Share

บทที่ 13

สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้น

ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออก

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันที

สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขา

หลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด

ในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่สงสารราษฎร ละเลยความความซื่อสัตย์สุจริต ทิ้งขว้างความดีงามไว้เบื้องหลัง ความชั่วร้ายท่วมท้น บรรยายไม่สิ้นสุด ไม่ประหารชีวิต ยากที่จะสงบความโกรธแค้นของราษฎร!”

“ประกาศคำสั่งองค์รัชทายาท เฉียนฮั่นต้องโทษประหารชีวิตแล้ว ประหารชีวิตหน่วยบูรพาทั้งสามชั่วโคตร ญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งเก้าชั่วโคตร ลดฐานะเป็นทาส ห้ามมิให้เปลี่ยนฐานะเป็นอันขาด

“และยังมีพ่อค้าหน้าเลือดหูเชียน ฉวยโอกาสช่วงที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย กอบโกยผลประโยชน์จากความทุกข์ยากของประชาชน จนทำให้เกิดเสียงโห่ร้องประณามจากราษฎร แต่ยังคงดื้อดึงไม่สำนึกผิด ในที่สุดก็ถูกสั่งประหารชีวิตทั้งตระกูล สมบัติทั้งหมดถูกยึดมาเป็นของหลวง”

เฉียนฮั่นใบหน้าอาบเลือด เต็มไปด้วยเลือด บาดแผลลึกถึงกระดูกบนหน้าผากยังคงมีเลือดออก ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง หลังจากได้ยินสองประโยคนี้ ดวงตาของเขาไม่รู้ว่าเผยความเสียใจหรือเกลียดชังและเสียชีวิตลงในที่สุด

เหตุการณ์ที่ตามมาคือการร้องขอความเมตตาและร้องไห้ของตระกูลหูเชียน

“ตระกูลเฉินจิ้งชวนเจ้าเล่ห์นัก ถูกโยนเข้าคุกหน่วยบูรพา แต่อย่างน้อยจะไม่ตายในทันที และไม่เพียงเจ้าเล่ห์เท่านั้น แต่ยังพยายามหาเฉียนฮั่นมาต่อกรกับข้า ก็กวาดล้างให้หมดสิ้นไปเถิด”

หลี่เฉินเหลือบมองหูเชียนอย่างเฉยเมยที่เสียใจกับเปล่งเสียงกรีดร้องแห่งความหวาดกลัว จึงหันหลังกลับไปพร้อมกับขบวนทัพของเขา

เขายังต้องไปอีกตระกูล ยุ่งมาก

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท โปรดทรงเมตตาด้วยองค์รัชทายาท!”

ข้างหลัง เสียงกรีดร้องของหูเชียนดังขึ้น แต่ก็หยุดทันที และตามมาด้วยเสียงใบมีดที่ทิ่มแทงทะลุเนื้อ

ณ ประตูตระกูลหู เลือดไหลพรากราวกับแม่น้ำ ผู้คนโดยรอบใบหน้าซีดเผือกด้วยความกลัว

เพียงแต่รัชทายาทสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุกคนเห็นแล้ว บนร่างกายของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงพบตั๋วเงินจำนวนหลายล้านตำลึง รวมถึงพ่อค้าหน้าเลือดนั่น ก็เช่นเดียวกับเฉินจิงฉวนที่เปิดร้านขายข้าวรอให้ขึ้นราคา ไม่รู้ว่ามีคนสูญเสียเงินด้วยเหตุนี้ไปเท่าใด

ฉะนั้น แม้ฉากนี้จะดูนองเลือดและผู้คนหวาดกลัว แต่หลายคนก็ยังเห็นด้วยกับรัชทายาท

ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ควรประหาร!

พ่อค้าหน้าเลือด ยิ่งควรประหาร!

หลี่เฉินเพิกเฉยต่อทะเลเลือดที่อยู่ข้างหลังเขา หันหน้าไปทางตระกูลหลิวสถานที่สุดท้าย จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสุดถนนพร้อมกับผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็กมากกว่าสิบคนเดินไปหาเขาอย่างแน่วแน่

“องค์รัชาทายาท นี่คือตระกูลหลิวพ่ะย่ะค่ะ”

สวีฉังชิงเห็นวิธีของรัชทายาทด้วยตาของตนเอง ก็เลื่อมใสอย่างสุดใจ

ไม่ว่าการสังหารอย่างบุ่มบ่ามจะคุ้มค่าหรือไม่ หรือรัชทายาทสามารถต้านทานความวุ่นวายที่ตามมาได้หรือไม่ ทว่ายามนี้ สายตาอันดุดันของผู้คนโดยรอบ เขาก็รู้ว่ารัชทายาทมีความคิดลึกซึ้งกว่าทุกคนมาก

นอกจากสังหารคนสร้างความน่าเกรงขาม ริบทรัพย์เข้าพระคลังแล้ว รัชทายาทยังครองใจราษฎรด้วย

เมื่อเข้าใจความจริงเหล่านี้ สวีฉังชิงรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และทุ่มเทให้กับหลี่เฉินมากขึ้น

ในยามนี้ เขาเดินไปหาหลี่เฉินและเอ่ยว่า “ตระกูลหลิวค่อนข้างพิเศษ แตกต่างจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่อีกสองเจ้าที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลร่ำรวยของเมืองหลวง สืบทอดมาอย่างน้อยสามชั่วอายุคน แต่การค้าของตระกูลหลิว สร้างขึ้นโดยหัวหน้าตระกูลคนก่อนและค่อย ๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาขึ้นทีละน้อย”

“เมื่อสองปีก่อน หัวหน้าตระกูลหลิวคนก่อนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลหลิวตกอยู่ท่ามกลางแย่งชิงอำนาจ แต่สุดท้ายเป็นหลิวซื่อชุนลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลิวเอาชนะพี่ชายทั้งสองของนางได้ และขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงดูแลตระกูล แต่การค้าของตระกูลหลิว เฟื่องฟูในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะความสามารถของหลิวซือฉุน”

ขณะสวีฉังชิงแนะนำ หลิวซือฉุนก็นำคนในตระกูลหลิวมาถึงหน้าราชรถของหลี่เฉิน

“ข้าน้อยหลิวซือฉุน ขอคารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพันปี พันปี พัน ๆ ปี”

“ข้าน้อยยินดีบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหลิวช่วยเหลือราชสำนักศาลในการบรรเทาภัยพิบัติและผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพียงขอองค์รัชทายาททรงสัญญาเพียงเรื่องเดียว”

หลิวซือฉุนช่างงดงามเหลือเกิน

ผิวพรรณของนางเนียนนุ่มราวกับไขมันที่ถูกบดละเอียด คิ้วสีดำสนิทโค้งเรียวราวกับภูเขาที่อยู่ไกลโพ้น มือของนางอวบอิ่ม เรียวเล็ก และมีสีขาวดำแยกจากกันชัดเจน ดวงตาของนางเปล่งประกายดั่งดวงดาว ปลายจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีแดงสดใสราวกับผลเชอร์รี่ ช่างน่าภิรมย์จนอดอยากจะลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากสีแดงนุ่มนวลนั้น

หากพูดถึงรูปร่างหน้าตาและสัดส่วนแล้ว หลิวซื่อชุนก็ไม่ต่างอะไรกับจ้าวหรุ่ยและจ้าวชิงหลานเลย เพียงแต่ว่าบุคลิกของนางมีความพิเศษเฉพาะตัวที่สุด ผสมผสานความแข็งแกร่งและความฉลาดของนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จเข้ากับความเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างลงตัว ดวงตาสีดำสนิทของนางแฝงไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ดูเหมือนคำว่าไร้เดียงสาจะไม่เหมาะกับนางเลย เพราะว่าผู้ชายไม่มีทางที่จะคาดเดาหรือควบคุมความคิดของนางได้

เมื่อรวมกับประสบการณ์ที่สวีฉังชิงเล่า หลิวซือฉุนหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

หลี่เฉินที่ขี่ม้ามองไปหลิวซือฉุนพล่ยเอ่ยอย่างเย้าแหย่ว่า “บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเพียงเพื่อแลกกับสัญญาจากข้า? น่าสนใจไม่น้อย ลองพูดมาดูสิ”

หลิวซือฉุนคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้านิ่งสงบคงเดิมและตอบว่า “ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะร้องขอ เพียงขอองค์รัชทายาททรงเมตตาและอนุญาตให้ข้าน้อยเป็นตัวแทขนส่งเกลือในพื้นที่นครบาล”

ทันทีที่หลิวซือฉุนพลั้งปากพูดออกมา สีหน้าของสวีฉังชิงก็เปลี่ยนไปทันที

“บังอาจ!”

สวีฉังชิงตะโกนเสียงดุดัน “เกลือถูกควบคุมโดยราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นรากฐานของการดำรงชีวิตของราษฎรและเป็นรากฐานของแคว้นที่ราษฎรไม่อาจกำกับดูแลได้ แล้วจะอนุญาตให้แม่ค้าราษฎรมาดูแลได้อย่างไร”

หลิวซือฉุนสีหน้าเงียบสงบคงเดิม นางเอ่ยด้วยความนอบน้อม “ใต้เท้าสวี ข้าน้อยย่อม รู้ถึงความสำคัญของเกลือ และรู้ด้วยว่าเกลือเป็นของผูกขาดของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลักลอบค้าขายเกลือ มิเช่นนั้นโทษสถานเบาคือเนรเทศ โทษสถานหนักคือประหาร”

“แต่ความประสงค์ของข้าน้อยมิใช่ทำการค้าเกลือ ขายเกลือ เพียงแต่ซื้อเกลือในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดร้อยละสิบจากราชสำนัก แล้วรับผิดชอบค่าขนส่งของเองเพื่อขนส่งเกลือจากที่อื่นไปยังนครบาล ไม่ขายให้ราษฎร ขายให้เพียงทางการเท่านั้น”

“ฉะนั้น จึงไม่ละเมิดผลประโยชน์ของทางการและราษฎร ในทางกลับกัน ทางจะได้รับผลกำไรร้อยละสิบและไม่ต้องรับผิดชอบค่าขนส่งจากแต่ละพื้นที่เข้านครบาล สิ่งนี้มิใช่เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่ายหรือเพคะ”

หลังจากเอ่ยจบ หลิวซือฉุนก็โค้งคำนับให้กับหลี่เฉินอย่างนอบน้อมและเอ่ยอย่างจริงใจ “ตระกูลหลิวของข้าน้อย มีทรัพย์สินรวมทั้งหมดหกล้านสามแสนกว่าตำลึง ยินดีบริจาคทั้งหมดให้กับราชสำนัก”

เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ ทุกคนโดยรอบล้วนอ้าปากค้าง

จักรวรรดิต้าฉินในยามนี้ แม้เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด รายได้ต่อปีของคนทั่วไปมีเพียงสามสิบตำลึงเงินเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีความมั่งคั่งถึงหกล้านสามแสนตำลึง

แม้จะมิได้มีความมั่งคั่งอยู่เหนือแคว้น แต่มีศักยภาพมากพอที่จะซื้อเมืองหนึ่งเมืองใดได้

หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการมาเยือนครั้งนี้ของข้า มาเพื่อกวาดล้างสามพ่อค้าข้าวรายใหญ่อย่างพวกเจ้า”

หลิวซือฉุนกัดฟันเอ่ย “ข้าน้อยทราบดีว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ ข้าน้อยถึงเต็มใจสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด แลกกับความสงบสุขชั่วคราว แต่ข้าน้อยก็ยิ่งเข้าใจดีว่า หากข้าน้อยไม่มีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท ข้าน้อยก็ยากที่จะหนีพ้นความตายได้ ฉะนั้นข้าน้อยจึงปรารถนาที่จะพิสูจน์คุณค่าของตระกูลหลิว ตระกูลหลิวมีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท

หลี่เฉินมีความสุขและยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียจริง ว่ากันว่าสตรีไม่ยอมเป็นรองบุรุษ เพียงความกล้าหาญนี้ ตระกูลหลิวของเจ้าก็เหนือหว่าตระกูลหูและตระกูลเฉินเป็นพันเท่า”

“ข้ายังไม่ตอบรับเจ้า แต่วันนี้จะละเว้นการสังหารตระกูลหลิว อธิบายแผนการของเจ้ามาโดยละเอียดและส่งมายังตำหนักบูรพาภายในสามวัน หากเจ้าทำให้ข้าประทับใจได้ ตระกูลหลิวก็อยู่รอดต่อไป หากเจ้าทำไม่ได้ เก็บตระกูลหลิวไว้สามวันก็ไม่เป็นไร”

หลี่เฉินไม่ได้สังหารหลิวซือฉุน การทะลุมิติของเขาย่อมรู้ดีว่าพลังของการค้าและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากเพียงใด หากตระกูลหลิวใช้การได้ เขาก็คงไม่รังเกียจที่จะสนับสนุนตระกูลหลิว

“ข้าน้อย ขอขอบพระทัยในความเมตตาขององค์รัชทายาทเพคะ”

หลิวซือฉุนหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโล่งอก แล้วล้มลงกับพื้นและเอ่ยออกมา

หลี่เฉินละสายตาและเอ่ยเสียงราบเรียบ “กลับตำหนักบูรพา”

หลังจากที่ราชรถและองครักษ์ของรัชทายาทจากไปแล้ว ผู้คนโดยรอบก็แยกย้ายกันไปด้วยความสนอกสนใจและการพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย หลิวซือฉุนทรุดตัวลงและคุกเข่าลงบนพื้น ในยามนี้ นางรู้สึกว่าแผ่นหลังของนางเปียกโชก

ข้างหลังนาง สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลิวเดินเข้ามาช่วยประคองหลิวซือฉุนลุกขึ้น และเอ่ยอย่างขมขื่น “การสะสมของตระกูลหลิวสองรุ่นมานานหลายทศวรรษจะมอบออกไปเช่นนี้จริงๆ หรือ”

หลิวซือฉุนกัดฟันตอบ “เสียดายรึ ทั้งตระกูลหูและตระกูลเฉินล้วนเสียดาย ดูจุดจบของพวกเขาสิ”

“เมื่อได้รับจดหมายเชื้อเชิญจากรัชทายาท ข้าบอกว่าต้องไป พวกเจ้ายืนกรานที่จะฟังคำเฉียนฮั่น ยามนี้เฉียนฮั่นถูกฆ่าล้างตระกูล พวกเจ้าก็รู้ความน่าสะพรึงกลัวแล้ว หากมิใช่ข้าส่งสายลับสืบความเกี่ยวกับสองตระกูลล่วงหน้า เกรงว่าวันนี้ตระกูลหลิวคงถูกกำจัดจนสิ้นซากไปแล้ว!”

คนในตระกูลที่อยู่โดยรอบดูเศร้าโศก

“แต่เราสละทรัพย์สินทั้งหมด ก็ไม่อาจเลี่ยงความหายนะนี้ได้ องค์รัชทายาทให้เวลาเราสามวัน เราขนส่งเกลือขาดทุน องค์รัชทายาทอาจไม่รู้ว่าเรามีเหมืองเกลือส่วนตัว เมื่อถึงเวลานั้น นี่คือโทษประหาร แล้วจะทำอย่างไรกัน”

ดวงตางดงามของหลิวซือฉุนแน่วแน่ กัดฟันตอบว่า “หากราชสำนักรู้ ก็ต้องตาย หากรัชทายาทรู้เพียงคนเดียว ไม่แน่อาจเป็นโอกาสสำหรับตระกูลหลิวเรา ยามนี้ตระกูลหลิวตกอยู่ในสถานการณ์ปางตาย ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า รัชทายาทต้องการคนสนับสนุน พวกเราส่งมอบทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งหมด...เสี่ยงดูสักตั้ง!”

หลี่เฉินเข้าออกตำหนักบูรพาเพียงสองชั่วยาม แต่กวาดล้างทั้งตระกูลหู ตระกูลเฉินและเฉียนฮั่น ทั้งหมด รวมร้อยชีวิต

ผลกระทบที่ตามมาของเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือน

และเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดถึงจ้าวเสวียนจี ก็เป็นเวลากลางดึกของวันแล้ว

เฉียนฮั่นในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ก้นกุฏิของจ้าวเสวียน เขาถูแกวาดล้างทั้งตระกูล ได้ล้ำเส้นของจ้าวเสวียนจีแล้ว

ฉะนั้น ดวงตาของจ้าวเสวียนจีจึงมืดมนลงอย่างน่าสะพรึงกลัว

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status