่นพ่า ทำให้แสงในดวงตาของหลูฝูเฉินค่อยๆ หรี่ลง"ทหาร ให้เขาตายอย่างรวดเร็ว"ซูจิ่นพ่าออกคำสั่ง เฉินทงที่อาบไปด้วยเลือดพุ่งตัวเข้ามา แม้ว่าเขาจะมีบาดแผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาจนส่งผลต่อพลังต่อสู้"รับบัญชา"เฉินทงโค้งคำนับด้วยท่าทีนอบน้อม แต่ทันทีที่หันหลังกลับ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม มือยกขึ้นฟันดาบลงอย่างไร้ความลังเล เพียงชั่วพริบตา หลูฝูเฉินที่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1022

    ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินก็คือชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ และอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าเร่ร่อนก็คือกองทัพม้าเพื่อรับมือกับกองทัพม้าของชนเผ่าเร่ร่อน จักรวรรดิต้าฉินไม่เพียงแต่เร่งพัฒนากองทัพม้าของตนเอง แต่ยังคิดค้นวิธีการรับมือโดยเฉพาะตัวอย่างเช่น ทหารหนัก ซึ่งเป็นกองกำลังพิเศษที่พัฒนาขึ้นจากทหารราบทั่วไป มีไว้เพื่อรับมือกับกองทัพม้าโดยเฉพาะทหารหนักมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อร่างกายของทหารเป็นอย่างมาก ในจักรวรรดิต้าฉินซึ่งมีความสูงเฉลี่ยไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผู้ที่ต้องการเข้าประจำการในกองทัพทหารหนักต้องมีความสูงไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร และมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบชั่งหากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีทางสวมเกราะเหล็กเต็มตัวที่หนักถึงหกสิบจิน หรือถือโล่เหล็กดำที่หนักถึงแปดสิบชั่งได้เมื่อรวมกับดาบรบและอาวุธอื่นๆ ภาระน้ำหนักของทหารหนักแต่ละนายจะอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบชั่งเป็นอย่างน้อยกองกำลังประเภทนี้ย่อมเป็นหน่วยที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล ราชสำนักต้องใช้เงินเฉลี่ยปีละสามสิบตำลึงเงินต่อทหารหนักหนึ่งนาย ซึ่งเงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับเลี้ยงทหารราบทั่ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1021

    "บิดาของข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ราชสำนักก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เป็นวันอภิเษกของข้า แต่เจ้ากลับเลือกเป็นกบฏ แล้วยังคิดว่าตัวเองถูกต้องอีก"ซูจิ่นพ่ามองหลูฝูเฉินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตวาดเสียงดัง "ในเมื่อเจ้าเลือกเป็นกบฏ เช่นนั้นข้ากับเจ้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป!""ข้ารู้ว่าเจ้าและนายของเจ้าคิดอะไร แต่วันนี้ข้าจะบอกให้ชัด ขบวนอภิเษกนี้ต้องเข้าสู่ศาลบูรพกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้! เจ้าจะเปิดทางหรือไม่!?"สตรีเพียงหนึ่งเดียว ยืนอยู่บนเกี้ยวแห่งขบวนอภิเษก ท่ามกลางม้าศึกสิบหกตัวและคนหามเกี้ยวแปดคน ขุนนางจากกรมพิธีการและสำนักคุมประพฤติเดินนำหน้า ด้านหลังมีข้ารับใช้และสาวใช้ติดตามพร้อมทรัพย์สินสมรสอันล้ำค่าทางเบื้องหน้าปูด้วยกลีบดอกไม้สองข้างทางเต็มไปด้วยการสังหารขององครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังกบฏแต่ซูจิ่นพ่ากลับไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนางยืนอยู่บนเกี้ยว ถึงแม้ร่างจะเป็นสตรีบอบบาง แต่จิตวิญญาณของนางทะยานขึ้นสู่เวหาไม่เพียงแค่หลูฝูเฉินที่เริ่มลังเลกับภารกิจนี้ แม้แต่กองกำลังกบฏที่กำลังต่อสู้อยู่ก็รู้สึกหวั่นเกรงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากรัศมีอันน่าเกรง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1020

    การสังหารที่โหดเหี้ยมปะทุขึ้นอย่างไร้สัญญาณเตือนเพียงแค่เริ่มต้นก็เป็นจุดสูงสุดของการต่อสู้แล้วองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพาและกองกำลังกบฏล้วนเป็นทหารชั้นยอด เพียงเผชิญหน้ากันไม่กี่อึดใจก็ปะทะกันทันทีเสียงอาวุธกระทบกัน เสียงตะโกนก้องด้วยโทสะ ผสมกับเสียงร่างที่ล้มลงกระแทกพื้นดินอันหนักแน่น ราวกับเสียงร่ำไห้จากนรกที่รายล้อมขบวนอภิเษกอันเป็นสัญลักษณ์ของความมงคลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ของการต่อสู้ ก็ได้คร่าชีวิตไปกว่าสิบชีวิตสิ่งที่แดงฉานยิ่งกว่าชุดแต่งงาน และสว่างสดใสกว่ากลีบดอกไม้บนพื้น คือโลหิตของมนุษย์ท่ามกลางเสียงสังหาร ขุนนางกรมพิธีการที่ก่อนหน้านี้ตกใจจนล้มลงกับพื้น ละทิ้งความอับอาย รีบวิ่งไปยังเกี้ยวของซูจิ่นพ่าและตะโกนลั่น "คุ้มกันพระชายา! เร็วเข้า! รีบมาคุ้มกัน!"เขาประคองหมวกขุนนางของตน ก่อนจะเอ่ยถามคนภายในเกี้ยว "พระชายาทรงปลอดภัยหรือไม่?"ภายในเกี้ยว เสียงของซูจิ่นพ่าดังออกมาอย่างสงบนิ่ง "ข้าไม่เป็นอะไร ขบวนอภิเษกจงเดินหน้าต่อไป อย่าให้พลาดเวลามงคล"น้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบไร้ความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางและทหารที่ได้ยิน ต่างอดไม่ได้ที่จะมองซูจิ่นพ่าใหม่อีกคร

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status