Share

บทที่ 13

Penulis: ไห่ตงชิง
สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้น

ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออก

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันที

สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขา

หลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด

ในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่สงสารราษฎร ละเลยความความซื่อสัตย์สุจริต ทิ้งขว้างความดีงามไว้เบื้องหลัง ความชั่วร้ายท่วมท้น บรรยายไม่สิ้นสุด ไม่ประหารชีวิต ยากที่จะสงบความโกรธแค้นของราษฎร!”

“ประกาศคำสั่งองค์รัชทายาท เฉียนฮั่นต้องโทษประหารชีวิตแล้ว ประหารชีวิตหน่วยบูรพาทั้งสามชั่วโคตร ญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งเก้าชั่วโคตร ลดฐานะเป็นทาส ห้ามมิให้เปลี่ยนฐานะเป็นอันขาด

“และยังมีพ่อค้าหน้าเลือดหูเชียน ฉวยโอกาสช่วงที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย กอบโกยผลประโยชน์จากความทุกข์ยากของประชาชน จนทำให้เกิดเสียงโห่ร้องประณามจากราษฎร แต่ยังคงดื้อดึงไม่สำนึกผิด ในที่สุดก็ถูกสั่งประหารชีวิตทั้งตระกูล สมบัติทั้งหมดถูกยึดมาเป็นของหลวง”

เฉียนฮั่นใบหน้าอาบเลือด เต็มไปด้วยเลือด บาดแผลลึกถึงกระดูกบนหน้าผากยังคงมีเลือดออก ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง หลังจากได้ยินสองประโยคนี้ ดวงตาของเขาไม่รู้ว่าเผยความเสียใจหรือเกลียดชังและเสียชีวิตลงในที่สุด

เหตุการณ์ที่ตามมาคือการร้องขอความเมตตาและร้องไห้ของตระกูลหูเชียน

“ตระกูลเฉินจิ้งชวนเจ้าเล่ห์นัก ถูกโยนเข้าคุกหน่วยบูรพา แต่อย่างน้อยจะไม่ตายในทันที และไม่เพียงเจ้าเล่ห์เท่านั้น แต่ยังพยายามหาเฉียนฮั่นมาต่อกรกับข้า ก็กวาดล้างให้หมดสิ้นไปเถิด”

หลี่เฉินเหลือบมองหูเชียนอย่างเฉยเมยที่เสียใจกับเปล่งเสียงกรีดร้องแห่งความหวาดกลัว จึงหันหลังกลับไปพร้อมกับขบวนทัพของเขา

เขายังต้องไปอีกตระกูล ยุ่งมาก

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท โปรดทรงเมตตาด้วยองค์รัชทายาท!”

ข้างหลัง เสียงกรีดร้องของหูเชียนดังขึ้น แต่ก็หยุดทันที และตามมาด้วยเสียงใบมีดที่ทิ่มแทงทะลุเนื้อ

ณ ประตูตระกูลหู เลือดไหลพรากราวกับแม่น้ำ ผู้คนโดยรอบใบหน้าซีดเผือกด้วยความกลัว

เพียงแต่รัชทายาทสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุกคนเห็นแล้ว บนร่างกายของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงพบตั๋วเงินจำนวนหลายล้านตำลึง รวมถึงพ่อค้าหน้าเลือดนั่น ก็เช่นเดียวกับเฉินจิงฉวนที่เปิดร้านขายข้าวรอให้ขึ้นราคา ไม่รู้ว่ามีคนสูญเสียเงินด้วยเหตุนี้ไปเท่าใด

ฉะนั้น แม้ฉากนี้จะดูนองเลือดและผู้คนหวาดกลัว แต่หลายคนก็ยังเห็นด้วยกับรัชทายาท

ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ควรประหาร!

พ่อค้าหน้าเลือด ยิ่งควรประหาร!

หลี่เฉินเพิกเฉยต่อทะเลเลือดที่อยู่ข้างหลังเขา หันหน้าไปทางตระกูลหลิวสถานที่สุดท้าย จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสุดถนนพร้อมกับผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็กมากกว่าสิบคนเดินไปหาเขาอย่างแน่วแน่

“องค์รัชาทายาท นี่คือตระกูลหลิวพ่ะย่ะค่ะ”

สวีฉังชิงเห็นวิธีของรัชทายาทด้วยตาของตนเอง ก็เลื่อมใสอย่างสุดใจ

ไม่ว่าการสังหารอย่างบุ่มบ่ามจะคุ้มค่าหรือไม่ หรือรัชทายาทสามารถต้านทานความวุ่นวายที่ตามมาได้หรือไม่ ทว่ายามนี้ สายตาอันดุดันของผู้คนโดยรอบ เขาก็รู้ว่ารัชทายาทมีความคิดลึกซึ้งกว่าทุกคนมาก

นอกจากสังหารคนสร้างความน่าเกรงขาม ริบทรัพย์เข้าพระคลังแล้ว รัชทายาทยังครองใจราษฎรด้วย

เมื่อเข้าใจความจริงเหล่านี้ สวีฉังชิงรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และทุ่มเทให้กับหลี่เฉินมากขึ้น

ในยามนี้ เขาเดินไปหาหลี่เฉินและเอ่ยว่า “ตระกูลหลิวค่อนข้างพิเศษ แตกต่างจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่อีกสองเจ้าที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลร่ำรวยของเมืองหลวง สืบทอดมาอย่างน้อยสามชั่วอายุคน แต่การค้าของตระกูลหลิว สร้างขึ้นโดยหัวหน้าตระกูลคนก่อนและค่อย ๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาขึ้นทีละน้อย”

“เมื่อสองปีก่อน หัวหน้าตระกูลหลิวคนก่อนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลหลิวตกอยู่ท่ามกลางแย่งชิงอำนาจ แต่สุดท้ายเป็นหลิวซื่อชุนลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลิวเอาชนะพี่ชายทั้งสองของนางได้ และขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงดูแลตระกูล แต่การค้าของตระกูลหลิว เฟื่องฟูในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะความสามารถของหลิวซือฉุน”

ขณะสวีฉังชิงแนะนำ หลิวซือฉุนก็นำคนในตระกูลหลิวมาถึงหน้าราชรถของหลี่เฉิน

“ข้าน้อยหลิวซือฉุน ขอคารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพันปี พันปี พัน ๆ ปี”

“ข้าน้อยยินดีบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหลิวช่วยเหลือราชสำนักศาลในการบรรเทาภัยพิบัติและผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพียงขอองค์รัชทายาททรงสัญญาเพียงเรื่องเดียว”

หลิวซือฉุนช่างงดงามเหลือเกิน

ผิวพรรณของนางเนียนนุ่มราวกับไขมันที่ถูกบดละเอียด คิ้วสีดำสนิทโค้งเรียวราวกับภูเขาที่อยู่ไกลโพ้น มือของนางอวบอิ่ม เรียวเล็ก และมีสีขาวดำแยกจากกันชัดเจน ดวงตาของนางเปล่งประกายดั่งดวงดาว ปลายจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีแดงสดใสราวกับผลเชอร์รี่ ช่างน่าภิรมย์จนอดอยากจะลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากสีแดงนุ่มนวลนั้น

หากพูดถึงรูปร่างหน้าตาและสัดส่วนแล้ว หลิวซื่อชุนก็ไม่ต่างอะไรกับจ้าวหรุ่ยและจ้าวชิงหลานเลย เพียงแต่ว่าบุคลิกของนางมีความพิเศษเฉพาะตัวที่สุด ผสมผสานความแข็งแกร่งและความฉลาดของนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จเข้ากับความเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างลงตัว ดวงตาสีดำสนิทของนางแฝงไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ดูเหมือนคำว่าไร้เดียงสาจะไม่เหมาะกับนางเลย เพราะว่าผู้ชายไม่มีทางที่จะคาดเดาหรือควบคุมความคิดของนางได้

เมื่อรวมกับประสบการณ์ที่สวีฉังชิงเล่า หลิวซือฉุนหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

หลี่เฉินที่ขี่ม้ามองไปหลิวซือฉุนพล่ยเอ่ยอย่างเย้าแหย่ว่า “บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเพียงเพื่อแลกกับสัญญาจากข้า? น่าสนใจไม่น้อย ลองพูดมาดูสิ”

หลิวซือฉุนคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้านิ่งสงบคงเดิมและตอบว่า “ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะร้องขอ เพียงขอองค์รัชทายาททรงเมตตาและอนุญาตให้ข้าน้อยเป็นตัวแทขนส่งเกลือในพื้นที่นครบาล”

ทันทีที่หลิวซือฉุนพลั้งปากพูดออกมา สีหน้าของสวีฉังชิงก็เปลี่ยนไปทันที

“บังอาจ!”

สวีฉังชิงตะโกนเสียงดุดัน “เกลือถูกควบคุมโดยราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นรากฐานของการดำรงชีวิตของราษฎรและเป็นรากฐานของแคว้นที่ราษฎรไม่อาจกำกับดูแลได้ แล้วจะอนุญาตให้แม่ค้าราษฎรมาดูแลได้อย่างไร”

หลิวซือฉุนสีหน้าเงียบสงบคงเดิม นางเอ่ยด้วยความนอบน้อม “ใต้เท้าสวี ข้าน้อยย่อม รู้ถึงความสำคัญของเกลือ และรู้ด้วยว่าเกลือเป็นของผูกขาดของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลักลอบค้าขายเกลือ มิเช่นนั้นโทษสถานเบาคือเนรเทศ โทษสถานหนักคือประหาร”

“แต่ความประสงค์ของข้าน้อยมิใช่ทำการค้าเกลือ ขายเกลือ เพียงแต่ซื้อเกลือในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดร้อยละสิบจากราชสำนัก แล้วรับผิดชอบค่าขนส่งของเองเพื่อขนส่งเกลือจากที่อื่นไปยังนครบาล ไม่ขายให้ราษฎร ขายให้เพียงทางการเท่านั้น”

“ฉะนั้น จึงไม่ละเมิดผลประโยชน์ของทางการและราษฎร ในทางกลับกัน ทางจะได้รับผลกำไรร้อยละสิบและไม่ต้องรับผิดชอบค่าขนส่งจากแต่ละพื้นที่เข้านครบาล สิ่งนี้มิใช่เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่ายหรือเพคะ”

หลังจากเอ่ยจบ หลิวซือฉุนก็โค้งคำนับให้กับหลี่เฉินอย่างนอบน้อมและเอ่ยอย่างจริงใจ “ตระกูลหลิวของข้าน้อย มีทรัพย์สินรวมทั้งหมดหกล้านสามแสนกว่าตำลึง ยินดีบริจาคทั้งหมดให้กับราชสำนัก”

เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ ทุกคนโดยรอบล้วนอ้าปากค้าง

จักรวรรดิต้าฉินในยามนี้ แม้เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด รายได้ต่อปีของคนทั่วไปมีเพียงสามสิบตำลึงเงินเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีความมั่งคั่งถึงหกล้านสามแสนตำลึง

แม้จะมิได้มีความมั่งคั่งอยู่เหนือแคว้น แต่มีศักยภาพมากพอที่จะซื้อเมืองหนึ่งเมืองใดได้

หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการมาเยือนครั้งนี้ของข้า มาเพื่อกวาดล้างสามพ่อค้าข้าวรายใหญ่อย่างพวกเจ้า”

หลิวซือฉุนกัดฟันเอ่ย “ข้าน้อยทราบดีว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ ข้าน้อยถึงเต็มใจสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด แลกกับความสงบสุขชั่วคราว แต่ข้าน้อยก็ยิ่งเข้าใจดีว่า หากข้าน้อยไม่มีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท ข้าน้อยก็ยากที่จะหนีพ้นความตายได้ ฉะนั้นข้าน้อยจึงปรารถนาที่จะพิสูจน์คุณค่าของตระกูลหลิว ตระกูลหลิวมีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท

หลี่เฉินมีความสุขและยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียจริง ว่ากันว่าสตรีไม่ยอมเป็นรองบุรุษ เพียงความกล้าหาญนี้ ตระกูลหลิวของเจ้าก็เหนือหว่าตระกูลหูและตระกูลเฉินเป็นพันเท่า”

“ข้ายังไม่ตอบรับเจ้า แต่วันนี้จะละเว้นการสังหารตระกูลหลิว อธิบายแผนการของเจ้ามาโดยละเอียดและส่งมายังตำหนักบูรพาภายในสามวัน หากเจ้าทำให้ข้าประทับใจได้ ตระกูลหลิวก็อยู่รอดต่อไป หากเจ้าทำไม่ได้ เก็บตระกูลหลิวไว้สามวันก็ไม่เป็นไร”

หลี่เฉินไม่ได้สังหารหลิวซือฉุน การทะลุมิติของเขาย่อมรู้ดีว่าพลังของการค้าและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากเพียงใด หากตระกูลหลิวใช้การได้ เขาก็คงไม่รังเกียจที่จะสนับสนุนตระกูลหลิว

“ข้าน้อย ขอขอบพระทัยในความเมตตาขององค์รัชทายาทเพคะ”

หลิวซือฉุนหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโล่งอก แล้วล้มลงกับพื้นและเอ่ยออกมา

หลี่เฉินละสายตาและเอ่ยเสียงราบเรียบ “กลับตำหนักบูรพา”

หลังจากที่ราชรถและองครักษ์ของรัชทายาทจากไปแล้ว ผู้คนโดยรอบก็แยกย้ายกันไปด้วยความสนอกสนใจและการพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย หลิวซือฉุนทรุดตัวลงและคุกเข่าลงบนพื้น ในยามนี้ นางรู้สึกว่าแผ่นหลังของนางเปียกโชก

ข้างหลังนาง สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลิวเดินเข้ามาช่วยประคองหลิวซือฉุนลุกขึ้น และเอ่ยอย่างขมขื่น “การสะสมของตระกูลหลิวสองรุ่นมานานหลายทศวรรษจะมอบออกไปเช่นนี้จริงๆ หรือ”

หลิวซือฉุนกัดฟันตอบ “เสียดายรึ ทั้งตระกูลหูและตระกูลเฉินล้วนเสียดาย ดูจุดจบของพวกเขาสิ”

“เมื่อได้รับจดหมายเชื้อเชิญจากรัชทายาท ข้าบอกว่าต้องไป พวกเจ้ายืนกรานที่จะฟังคำเฉียนฮั่น ยามนี้เฉียนฮั่นถูกฆ่าล้างตระกูล พวกเจ้าก็รู้ความน่าสะพรึงกลัวแล้ว หากมิใช่ข้าส่งสายลับสืบความเกี่ยวกับสองตระกูลล่วงหน้า เกรงว่าวันนี้ตระกูลหลิวคงถูกกำจัดจนสิ้นซากไปแล้ว!”

คนในตระกูลที่อยู่โดยรอบดูเศร้าโศก

“แต่เราสละทรัพย์สินทั้งหมด ก็ไม่อาจเลี่ยงความหายนะนี้ได้ องค์รัชทายาทให้เวลาเราสามวัน เราขนส่งเกลือขาดทุน องค์รัชทายาทอาจไม่รู้ว่าเรามีเหมืองเกลือส่วนตัว เมื่อถึงเวลานั้น นี่คือโทษประหาร แล้วจะทำอย่างไรกัน”

ดวงตางดงามของหลิวซือฉุนแน่วแน่ กัดฟันตอบว่า “หากราชสำนักรู้ ก็ต้องตาย หากรัชทายาทรู้เพียงคนเดียว ไม่แน่อาจเป็นโอกาสสำหรับตระกูลหลิวเรา ยามนี้ตระกูลหลิวตกอยู่ในสถานการณ์ปางตาย ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า รัชทายาทต้องการคนสนับสนุน พวกเราส่งมอบทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งหมด...เสี่ยงดูสักตั้ง!”

หลี่เฉินเข้าออกตำหนักบูรพาเพียงสองชั่วยาม แต่กวาดล้างทั้งตระกูลหู ตระกูลเฉินและเฉียนฮั่น ทั้งหมด รวมร้อยชีวิต

ผลกระทบที่ตามมาของเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือน

และเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดถึงจ้าวเสวียนจี ก็เป็นเวลากลางดึกของวันแล้ว

เฉียนฮั่นในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ก้นกุฏิของจ้าวเสวียน เขาถูแกวาดล้างทั้งตระกูล ได้ล้ำเส้นของจ้าวเสวียนจีแล้ว

ฉะนั้น ดวงตาของจ้าวเสวียนจีจึงมืดมนลงอย่างน่าสะพรึงกลัว

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 19

    หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 20

    ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกไป ขุนนางทุกคนในวังก็โกรธจัด โดยเฉพาะซุนปั๋วหลี่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตะโกนด้วยความโมโหว่า “ชายที่โดนตอนแล้วอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกปราญช์ และพูดถ้อยคำสกปรกในโถงใหญ่!?”เมื่อซานเป่าได้ยินคำว่าชายที่โดนตอนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขันทีในโลกอยากจะได้ยิน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าซุน นี่เป็นคำพูดขององค์รัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าจะเผยแพร่คำพูดขององค์รัชทายาทส่งๆ ได้ ท่านสามารถถามองค์รัชทายาทด้วยตัวเองได้”“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นชายที่โดนตอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าคำว่าจงรักภักดีมันเขียนเช่นไร ไม่ว่าปากของข้าน้อยจะสกปรกแค่ไหน ก็ไม่เท่าใต้เท้าซุนที่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรง เป็นสุนัขให้ผู้อื่นในขณะที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักนั้นสกปรกมาก”ซุนปั๋วหลี่ตาโต โมโหจนพูดไม่ออก“เจ้า...”“เอาล่ะ!”หวังเถิงฮ่วน มหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่เหลือบมองซานเป่าอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซุนปั๋วหลี่ว่า “ใต้เท้าซุน ท่านกับข้าแค่รออย่างอดทนอีกสักพัก ไม่มีเหตุผลที่จะไปเถียงกับสุนัขที่ตอนแล้วเพื่อทำลายอารมณ์ของตัวเอง” ใ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 21

    คำพูดของหลี่เฉินนั้น ทำให้ซุนปั๋วหลี่เกร็งไปทั้งตัวแม้ว่าเขาจะติดตามใต้เท้าราชเลขาธิการไปบีบบังคับให้องค์รัชทายาทสละตำแหน่ง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเต็มใจที่ถูกองค์รัชทายาทจับจุดอ่อนในเรื่องนี้“องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะด้วย กระหม่อมไม่ได้เร่งรัดซานเป่ากงกงหลายครั้ง เพียงแต่พวกกระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะหารือกับองค์รัชทายาท ด้วยกลัวว่าจะหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าจนเสียงานสำคัญ เพราะเหตุฉะนี้จึงถามมากไปหน่อย กระหม่อมมิได้มีเจตนาล่วงเกินองค์รัชทายาทแต่อย่างใด”เมื่อพูดคุยตามปกติมาถึงจุดนี้ หลี่เฉินซึ่งอยู่ในฐานะองค์รัชทายาท แม้จะไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องปล่อยวางไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นหาว่าใจแคบเอาได้แต่คราวนี้หลี่เฉินกลับพูดอย่างไม่เลิกรา “งานสำคัญงั้นรึ เจ้าซุนปั๋วหลี่วันนี้มีงานสำคัญ เลยกล้าเมินเฉยเร่งรัดให้ข้ามาจนเย็นย่ำ คราวหน้าหากมีงานสำคัญอีก มิต้องให้ข้าไปรอเจ้าเรียกเข้าพบถึงที่จวนเจ้าหรอกหรือ?”คำพูดเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางที่เหมือนบิดากับบุตร ในยุคศักดินาที่กษัตริย์คือสวรรค์ นี่เป็นคำพูดที่ร้ายแรงมากซุนปั๋วหลี่ตกใจจนพูดไ

Bab terbaru

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1028

    เสียงประตูศาลบูรพกษัตริย์เปิดออกช้าๆหลี่เฉินก้าวออกไปด้านนอกที่หน้าประตู ซูจิ่นพ่ากำลังยืนอยู่ในชุดแต่งงานซูจิ่นพ่าในวันนี้ สวมอาภรณ์มงคลสีแดงเข้ม งามสง่าและสมบูรณ์แบบปิ่นประดับมุกหงส์ห้อยระย้า ประดับเครื่องสำอางบางเบา ใบหน้าเรียวรูปเมล็ดแตงดูประณีตดุจรังสรรค์จากสวรรค์ คิ้วเรียวบางราวภูผาไกล ดวงตากระจ่างใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ปลายจมูกงามระหง ริมฝีปากอิ่มสีกลีบท้องามเหนือคำบรรยาย งามดุจเทพธิดานี่แหละความงามที่ทำให้แผ่นดินล่มสลาย"แต่โบราณมา คำสดุดีที่สูงสุดสำหรับสตรีคงเป็น แต่จิ่นพ่าในวันนี้กลับงดงามยิ่งกว่าเทพลั่วเสียอีก ย้อนคิดถึงสี่มหางามในประวัติศาสตร์ แม้แต่ซีซือ หรือหวังเจาจวิน ก็คงไม่อาจงามไปกว่านี้แล้ว"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้ซูจิ่นพ่ารู้สึกประหม่าเล็กน้อยนางก้มหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา "หม่อมฉันคารวะองค์รัชทายาท"แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอภิเษก และตามกฎหมายแล้ว ซูจิ่นพ่าคือพระชายาองค์รัชทายาทโดยสมบูรณ์ แต่ในวังหลวง ระเบียบแห่งราชสำนักมาก่อนความสัมพันธ์ในครอบครัว และคู่สมรสหลี่เฉินยกมือขึ้น ตรัสด้วยเสียงอ่อนโยน "ลุกขึ้นเถิด ไปกับข้า"ซูจ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1027

    ความอ่อนนุ่มของร่างกายหญิงสาวถูกกอบกุมไว้ จ้าวชิงหลานรู้สึกว่าทั่วร่างของตนเองเหมือนถูกทำให้ชาไปครึ่งซีกแต่สิ่งที่ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้ยิ่งกว่านั้น คือคำพูดของหลี่เฉิน"ดังนั้นเจ้าจึงปล่อยให้พวกกบฏทำตามอำเภอใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะการตัดสินใจของเจ้า มีราษฎรบริสุทธิ์มากมายต้องสังเวยชีวิต? เจ้าช่างโหดร้ายและไร้หัวใจยิ่งนัก!"หลี่เฉินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ "ข้าโหดร้ายไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าคิดว่าเป็นข้าหรือบิดาเจ้าจ้าวเสวียนจีที่แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่ละเลยชีวิตผู้คน?""หากไม่ใช่เพราะเขา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้น และตอนนี้เจ้ากลับมาว่าข้าโหดร้ายไร้หัวใจ?""ใช่ มันเป็นความจริงที่มีผู้คนจำนวนมากต้องสังเวยชีวิตเพราะการตัดสินใจของข้า แต่แล้วอย่างไรเล่า? การเสียสละบางส่วนเพื่อรักษาภาพรวมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าคือองค์รัชทายาท เป็นว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต ข้าต้องรักษาแผ่นดินนี้ ต้องรักษาการปกครองของราชวงศ์หลี่ ข้าจำต้องมองภาพรวม ต้องชั่งน้ำหนักความสูญเสีย ไม่ใช่จดจ่อเพียงแค่ชีวิตของคนเพียงหนึ่งหรือสองคน""หากข้าปล่อยให้ทุกอย่างพังทลาย ทั้งแผ่นดินก็จะสูญสิ้น ดังนั้น สิ่งที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1026

    ภายในศาลบูรพกษัตริย์จ้าวชิงหลานผลักหลี่เฉินออกไปด้วยแรงทั้งหมดของนาง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายและโกรธเกรี้ยว นางเงื้อมือขึ้นหมายจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหลี่เฉินแต่เมื่อเห็นสายตาสงบนิ่งของหลี่เฉิน นางกลับชะงักไปเล็กน้อย มือที่เงื้อขึ้นสุดท้ายก็ค่อยๆ ลดลงมา นางไม่มีความกล้าพอที่จะฟาดลงไปจริงๆ"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!"จ้าวชิงหลานตวาดเสียงดังหลี่เฉินไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงคว้าข้อมือของจ้าวชิงหลานไว้ ก่อนจะดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้งฝ่ามือของเขากดอยู่ที่ท้ายทอยของนาง กดศีรษะของนางให้แนบไปกับแผงอกของเขา แล้วเอ่ยเสียงเบา "เจ้าจะยอมตามใจข้าสักครั้งไม่ได้เลยหรือ?"จ้าวชิงหลานดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ผลกลับเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นางไม่อาจขยับตัวได้เลย"แค่ไม่ยอมตามใจเจ้า เจ้ากล้าทำกับข้าได้ถึงเพียงนี้ ถ้าข้ายอมตามใจ เจ้าคงคิดทำอะไรมากกว่านี้อีกแน่!"จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอับอาย นางรู้สึกว่าความบริสุทธิ์ของตนเองกำลังถูกหลี่เฉินล่วงเกินจนแทบไม่เหลืออะไรแต่ไม่ว่าดิ้นรนเพียงใด นางก็สลัดหลี่เฉินออกไปไม่ได้ความรู้สึกหมดหนทางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง"เจ้าไม่ต้องกลัว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1025

    ซูผิงเป่ยเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น ตวาดออกมา "ราษฎรล้วนบริสุทธิ์ พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้?""แต่ละคนล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นบิดา เป็นบุตร เป็นมารดา เป็นธิดา เป็นเสาหลักของบ้าน!""แต่เจ้ากลับพรากชีวิตพวกเขาไปโดยไร้ความหมาย แถมยังต้องตายอย่างโหดร้าย! ในวันนั้น ภูเขาจิ่งซานเต็มไปด้วยซากศพ! คนจำนวนมากถูกฝูงแมลงพิษของเจ้ากัดกินจนเหลือเพียงกระดูกขาว! หลี่อิ๋นหู่ เจ้าไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์บ้างหรือ!?"เสียงคำรามของซูผิงเป่ยดังราวกับฟ้าคำราม ทำให้สีหน้าของหลี่อิ๋นหู่ยิ่งบึ้งตึงเขารู้ดีว่าเหตุการณ์ที่ภูเขาจิ่งซานจะเป็นมลทินที่ตามติดตัวเขาไปตลอดชีวิตแต่เขาไม่แยแสเขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์เขียนขึ้นโดยผู้ชนะ ตราบใดที่เขาชนะในท้ายที่สุด ไม่ว่ามลทินใดๆ ก็จะกลายเป็นเกียรติของเขา"ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงดื้อดึงจะต่อต้านจนถึงที่สุดสินะ"ทันทีที่หลี่อิ๋นหู่กล่าวจบ กองพลธนูห้าร้อยนายที่อยู่เบื้องหลังก็พร้อมกันขึ้นสายยิงขณะที่บนกำแพงเมือง ทหารรักษาการณ์ก็ยกคันศรขึ้นเช่นกันกองทัพของทั้งสองฝ่าย ประจันหน้ากัน คนหนึ่งอยู่ด้านล่างกำแพง อีกคนอยู่ด้านบน ต่างฝ่ายต่างเล็งลูกธนูเข้าใส่กัน สถาน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1024

    "พอได้แล้ว"ซูจิ่นพ่าตัดบทความขัดแย้งของทั้งสอง สีหน้าของนางยังคงเรียบเย็น แต่ในใจกลับถอนหายใจเบาๆคนหนึ่งคือรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ผู้ที่ขุนนางราชสำนักต่างเกรงกลัวยามพบหน้าอีกคนคือตัวแทนจากตำหนักบูรพา คนสนิทของพระที่นั่งสีเจิ้ง ขุนนางทั้งหลายต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างน้อยก็ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองแต่สองคนนี้กลับมาขัดแย้งกันเพื่อแย่งชิงความดีความชอบต่อหน้านางทั้งหมดนี้เป็นเพราะชุดเจ้าสาวที่นางสวมอยู่และเป็นเพราะอำนาจนางเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายคนถึงลุ่มหลงในอำนาจนัก"กองทัพทหารหนักที่ส่งมาครั้งนี้มีกี่นาย?" ซูจิ่นพ่าถามเหอคุนตอบทันที "ทั้งหมดหกร้อยนาย มาพร้อมกันครบถ้วน"ซูจิ่นพ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทหารหนักเป็นอาวุธสำคัญในการตั้งรับ แต่หากถูกส่งมาที่นี่ทั้งหมด แล้วใครจะดูแลความปลอดภัยขององค์รัชทายาท?"เหอคุนหัวเราะเล็กน้อย "องค์ชายคาดการณ์ไว้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทต้องถามเช่นนี้ จึงให้กระหม่อมเรียนพระชายาองค์รัชทายาทว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาท องค์ชายมีการเตรียมการไว้แล้ว"ซูจิ่นพ่าไม่ใช่คนที่ชอบเสียเวลาถกเถียง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1023

    ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ร่างของหลูฝูเฉินที่ถูกซัดกระเด็นลอยมาตกลงตรงบริเวณด้านหน้าเกี้ยวของซูจิ่นพ่าพอดีกับที่ก่อนหน้านี้ขุนนางกรมพิธีการยืนอยู่เมื่อร่างของหลูฝูเฉินกระแทกพื้น เสียงดังปังตามมาด้วยเลือดสดที่พุ่งกระจายออกมาเต็มใบหน้าของขุนนางกรมพิธีการ ทำให้เจ้าตัวตกใจจนคลานหนีไปทั่ว ทั้งยังร้องโหยหวนอย่างหวาดกลัวราวกับว่าเขาคือคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียเองเพียงแต่ ไม่มีใครสนใจว่าขุนนางกรมพิธีการจะหวาดกลัวหรือทุกข์ทรมานเพียงใดซูจิ่นพ่ามองร่างของหลูฝูเฉินที่นอนหงายอยู่กับพื้นด้วยสายตาเย็นชา และหลูฝูเฉินเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ เขาหันศีรษะมามองซูจิ่นพ่าด้วยความยากลำบาก"ทำตัวเอง ย่อมไม่รอด"เพียงหกคำจากปากของซูจิ่นพ่า ทำให้แสงในดวงตาของหลูฝูเฉินค่อยๆ หรี่ลง"ทหาร ให้เขาตายอย่างรวดเร็ว"ซูจิ่นพ่าออกคำสั่ง เฉินทงที่อาบไปด้วยเลือดพุ่งตัวเข้ามา แม้ว่าเขาจะมีบาดแผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาจนส่งผลต่อพลังต่อสู้"รับบัญชา"เฉินทงโค้งคำนับด้วยท่าทีนอบน้อม แต่ทันทีที่หันหลังกลับ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม มือยกขึ้นฟันดาบลงอย่างไร้ความลังเล เพียงชั่วพริบตา หลูฝูเฉินที่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1022

    ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินก็คือชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ และอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าเร่ร่อนก็คือกองทัพม้าเพื่อรับมือกับกองทัพม้าของชนเผ่าเร่ร่อน จักรวรรดิต้าฉินไม่เพียงแต่เร่งพัฒนากองทัพม้าของตนเอง แต่ยังคิดค้นวิธีการรับมือโดยเฉพาะตัวอย่างเช่น ทหารหนัก ซึ่งเป็นกองกำลังพิเศษที่พัฒนาขึ้นจากทหารราบทั่วไป มีไว้เพื่อรับมือกับกองทัพม้าโดยเฉพาะทหารหนักมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อร่างกายของทหารเป็นอย่างมาก ในจักรวรรดิต้าฉินซึ่งมีความสูงเฉลี่ยไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผู้ที่ต้องการเข้าประจำการในกองทัพทหารหนักต้องมีความสูงไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร และมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบชั่งหากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีทางสวมเกราะเหล็กเต็มตัวที่หนักถึงหกสิบจิน หรือถือโล่เหล็กดำที่หนักถึงแปดสิบชั่งได้เมื่อรวมกับดาบรบและอาวุธอื่นๆ ภาระน้ำหนักของทหารหนักแต่ละนายจะอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบชั่งเป็นอย่างน้อยกองกำลังประเภทนี้ย่อมเป็นหน่วยที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล ราชสำนักต้องใช้เงินเฉลี่ยปีละสามสิบตำลึงเงินต่อทหารหนักหนึ่งนาย ซึ่งเงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับเลี้ยงทหารราบทั่ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1021

    "บิดาของข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ราชสำนักก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เป็นวันอภิเษกของข้า แต่เจ้ากลับเลือกเป็นกบฏ แล้วยังคิดว่าตัวเองถูกต้องอีก"ซูจิ่นพ่ามองหลูฝูเฉินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตวาดเสียงดัง "ในเมื่อเจ้าเลือกเป็นกบฏ เช่นนั้นข้ากับเจ้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป!""ข้ารู้ว่าเจ้าและนายของเจ้าคิดอะไร แต่วันนี้ข้าจะบอกให้ชัด ขบวนอภิเษกนี้ต้องเข้าสู่ศาลบูรพกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้! เจ้าจะเปิดทางหรือไม่!?"สตรีเพียงหนึ่งเดียว ยืนอยู่บนเกี้ยวแห่งขบวนอภิเษก ท่ามกลางม้าศึกสิบหกตัวและคนหามเกี้ยวแปดคน ขุนนางจากกรมพิธีการและสำนักคุมประพฤติเดินนำหน้า ด้านหลังมีข้ารับใช้และสาวใช้ติดตามพร้อมทรัพย์สินสมรสอันล้ำค่าทางเบื้องหน้าปูด้วยกลีบดอกไม้สองข้างทางเต็มไปด้วยการสังหารขององครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังกบฏแต่ซูจิ่นพ่ากลับไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนางยืนอยู่บนเกี้ยว ถึงแม้ร่างจะเป็นสตรีบอบบาง แต่จิตวิญญาณของนางทะยานขึ้นสู่เวหาไม่เพียงแค่หลูฝูเฉินที่เริ่มลังเลกับภารกิจนี้ แม้แต่กองกำลังกบฏที่กำลังต่อสู้อยู่ก็รู้สึกหวั่นเกรงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากรัศมีอันน่าเกรง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1020

    การสังหารที่โหดเหี้ยมปะทุขึ้นอย่างไร้สัญญาณเตือนเพียงแค่เริ่มต้นก็เป็นจุดสูงสุดของการต่อสู้แล้วองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพาและกองกำลังกบฏล้วนเป็นทหารชั้นยอด เพียงเผชิญหน้ากันไม่กี่อึดใจก็ปะทะกันทันทีเสียงอาวุธกระทบกัน เสียงตะโกนก้องด้วยโทสะ ผสมกับเสียงร่างที่ล้มลงกระแทกพื้นดินอันหนักแน่น ราวกับเสียงร่ำไห้จากนรกที่รายล้อมขบวนอภิเษกอันเป็นสัญลักษณ์ของความมงคลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ของการต่อสู้ ก็ได้คร่าชีวิตไปกว่าสิบชีวิตสิ่งที่แดงฉานยิ่งกว่าชุดแต่งงาน และสว่างสดใสกว่ากลีบดอกไม้บนพื้น คือโลหิตของมนุษย์ท่ามกลางเสียงสังหาร ขุนนางกรมพิธีการที่ก่อนหน้านี้ตกใจจนล้มลงกับพื้น ละทิ้งความอับอาย รีบวิ่งไปยังเกี้ยวของซูจิ่นพ่าและตะโกนลั่น "คุ้มกันพระชายา! เร็วเข้า! รีบมาคุ้มกัน!"เขาประคองหมวกขุนนางของตน ก่อนจะเอ่ยถามคนภายในเกี้ยว "พระชายาทรงปลอดภัยหรือไม่?"ภายในเกี้ยว เสียงของซูจิ่นพ่าดังออกมาอย่างสงบนิ่ง "ข้าไม่เป็นอะไร ขบวนอภิเษกจงเดินหน้าต่อไป อย่าให้พลาดเวลามงคล"น้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบไร้ความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางและทหารที่ได้ยิน ต่างอดไม่ได้ที่จะมองซูจิ่นพ่าใหม่อีกคร

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status