แชร์

บทที่ 13

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้น

ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออก

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันที

สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขา

หลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด

ในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่สงสารราษฎร ละเลยความความซื่อสัตย์สุจริต ทิ้งขว้างความดีงามไว้เบื้องหลัง ความชั่วร้ายท่วมท้น บรรยายไม่สิ้นสุด ไม่ประหารชีวิต ยากที่จะสงบความโกรธแค้นของราษฎร!”

“ประกาศคำสั่งองค์รัชทายาท เฉียนฮั่นต้องโทษประหารชีวิตแล้ว ประหารชีวิตหน่วยบูรพาทั้งสามชั่วโคตร ญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งเก้าชั่วโคตร ลดฐานะเป็นทาส ห้ามมิให้เปลี่ยนฐานะเป็นอันขาด

“และยังมีพ่อค้าหน้าเลือดหูเชียน ฉวยโอกาสช่วงที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย กอบโกยผลประโยชน์จากความทุกข์ยากของประชาชน จนทำให้เกิดเสียงโห่ร้องประณามจากราษฎร แต่ยังคงดื้อดึงไม่สำนึกผิด ในที่สุดก็ถูกสั่งประหารชีวิตทั้งตระกูล สมบัติทั้งหมดถูกยึดมาเป็นของหลวง”

เฉียนฮั่นใบหน้าอาบเลือด เต็มไปด้วยเลือด บาดแผลลึกถึงกระดูกบนหน้าผากยังคงมีเลือดออก ดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง หลังจากได้ยินสองประโยคนี้ ดวงตาของเขาไม่รู้ว่าเผยความเสียใจหรือเกลียดชังและเสียชีวิตลงในที่สุด

เหตุการณ์ที่ตามมาคือการร้องขอความเมตตาและร้องไห้ของตระกูลหูเชียน

“ตระกูลเฉินจิ้งชวนเจ้าเล่ห์นัก ถูกโยนเข้าคุกหน่วยบูรพา แต่อย่างน้อยจะไม่ตายในทันที และไม่เพียงเจ้าเล่ห์เท่านั้น แต่ยังพยายามหาเฉียนฮั่นมาต่อกรกับข้า ก็กวาดล้างให้หมดสิ้นไปเถิด”

หลี่เฉินเหลือบมองหูเชียนอย่างเฉยเมยที่เสียใจกับเปล่งเสียงกรีดร้องแห่งความหวาดกลัว จึงหันหลังกลับไปพร้อมกับขบวนทัพของเขา

เขายังต้องไปอีกตระกูล ยุ่งมาก

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท โปรดทรงเมตตาด้วยองค์รัชทายาท!”

ข้างหลัง เสียงกรีดร้องของหูเชียนดังขึ้น แต่ก็หยุดทันที และตามมาด้วยเสียงใบมีดที่ทิ่มแทงทะลุเนื้อ

ณ ประตูตระกูลหู เลือดไหลพรากราวกับแม่น้ำ ผู้คนโดยรอบใบหน้าซีดเผือกด้วยความกลัว

เพียงแต่รัชทายาทสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุกคนเห็นแล้ว บนร่างกายของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงพบตั๋วเงินจำนวนหลายล้านตำลึง รวมถึงพ่อค้าหน้าเลือดนั่น ก็เช่นเดียวกับเฉินจิงฉวนที่เปิดร้านขายข้าวรอให้ขึ้นราคา ไม่รู้ว่ามีคนสูญเสียเงินด้วยเหตุนี้ไปเท่าใด

ฉะนั้น แม้ฉากนี้จะดูนองเลือดและผู้คนหวาดกลัว แต่หลายคนก็ยังเห็นด้วยกับรัชทายาท

ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ควรประหาร!

พ่อค้าหน้าเลือด ยิ่งควรประหาร!

หลี่เฉินเพิกเฉยต่อทะเลเลือดที่อยู่ข้างหลังเขา หันหน้าไปทางตระกูลหลิวสถานที่สุดท้าย จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสุดถนนพร้อมกับผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็กมากกว่าสิบคนเดินไปหาเขาอย่างแน่วแน่

“องค์รัชาทายาท นี่คือตระกูลหลิวพ่ะย่ะค่ะ”

สวีฉังชิงเห็นวิธีของรัชทายาทด้วยตาของตนเอง ก็เลื่อมใสอย่างสุดใจ

ไม่ว่าการสังหารอย่างบุ่มบ่ามจะคุ้มค่าหรือไม่ หรือรัชทายาทสามารถต้านทานความวุ่นวายที่ตามมาได้หรือไม่ ทว่ายามนี้ สายตาอันดุดันของผู้คนโดยรอบ เขาก็รู้ว่ารัชทายาทมีความคิดลึกซึ้งกว่าทุกคนมาก

นอกจากสังหารคนสร้างความน่าเกรงขาม ริบทรัพย์เข้าพระคลังแล้ว รัชทายาทยังครองใจราษฎรด้วย

เมื่อเข้าใจความจริงเหล่านี้ สวีฉังชิงรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และทุ่มเทให้กับหลี่เฉินมากขึ้น

ในยามนี้ เขาเดินไปหาหลี่เฉินและเอ่ยว่า “ตระกูลหลิวค่อนข้างพิเศษ แตกต่างจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่อีกสองเจ้าที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลร่ำรวยของเมืองหลวง สืบทอดมาอย่างน้อยสามชั่วอายุคน แต่การค้าของตระกูลหลิว สร้างขึ้นโดยหัวหน้าตระกูลคนก่อนและค่อย ๆ สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาขึ้นทีละน้อย”

“เมื่อสองปีก่อน หัวหน้าตระกูลหลิวคนก่อนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลหลิวตกอยู่ท่ามกลางแย่งชิงอำนาจ แต่สุดท้ายเป็นหลิวซื่อชุนลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลิวเอาชนะพี่ชายทั้งสองของนางได้ และขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงดูแลตระกูล แต่การค้าของตระกูลหลิว เฟื่องฟูในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะความสามารถของหลิวซือฉุน”

ขณะสวีฉังชิงแนะนำ หลิวซือฉุนก็นำคนในตระกูลหลิวมาถึงหน้าราชรถของหลี่เฉิน

“ข้าน้อยหลิวซือฉุน ขอคารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพันปี พันปี พัน ๆ ปี”

“ข้าน้อยยินดีบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหลิวช่วยเหลือราชสำนักศาลในการบรรเทาภัยพิบัติและผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพียงขอองค์รัชทายาททรงสัญญาเพียงเรื่องเดียว”

หลิวซือฉุนช่างงดงามเหลือเกิน

ผิวพรรณของนางเนียนนุ่มราวกับไขมันที่ถูกบดละเอียด คิ้วสีดำสนิทโค้งเรียวราวกับภูเขาที่อยู่ไกลโพ้น มือของนางอวบอิ่ม เรียวเล็ก และมีสีขาวดำแยกจากกันชัดเจน ดวงตาของนางเปล่งประกายดั่งดวงดาว ปลายจมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีแดงสดใสราวกับผลเชอร์รี่ ช่างน่าภิรมย์จนอดอยากจะลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากสีแดงนุ่มนวลนั้น

หากพูดถึงรูปร่างหน้าตาและสัดส่วนแล้ว หลิวซื่อชุนก็ไม่ต่างอะไรกับจ้าวหรุ่ยและจ้าวชิงหลานเลย เพียงแต่ว่าบุคลิกของนางมีความพิเศษเฉพาะตัวที่สุด ผสมผสานความแข็งแกร่งและความฉลาดของนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จเข้ากับความเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างลงตัว ดวงตาสีดำสนิทของนางแฝงไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ดูเหมือนคำว่าไร้เดียงสาจะไม่เหมาะกับนางเลย เพราะว่าผู้ชายไม่มีทางที่จะคาดเดาหรือควบคุมความคิดของนางได้

เมื่อรวมกับประสบการณ์ที่สวีฉังชิงเล่า หลิวซือฉุนหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

หลี่เฉินที่ขี่ม้ามองไปหลิวซือฉุนพล่ยเอ่ยอย่างเย้าแหย่ว่า “บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเพียงเพื่อแลกกับสัญญาจากข้า? น่าสนใจไม่น้อย ลองพูดมาดูสิ”

หลิวซือฉุนคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้านิ่งสงบคงเดิมและตอบว่า “ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะร้องขอ เพียงขอองค์รัชทายาททรงเมตตาและอนุญาตให้ข้าน้อยเป็นตัวแทขนส่งเกลือในพื้นที่นครบาล”

ทันทีที่หลิวซือฉุนพลั้งปากพูดออกมา สีหน้าของสวีฉังชิงก็เปลี่ยนไปทันที

“บังอาจ!”

สวีฉังชิงตะโกนเสียงดุดัน “เกลือถูกควบคุมโดยราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นรากฐานของการดำรงชีวิตของราษฎรและเป็นรากฐานของแคว้นที่ราษฎรไม่อาจกำกับดูแลได้ แล้วจะอนุญาตให้แม่ค้าราษฎรมาดูแลได้อย่างไร”

หลิวซือฉุนสีหน้าเงียบสงบคงเดิม นางเอ่ยด้วยความนอบน้อม “ใต้เท้าสวี ข้าน้อยย่อม รู้ถึงความสำคัญของเกลือ และรู้ด้วยว่าเกลือเป็นของผูกขาดของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลักลอบค้าขายเกลือ มิเช่นนั้นโทษสถานเบาคือเนรเทศ โทษสถานหนักคือประหาร”

“แต่ความประสงค์ของข้าน้อยมิใช่ทำการค้าเกลือ ขายเกลือ เพียงแต่ซื้อเกลือในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดร้อยละสิบจากราชสำนัก แล้วรับผิดชอบค่าขนส่งของเองเพื่อขนส่งเกลือจากที่อื่นไปยังนครบาล ไม่ขายให้ราษฎร ขายให้เพียงทางการเท่านั้น”

“ฉะนั้น จึงไม่ละเมิดผลประโยชน์ของทางการและราษฎร ในทางกลับกัน ทางจะได้รับผลกำไรร้อยละสิบและไม่ต้องรับผิดชอบค่าขนส่งจากแต่ละพื้นที่เข้านครบาล สิ่งนี้มิใช่เป็นผลดีกันทั้งสองฝ่ายหรือเพคะ”

หลังจากเอ่ยจบ หลิวซือฉุนก็โค้งคำนับให้กับหลี่เฉินอย่างนอบน้อมและเอ่ยอย่างจริงใจ “ตระกูลหลิวของข้าน้อย มีทรัพย์สินรวมทั้งหมดหกล้านสามแสนกว่าตำลึง ยินดีบริจาคทั้งหมดให้กับราชสำนัก”

เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ ทุกคนโดยรอบล้วนอ้าปากค้าง

จักรวรรดิต้าฉินในยามนี้ แม้เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด รายได้ต่อปีของคนทั่วไปมีเพียงสามสิบตำลึงเงินเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีความมั่งคั่งถึงหกล้านสามแสนตำลึง

แม้จะมิได้มีความมั่งคั่งอยู่เหนือแคว้น แต่มีศักยภาพมากพอที่จะซื้อเมืองหนึ่งเมืองใดได้

หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการมาเยือนครั้งนี้ของข้า มาเพื่อกวาดล้างสามพ่อค้าข้าวรายใหญ่อย่างพวกเจ้า”

หลิวซือฉุนกัดฟันเอ่ย “ข้าน้อยทราบดีว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ ข้าน้อยถึงเต็มใจสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด แลกกับความสงบสุขชั่วคราว แต่ข้าน้อยก็ยิ่งเข้าใจดีว่า หากข้าน้อยไม่มีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท ข้าน้อยก็ยากที่จะหนีพ้นความตายได้ ฉะนั้นข้าน้อยจึงปรารถนาที่จะพิสูจน์คุณค่าของตระกูลหลิว ตระกูลหลิวมีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท

หลี่เฉินมีความสุขและยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียจริง ว่ากันว่าสตรีไม่ยอมเป็นรองบุรุษ เพียงความกล้าหาญนี้ ตระกูลหลิวของเจ้าก็เหนือหว่าตระกูลหูและตระกูลเฉินเป็นพันเท่า”

“ข้ายังไม่ตอบรับเจ้า แต่วันนี้จะละเว้นการสังหารตระกูลหลิว อธิบายแผนการของเจ้ามาโดยละเอียดและส่งมายังตำหนักบูรพาภายในสามวัน หากเจ้าทำให้ข้าประทับใจได้ ตระกูลหลิวก็อยู่รอดต่อไป หากเจ้าทำไม่ได้ เก็บตระกูลหลิวไว้สามวันก็ไม่เป็นไร”

หลี่เฉินไม่ได้สังหารหลิวซือฉุน การทะลุมิติของเขาย่อมรู้ดีว่าพลังของการค้าและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากเพียงใด หากตระกูลหลิวใช้การได้ เขาก็คงไม่รังเกียจที่จะสนับสนุนตระกูลหลิว

“ข้าน้อย ขอขอบพระทัยในความเมตตาขององค์รัชทายาทเพคะ”

หลิวซือฉุนหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโล่งอก แล้วล้มลงกับพื้นและเอ่ยออกมา

หลี่เฉินละสายตาและเอ่ยเสียงราบเรียบ “กลับตำหนักบูรพา”

หลังจากที่ราชรถและองครักษ์ของรัชทายาทจากไปแล้ว ผู้คนโดยรอบก็แยกย้ายกันไปด้วยความสนอกสนใจและการพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย หลิวซือฉุนทรุดตัวลงและคุกเข่าลงบนพื้น ในยามนี้ นางรู้สึกว่าแผ่นหลังของนางเปียกโชก

ข้างหลังนาง สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลิวเดินเข้ามาช่วยประคองหลิวซือฉุนลุกขึ้น และเอ่ยอย่างขมขื่น “การสะสมของตระกูลหลิวสองรุ่นมานานหลายทศวรรษจะมอบออกไปเช่นนี้จริงๆ หรือ”

หลิวซือฉุนกัดฟันตอบ “เสียดายรึ ทั้งตระกูลหูและตระกูลเฉินล้วนเสียดาย ดูจุดจบของพวกเขาสิ”

“เมื่อได้รับจดหมายเชื้อเชิญจากรัชทายาท ข้าบอกว่าต้องไป พวกเจ้ายืนกรานที่จะฟังคำเฉียนฮั่น ยามนี้เฉียนฮั่นถูกฆ่าล้างตระกูล พวกเจ้าก็รู้ความน่าสะพรึงกลัวแล้ว หากมิใช่ข้าส่งสายลับสืบความเกี่ยวกับสองตระกูลล่วงหน้า เกรงว่าวันนี้ตระกูลหลิวคงถูกกำจัดจนสิ้นซากไปแล้ว!”

คนในตระกูลที่อยู่โดยรอบดูเศร้าโศก

“แต่เราสละทรัพย์สินทั้งหมด ก็ไม่อาจเลี่ยงความหายนะนี้ได้ องค์รัชทายาทให้เวลาเราสามวัน เราขนส่งเกลือขาดทุน องค์รัชทายาทอาจไม่รู้ว่าเรามีเหมืองเกลือส่วนตัว เมื่อถึงเวลานั้น นี่คือโทษประหาร แล้วจะทำอย่างไรกัน”

ดวงตางดงามของหลิวซือฉุนแน่วแน่ กัดฟันตอบว่า “หากราชสำนักรู้ ก็ต้องตาย หากรัชทายาทรู้เพียงคนเดียว ไม่แน่อาจเป็นโอกาสสำหรับตระกูลหลิวเรา ยามนี้ตระกูลหลิวตกอยู่ในสถานการณ์ปางตาย ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า รัชทายาทต้องการคนสนับสนุน พวกเราส่งมอบทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งหมด...เสี่ยงดูสักตั้ง!”

หลี่เฉินเข้าออกตำหนักบูรพาเพียงสองชั่วยาม แต่กวาดล้างทั้งตระกูลหู ตระกูลเฉินและเฉียนฮั่น ทั้งหมด รวมร้อยชีวิต

ผลกระทบที่ตามมาของเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงสั่นสะเทือน

และเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดถึงจ้าวเสวียนจี ก็เป็นเวลากลางดึกของวันแล้ว

เฉียนฮั่นในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ก้นกุฏิของจ้าวเสวียน เขาถูแกวาดล้างทั้งตระกูล ได้ล้ำเส้นของจ้าวเสวียนจีแล้ว

ฉะนั้น ดวงตาของจ้าวเสวียนจีจึงมืดมนลงอย่างน่าสะพรึงกลัว

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 19

    หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 20

    ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกไป ขุนนางทุกคนในวังก็โกรธจัด โดยเฉพาะซุนปั๋วหลี่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตะโกนด้วยความโมโหว่า “ชายที่โดนตอนแล้วอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกปราญช์ และพูดถ้อยคำสกปรกในโถงใหญ่!?”เมื่อซานเป่าได้ยินคำว่าชายที่โดนตอนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขันทีในโลกอยากจะได้ยิน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าซุน นี่เป็นคำพูดขององค์รัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าจะเผยแพร่คำพูดขององค์รัชทายาทส่งๆ ได้ ท่านสามารถถามองค์รัชทายาทด้วยตัวเองได้”“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นชายที่โดนตอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าคำว่าจงรักภักดีมันเขียนเช่นไร ไม่ว่าปากของข้าน้อยจะสกปรกแค่ไหน ก็ไม่เท่าใต้เท้าซุนที่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรง เป็นสุนัขให้ผู้อื่นในขณะที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักนั้นสกปรกมาก”ซุนปั๋วหลี่ตาโต โมโหจนพูดไม่ออก“เจ้า...”“เอาล่ะ!”หวังเถิงฮ่วน มหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่เหลือบมองซานเป่าอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซุนปั๋วหลี่ว่า “ใต้เท้าซุน ท่านกับข้าแค่รออย่างอดทนอีกสักพัก ไม่มีเหตุผลที่จะไปเถียงกับสุนัขที่ตอนแล้วเพื่อทำลายอารมณ์ของตัวเอง” ใ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 21

    คำพูดของหลี่เฉินนั้น ทำให้ซุนปั๋วหลี่เกร็งไปทั้งตัวแม้ว่าเขาจะติดตามใต้เท้าราชเลขาธิการไปบีบบังคับให้องค์รัชทายาทสละตำแหน่ง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเต็มใจที่ถูกองค์รัชทายาทจับจุดอ่อนในเรื่องนี้“องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะด้วย กระหม่อมไม่ได้เร่งรัดซานเป่ากงกงหลายครั้ง เพียงแต่พวกกระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะหารือกับองค์รัชทายาท ด้วยกลัวว่าจะหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าจนเสียงานสำคัญ เพราะเหตุฉะนี้จึงถามมากไปหน่อย กระหม่อมมิได้มีเจตนาล่วงเกินองค์รัชทายาทแต่อย่างใด”เมื่อพูดคุยตามปกติมาถึงจุดนี้ หลี่เฉินซึ่งอยู่ในฐานะองค์รัชทายาท แม้จะไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องปล่อยวางไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นหาว่าใจแคบเอาได้แต่คราวนี้หลี่เฉินกลับพูดอย่างไม่เลิกรา “งานสำคัญงั้นรึ เจ้าซุนปั๋วหลี่วันนี้มีงานสำคัญ เลยกล้าเมินเฉยเร่งรัดให้ข้ามาจนเย็นย่ำ คราวหน้าหากมีงานสำคัญอีก มิต้องให้ข้าไปรอเจ้าเรียกเข้าพบถึงที่จวนเจ้าหรอกหรือ?”คำพูดเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางที่เหมือนบิดากับบุตร ในยุคศักดินาที่กษัตริย์คือสวรรค์ นี่เป็นคำพูดที่ร้ายแรงมากซุนปั๋วหลี่ตกใจจนพูดไ

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 902

    "นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 901

    หลี่เฉินวางถ้วยชาลง มองพระเฒ่าฝั่งตรงข้ามพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้ที่บ่อนทำลายบ้านเมือง ไม่เคยเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน หรือแม้กระทั่งในรุ่นเดียว บางครั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นอาจมาจากความตั้งใจที่ดี แต่เมื่อเป็นการปกครองโดยมนุษย์ ความผิดพลาดในแนวคิดของผู้สืบทอดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้”“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์นี้ ได้ทรงบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมศาสนาทั่วหล้า ในฐานะทายาทรุ่นหลัง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ได้โดยง่าย”พระเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของสิ่งที่ตนกำลังจะทำ จากท่าทีของหลี่เฉินแต่เมื่อคิดถึงความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเฒ่าก็มีบางคำที่ต้องเอ่ย และบางสิ่งที่ต้องลงมือทำเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย ในเมื่อท่านยอมเปิดโอกาสพูดคุยกับอาตมา แสดงว่ายังมีทางอื่นอีก”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมีทาง”“ข้าขอถามท่านอาจารย์ว่า ที่ท่านว่ามานั้นเกี่ยวข้องกับเส้าหลินฝ่ายใต้หรือเส้าหลินฝ่ายเหนือ?”พุทธศาสนาในจักรวรรดิต้าฉิน โดยมีเส้าหลินเป็นศูนย์กลาง แต่เส้าหลินนั้นแยกออกเป็นสองฝ่าย คือเส้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 900

    หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กฎหมายข้อนี้ แม้จะมีถ้อยคำเพียงไม่กี่ร้อยคำ แต่ก็เหมือนกับคาถาที่รัดคอไว้แน่น พุทธและเต๋าต่างไม่สามารถกลับไปสู่ยุคเฟื่องฟูเช่นราชวงศ์ก่อนหน้านี้ได้ ท่านอาจารย์ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อขอให้ข้าเปิดทางให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”พระสงฆ์ตอบตรงไปตรงมา“ใช่”หลี่เฉินยิ้มบาง “ข้าชอบความตรงไปตรงมาของท่าน แต่ท่านคิดว่าข้าจะยอมเปลี่ยนกฎที่บรรพชนตั้งไว้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำหรือ?”“จะบอกให้รู้ไว้ ข้าคิดว่ากฎหมายข้อนี้เป็นกฎหมายที่ยอดเยี่ยม เป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของบรรพชน มันช่วยป้องกันปัญหานับไม่ถ้วนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และท่านอยากให้ข้าทำลายมันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”พระสงฆ์ยังคงสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บรรพชนของพวกเราก็พยายามทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน แต่ตลอดกว่า 360 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของมัน”“องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่อาจถูกหลอกลวงหรือถูกชักจูง ข้าจึงไม่คิดจะใช้เล่ห์กลกับท่าน ข้ามาเพียงเพื่อขอร้อง ให้ท่านช่วยเปิ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 899

    แม้แต่ซานเป่าเองยังรู้สึกว่า ท่าทีขององค์รัชทายาทในวันนี้ค่อนข้างกดดันและคุกคามเกินไปแต่พระสงฆ์ผู้เฒ่าหลังจากที่แสดงความโกรธไปชั่วครู่ กลับสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไรอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “องค์ชายทรงเป็นผู้ที่ผู้คนคาดหวังและยอมรับโดยทั่ว พุทธศาสนาเพียงขอทางรอด ไม่ได้หวังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางโลก ขอให้องค์ชายทรงเมตตา”ดวงตาของหลี่เฉินหรี่ลงเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่มีความชอบต่อศาสนาใดๆ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่สามารถนำมาสนับสนุนการปกครองของเขาได้ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเสวียนจียังไม่ได้ถูกกำจัด บรรดาอ๋องต่างแคว้นยังคงจับตาดูอยู่ และการควบคุมจักรวรรดิต้าฉินของเขายังไม่ถึงจุดที่สามารถวางใจได้ การสนับสนุนจากพุทธศาสนาอาจเป็นกองกำลังลับที่ช่วยพลิกสถานการณ์ได้และถึงอย่างไร เขาก็ไม่คิดที่จะผลักพวกพระไปเข้ากับฝ่ายศัตรู"ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้"หลี่เฉินหันไปสั่งซานเป่า "จัดหาที่ที่เงียบสงบสักแห่ง"ซานเป่ารับคำสั่งและรีบไปดำเนินการสำหรับซานเป่าแล้ว การหาที่เงียบสงบใกล้ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับมาพร้อมสถานที่เรียบร้อยเขาเลื

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 898

    "ช่างเป็นคำพูดที่ดี”หลี่เฉินหัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นก็ลองดูกันสักตั้ง""ซานเป่า"เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากหลี่เฉิน ร่างกายของซานเป่าก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาคำพูดเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว และหลี่เฉินก็แสดงเจตนาชัดเจนว่า เขาต้องการให้พระสงฆ์ตรงหน้าได้ลิ้มรสพลังของอำนาจจักรวรรดิถูกต้อง หลี่เฉินตั้งใจจะให้พระเฒ่าผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจกษัตริย์ภายใต้ระบอบศักดินาว่าเป็นเช่นไรด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานับพันปี หลี่เฉินรู้ดีว่าการจัดการศาสนาในทุกรูปแบบนั้นต้องใช้ความระมัดระวังไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นสองศาสนาหลักของแผ่นดินจีน หรือแม้แต่พวกตูลูหรือพระลามะในท้องถิ่น ที่แม้จะเป็นศาสนาสาขาเล็กๆ ก็ยังสามารถระดมศิษยานุศิษย์มาสร้างแนวคิดแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงความคิดกบฏปลอมๆ ได้ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ หลี่เฉินก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสองศาสนาใหญ่เหล่านี้เพราะเหตุใดเล่า? ก็เพราะพวกนี้รับมือยากยิ่งส่วนลัทธิอย่างสำนักบัวขาว ซึ่งเป็นศาสนาเทียมและความเชื่อปลอมๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แยกออกไปแต่พระสงฆ์ตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง และหลี่เฉินก็

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 897

    “ถอยไป ข้าจะคุยกับเขาเอง” หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าถอยออกไปซานเป่ายังคงระวังตัวสูงสุด เขาจ้องมองพระสงฆ์ผู้มีท่าทางสงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาตรงหน้า แต่ภายในใจกลับรู้สึกกังวล “แต่องค์ชาย…”“ตอนนี้ถ้าเขาต้องการฆ่าข้า เจ้าจะหยุดเขาได้หรือ?”คำถามของหลี่เฉินทำให้ซานเป่าเงียบไประดับครึ่งเซียนบนดิน กับเซียนบนดินเต็มขั้น คือคนละชั้นโดยสิ้นเชิง พลังของพระสงฆ์ตรงหน้าเหมือนอยู่ระหว่างการมีตัวตนและไม่มีตัวตน ซานเป่ารู้ดีว่าเขาไม่สามารถจับตำแหน่งที่แน่ชัดของอีกฝ่ายได้เลยจากสัญชาตญาณ ซานเป่ารู้ว่าหากพระสงฆ์ลงมือเต็มกำลัง ในระยะนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถปกป้ององค์ชายได้ แม้แต่ชีวิตของเขาเองก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ภายในเวลาเพียงสามลมหายใจ คนทั้งหมดในบริเวณนี้อาจถูกสังหารจนหมดสิ้นแม้มันจะน่ากลัว แต่ก็เป็นความจริงสุดท้าย ซานเป่าจึงกัดฟันแน่นและถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจหลี่เฉินกอดอกมองดูพระสงฆ์ผู้มีเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเหนือโลก แล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “มีเรื่องอะไร?”พระสงฆ์ยกมือประนมและก้มตัวเล็กน้อย “อมิตาภพุทธ ท่านผู้มีบุญ…”“อย่าเรียกข้าว่าผู้มีบุญเลย”หลี่เฉิ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 896

    หลี่เฉินมองดูท่าทีเฉยเมยของซานเป่าและไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่านั้นบางทีอาจเพราะนิสัยที่มั่นคงเช่นนี้ ซานเป่าจึงยังคงอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ในวันนี้ หลี่เฉินต้องการได้ยินความจริงใจจากซานเป่า แต่ถ้าหากซานเป่าพูดความจริงออกมาจริงๆ วันข้างหน้าหลี่เฉินอาจจะไม่พอใจและสูญเสียความไว้วางใจก็เป็นได้จิตใจของกษัตริย์นั้นยากจะหยั่งถึง แม้แต่ตัวหลี่เฉินเองบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าตนคิดอะไรอยู่ แล้วคนอื่นจะเข้าใจได้อย่างไรวันนี้เขาอยากให้ซานเป่าพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่วันพรุ่งนี้เมื่อย้อนคิด เขาอาจรู้สึกไม่ดีแม้แต่หลี่เฉินเองยังเหนื่อนแทนซานเป่าดังนั้นในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าดีแล้วความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางต้องแยกแยะให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะยุ่งเหยิงระหว่างเดินอยู่ในฝูงชน หลี่เฉินพูดขึ้น “การเก็บกวนจือเหวยไว้เพื่อเล่นงานจ้าวเสวียนจีไม่ใช่แผนที่ดี เพราะเขาฉลาดเกินไป”“วันนี้เราสามารถจับตัวกวนจือเหวยได้เพราะจ้าวเสวียนจีไม่รู้ว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับที่ซ่อนกองกำลังของเขามากเพียงใด ประกอบกับสถานการณ์ที่เร่งรีบทำให้เขาพลาด แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง เขาจะต้องรู้ตัวว่าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 895

    เมื่อได้ยินคำสารภาพของกวนจือเหวย ภรรยาของเขาก็ถึงกับตกใจจนกรีดร้องนางรีบคุกเข่าลงข้างสามีและก้มกราบหลี่เฉินพร้อมทั้งขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นความผิดปกติของพ่อแม่ ทำให้กวนซานเยว่ที่อยู่ข้างหลี่เฉินละทิ้งขาหมูในมือ แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังท่ามกลางเสียงกราบไหว้ เสียงร้องขอชีวิต และเสียงร้องไห้ของเด็ก ทำให้บรรยากาศยิ่งวุ่นวายขึ้นมาซานเป่าส่งเสียงฮึมด้วยพลังภายใน เสียงดังลั่นนั้นทำให้ความวุ่นวายทั้งหมดยุติลงในทันที“เงียบ!”เขาตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จะร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าองค์ชายเช่นนี้มันไม่เหมาะสม!”จากนั้นซานเป่าหันไปถามกวนจือเหวยด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าให้ข้อมูลอะไรแก่จ้าวเสวียนจีไปบ้าง?”กวนจือเหวยตัวสั่นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่มากนักพ่ะย่ะค่ะ จ้าวเสวียนจีไม่ค่อยขอข้อมูลจากกระหม่อม ยิ่งเมื่อกระหม่อมเข้าไปในตำหนักบูรพา เขาก็ยิ่งระมัดระวังขึ้น เขาหวังให้กระหม่อมเข้าไปใกล้ชิดองค์ชายให้ได้มากที่สุด เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด”ซานเป่าพยักหน้า สีหน้าค่อยดีขึ้นเล็กน้อยจากนั้นเขาหันไปมองหลี่เฉินเรื่องที่ควรถามก็ถามแล้ว ตอนนี้รอการตัดสินใจของหลี่เฉินหลี่เฉ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 894

    ลมหายใจของกวนจือเหวยถี่กระชั้น หัวใจเต้นรัวแม้ว่าเมืองหลวงในยามค่ำคืนจะมีอากาศเย็นสบายแต่เหงื่อเย็นกลับไหลลงมาจากหน้าผากของกวนจือเหวย เขากลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “องค์ชายหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจงรักภักดีเสมอมา”“ใต้เท้ากวน”ซานเป่าที่เฝ้าอยู่ด้านหลังหลี่เฉิน ในที่สุดก็ปริปากเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะปฏิเสธอีกหรือ? องค์ชายเสด็จมาด้วยตัวเอง นั่นคือการให้โอกาสเจ้าเลือกจบเรื่องอย่างมีเกียรติ การที่องค์ชายพูดถึงเวลาที่เจ้าอยู่ในความดูแลของเขานั้น ก็เพื่อบอกให้เจ้ารู้ว่ายังมีความเมตตาต่อเจ้าอยู่ อย่าทำลายความเมตตานี้เสียเปล่า”ร่างกายของกวนจือเหวยสั่นระริก ใบหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัดเขาไม่ได้พูดอะไรไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าพูด หรือไม่รู้จะพูดอะไรดีซานเป่าเห็นหลี่เฉินยังไม่เอ่ยปาก จึงพูดต่อว่า “ใต้เท้ากวนยังจำภารกิจปราบปรามที่ได้รับมอบหมายได้หรือไม่?”“จำได้สิ”กวนจือเหวยฝืนยิ้มและตอบ “ข้าทำภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดี”“เพราะมัน ดีเกินไปนั่นแหละ”ซานเป่าหัวเราะเย็นชา “ไม่ใช่แค่เจ้า แต่ทั้งสวีฉังชิงและเจิ้งเป่าหรงก็ได

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status