พวกเขาทุกคนมองจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสายตาระมัดระวัง ใครกล้าปริปาก เช่นนั้นพวกเขาก็จะดำเนินตามคำสั่งของรัชทายาททันทีหลี่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันกลับไปคุกเข่าตรงหน้าเตียงมังกรพลางจับพระหัตถ์ของต้าสิงฮ่องเต้แน่นต้าสิงฮ่องเต้ถูกซุนปั๋วหลี่ทำให้ไม่สบายพระทัย จึงมีท่าทีคล้ายจะเป็นลมอีก ทว่าเขายังคงฝืนอดทนเอาไว้ในฐานะต้าสิงฮ่องเต้ ปกครองใต้หล้ามานับสิบปี ถึงแม้ต้าสิงฮ่องเต้จะบรรทมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสิบวัน แต่ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น นี่คืออำนาจ ขอแค่เขาได้รับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถหาเบาะแสสำคัญอื่นๆ ได้จากส่วนเล็กๆ นี่คือความปราดเปรื่อง“ว่ามา”ต้าสิงฮ่องเต้พยายามมีสติเข้าไว้ เขาตรัสและออกแรงจับมือหลี่เฉินแน่นหลี่เฉินรีบเอ่ย “สิบวันมานี้ ลูกสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงไปหลายคน ยึดเงินตำลึงมาได้มากกว่าสองล้านตำลึง ความกดดันของพระคลังได้รับการบรรเทาอย่างมาก ขั้นต่อไปก็สามารถช่วยบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว เงินสองล้านตำลึงนี้เพียงพอที่จะบรรเทาภัยพิบัติของสามมณฑลที่ร้ายแรงที่สุด เช่นนี้ก็สามารถค่อยๆ เฝ้าสังเกตการณ์ และลดระดับการเสียหายจา
ต้าสิงฮ่องเต้จ้องจ้าวเสวียนจี เขาหายใจแรงๆ ไปหลายหนถึงจะส่งสัญญาณสั่งให้จ้าวเสวียนจี และคนอื่นๆ ออกไปหลังจากที่จ้าวเสวียนจีออกไปแล้ว ต้าสิงฮ่องเต้พลันหันไปมองหลี่เฉิน แล้วตรัสอย่างยากลำบากว่า “เจ้า ต้องเร่งมือ”หลังตรัสจบ ต้าสิงฮ่องเต้ก็ทรงพระกาสะพระปับผาสะของเขาเกิดเสียงเฮือกๆ อันน่าตกใจออกมาราวกับลมรั่ว หลี่เฉินจึงรีบเรียกหมอหลวงเข้ามาหลังจากที่หมอหลวงฝังเข็ม และรักษาด้วยโอสถให้กับต้าสิงฮ่องเต้แล้ว ถึงจะประสานมือพูดกับหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงบรรทมสลบไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินมองฮ่องเต้ที่บรรทมอยู่บนเตียงมังกรด้วยสีพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษจนน่าตกใจ แล้วนึกถึงประโยคสุดท้ายที่เขาตรัสกับตนพลันเอ่ยถามอย่างรู้สึกไม่ดีว่า “เสด็จพ่อยังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”หมอหลวงเผยสีหน้าไม่สู้ดีออกมาพลางตอบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมขอพูดบางอย่างที่เสียมารยาทมาก อาการของฝ่าบาทเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงฝืนทนต่อไปไม่ได้แล้ว บัดนี้ ฝ่าบาทยังคงรักษาลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ เมื่อใดที่พระองค์ทรงปล่อยลมหายใจนี้ออกไป เมื่อนั้นก็คงเป็นวันที่พระองค์กลับสู่สวรรค์แล้ว…อย่างมากพระองค์คงอยู่ได้ไม
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เจ้ามาพบข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ แสดงว่าเตรียมของเรียบร้อยแล้วนั้นรึ?”หลิวซือฉุนไม่ลังเล หยิบจดหมายที่เต็มไปด้วยอักษรออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้กับหลี่เฉิน พลางตอบว่า “ในนี้มีรายละเอียดแผนการที่หม่อมฉันวางไว้ และมรดกทั้งหมดของตระกูลหลิวในตอนนี้ รวมไปถึงเส้นทางที่ตระกูลหลิวจะเดินในอนาคต ทุกอย่างล้วนเขียนไว้ในนั้นแล้ว”หลี่เฉินรับจดหมายมูลค่าสูงมาอ่านอย่างละเอียดยามไม่ได้อ่าน ก็ไม่รู้ แต่พออ่าน ก็ทำเอาหลี่เฉินตกใจสะดุ้งโหย่งทรัพย์สินมรดกของตระกูลหลิวกลับมีมากกว่าตระกูลหู และตระกูลเฉินเป็นหลายเท่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดมาได้ของทั้งสองตระกูลรวมกันมีเพียงสิบสามล้านตำลึงเท่านั้น แต่ตระกูลหลิวเพียงตระกูลเดียวก็มีถึงเก้าล้านตำลึงแล้วซ้ำยังเป็นเงินสดทั้งหมด ส่วนที่นา ที่ดิน และร้านค้าอื่นๆ ที่เป็นของตระกูลหลิวก็มีมากกว่าตระกูลเฉิน และตระกูลหูด้วยพิจารณาจากความร่ำรวยมั่งคั่งแล้ว ถือเป็นอันดับหนึ่งในสามตระกูลหลังจากอ่านรายละเอียดจบแล้ว หลี่เฉินพลันเงยหน้ากล่าวกับหลิวซือฉุนว่า “คืนร้านค้า และที่ดินทั้งหมดของตระกูลหลิวให้กับราชสำนัก แต่แบ่งคืนเงินสด
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้นัยน์ตาของหลิวซือฉุนเผยความรู้สึกลนลานออกมาถึงจะเป็นสตรีแกร่งที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง แต่อย่างไรก็เป็นเพียงสตรีอายุยี่สิบต้นๆ ที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายแฝงของหลี่เฉินแล้ว ทำให้นางรู้สึกกังวลใจโดยสัญชาตญาณหลิวซือฉุนพยายามเอ่ยอย่างแน่วนิ่ง “องค์รัชทายาท หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่คู่ควรต่อความเอ็นดูขององค์รัชทายาทเพคะ”มือของหลี่เฉินที่จับคางของหลิวซือฉุนอยู่สัมผัสลงมายังต้นคอของนาง แล้วลงไปถึงหัวไหล่ยาวไปจนถึงบริเวณเอวของนาง จากนั้นหลี่เฉินพลันออกแรงดึงที่แขน ทำให้หลิวซือฉุนถูกดึงเข้ามาในอ้อมอกของเขาทันที“เจ้าทำการค้าเก่งมาก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดของสตรีคืออะไร?”ไม่รอให้หลิวซือฉุนตอบ หลี่เฉินพลันชิงพูดขึ้นว่า “นั่นคือการหาบุรุษที่แข็งแกร่งมากพอคนหนึ่ง”ดวงตาของหลิวซือฉุนแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางกล่าวว่า “สตรีไม่จำเป็นต้องพึ่งบุรุษ ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เพคะ”“ก็จริง”หลี่เฉินเอ่ยนิ่งๆ “เทียบกับสตรีธรรมดาทั่วไปแล้ว เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีได้จริงๆ แต่ทว่าข้าขอถามเจ้า หากคร
หลิวซือฉุนเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงตาเป็นประกายของหลี่เฉิน หัวใจก็สั่นสะท้านจากการได้สัมผัสในช่วงเวลาสั้นๆ หลิวซือฉุนรู้สึกได้ว่าองค์รัชทายาทตรงหน้าไม่เพียงแต่ฉลาดและลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมอ่อนข้อ นิสัยยังบ้าอำนาจและแข็งกร้านเป็นอย่างมากแน่นอนหากตนปฏิเสธ ทั้งตนและตระกูลหลิวจะมีจุดจบอย่างไรหลิวซือฉุนไม่กล้าคิดแต่หากยอมตกลง หลิวซือฉุนก็ไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆในยุคสมัยนี้ ความบริสุทธ์ของผู้หญิงมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของนาง แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงแกร่งและความคิดก็ก้าวหน้ากว่าผู้หญิงทั่วไปมากอย่างหลิวซือฉุน ก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของนางสามารถใช้เป็นข้อต่อรองได้“องค์รัชทายาท หากหม่อมฉันยินยอมพระองค์แล้วจะแตกต่างจากพวกผู้หญิงทั่วไปที่พอพระองค์เรียกก็มาสั่งไปก็ไปอย่างไร? พวกหญิงแบบนั้น องค์รัชทยาทมีมากเท่าที่ต้องการ ยังขาดหม่อมฉันคนหนึ่งอีกหรือเพคะ?”หลิวซือฉุนรวบรวมความกล้าพูดว่า “สิ่งที่ร่างกายของหม่อมฉันถวายให้พระองค์ได้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้ แต่ผลประโยชน์ที่หม่อมฉันนำมาสู่องค์รัชทายาทได้นั้น คนธรรมดาๆ ย่อมไม่มีวันทำ"“องค์รัชทายาททางพระปรีชาสามารถ บัญชีนี้ควรคำนวณใ
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายก็ดังมาจากด้านนอกพระที่นั่งสีเจิ้ง จากนั้นสวีฉังชิงก็เปล่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจว่า “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท! กระหม่อมสวีฉังชิง มีเรื่องเร่งด่วนขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท!”เสียงตะโกนที่ไร้สัญญาณเตือนนี้ ได้ขัดจังหวะบรรยากาศที่หลี่เฉินจัดอย่างพิถีพิถันในพระที่นั่งสีเจิ้งหลิวซือฉุนราวกับได้รับนิรโทษกรรม นางวิ่งหนีเหมือนกระต่ายป่า ที่อยากจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆ นางคำนับหลี่เฉินแล้วกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “หม่อมฉันขอทูลลาก่อนเพคะ”พูดจบ หลิวซือฉุนจึงเปิดประตูพระที่นั่งสีเจิ้ง ซึ่งบังเอิญกับสวีฉังชิงที่วิ่งถลาเข้ามา หลิวซือฉุนเหลือบมองสวีฉังชิงที่กำลังตื่นตระหนกแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินจากไปถ้าไม่วิ่งหนีตอนนี้ พรหมจรรย์ของนางก็คงจะหายอยู่ที่นี่แน่ขณะที่หลิวซือฉุนรอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด หลี่เฉินที่ตั้งปืนเตรียมจุดไฟ ก็เห็นเป็ดที่กำลังจะปรุงบินหนีไปแล้วเขาจ้องมองสวีฉังชิงอย่างไม่มีความสุข ระงับความโกรธในใจและพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ถ้าวันนี้เจ้าไม่มีคำอธิบายดีๆ ข้าจะตัดหัวเจ้าทำเป็นกระโถน!”สวีฉังชิงกล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ
ลูกเตะนี้ หลี่เฉินเตะออกไปด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าสวีจิ่วอานจะหนักกว่าสองร้อยจิน แต่ก็ยังถูกหลี่เฉินเตะลงไปกลิ้งกับพื้น และนอนโหยหวนที่พื้น แม้ไหล่จะเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สวีจิ่วอานก็ไม่กล้าที่จะขุ่นเคืองใดๆ เขารีบพลิกตัวขึ้นมาคุกเข่าอย่างสั่นเทาต่อหน้าหลี่เฉิน แล้วโขกศีรษะลงบนพื้น พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่า “กระหม่อมฉันสมควรตาย กระหม่อมฉันสมควรตาย องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ องค์รัชทายาทโปรดระงับความพิโรธ!”“ระงับความพิโรธ!?”หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ เขาชี้นิ้วไปที่สวีจิ่วอานแล้วตวาดว่า “ประชาชนในหล้าตกอยู่ในความยากลำบาก มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถกินอิ่มได้ แต่เจ้ากลับกินจนอ้วนเป็นหมู มองแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นขุนนางกังฉิน และตอนนี้ก็กล้าหาญมากพอที่จะโจมตีเส้นทางลำเลียงเงินของท้องพระคลัง เพื่อขโมยเงินสี่ล้านตำลึง สวีจิ่วอาน แม้ข้าจะถลกหนังทั้งครอบครัวเจ้าก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธนี้ได้!”สวีจิ่วอานหน้าซีด กล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “องค์รัชทายาทโปรดตรวจสอบอย่างชัดเจน กระหม่อมอ้วนตั้งแต่กำเนิด แค่ดื่มน้ำธรรมดาน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นแล้ว แม้ปกติจะโลภนิดหน่อย แต่กระหม่อมก็มิบังอาจไปแตะต้องเงินของคล
ดวงตาของเฉินทงเป็นประกาย เขาเลียมุมปากด้วยความตื่นเต้นและพูดว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ไปจัดการธุระซะ”หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจกระบวนการ แต่ดูที่ผลลัพธ์เท่านั้น ซานเป่าอายุมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นคนสนิทของเสด็จพ่อ ไม่ใช่คนสนิทของข้า เจ้าเข้าใจไหมว่า ข้าหมายถึงอะไร?”ใบหน้าไร้อารมณ์ของเฉินทงทอประกายความยินดีขึ้นมา เขากล่าวเสียงทุ้มว่า “กระหม่อมเข้าใจ”หลังเฉินทงเดินจากไป หลี่เฉินก็กลับไปที่พระที่นั่งสีเจิ้งด้วยสีหน้าจริงจังเขากำลังสงสัยว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้การคุมส่งเงินนั้น ไม่ต้องพูดถึงจำนวนมหาศาล คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าถึงมันได้ และแม้ว่าจะทำได้ ก็ไม่มีอำนาจหรือพลังที่จะจัดการมันได้อย่างสมบูรณ์แบบในเวลาอันสั้นต้องรู้ว่า ในอำเภอทงมีเงินสดมากมาย แม้แต่สวีฉังชิงก็เพิ่งทราบหลังจากที่นับมันแล้ว ดังนั้น ผู้ที่ริเริ่มเรื่องนี้ ไม่มีทางทราบเรื่องนี้ได้เร็วกว่าสวีฉังชิงแน่ และเมื่อคนแรกทราบข่าว ก็เตรียมการในเวลาอันสั้น หากไม่มีอำนาจมากพอ ก็ไม่มีทางทำได้ถ้าจะพูดถึงอำนาจ จ้าวเสวียนจีคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแต่หลี่เฉินกลับรู้สึกว่า