Share

บทที่ 14

“ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”

ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียว

ด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว”

จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”

หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้นคือความรับผิดชอบ ข้าและท่านในฐานะขุนนางผู้ใหญ่ของราชสำนัก ควรให้การช่วยเหลือและชี้แนะนำองค์รัชทายาท ให้พระองค์ทรงเข้าใจ การปกครองแผ่นดิน ไม่อาจแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการสังหารเพียงอย่างเดียว”

“ยิ่งไปกว่านั้น หากเราสองคนยังคงนิ่งเฉย สวีฉังชิงคนที่สองคงจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว”

ได้ยินเช่นนี้ จ้าวเสวียนจีเผยสีหน้าเคร่งขรึม

เขาเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “ในเมื่อเช่นนั้น พรุ่งนี้เราไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทที่ตำหนับบูรพา ที่ อธิบายให้เข้าใจถึงผลดีผลเสีย ขอให้องค์รัชทายาทวางอำนาจการปกครองชั่วคราว และไปศึกษาเรียนรู้วิธีจัดการราชการแผ่นดินให้ดีก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น”

เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ร่วมวางแผนในห้องหนังสือ ล้วนเป็นสมาชิกแกนหลักของจ้าวเสวียนจี เมื่อสบตากันแล้วก็ยิ้มออกมา จากนั้นพวกเขาโค้งคำนับต่อจ้าวเสวียนจีพร้อมเพรียงกัน

“พวกข้า น้อมรับคำสั่งของม่านราชเลขาธิการอย่างเคร่งครัด”

จ้าวเสวียนจีไม่แสดงสีหน้าอันใด พยักหน้าช้า ๆ และเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ยังมีธุระสำคัญต้องสะสาง พวกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

เมื่อเห็นว่าจ้าวเสวียนจีไล่แขกแล้ว บรรดาขุนนางจึงลุกขึ้นขอตัวลา

เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว จ้าวเสวียนจีนั่งลงบนเก้าอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงาน เขียนข้อความลงบนแผ่นกระดาษแล้วตบเบาๆ บนฝ่ามือ

นอกประตู องครักษ์หน้าตายปรากฏตัวต่อหน้าจ้าวเสวียนจี โดยไม่พูดไม่จา

“รีบส่งเข้าวังหลวงโดยด่วน มอบให้จ้าวหรุ่ย” จ้าวเสวียนจีหยิบขวดน้ำจากลิ้นชักมอบให้องครักษ์พร้อมกับจดหมาย และเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

องครักษ์รับของทั้งสองอย่าง โดยไม่แม้แต่จะมอง แล้วยัดเข้าในอ้อมอก โค้งคำนับและจากไปอย่างเงียบๆ

จ้าวเสวียนจียืนแหงนมองท้องฟ้ามืดมิด เอ่ยพึมพำว่า “องค์รัชทายาทหวังว่าท่านจะไม่บีบให้ข้าต้องเดินไปถึงก้าวสุดท้ายนะ”

...

หลี่เฉินเพิ่งกลับมาถึงตำหนักบูรพา ก็ได้รับข่าวสารล่าสุดจากซานเป่า

“ขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนักรวมตัวกันที่จวนจ้าวเสวียนจี พูดคุยกันสองชั่วยามถึงจากไป”

หลี่เฉินสีหน้าเรียบเฉยเอ่นถามว่า “พอจะสืบได้หรือไม่ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องใด”

ซานเป่าประสานมือเอ่ย “สายขององครักษ์เสื้อแพรรู้เพียงว่าพวกเขาจะมาที่ตำหนักบูรพาพรุ่งนี้เพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท สาเหตุและเรื่องราวที่แน่ชัดยังมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เฉินเดินไปที่เทียน หยิบกรรไกรเล็มไส้เทียน ทำให้แสงไฟสว่างขึ้นมาก องค์รัชทายาทรัชทายาทมองแสงเทียน และเอ่ยถามอย่างไม่สนใจ

ซานเป่าเอ่ยเสียงเบา “บ่าวมิบังอาจพูดจาสามหาว แต่คงมิใช่เรื่องดีแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“ราชเลขาธิการของราชสำนัก อำนาจในราชสำนักถือว่าดรรชีเดียวขวางฟ้าได้แล้ว เสด็จพ่อทรงประชวรมาหลายปี เขาแทบบริหารราชการแผ่นดินแทน ทั้งพระราชโองการและกลยุทธ์จำนวนมากล้วนมาจากเขา เมื่อเทียบกับข้ากับเสด็จพ่อ เขาดูเหมือนจะเป็นผู้กุมจักรวรรดินี้เสียมากกว่า”

“ทว่าในยามนี้ เหล่าขุนนางขั้นหนึ่งที่รายล้อมเขา ไปหารือกับราชเลขาธิการผู้นี้ถึงสองชั่วยาม มีเพียงสาเหตุเดียว”

หลี่เฉินวางมีดลง เอ่ยเสียงเย็นชา “การกระทำของข้าในช่วงหลายวันมานี้ ทำให้พวกเขาลนลาน พวกเขาไม่คุ้นเคยกับพระราชอำนาจที่กดทับพวกเขาไว้ พวกเขาต้องการให้ทุกอย่างกลับมาสู้เส้นทางปกติ และวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้ข้ายอมจำนน หรือ...ทำให้ข้าหายไป”

ซานเป่าหรี่ตาลงด้วยความตึงเครียด และรีบเอ่ยว่า “บ่าวและหน่วยบูรพายอมสละชีพเพื่อองค์รัชทายาท”

“ข้ารู้ดีว่าเจ้าพูดด้วยความจริงใจ เพราะเมื่อข้าล้ม เจ้าและหน่วยบูรพาของเจ้าก็ต้องล้มตามไปด้วย”

หลี่เฉินยิ้มจางๆ และเอ่ยว่า “ไป ตำหนักเฟิ่งสี่”

เมื่อหลี่เฉินถึงตำหนักเฟิ่งสี่ จ้าวชิงหลานเตรียมพักผ่อน

รัชทายาทประสานมือคารวะผ่านม่านประตู “ลูกขอเข้าเฝ้าฮองเฮา”

ภายในม่านประตู เสียงเย็นชาของจ้าวชิงหลานดังขึ้น “ดึกมากแล้ว รัชทายาทไม่เหมาะที่จะเข้าพบข้า มีเรื่องอะไรก็พูดแล้วกลับไปเถิด”

“ฮองเฮาแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าตรัสเสียที่นี่เลย” หลี่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม

ภายในม่านประตู จ้าวชิงหลานนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกค่อนข้างไม่พอใจ และสั่งว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”

เมื่อข้าหลวงออกไปหมดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “มีอะไรก็พูดมาได้แล้ว”

ทันทีที่ข้าหลวงจากไป รัชทายาทสายตาดูเฉียบคม ยืดอกขราวกับเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ เขาก้าวยาวเข้าไปอย่างมั่นใจและเปิดม่านออก

จ้าวชิงหลานที่กำลังนั่งพิงอยู่บนตั่งนอนเห็นรัชทายาททำท่าทางเช่นนั้นจึงโกรธขึ้นมา “บังอาจ! ยังมิได้รับอนุญาตจากข้า กล้าบุกเข้ามา ต่อให้เป็นรัชทายาท ข้าก็ลงโทษเจ้าได้!”

“พอเถอะ”

รัชทายาทนั่งลงบนตั่งนอนดยไม่ขออนุญาต หยิบถ้วยน้ำชาข้างมือจ้าวชิงหลานขึ้นมาดื่มแล้วเอ่ยว่า “ข้าบังอาจยังไม่มากอีกหรือ คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงการปลอบประโลมใจตนเอง ฮองเฮาหยุดพูดเถิด”

จ้าวชิงหลานรู้สึกโกรธมากที่รัชทายาทใช้ถ้วยน้ำชาของนาง จึงรู้สึกอับอายและโกรธแค้นขึ้นมาทันที

นางลุกขึ้นมองรัชทายาทด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยว่า “เจ้าอย่าคิดว่ารังแกข้าได้ง่าย ๆ นะ”

จ้าวชิงหลานโกรธจัดจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน นางเป็นหญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ สง่างามดั่งพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทว่ายามนี้เมื่อความโกรธครอบงำ นางกลับเผยให้เห็นถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขาม

ทว่ากลยุทธ์เหล่านี้กลับไร้ผลต่อหลี่เฉิน

เขาวิธีถอดหนามบนร่างกายของจ้าวชิงหลาน

“เมื่อครู่นี้ ข้าเพิ่งทราบข่าวว่า ทั้งต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่และกรมยุติธรรมเถิงไหวอี้ รวมไปถึงขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งของราชสำนักกว่าครึ่งรวมตัวกันพูดคุยอย่างลับๆ ที่จวนราชเลขาธิการสองชั่วยาม พูดตุยเรื่องใด ไม่มีผู้ใดทราบ แต่ข้าแน่ใจว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมาหาเรื่องข้าที่ตำหนักบูรพา"

หลี่เฉินจ้องจ้าวชิงหลานที่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ก็ยิ้มจางๆ มือข้างหนึ่งวางบนพนักตั่งนอนและอีกข้างวางไว้ที่พิงหลัง โน้มตัวเข้าใกล้จ้าวชิงหลาน จ้องดวงตาที่สดใสราวกับแก้วและเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า พรุ่งนี้ควรใช้โอกาสที่พวกเขารวมตัวกันจำนวนมาก ซ่อนเพชฌฆาตสักร้อยคนไว้ในตำหนักบูรพา รอให้เสด็จพ่อพวกเขามา ก็สังหารทันทีดีหรือไม่”

หลี่เฉินเอ่ยประโยคเหล่านี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แต่ดวงตาของเขาเย็นชาเฉียบคมดุจก้นบึ้งของทะเลแฝงไปด้วยจิตสังหารที่พร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ

หากเป็นคนอื่นเอ่ยคำพูดที่ขัดต่อศีลธรรมเช่นนี้ จ้าวชิงหลานคงบ้าคลั่งไปแล้ว

ทว่านี่คือราชเลขาธิการที่บริหารราชการมาเป็นเวลากว่าสิบปี และขุนนางขั้นหนึ่งที่กุมอำนาจมากกว่า คึ่ง คนเหล่านี้เป็นตัวแทนของปิรามิดอำนาจสูงสุดแห่งจักรวรรดิต้าฉิน เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา ทั้งจักรวรรดิต้าฉินย่อมเกิดความโกลาหล

แต่จากสิ่งที่หลี่เฉินทำในช่วงเวลานี้ จ้าวชิงหลานรู้สึกว่าหลี่เฉินกล้าทำจริงๆ

ต้องรู้ก่อนว่าหลี่เฉินประสบความสำเร็จอย่างน่าสะพรึงกลัว จำนวนขุนนางราชสำนักสำคัญที่เขาสังหารนั้นเท่ากับจำนวนวันที่เขาได้สำเร็จราชการแทน

คนบ้ากระหายเลือดสามารถทำอะไรก็ได้

“ไม่เอา!”

จ้าวชิงหลานอุทาน “เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ เมืองหลวงจะตกอยู่ในการจลาจลในทันที และขุนนางที่หวาดกลัวจะตกอยู่ในอันตราย ถึงเวลานั้นเมืองหลวงตกอยู่ในความวุ่นวาย สถานการณ์ในเมืองหลวงที่ตึงเครียดอยู่แล้วเนื่องจากราษฎรที่ประสบภัยพิบัติจะส่งผลกระทบไปวงกว้าง เช่นนี้จะทำให้จักรวรรดิเกิดอันตรายมากขึ้นและพวกโจรและศัตรูจากต่างแดนที่จับตามองจักรวรรดิก็จะฉวยโอกาสนี้”

“องค์รัชทายาท ท่านต้องไม่ผลีผลาม!”

หลี่เฉินจ้องจ้าวชิงหลาน ดวงตาสั่นไหว

เขายกมือขึ้น ค่อย ๆ ลูบใบหน้าของจ้าวชิงหลานที่เรียบเนียนและสดใสราวกับไข่ที่เพิ่งปอกเปลือกด้วยหลังมือของเขา และเอ่ยว่า “ข้ารู้ แต่พวกเขาไม่ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าถึงต้องสู้กับพวกเขา”

“มิเช่นนั้น ข้าคงต้องยอมให้เขาสังหารตามใจชอบล่ะสิ เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”

จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปากของนาง ทุก ๆ นิ้วที่ฝ่ามือของหลี่เฉินแตะทำให้เจ้ารู้สึกชาราวกับไฟฟ้าดูด นางบังคับตนเองให้ไม่สนใจความรู้สึกนั้น

อดทนต่อความปั่นป่วนที่ประหลาดและไม่คุ้นเคยในใจของนาง จ้าวชิงหลานพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบสติอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้มือของหลี่เฉินส่งผลต่อตน นางยกมือขึ้นเพื่อคว้ามือของหลี่เฉินแล้วเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท เรื่องนี้มิใช่ไม่อาจประนีประนอมได้

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status