หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกไป ขุนนางทุกคนในวังก็โกรธจัด โดยเฉพาะซุนปั๋วหลี่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตะโกนด้วยความโมโหว่า “ชายที่โดนตอนแล้วอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกปราญช์ และพูดถ้อยคำสกปรกในโถงใหญ่!?”เมื่อซานเป่าได้ยินคำว่าชายที่โดนตอนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขันทีในโลกอยากจะได้ยิน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าซุน นี่เป็นคำพูดขององค์รัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าจะเผยแพร่คำพูดขององค์รัชทายาทส่งๆ ได้ ท่านสามารถถามองค์รัชทายาทด้วยตัวเองได้”“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นชายที่โดนตอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าคำว่าจงรักภักดีมันเขียนเช่นไร ไม่ว่าปากของข้าน้อยจะสกปรกแค่ไหน ก็ไม่เท่าใต้เท้าซุนที่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรง เป็นสุนัขให้ผู้อื่นในขณะที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักนั้นสกปรกมาก”ซุนปั๋วหลี่ตาโต โมโหจนพูดไม่ออก“เจ้า...”“เอาล่ะ!”หวังเถิงฮ่วน มหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่เหลือบมองซานเป่าอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซุนปั๋วหลี่ว่า “ใต้เท้าซุน ท่านกับข้าแค่รออย่างอดทนอีกสักพัก ไม่มีเหตุผลที่จะไปเถียงกับสุนัขที่ตอนแล้วเพื่อทำลายอารมณ์ของตัวเอง” ใ
คำพูดของหลี่เฉินนั้น ทำให้ซุนปั๋วหลี่เกร็งไปทั้งตัวแม้ว่าเขาจะติดตามใต้เท้าราชเลขาธิการไปบีบบังคับให้องค์รัชทายาทสละตำแหน่ง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเต็มใจที่ถูกองค์รัชทายาทจับจุดอ่อนในเรื่องนี้“องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะด้วย กระหม่อมไม่ได้เร่งรัดซานเป่ากงกงหลายครั้ง เพียงแต่พวกกระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะหารือกับองค์รัชทายาท ด้วยกลัวว่าจะหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าจนเสียงานสำคัญ เพราะเหตุฉะนี้จึงถามมากไปหน่อย กระหม่อมมิได้มีเจตนาล่วงเกินองค์รัชทายาทแต่อย่างใด”เมื่อพูดคุยตามปกติมาถึงจุดนี้ หลี่เฉินซึ่งอยู่ในฐานะองค์รัชทายาท แม้จะไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องปล่อยวางไปก่อน ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นหาว่าใจแคบเอาได้แต่คราวนี้หลี่เฉินกลับพูดอย่างไม่เลิกรา “งานสำคัญงั้นรึ เจ้าซุนปั๋วหลี่วันนี้มีงานสำคัญ เลยกล้าเมินเฉยเร่งรัดให้ข้ามาจนเย็นย่ำ คราวหน้าหากมีงานสำคัญอีก มิต้องให้ข้าไปรอเจ้าเรียกเข้าพบถึงที่จวนเจ้าหรอกหรือ?”คำพูดเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางที่เหมือนบิดากับบุตร ในยุคศักดินาที่กษัตริย์คือสวรรค์ นี่เป็นคำพูดที่ร้ายแรงมากซุนปั๋วหลี่ตกใจจนพูดไ
การที่จ้าวเสวียนจีบีบให้สละอำนาจนั้น เรียบง่ายและตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดว่ามีทางเลือกเดียวเท่านั้นที่จะให้หลี่เฉินเลือกเดินนั่นคือการยอมทำตามหากหลี่เฉินปฏิเสธในเวลานี้ เช่นนั้นจะมีจุดจบเพียงอย่างเดียวองครักษ์อวี่หลินสามหมื่นนายเข้าสู่เมืองหลวง กักบริเวณตำหนักบูรพาไม่ว่ารัชสมัยใด เกมการเมืองที่ลึกล้ำที่สุดในราชสำนัก ก็คือการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางทหารถึงอย่างไรเสีย น้ำคำก็ฆ่าคนไม่ได้ แต่อาวุธของทหาร กลับทำได้หลี่เฉินรู้ดี การที่เขายึดกุมอำนาจราชสำนักมากว่าสิบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองปีหลังที่ฮ่องเต้ค่อยๆ ป่วยหนัก จ้าวเสวียนจีมีโอกาสมากมายที่จะควบคุมกองกำลังทหารที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในนครบาลโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นคือหน่วยองครักษ์อวี่หลินบรรยากาศในพระที่นั่งสีเจิ้งนั้น กดดันจนแทบทำให้คนอึดอัดตายทั้งห้องโถงเงียบสงบ ไม่มีใครพูดอะไรบรรยากาศอึมครึม ดูเหมือนสงบ แต่เหมือนกระแสน้ำใต้ทะเล ถ้าไม่ระวัง จะก่อให้เกิดพายุใหญ่ พักถล่มจนกระดูกแหลกเป็นชิ้นๆและนับตั้งแต่หลี่เฉินทะลุมิติมา นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้าโดยตรงกับจ้าวเสวียนจีผู้เป็นบอสใหญ่ที่สุดในราชสำนักเขาตระหนักถึง
ขันทีซานเป่าเลือดเดือดพลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินดังนั้นก็หยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาอย่างนอบน้อม อ่านเสียงดังกังวาน “ขุนนางต้องโทษเฉินไหวจื้อ ยึดทรัพย์สินในจวนเป็นทองคำและเงินสดรวมสองล้านสามแสนตำลึง โฉนดที่นาหกร้อยหกสิบไร่ โฉนดร้านค้าแปดแห่ง โฉนดที่ดินสิบหกแห่ง”“ขุนนางต้องโทษเฉินจื้อ ยึดทรัพย์สินในเรือนรวมทั้งหมดสี่แสนแปดหมื่นตำลึง ในจำนวนนั้นยังพบหลักฐานเครื่องลายคราม ภาพเขียนอักษร และเครื่องหยกจำนวนนับไม่ถ้วนจากในวัง ตรวจสอบแล้วพบว่าทั้งหมดได้มาโดยการอาศัยตำแหน่งยักยอกของออกมาจากวังหลัง นอกจากนี้ยังมีโฉนดที่นาหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าไร่ โฉนดร้านค้าสามแห่ง และโฉนดที่ดินสิบเก้าแห่ง”“ขุนนางต้องโทษเว่ยเสียน ยึดทรัพย์สินได้จากที่พำนักในวังเก้าแสนตำลึง ในจำนวนนั้นยังมีเครื่องลายคราม ภาพเขียนอักษร เครื่องหยกจากในวังอีกมาก ล้วนได้จากการยักยอก นอกจากนี้ยังมีโฉนดที่นาสามร้อยยี่สิบไร่ โฉนดที่ดินแปดแห่ง““ขุนนางต้องโทษเฉียนฮั่น ยึดทรัพย์สินได้ทั้งหมดหนึ่งล้านแปดแสนหกสิบตำลึง โฉนดที่นาหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบไร่ โฉนดร้านค้าสองร้อยยี่สิบแห่ง โฉนดที่ดินสี่สิบห้าแห่ง”“ยังมีตระกูลหูและเฉิ
จ้าวเสวียนจีสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงขรึม “หากใต้เท้าซุนรับสินบนมากเพียงนั้นจริง ก็สมควรต้องโทษประหารอย่างแน่นอน”“แต่ ถึงแม้คนเหล่านั้นสมควรตาย แต่จักรวรรดิมีกฎหมาย ราชสำนักมีกฎเกณฑ์ ให้ทั้งสามกรมพิจารณาคดีร่วมกัน หลังจากพิพากษาก็จะลงโทษตามกฎหมาย แต่องค์รัชทายาทข้ามขั้นตอนกฎหมายโดยตรง การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คน”หลี่เฉินยิ้มเยาะกล่าวว่า “ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คน หรือไม่เป็นที่ยอมรับของเจ้า?”จ้าวเสวียนจีเผชิญสายตากับหลี่เฉินอย่างไม่ยอมแพ้ พูดว่า “รัชทายาท เรื่องนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นการดิ้นรนที่ไร้ความหมาย”“องครักษ์อวี่หลินสามหมื่นนาย ไม่มีทางยอมให้องค์รัชทายาทกระทำผิดอย่างเหิมเกริมเช่นนี้!”“เพื่อบรรพบุรุษและบ้านเมือง ขอองค์รัชทายาทไตร่ตรองด้วย”บีบให้สละตำแหน่งนี่กำลังบีบให้สละตำแหน่งอย่างซึ่งหน้าแล้วทั้งสองฝ่ายแตกหักกันโดยสิ้นเชิง จ้าวเสวียนจีรู้ด้วยว่าการกระทำนี้ของตัวเองจะต้องชนะ ไม่เช่นนั้นเขาจะสูญเสียบารมีอย่างมาก การผงาดขึ้นมาของรัชทายาทจะไม่สามารถหยุดยั้งได้เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองจะชนะ จ้าวเสวียนจีได้วางแผนอย่างอำมหิตโดยไม่เลือกวิธีการ
หลี่เฉินไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้คนอื่นคิดว่าเขาดีใจที่ฮ่องเต้ทรงฟื้น แต่หลี่เฉินรู้ตัวเองว่า เขาบังเอิญโชคดีมาก โชคดีที่บิดาจำเป็นฟื้นขึ้นมาได้อย่างเหมาะเจาะ ป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้มโต๊ะในเกมนี้ เขาเป็นรัชทายาท มีข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดมาแต่กำเนิด ขอเพียงให้เวลาเขาอีกหน่อย ก็สามารถโค่นล้มตาเฒ่าจ้าวเสวียนจีได้ ฉะนั้นเขาย่อมไม่ยอมทำให้ตัวเองสูญเสียข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปแน่นอน“ไปตำหนักเฉียนชิง!”หลี่เฉินตะโกน และเดินตรงไปยังประตูตำหนักบูรพา “ราชเลขา นี่?”หวังเถิงฮ่วนและคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะทรงฟื้นได้เหมาะเจาะเพียงนี้ ต่างมองไปยังผู้ที่เป็นแกนสำคัญ แต่การมองนี้ กลับทำให้พวกเขาประหลาดใจเห็นแค่ว่าจ้าวเสวียนจีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ พูดเสียงขรึม “อย่าเพิ่งพูดอะไร ไปดูที่ตำหนักเฉียนชิงก่อน”ครู่ต่อมาในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินวิ่งพรวดไปยังพระแท่นมังกร มองต้าสิงฮ่องเต้ซึ่งอยู่บนพระแท่นมังกรที่ซูบผอมกว่าหลายวันก่อน เขาที่ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ กระซิบเบาๆ “เสด็จพ่อ ลูกมาแล้ว”ต้าสิงฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทรงฝืนยิ้มบางๆ“ข
พวกเขาทุกคนมองจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสายตาระมัดระวัง ใครกล้าปริปาก เช่นนั้นพวกเขาก็จะดำเนินตามคำสั่งของรัชทายาททันทีหลี่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไปคุกเข่าตรงหน้าเตียงมังกรพลางจับพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้แน่นต้าสิงฮ่องเต้ถูกซุนปั๋วหลี่ทำให้ไม่สบายพระทัย จึงมีท่าทีคล้ายจะเป็นลมอีก ทว่าเขายังคงฝืนอดทนเอาไว้ในฐานะต้าสิงฮ่องเต้ ปกครองใต้หล้ามานับสิบปี ถึงแม้ต้าสิงฮ่องเต้จะบรรทมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสิบวัน แต่ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น นี่คืออำนาจ ขอแค่เขาได้รับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถหาเบาะแสสำคัญอื่นๆ ได้จากส่วนเล็กๆ นี่คือความปราดเปรื่อง“ว่ามา”ต้าสิงฮ่องเต้พยายามมีสติเข้าไว้ เขาตรัสและออกแรงจับมือหลี่เฉินแน่นหลี่เฉินรีบเอ่ย “สิบวันมานี้ ลูกสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงไปหลายคน ยึดเงินตำลึงมาได้มากกว่าสองล้านตำลึง ความกดดันของพระคลังได้รับการบรรเทาอย่างมาก ขั้นต่อไปก็สามารถช่วยบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว เงินสองล้านตำลึงนี้เพียงพอที่จะบรรเทาภัยพิบัติของสามมณฑลที่ร้ายแรงที่สุด เช่นนี้ก็สามารถค่อยๆ เฝ้าสังเกตการณ์ และลดระดับการเสียหายจา
ขุนนางวัยกลางคนคนนั้นไม่คิดว่าหลี่เฉินจะลงโทษเขารุนแรงเช่นนี้ เขาจึงดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง "องค์รัชทายาท! ท่านไม่ใส่ใจสถานการณ์ของชาติ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ นี่คือการทำลายรากฐานของแผ่นดิน!""เกียรติยศของแคว้นและความผาสุกของลูกหลานในอนาคต ไม่สามารถได้มาด้วยเลือดร้อนเพียงอย่างเดียวได้ กองทัพหกแสนของแคว้นเหลียวจ้องมองเราอย่างดุดัน ทั้งภายในและภายนอกแคว้นก็มีแต่ปัญหา ท่านยังจะดึงดันใช้นโยบายแข็งกร้าวเช่นนี้ต่อไป และไม่ยอมฟังคำเตือนจากพวกเรา ในที่สุด แผ่นดินนี้จะต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของท่านเอง!""ข้าซึ่งเป็นข้าราชการที่กินเงินเดือนของราชสำนัก ย่อมต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้จะต้องสละชีวิตนี้ ข้าก็ไม่อาจทนเห็นท่านทำลายรากฐานที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้!"ขณะที่เขากล่าวนั้น ทหารสองนายก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อจะจับกุมตัวเขาแต่ด้วยพละกำลังที่เกิดจากสัญชาตญาณในยามวิกฤติ เขาผลักทหารทั้งสองออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การขอความเมตตาย่อมไร้ประโยชน์ แต่หากเขาสามารถปลุกเร้าความโกรธของขุนนางคนอื่นๆ ได้ อาจจะมีความหวังรอดชีวิตอยู่บ้างขุนนางผู้นี้กัดฟันแน่นก
ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับสูงสุดในพระที่นั่งไท่เหอ แต่ก็ถือว่าเป็นชนชั้นนำในหมู่ประชากรหลายสิบล้านคนของต้าฉิน การที่เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืนในพระที่นั่งไท่เหอได้ อย่างไรเสียก็คือหนึ่งในชนชั้นยอดของยุคสมัยนี้และเมื่อเขาเอ่ยปากพูด ก็ใช้คำกล่าวที่ยกตนขึ้นสูงในทันทีหวังที่จะใช้ถ้อยคำนี้กดดันหลี่เฉิน"อ้อนวอนเพื่อแผ่นดิน"คำพูดนี้ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะออกมา "ดี! ช่างเป็นการอ้อนวอนเพื่อแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!""ถ้าเจ้าคือผู้ที่อ้อนวอนเพื่อราษฎร เช่นนั้นข้าก็คงเป็นองค์รัชทายาทที่ไม่สนใจเสียงของราษฎร เป็นผู้ปกครองที่ไร้สติและโง่เขลาใช่หรือไม่!?"เมื่อเผชิญกับคำถามที่ดังก้องและชัดเจนของหลี่เฉิน ขุนนางวัยกลางคนก็เริ่มหวั่นไหวเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเขา ก่อนกัดฟันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ "กระหม่อม…กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น""เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?"หลี่เฉินเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน "แคว้นเหลียวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ข้าได้เตือนพวกเจ้าไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! แคว้นเหลียวไ
แกร๊ก…เสียงกระดูกนิ้วมือของเย่ลู่เสินเสวียนดังขึ้นขณะที่เขากำหมัดแน่นไม่มีสิ่งใดที่น่าอับอายมากไปกว่านี้อีกแล้วเย่ลู่เสินเสวียนสูดลมหายใจลึก ก่อนหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีและกัดฟันกล่าวว่า "ยังไม่รีบมาอีก!?"เย่ลู่กู่จ้านฉีราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเย่ลู่เสินเสวียนทันทีเมื่อไปถึงหน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเย่ลู่กู่จ้านฉีตื่นเต้นเกินไป หรือว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู เขากลับสะดุดล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ เย่ลู่กู่จ้านฉีล้มลงในท่าหมอบหน้าแนบพื้นอย่างน่าอับอาย"ฮะ…ฮ่าๆๆๆ!"เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจจากบางคนแม้แต่ซูเจิ้นถิงเองก็เผลอเผยรอยยิ้มที่มุมปาก แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ควรหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะหันไปเตือนคนที่หัวเราะเสียงดังนั้น กลับเห็นว่าผู้ที่หัวเราะเสียงดังที่สุดคือบุตรชายของเขาเอง…เย่ลู่เสินเสวียนมองดูเย่ลู่กู่จ้านฉีที่หน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย สีหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธ"น่าอับอายสิ้นดี!"เขาเค้นคำออกมาจากไรฟันด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเด
ทุกย่างก้าวที่หลี่เฉินเดินผ่าน เสียงพูดคุยที่เคยดังสนั่นในพระที่นั่งไท่เหอพลันเงียบลงทันทีสายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลี่เฉินที่เคลื่อนไหว โดยไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ก้าวลงจากบัลลังก์มังกรอย่างกะทันหันจนกระทั่งหลี่เฉินเดินไปหยุดที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ เขายืนอยู่หลังธรณีประตู และจ้องมองเย่ลู่เสินเสวียนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งหลี่เฉินชี้ไปที่ธรณีประตู ก่อนกล่าวว่า "ธรณีประตูนี้ ด้านในคือพระที่นั่งไท่เหอ คือดินแดนต้าฉิน"เย่ลู่เสินเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่า หลี่เฉินต้องการจะสื่ออะไร แต่ก็ตอบกลับไปว่า "เจ้าหมายความว่า ด้านนอกธรณีประตูนี้ เป็นดินแดนของแคว้นเหลียวอย่างนั้นหรือ?"เย่ลู่เสินเสวียนคิดว่าตนเองตอบได้อย่างมีชั้นเชิงแต่หลี่เฉินส่ายศีรษะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ไม่ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ นอกธรณีประตูนี้ ใต้ฟ้าสีเหลืองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนเป็นดินแดนของต้าฉิน""และดินแดนต้าฉิน จะไม่มีวันให้ใครยืมใช้โดยเด็ดขาด""หรือไม่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียวลองพิจารณาส่งภรรยาของท่านมาให้ข้าเล่นสักคนสองคนดีหรือไม่?"คำพูดหยาบโลนที่ราวก
ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เองแคว้นเหลียวไม่สิ้นความทะเยอทะยานจริงๆหลี่เฉินเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนครั้งนี้ของเย่ลู่เสินเสวียนแล้วมันไม่ใช่เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายที่ถูกฆ่าและไม่ใช่เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของท่านอ๋องเก้าที่ทำให้แคว้นเหลียวต้องอับอายขายหน้าแต่คือการผลักดันให้การเจรจาระหว่างต้าฉินและแคว้นเหลียวเกิดขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วคือความทะเยอทะยานที่จะเปิดเส้นทางผ่านด่านเย่ว์หยาเพื่อบุกโจมตีต้าฉินโดยไร้การต่อต้านเย่ลู่เสินเสวียนเอ่ยเสียงดังต่อไปว่า "เพื่อแสดงความจริงใจของแคว้นเหลียว เราพร้อมจะลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับต้าฉิน และพร้อมคืนครึ่งหนึ่งของแคว้นเยี่ยนอวิ๋นสิบหกหัวเมือง เพียงแค่ต้าฉินพยักหน้าตกลง แคว้นเหลียวก็จะมอบหัวเมืองเหล่านั้นให้ก่อนทันที จากนั้นต้าฉินค่อยเปิดเส้นทางด่านเย่ว์หยาให้เรา"คำพูดนี้ทำให้พระที่นั่งไท่เหอปั่นป่วนในทันทีเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น หลายคนแสดงท่าทีลังเลและสนใจในข้อเสนอขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวว่า "องค์ชาย แคว้นเหลียวมีกำลังเหนือกว่าพวกเราอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขายัง
สำหรับเย่ลู่เสินเสวียน การสูญเสียบุตรชายไปหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องใหญ่เขาเป็นบุรุษที่มีหญิงล้อมหน้าล้อมหลัง หากร่างกายยังแข็งแรง บุตรหลานย่อมไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนแม้ว่าเขาจะชื่นชอบเย่ลู่ฉีหมิง แต่ก็ไม่ถือสาอะไรนัก ลูกๆ ที่คอยเอาใจเขามีอยู่มากมาย และเขาก็สามารถสร้างทายาทใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพราะตัวเขายังหนุ่มแน่นแต่สิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ คือการที่บุตรชายของเขาถูกองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินสังหาร แล้วส่งหัวเน่าเปื่อยมาทิ้งไว้ต่อหน้าเขานั่นเท่ากับว่า หลี่เฉินเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างจงใจแม้เย่ลู่เสินเสวียนจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครกล้าเอ่ยแทนเขาเย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจัดจนกระโดดขึ้นมาพูดทันที "เจ้าโกหก! ข้ายืนยันตัวตนของเย่ลู่ฉีหมิงแล้ว เขาไม่ได้แอบอ้างเป็นใครทั้งนั้น และเจ้าเองก็ไม่เคยสงสัยในตัวเขาสักนิด จนกระทั่งเจ้าฆ่าเขา ตอนนี้กลับมาบอกว่าเขาแอบอ้าง นี่มันโกหกชัดๆ!"หลี่เฉินเหลือบมองเย่ลู่กู่จ้านฉีด้วยความประหลาดใจเขาเริ่มคิดว่า หรือในช่วงเดือนที่ผ่านมา อ๋องเก้าผู้นี้จะหิวโหยจนเพี้ยนไปแล้วหลี่เฉินยกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างเย้ยหยัน "อ้อ? แสดงว่าเขา
เมื่อกล่องผ้าดำถูกเปิดออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในคือศีรษะมนุษย์ที่เน่าเปื่อยจนแทบดูไม่ได้!ศีรษะนั้นถูกปกคลุมด้วยเลือดดำคล้ำที่แห้งกรัง บาดแผลลึกตัดขวางไปทั่วใบหน้าจนดูเหมือนหัวหมูที่ถูกสับด้วยมีด ความเน่าเปื่อยทำให้เนื้อหนังผุพัง ผมพันกันยุ่งเหยิง และระหว่างเนื้อที่เน่าผุยังมีหนอนสีขาวเล็กๆ ไต่ยั้วเยี้ยไปมาภาพนั้นทำให้แม้แต่แม่ทัพผู้ชินชากับการฆ่าฟันยังรู้สึกขนลุกฮาเลยต้าลี่ที่เป็นคนถือกล่องถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสิ่งนั้นเป็นคนแรกหลังจากตกตะลึง เขาก็โกรธจัด เงยหน้าขึ้นตะโกนใส่หลี่เฉินด้วยความเดือดดาล "เจ้ากล้าลอบสังหารองค์รัชทายาทของพวกเราอย่างนั้นหรือ!?"หลี่เฉินยังคงสีหน้าราบเรียบ พลางเอ่ยคำสั่งสั้นๆ "ตบปาก"เพียะ!เพียะ! เพียะ!เสียงฝ่ามือตบดังขึ้นสามครั้งติดเป็นซานเป่าที่เข้าไปตบฮาเลยต้าลี่ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างจนเกิดเสียงดังชัดเจนแม้รูปร่างของซานเป่าจะเล็กและผอมกว่า แต่ฮาเลยต้าลี่ที่ดูราวกับหมีสีน้ำตาลกลับไม่อาจสู้เขาได้เลยแม้แต่จะตั้งตัวฮาเลยต้าลี่ยังไม่อาจทำได้ อย่าว่าแต่ต่อต้านเลย ใบหน้าของเขาจึงถูกซานเป่าตบเข้าที่หน้าเต็มๆ ถึงสามครั้งโดยไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต
ชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้ามักนับถือสัญลักษณ์ของหมาป่า ต่างจากชาวฮั่นแห่งแผ่นดินต้าฉินที่ยึดถือมังกรเป็นเครื่องหมายการเคารพหมาป่าในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขาเชิดชูพลังอำนาจ และเชื่อมั่นในหลักการที่ว่า ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ต้องถูกกลืนกินคำพูดของหลี่เฉินที่เพิ่งกล่าวออกไป จึงมีความหมายแฝงสองนัย เหล่าคนแคว้นเหลียวที่อยู่ในที่นั้น แม้จะรู้สึกไม่พอใจและอึดอัดใจเพียงใด ก็ไม่อาจหาคำมาคัดค้านได้เย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของพระที่นั่งไท่เหอ มองเย่ลู่เสินเสวียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาท ท่านเห็นหรือยัง นี่แหละคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ปากคมเสียยิ่งกว่าคมหอกคมดาบ สามารถปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาโกรธได้เลยทีเดียว ท่านต้องระวังตัว อย่าตกหลุมพรางของเขาเด็ดขาดเย่ลู่เสินเสวียนยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสง่างาม "ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินจะไม่ต้อนรับพวกเราเลยนะ""จริงอย่างว่า"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ต้าฉินและแคว้นเหลียวเป็นศัตรูกันมานานนับศตวรรษ ศพผู้คนที่ตายจากความขัดแย้งของสองแคว้น หากนำมาต่อกันคงทอดยาวจากพระราชวั
"องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียว เริ่มศึกษาวรรณศิลป์ตั้งแต่อายุสามปี หัดวิชาการต่อสู้ตั้งแต่อายุห้าปี เจ็ดปีก็สามารถประพันธ์บทกวีได้เอง สิบสองปีฝึกปราบม้าศึกสายพันธุ์หายากที่ดุร้ายที่สุด และในวัยสิบห้าก็นำทัพเข้าสู่สนามรบ""เขาอายุเพียงยี่สิบกว่าปี แต่เรื่องราวชีวิตของเขานั้นเล่าขานเป็นตำนาน ความสามารถโดดเด่นหาใครเทียบมิได้ คนด้อยความรู้อย่างชาวต้าฉินพวกเจ้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร!"คำพูดเหล่านี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีพูดด้วยความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเขาไม่ทันตระหนักเลยว่า คำพูดของเขาเป็นการดูถูกคนทุกคนในที่นั้น ยกเว้นตัวเขาเองหลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า "ท่านอ๋องเก้า กินอิ่มจนมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือแล้วกระมัง?"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีก็รีบเงียบปากทันที เพราะในใจเขายังคงหวาดกลัวหลี่เฉินอยู่บ้างในขณะเดียวกัน เขาก็แอบลั่นวาจาในใจว่า หากข้าได้กลับแคว้นเหลียวเมื่อใด เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือดแน่นอน...ทุ่งหญ้าเขียวขจีทอดยาวไปไกลนับพันลี้ในค่ำคืนเดียว...คำพูดนี้น่าสนใจสำหรับหลี่เฉินเขาไม่รู้ว่าเย่ลู่เสินเสวียนมีพระชายากี่คน...ได้ยินมาว่าชาวแ