หลี่เฉินไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้คนอื่นคิดว่าเขาดีใจที่ฮ่องเต้ทรงฟื้น แต่หลี่เฉินรู้ตัวเองว่า เขาบังเอิญโชคดีมาก โชคดีที่บิดาจำเป็นฟื้นขึ้นมาได้อย่างเหมาะเจาะ ป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้มโต๊ะในเกมนี้ เขาเป็นรัชทายาท มีข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดมาแต่กำเนิด ขอเพียงให้เวลาเขาอีกหน่อย ก็สามารถโค่นล้มตาเฒ่าจ้าวเสวียนจีได้ ฉะนั้นเขาย่อมไม่ยอมทำให้ตัวเองสูญเสียข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปแน่นอน“ไปตำหนักเฉียนชิง!”หลี่เฉินตะโกน และเดินตรงไปยังประตูตำหนักบูรพา “ราชเลขา นี่?”หวังเถิงฮ่วนและคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะทรงฟื้นได้เหมาะเจาะเพียงนี้ ต่างมองไปยังผู้ที่เป็นแกนสำคัญ แต่การมองนี้ กลับทำให้พวกเขาประหลาดใจเห็นแค่ว่าจ้าวเสวียนจีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ พูดเสียงขรึม “อย่าเพิ่งพูดอะไร ไปดูที่ตำหนักเฉียนชิงก่อน”ครู่ต่อมาในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินวิ่งพรวดไปยังพระแท่นมังกร มองต้าสิงฮ่องเต้ซึ่งอยู่บนพระแท่นมังกรที่ซูบผอมกว่าหลายวันก่อน เขาที่ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ กระซิบเบาๆ “เสด็จพ่อ ลูกมาแล้ว”ต้าสิงฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทรงฝืนยิ้มบางๆ“ข
พวกเขาทุกคนมองจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสายตาระมัดระวัง ใครกล้าปริปาก เช่นนั้นพวกเขาก็จะดำเนินตามคำสั่งของรัชทายาททันทีหลี่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไปคุกเข่าตรงหน้าเตียงมังกรพลางจับพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้แน่นต้าสิงฮ่องเต้ถูกซุนปั๋วหลี่ทำให้ไม่สบายพระทัย จึงมีท่าทีคล้ายจะเป็นลมอีก ทว่าเขายังคงฝืนอดทนเอาไว้ในฐานะต้าสิงฮ่องเต้ ปกครองใต้หล้ามานับสิบปี ถึงแม้ต้าสิงฮ่องเต้จะบรรทมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสิบวัน แต่ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น นี่คืออำนาจ ขอแค่เขาได้รับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถหาเบาะแสสำคัญอื่นๆ ได้จากส่วนเล็กๆ นี่คือความปราดเปรื่อง“ว่ามา”ต้าสิงฮ่องเต้พยายามมีสติเข้าไว้ เขาตรัสและออกแรงจับมือหลี่เฉินแน่นหลี่เฉินรีบเอ่ย “สิบวันมานี้ ลูกสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงไปหลายคน ยึดเงินตำลึงมาได้มากกว่าสองล้านตำลึง ความกดดันของพระคลังได้รับการบรรเทาอย่างมาก ขั้นต่อไปก็สามารถช่วยบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว เงินสองล้านตำลึงนี้เพียงพอที่จะบรรเทาภัยพิบัติของสามมณฑลที่ร้ายแรงที่สุด เช่นนี้ก็สามารถค่อยๆ เฝ้าสังเกตการณ์ และลดระดับการเสียหายจา
ต้าสิงฮ่องเต้จ้องจ้าวเสวียนจี เขาหายใจแรงๆ ไปหลายหนถึงจะส่งสัญญาณสั่งให้จ้าวเสวียนจี และคนอื่นๆ ออกไปหลังจากที่จ้าวเสวียนจีออกไปแล้ว ต้าสิงฮ่องเต้พลันหันไปมองหลี่เฉิน แล้วตรัสอย่างยากลำบากว่า “เจ้า ต้องเร่งมือ”หลังตรัสจบ ต้าสิงฮ่องเต้ก็ทรงพระกาสะพระปับผาสะของเขาเกิดเสียงเฮือกๆ อันน่าตกใจออกมาราวกับลมรั่ว หลี่เฉินจึงรีบเรียกหมอหลวงเข้ามาหลังจากที่หมอหลวงฝังเข็ม และรักษาด้วยโอสถให้กับต้าสิงฮ่องเต้แล้ว ถึงจะประสานมือพูดกับหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงบรรทมสลบไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินมองฮ่องเต้ที่บรรทมอยู่บนเตียงมังกรด้วยสีพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษจนน่าตกใจ แล้วนึกถึงประโยคสุดท้ายที่เขาตรัสกับตนพลันเอ่ยถามอย่างรู้สึกไม่ดีว่า “เสด็จพ่อยังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”หมอหลวงเผยสีหน้าไม่สู้ดีออกมาพลางตอบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมขอพูดบางอย่างที่เสียมารยาทมาก อาการของฝ่าบาทเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงฝืนทนต่อไปไม่ได้แล้ว บัดนี้ ฝ่าบาทยังคงรักษาลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ เมื่อใดที่พระองค์ทรงปล่อยลมหายใจนี้ออกไป เมื่อนั้นก็คงเป็นวันที่พระองค์กลับสู่สวรรค์แล้ว…อย่างมากพระองค์คงอยู่ได้ไม
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เจ้ามาพบข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ แสดงว่าเตรียมของเรียบร้อยแล้วนั้นรึ?”หลิวซือฉุนไม่ลังเล หยิบจดหมายที่เต็มไปด้วยอักษรออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้กับหลี่เฉิน พลางตอบว่า “ในนี้มีรายละเอียดแผนการที่หม่อมฉันวางไว้ และมรดกทั้งหมดของตระกูลหลิวในตอนนี้ รวมไปถึงเส้นทางที่ตระกูลหลิวจะเดินในอนาคต ทุกอย่างล้วนเขียนไว้ในนั้นแล้ว”หลี่เฉินรับจดหมายมูลค่าสูงมาอ่านอย่างละเอียดยามไม่ได้อ่าน ก็ไม่รู้ แต่พออ่าน ก็ทำเอาหลี่เฉินตกใจสะดุ้งโหย่งทรัพย์สินมรดกของตระกูลหลิวกลับมีมากกว่าตระกูลหู และตระกูลเฉินเป็นหลายเท่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดมาได้ของทั้งสองตระกูลรวมกันมีเพียงสิบสามล้านตำลึงเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีถึงเก้าล้านตำลึงแล้วซ้ำยังเป็นเงินสดทั้งหมด ส่วนที่นา ที่ดิน และร้านค้าอื่นๆ ที่เป็นของตระกูลหลิวก็มีมากกว่าตระกูลเฉิน และตระกูลหูด้วยพิจารณาจากความร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว ถือเป็นอันดับหนึ่งในสามตระกูลหลังจากอ่านรายละเอียดจบแล้ว หลี่เฉินพลันเงยหน้ากล่าวกับหลิวซือฉุนว่า “คืนร้านค้า และที่ดินทั้งหมดของตระกูลหลิวให้กับราชสำนัก แต่แบ่งคืนเงินสด
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้นัยน์ตาของหลิวซือฉุนเผยความรู้สึกลนลานออกมาถึงจะเป็นสตรีแกร่งที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง แต่อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีอายุยี่สิบต้นๆ ที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายแฝงของหลี่เฉินแล้ว ทำให้นางรู้สึกกังวลใจโดยสัญชาตญาณหลิวซือฉุนพยายามเอ่ยอย่างแน่วนิ่ง “องค์รัชทายาท หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่คู่ควรต่อความเอ็นดูขององค์รัชทายาทเพคะ”มือของหลี่เฉินที่จับคางของหลิวซือฉุนอยู่สัมผัสลงมายังต้นคอของนาง แล้วลงไปถึงหัวไหล่ยาวไปจนถึงบริเวณเอวของนาง จากนั้นหลี่เฉินพลันออกแรงดึงที่แขน ทำให้หลิวซือฉุนถูกดึงเข้ามาในอ้อมอกของเขาทันที“เจ้าทำการค้าเก่งมาก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดของสตรีคืออะไร?”ไม่รอให้หลิวซือฉุนตอบ หลี่เฉินพลันชิงพูดขึ้นว่า “นั่นคือการหาบุรุษที่แข็งแกร่งมากพอคนหนึ่ง”ดวงตาของหลิวซือฉุนแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางกล่าวว่า “สตรีไม่จำเป็นต้องพึ่งบุรุษ ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เพคะ”“ก็จริง”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เทียบกับสตรีธรรมดาทั่วไปแล้ว เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีได้จริงๆ แต่ทว่าข้าขอถามเจ้า หากคร
หลิวซือฉุนเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงตาเป็นประกายของหลี่เฉิน หัวใจก็สั่นสะท้านจากการได้สัมผัสในช่วงเวลาสั้นๆ หลิวซือฉุนรู้สึกได้ว่าองค์รัชทายาทตรงหน้าไม่เพียงแต่ฉลาดและลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมอ่อนข้อ นิสัยยังบ้าอำนาจและแข็งกร้านเป็นอย่างมากแน่นอนหากตนปฏิเสธ ทั้งตนและตระกูลหลิวจะมีจุดจบอย่างไรหลิวซือฉุนไม่กล้าคิดแต่หากยอมตกลง หลิวซือฉุนก็ไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆในยุคสมัยนี้ ความบริสุทธ์ของผู้หญิงมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของนาง แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงแกร่งและความคิดก็ก้าวหน้ากว่าผู้หญิงทั่วไปมากอย่างหลิวซือฉุน ก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของนางสามารถใช้เป็นข้อต่อรองได้“องค์รัชทายาท หากหม่อมฉันยินยอมพระองค์แล้วจะแตกต่างจากพวกผู้หญิงทั่วไปที่พอพระองค์เรียกก็มาสั่งไปก็ไปอย่างไร? พวกหญิงแบบนั้น องค์รัชทยาทมีมากเท่าที่ต้องการ ยังขาดหม่อมฉันคนหนึ่งอีกหรือเพคะ?”หลิวซือฉุนรวบรวมความกล้าพูดว่า “สิ่งที่ร่างกายของหม่อมฉันถวายให้พระองค์ได้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้ แต่ผลประโยชน์ที่หม่อมฉันนำมาสู่องค์รัชทายาทได้นั้น คนธรรมดาๆ ย่อมไม่มีวันทำ"“องค์รัชทายาททางพระปรีชาสามารถ บัญชีนี้ควรคำนวณใ
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายก็ดังมาจากด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จากนั้นสวีฉังชิงก็เปล่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจว่า “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท! กระหม่อมสวีฉังชิง มีเรื่องเร่งด่วนขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท!”เสียงตะโกนที่ไร้สัญญาณเตือนนี้ ได้ขัดจังหวะบรรยากาศที่หลี่เฉินจัดอย่างพิถีพิถันในพระที่นั่งสีเจิ้งหลิวซือฉุนราวกับได้รับนิรโทษกรรม นางวิ่งหนีเหมือนกระต่ายป่า ที่อยากจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ นางคำนับหลี่เฉินแล้วกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “หม่อมฉันขอทูลลาก่อนเพคะ”พูดจบ หลิวซือฉุนจึงเปิดประตูพระที่นั่งสีเจิ้ง ซึ่งบังเอิญกับสวีฉังชิงที่วิ่งถลาเข้ามา หลิวซือฉุนเหลือบมองสวีฉังชิงที่กำลังตื่นตระหนกแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินจากไปถ้าไม่วิ่งหนีตอนนี้ พรหมจรรย์ของนางก็คงจะหายอยู่ที่นี่แน่ขณะที่หลิวซือฉุนรอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด หลี่เฉินที่ตั้งปืนเตรียมจุดไฟ ก็เห็นเป็ดที่กำลังจะปรุงบินหนีไปแล้วเขาจ้องมองสวีฉังชิงอย่างไม่มีความสุข ระงับความโกรธในใจและพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ถ้าวันนี้เจ้าไม่มีคำอธิบายดีๆ ข้าจะตัดหัวเจ้าทำเป็นกระโถน!”สวีฉังชิงกล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ
ลูกเตะนี้ หลี่เฉินเตะออกไปด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าสวีจิ่วอานจะหนักกว่าสองร้อยจิน แต่ก็ยังถูกหลี่เฉินเตะลงไปกลิ้งกับพื้น และนอนโหยหวนที่พื้น แม้ไหล่จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สวีจิ่วอานก็ไม่กล้าที่จะขุ่นเคืองใดๆ เขารีบพลิกตัวขึ้นมาคุกเข่าอย่างสั่นเทาต่อหน้าหลี่เฉิน แล้วโขกศีรษะลงบนพื้น พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่า “กระหม่อมฉันสมควรตาย กระหม่อมฉันสมควรตาย องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ!”“ระงับความพิโรธ!?”หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ เขาชี้นิ้วไปที่สวีจิ่วอานแล้วตวาดว่า “ประชาชนในหล้าตกอยู่ในความยากลำบาก มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถกินอิ่มได้ แต่เจ้ากลับกินจนอ้วนเป็นหมู มองแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นขุนนางกังฉิน และตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอที่จะโจมตีเส้นทางลำเลียงเงินของท้องพระคลัง เพื่อขโมยเงินสี่ล้านตำลึง สวีจิ่วอาน แม้ข้าจะถลกหนังทั้งครอบครัวเจ้าก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธนี้ได้!”สวีจิ่วอานหน้าซีด กล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาทโปรดตรวจสอบอย่างชัดเจน กระหม่อมอ้วนตั้งแต่กำเนิด แค่ดื่มน้ำธรรมดาน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นแล้ว แม้ปกติจะโลภนิดหน่อย แต่กระหม่อมก็มิบังอาจไปแตะต้องเงินของคล
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย
เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได
"ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก
ในมือถือบัญชีรายการของกำนัลที่เหอคุนส่งมาเมื่อช่วงเช้า หลี่เฉินเหลือบตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”หลังจากเหอคุนลุกขึ้น หลี่เฉินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงรอยยิ้ม “ใครๆ ก็ว่าปีเดียวเป็นเจ้าเมือง ได้เงินหมื่นตำลึง ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ครั้งนี้ เจ้าเปิดหูเปิดตาให้ข้าเห็นแล้วจริงๆ”“บัญชีของกำนัลที่เจ้าส่งมา มูลค่ารวมเกินสองล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย ต้นปะการังนั้น ข้าก็ได้ดูแล้ว ถือเป็นสมบัติหายากอย่างแท้จริง ของล้ำค่าเช่นนี้ ในพระราชวังหลวงยังไม่มี เจ้าเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยกว่าข้าที่เป็นองค์รัชทายาทเสียอีก”ใบหน้าเหอคุนซีดลงเขารับรู้ถึงอันตรายที่แฝงในน้ำเสียงเรียบเย็นขององค์รัชทายาทหากตอบผิดแม้แต่น้อย ศีรษะของเขาอาจหลุดจากบ่าในทันทีแต่คำถามเช่นนี้ เขาเตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่ตัดสินใจกระทำการเสี่ยงนี้แล้วเหอคุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้มศีรษะกล่าวตอบ “กราบทูลองค์ชาย หากข้ารับราชการคนใดมีอำนาจอยู่ในมือบ้างเล็กน้อย การทุจริตก็กลายเป็นเรื่องง่ายมาก และกระหม่อมกล้ากล่าวว่า ในราชสำนักต้าฉินทุกว
เหอคุน ชายวัย 38 ปีเขาเป็นจิ้นซื่อในปีที่หกแห่งรัชศกต้าสิง จากนั้นผ่านการคัดเลือกและถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการและนายอำเภอในเขตซูหาง ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เก้าแห่งรัชศกเดียวกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าแห่งซูหางระดับห้าขั้นแรกการกลับมารายงานหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ เหอคุนได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานสำหรับงานอภิเษกขององค์รัชทายาทตำหนักบูรพา เขาจึงตัดสินใจลงมือทันทีเหอคุนดำรงตำแหน่งในกรมทอผ้าซูหางมาหลายปีและรู้ว่ากำลังจะครบวาระ ขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักไป เมื่อผู้สนับสนุนของเขาขัดแย้งกับสวีฉังชิง รองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ซึ่งอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาและถูกปลดจากตำแหน่งในสภาพการณ์เช่นนี้ เส้นทางราชการของเหอคุนตกอยู่ในความเสี่ยง เขาอาจถูกส่งไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือถูกละเลย ดังนั้น เขาจึงกัดฟันส่งสิ่งของและของกำนัลล้ำค่าที่เขาได้มาจากตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมดไปยังตำหนักบูรพาเหอคุนรู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางการเมือง เพราะสวีฉังชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักบูรพา ขณะที่เขาเคยอยู่ฝ่ายคณะเสนาบดีใน
"องค์ชาย บ่าวจะนวดจุดไท่หยางให้นะเพคะ"วั่นเจียวเจียวเดินเบาๆ เข้ามาข้างกายหลี่เฉิน พลางพูดและยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกขึ้นไปกดเบาๆ ที่ขมับทั้งสองข้างของหลี่เฉินและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวลหลี่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตารับสัมผัสนั้นและกล่าวชมว่า “ฝีมือเจ้าชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”วั่นเจียวเจียวเผยรอยยิ้มบาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “องค์ชายทรงพอพระทัย บ่าวก็ดีใจแล้วเพคะ”ในขณะที่หลี่เฉินปิดตา วั่นเจียวเจียวใช้ดวงตามองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ราวกับต้องการจารึกทุกอณูของบุรุษตรงหน้าไว้ในส่วนลึกของจิตใจ“เมื่อช่วงเช้า มีคนชื่อเหอคุนมาส่งของกำนัลเพคะ”คำพูดของวั่นเจียวเจียวทำให้หลี่เฉินลืมตาขึ้น“ของกำนัล?”วั่นเจียวเจียวพยักหน้า “ใช่เพคะ องค์ชายมิใช่กำลังจะอภิเษกสมรสหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าด้วยเหตุที่ฝ่าบาททรงประชวร และสถานการณ์ยังไม่สงบ พิธีอภิเษกจึงต้องเลื่อนออกไป แต่เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานได้ก่อนเพคะ”“เมื่อเช้านี้ ขุนนางที่ชื่อเหอคุนผู้นั้นบอกว่ามาเข้าเฝ้ากรมครัวเรือนตามหน้าที่ แต่ตามระเบียบ อีกสองวันก็ต้องกลับไปประจำที่
"มิอาจไม่ระวัง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “จ้าวเสวียนจีดูแลราชสำนักมานานหลายปี สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คืออิทธิพลของเขาในราชสำนัก แต่ในกองทัพล่ะ?”“แม้แต่ต้วนจิ่นเจียงที่เคยควบคุมกรมยุทธนาการอย่างแน่นหนา ยังมิอาจกันเขาได้ทั้งหมด คนเช่นจ้าวเสวียนจี เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทิ้งไพ่ลับไว้?”“หากถึงจุดที่มิอาจรักษาสถานการณ์ได้ เขาอาจกล้าก่อกบฏก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าหลี่เฉินฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สำหรับข้าหรือจ้าวเสวียนจี ต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น เรื่องใหญ่นี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์ ไม่มีโอกาสแก้ตัว หากพลิกโต๊ะเมื่อใดก็มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะสามารถใช้กำลังทหารปกป้องอำนาจจักรพรรดิได้!”อำนาจจักรพรรดิและอำนาจทหาร แม้จะคล้ายกัน แต่ซูเจิ้นถิงก็เข้าใจทันทีถึงความหมายที่แท้จริงของหลี่เฉินเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อกลับไป”หลี่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมองซูผิงเป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มี