Share

บทที่ 11

Author: ไห่ตงชิง
หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”

สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”

ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้

หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง

“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”

รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระตุกเชือกเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั่วแล้ว อย่างไรก็ตาม ภารกิจของเซียนเฉาก็เข้ามาทำให้น่านน้ำเต็มไปด้วยโคลน...

“พวกเขามาที่เมืองหลวงนานแค่ไหน?” หลี่เฉินถาม

ซานเป่ากราบทูลว่า “ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุคือตงอิ๋งโจมตีเซียนเฉาเมื่อครึ่งปีที่แล้ว เซียนเฉาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งกลางเมือง จึงไม่ทันระวังตงอิ๋ง ตอนนี้สูญเสียไปประเทศไปหนึ่งในสามแล้ว จึงส่งทูตมาที่จักรวรรดิเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พระวรกายมังกรของฝ่าบาทไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่เรียกพวกเขาให้เข้าเฝ้า”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใจร้อนมาก มีสงครามภายในของเซียนเฉา ดังนั้นจึงพยายามติดสินบนขุนนางในราชสำนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย”

หลี่เฉินกระพริบตา กล่าวว่า “ก็ดี ข้าอยากจะสับหัวคนเพิ่มอีกสักสองสามคน เพื่อสร้างอำนาจของข้าและเพิ่มเงินในท้องพระคลัง ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่สามารถหาโอกาสหรือเหตุผลได้ ดังนั้นเจ้าจงส่งสายลับหน่วยบูรพาไปจับตาดูทูตพวกนั้น ดูว่าพวกเขาพบใคร มอบเงินให้เท่าไหร่ จดบันทึกทุกอย่างอย่างละเอียด รอจนสุกงอม ข้าจะตัดหัวพวกมันทั้งหมดทันที”

ซานเป่าตอบรับอย่างนอบน้อม “บ่าวรับพระบัญชา”

หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็นั่งรถม้าไปที่วังสุทธาสวรรค์

ฮ่องเต้ยังคงนอนบนแท่นบรรทมมังกรโดยไม่ตื่น

“พระวรกายของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เฉินแพทย์หลวง

แพทย์หลวงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “พระวรกายของฝ่าบาทเริ่มแย่ลงทุกวัน ก่อนหน้านี้พระองค์สามารถตื่นได้ประมาณหนึ่งในสี่ของชั่วโมงต่อวัน แต่ตอนนี้แม้จะผ่านไปสองสามวันพระองค์ก็อาจไม่ตื่นเลย”

“จะรักษาได้นานแค่ไหน?” หลี่เฉินถามตรงๆ

แพทย์หลวงคุกเข่าลงทันทีแล้วตอบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมไม่อาจให้คำตอบแก่พระองค์ได้จริงๆ เมื่ออาการถึงขั้นนี้แล้ว ทักษะทางการแพทย์ก็เป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือขึ้นอยู่ความมุ่งมั่นของฝ่าบาทและ... พรจากสวรรค์”

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ออกไปเถอะ”

หลี่เฉินไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์แพทย์หลวงรุนแรงเกินไปนัก หลังจากที่ขอให้แพทย์หลวงถอยออกไปแล้ว หลี่เฉินก็นั่งข้างแท่นบรรทมมังกร

เมื่อเห็นสีหน้าที่โรยราของฮ่องเต้ หลี่เฉินก็ไม่พูดอะไร

เขาเพิ่งทะลุมิติมา และไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฮ่องเต้ ในบางแง่อาจกล่าวได้ หากฮ่องเต้ไม่ตาย เขาจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้... แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้คิดถึงอาการฮ่องเต้แต่อย่างใด แต่เป็นวิธีจัดการกับกลุ่มผู้แสวงหาผลกำไรในช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต

พ่อค้าพวกนั้น ฉวยโอกาสที่ประเทศกำลังถดถอย สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อบังคับยึดที่ดิน และจากนั้นก็ใช้ผลประโยชน์เพื่อล่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นขึ้นรถม้าด้วยกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ก่อตั้งเครือข่ายผลประโยชน์ที่แข็งแกร่งและซับซ้อน

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลี่เฉินที่จะยุ่งกับพวกเขา แต่ถ้าหากไม่จัดการ ก็อาจจะเกิดฟันเฟืองจากราชสำนักในทันที บางทีถึงตอนนั้นอาจจะได้กำไรมากกว่าสูญเสีย

เพราะถ้าหากไม่ยุ่ง พระคลังจะขาดแคลน และจะไม่สามารถบรรเทาภัยพิบัติได้ อีกอย่างหากพวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอ ชีวิตของประชาชนก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้น

จนถึงตอนนี้มันก็คล้ายกับการทะลุมิติไปยังราชวงศ์ในอดีต ประชาชนลำเข็ญ ราชสำนักยากจน แต่ขุนนางโลภมากกับพ่อค้าเหล่านั้น แต่ละคนอ้วนเป็นหมูทุกราย

นี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

เมื่อหลี่เฉินคิดถึงฉากนี้ ในสายตาของคนอื่น พวกเขาจะคิดว่าองค์รัชทายาทคงกำลังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้

“หมอหลวงเฉิน องค์รัชทายาทมีความกตัญญูจริงๆ”

แพทย์หลวงคนหนึ่งกระซิบพูดกับเพื่อนร่วมงานของเขา

หมอหลวงเฉินนึกถึงคำถามที่หลี่เฉินถามก่อนหน้านี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ตั้งแต่สมัยโบราณว่ากันว่าครอบครัวฮ่องเต้นั้นไร้น้ำใจที่สุด แต่ข้าเห็นความกังวลและความทุกข์ใจขององค์รัชทายาทในตอนนี้ มันไม่ได้เสแสร้งเลย ฝ่าบาททรงมีทายาทมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่ใส่ใจพระวรกายของฝ่าบาท”

สหายที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า คิดว่าตัวเองนั้นค้นพบความลับในใจขององค์รัชทายาทแล้ว

ในขณะที่หลี่เฉินกำลังครุ่นคิดอยู่ในวังสุทธาสวรรค์ นอกพระราชวังนั้นไม่มีความสงบเลย

การตายของเหลยโน่วซาน เปรียบเสมือนการขว้างก้อนหินใส่สถานการณ์ในเมืองหลวงที่ดูเผินๆ เหมือนจะสงบ ให้ปั่นป่วนขึ้นมา

พายุที่เกิดจากหินก้อนนี้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของทุกฝ่ายในเมืองหลวงทันที

จ้าวเสวียนจีเป็นคนแรกที่ได้รับข่าว

“ใต้เท้าราชเลขาธิการ หลังจากเหลยโน่วซานถูกองค์รัชทายาทสังหาร ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือนก็รีบไปที่ตำหนักบูรพาทันที สวีฉังชิงและองค์รัชทายาทพูดคุยกันราวครึ่งชั่วโมง แต่คุยอะไรกันนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้”

ที่รายงานต่อจ้าวเสวียนจีนั้นคือเฉียนฮั่นสำนักสารบรรณกลางของเมืองหลวง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสามที่มีอำนาจที่แท้จริง หากอยู่ในท้องถิ่นก็นับว่าเป็นขุนนางระดับสูง แต่ต่อหน้าจ้าวเสวียนจีนั้น ทัศนคติของเฉียนฮั่นดูถ่อมตัวมาก ค้อมกายขณะรายงาน

จ้าวเสวียนจีหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วส่ายหัวเบาๆ เป่าใบชาที่ลอยอยู่บนชาออกไปแล้วพูดว่า “สังหารเว่ยเสียนก่อน ตามมาด้วยเหลยโน่วซาน คนแรกคลุกคลีอยู่ในวังอย่างลึกซึ้งมาสิบกว่าปี สามารถต่อกรกับขันทีซานเป่าได้ ส่วนอีกคนเป็นเสนาบดีกรมครัวเรือน ผู้นำหนึ่งกรม ขุนนางขั้นที่สอง องค์รัชทายาทของพวกเรา มือเปื้อนเลือดมากเกินไป”

เฉียนฮั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เหลยโน่วซานไม่เพียงแต่ตายเท่านั้น ตอนนี้บ้านของพวกเขายังถูกรื้อค้นโดนหน่วยบูรพา สมาชิกในครอบครัวของเขาทั้งหมดถูกส่งตัวไปเป็นทาส ผู้ชายไปเป็นทหาร ส่วนผู้หญิงไปเป็นเจ้าหน้าที่สนับสนุน นี่เท่ากับเป็นการทำลายล้างครอบครัว เช่นนี้แล้วทำให้ผู้คนจำนวนมากที่นี่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ใต้เท้าราชเลขาธิการควรส่งจดหมายไปขอให้องค์รัชทายาทยับยั้งชั่งใจหรือไม่?”

“ยับยั้งชั่งใจ?”

จ้าวเสวียนจีส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เวลานี้เขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจ”

“องค์รัชทายาทเพิ่งจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กำลังอยู่ในช่วงกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ใครคิดขวางทางเขา เขาจะทำทุกอย่างเพื่อขจัดสิ่งกีดขวางออกไป ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปต่อต้านเขา”

เฉียนฮั่นพูดอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยโง่เขลา องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะเผชิญหน้ากับขุนนางบุ๋นบู๊ได้อย่างไร? แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องประนีประนอมกับราชเลขาธิการ”

จ้าวเสวียนจีวางชาแล้วพูดว่า “การประนีประนอมของข้ากับฝ่าบาท เป็นเพียงเกมการเมือง การประนีประนอมหรือการถอยนั้นจำเป็นต้องนำสถานการณ์โดยรวมมาพิจารณา แต่องค์รัชทายาทไม่เหมือนกัน องค์รัชทายาทคือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นิสัยรุนแรง เวลานี้เขามีอำนาจ เขาจะสนใจฟังความคิดเห็นคนอื่นหรือ?”

“ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ นี่คือข้อเสียเปรียบของเขา และเมื่อสิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม เขาก็สามารถผลักฮ่องเต้ออกไปได้ เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบมากมาย หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะไม่มีผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง และเขาจะต้องยืนอยู่ข้างหน้าเพียงลำพัง ซึ่งไม่ดีเลย”

เฉียนฮั่นถามเหมือนจะเข้าใจ “แล้วพวกเราควรทำเช่นไรดี?”

“ไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ถ้าเขาอยากฆ่าขุนนางก็ให้เขาฆ่า ตราบใดที่ไม่ใช่แกนหลักของพวกเรา เขาจะฆ่าก็ฆ่า เขาต้องการสาส์นกราบทูลข้อราชการก็มอบให้เขา ปกครองประเทศ จะอ่านหรือไม่อ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถึงแม้ว่าเขาจะออกคำสั่ง แต่องค์รัชทายาทก็ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้ มันก็เป็นแค่เรื่องตลกถ้าหากไม่มีใครทำ”

จ้าวเสวียนจีพูดอย่างไม่แยแส “ยิ่งฆ่าก็ยิ่งสร้างความไม่พอในราชสำนัก เมื่อถึงเวลา ก็ไม่มีขุนนางบุ๋นบู๊สนับสนุน เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร? ถ้าไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ เมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์ก็จะมีตัวแปรมากมาย ตอนนี้เขามีอำนาจ เขากำลังฆ่าเพื่อให้ผู้คนหวาดกลัว ดูเผินๆ เหมือนจะดี แต่จริงๆ แล้วเขากำลังขุดหลุมศพของตัวเอง และสูญเสียหัวใจของผู้คน หากต้องการจะโค่นล้มเขา มันก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

เฉียนฮั่นเผยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าราชเลขาธิการมีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมและสูงส่ง”

“ยังมีอีกเรื่อง องค์รัชทายาทจะจัดงานเลี้ยงให้กับพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่สามรายในเมืองหลวงคืนนี้ที่ตำหนักบูรพา เราควรเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้หรือไม่?”

เฉียนฮั่นประสานมือ รอยยิ้มมีเลศนัย “แม้แต่พวกเราไปคุย พวกพ่อค้าธัญพืชทั้งสามคนนั้นก็ยังไม่สนใจเลย เมื่อถึงเวลานั้น องค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายอับอายเอง”

จ้าวเสวียนจีไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงพูดอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าจัดการไปตามสมควร อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นแค่พ่อค้าไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร องค์รัชทายาทอยากฆ่าก็ดี อย่างน้อยก็ให้พวกมันเข้าใจว่า ราชสำนักนั้น ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?”

เฉียนฮั่นมือขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะไปจัดการเรื่องนี้”

“ไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรสำคัญต้องทำอีก ก็อย่ารบกวนการพักผ่อนของข้า”

“ข้าน้อยขอลา ใต้เท้าราชเลขาธิการโปรดพักผ่อนด้วย อย่าหักโหมนัก”

......

หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระราชวังสุทธาสวรรค์ชจนถึงเย็นก่อนออกเดินทาง

เมื่อกลับถึงตำหนักบูรพา เขาประมาณเวลาและพบว่าพ่อค้าธัญพืชทั้งสามน่าจะเกือบจะมาถึงแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่เฉินถามถึงเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าพ่อค้าธัญพืชทั้งสามไม่ได้มาจริงๆ

“องค์รัชทายาท ในบรรดาพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ทั้งสาม หัวหน้าตระกูลเฉินกล่าวว่าเขากำลังหายจากอาการป่วย ไม่แนะนำให้เดินตากลม ตระกูลหูกล่าวว่า นายท่านไปที่สาขาอื่นเพื่อตรวจสอบบัญชีและไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ส่วนครอบครัวหลิวเพียงแต่อยู่หลังประตูที่ปิดสนิท”

สวีฉังชิงมีสีหน้าอึดอัด เขาคุกเข่าลงต่อหน้าหลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว

หลี่เฉินมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่ในดวงตากลับมืดมิดอันตรายขึ้นมา

“ดีล่ะ ในเมื่อข้าไม่สามารถเชิญพวกเขามาที่ตำหนักบูรพาได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาพวกเขาที่จวนด้วยตัวเอง”

พูดจบ หลี่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ “ซานเป่า นำองครักษ์เสื้อแพรตามข้าไปหนึ่งร้อยนาย”

องค์รัชทายาทออกจากตำหนักบูรพา ก็เหมือนกับมังกรกำลังออกลาดตระเวน

ซานเป่าไม่กล้าที่จะละเลย เขาสั่งให้หน่วยบูรพาในเมืองหลวง รวบรวมองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดหนึ่งร้อยนาย โดยเขากับรองผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรสองนายเป็นผู้นำ

ด้านหน้ามีองครักษ์เสื้อแพรยี่สิบคน โดยมีรองผู้บังคับกองพันคนหนึ่งเป็นแกนนำ ด้านหลังมีองครักษ์เสื้อแพรยี่สิบคน ซึ่งรองผู้บังคับกองพันอีกคนควบคุม และตรงกลางที่เหลืออีก 20 คนมีความภักดี และเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ดีที่สุด ซึ่งนำโดยซานเป่าคอยคุ้มครองหลี่เฉิน

ม้าร้อยกว่าตัว แล่นออกจากตำหนักบูรพามุ่งหน้าไปที่จวนเฉิน

บนถนน หลี่เฉินไม่ได้คิดจะถ่อมตัว แต่กลับปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างการประโคมข่าว ยึดถนนหลวงไว้เพื่อสัญจรได้อย่างสะดวก

ประชากรทั้งสองฝั่ง ต่างได้ยินว่ามีรถม้าขององค์รัชทายาทแล่นผ่านมาแต่ไม่ต้องคุกเข่าคารวะ และไม่ต้องรับโทษหมิ่นราชวงศ์

พวกเขาวิ่งผ่านถนนหลวงที่คึกคักที่สุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ ท่ามกลางสายตาประชาชนนับไม่ถ้วนและสายลับทุกคน จนกระทั่งมาถึงอาณาเขตที่ดินจวนเฉินอันกว้างใหญ่

จักรวรรดิต้าฉินมีกฎระเบียบที่เข้มงวด

ในบรรดาทั้งสี่อันดับนักวิชาการ ชาวนา ช่าง และพ่อค้า พ่อค้าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุด

และไม่ว่าจะรวยแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าหยาบ แม้แต่ผ้าไหม เจ้าก็ไม่สามารถสวมใส่ได้ และในสถานที่เช่นเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็จะสามารถซื้อบ้านได้ ที่ดินหลายแห่งมีการกำหนดกฎเกณฑ์และสถานะ หากไม่ใช่ชาวนาหรือนักวิชาการ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าของจวนในเมืองหลวงได้

แต่เห็นได้ชัดว่า ตระกูลเฉินจะเป็นข้อยกเว้น

เมื่อองค์รัชทายาทมาถึงด้านนอกจวนเฉิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉินคงได้รับข่าวแล้ว

ประตูใหญ่เปิดออก คนตระกูลเฉินทั้งบนและล่างหลายสิบคน ต่างก็พากันมารอต้อนรับอยู่แล้ว

“กระหม่อมเฉินจิ้งชวน พาครอบครัวมาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงเจริญพันปี พันๆ ปีๆ”

เสียงตะโกนแซ่ซ้องดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หลี่เฉินจะลงมาจากเกี้ยว และมองดูเฉินจิ้งชวนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรือ? ตอนนี้ยืนตากลมได้ ไม่กลัวป่วยหนักขึ้นหรือ?”

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 19

    หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 942

    แต่ละแคว้นล้วนมีองค์กรสายลับของตนเองหน่วยบูรพาของต้าฉิน องครักษ์ฝ่ายในของแคว้นเหลียว และเสวี่ยตีจื่อของแคว้นจินแม้ชื่อจะแตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นข้ารับใช้ของผู้ปกครองในเส้นทางเดียวกันเพียงแต่ หน่วยบูรพาของต้าฉินมีโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบกว่า อำนาจหน้าที่ก็ชัดเจนกว่า แต่ก็ใช่ว่าองครักษ์ฝ่ายในของแคว้นเหลียวหรือเสวี่ยตีจื่อของแคว้นจินจะด้อยไปกว่าเมื่อหวงจี๋เทียนกล่าวว่ายินดีมอบเสวี่ยตีจื่อสามพันนายให้โดยไม่คิดมูลค่า หลี่เฉินก็เข้าใจเจตนาของเขาทันทีเขาไม่ต้องการเสี่ยง แต่ก็ยังต้องการร่วมมือกับต้าฉิน ทว่าด้วยสถานการณ์อันปั่นป่วนของต้าฉินในเวลานี้ เขาไม่มีคุณสมบัติ และไม่กล้าใช้ชื่อของแคว้นจินวางเดิมพันทั้งหมด ดังนั้น เขาจึงเลือกเสียสละบางสิ่งก่อน และนำเดิมพันไปวางไว้ในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท“เจ้าต้องการช่วยข้าแย่งชิงอำนาจหรือ?” หลี่เฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแฝงความนัยหวงจี๋เทียนตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจะแคว้นใด องค์รัชทายาทคือองค์รัชทายาทโดยชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวตามกฎหมาย องค์รัชทายาทเป็นองค์รัชทายาทที่ฝ่าบาทแห่งต้าฉินทรงแต่งตั้งโดยชัดแจ้ง อีกทั้งยังมีอำนาจสำเร็จราชการแทนพระองค์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 941

    หวงจี๋เทียนดูเหมือนบุ่มบ่ามและขาดประสบการณ์ แต่ในสายตาของหลี่เฉิน กลับให้ความรู้สึกว่าการใช้กำลังสามารถเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมได้นับสิบไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย กลับยิ่งทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากขึ้นไปอีกเพียงชั่วอึดใจเดียว หลี่เฉินก็ขบคิดไปมากมายจากนั้นเขายิ้มพลางกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเจ้าคิดมีเหตุผล”ดวงตาของหวงจี๋เทียนเป็นประกาย รีบพูดว่า “องค์รัชทายาทต้าฉินไม่ทรงถือโทษ ถือเป็นพระกรุณาธิคุณล้นพ้น ขอขอบพระทัยองค์รัชทายาทต้าฉิน”หลี่เฉินโบกมือเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ฟังข้าพูดให้จบก่อน”“แคว้นเหลียวเลือกช่วงเวลานี้มาเจรจาขอร่วมมือกับต้าฉิน ขอใช้เส้นทางผ่านด่านเย่ว์หยา นั่นย่อมมีการคำนวณอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ในส่วนลึกของราชสำนักต้าฉิน ยังมีคนของแคว้นเหลียวแทรกซึมอยู่”หลี่เฉินกล่าวอย่างราบเรียบ “ดังนั้น ระดับความเข้าใจของแคว้นเหลียวต่อความปั่นป่วนของต้าฉิน ย่อมเหนือกว่าแคว้นจินของพวกเจ้า”“พูดอีกอย่างก็คือ หากราชสำนักต้าฉินกลับมามั่นคงแล้ว ข้าจะร่วมมือกับพวกเจ้าไปทำไม? เหตุใดจึงไม่เลือกแคว้นเหลียวแทน? ในเมื่อการแบ่งแคว้นเหลียวก็คือการแบ่ง การแบ่งแคว้นจินก็คือการแบ่งเช่นกัน”เมื่อคำพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 940

    "องค์ชายแคว้นจินเกรงใจเกินไปแล้ว"หลี่เฉินอารมณ์ดีไม่น้อยหากให้พูดตามตรง ตั้งแต่เขาได้พบปะกับเชื้อพระวงศ์จากสามแคว้นใหญ่องค์หญิงคิมซอลยอนแห่งแคว้นซอนนั้น ไม่ต้องพูดถึง นางกลายเป็นสตรีของเขาไปแล้ว ตอนนี้เขายังคิดถึงนางอยู่เลย หลังจากเรื่องวุ่นวายผ่านพ้นไป เขาคงต้องหาทางหลอกองค์หญิงรัชทายาทผู้นี้มายังเมืองหลวงให้ได้เย่ลู่เสินเสวียน แห่งแคว้นเหลียว ก็ไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน สองฝ่ายแทบจะกระชากหนังหัวกันอยู่แล้วทั้งสองแคว้นนี้ ล้วนไม่ใช่เรื่องปกติมีเพียงการพบกับหวงจี๋เทียนเท่านั้น ที่เหมือนกับการเจรจาทางการทูตของเชื้อพระวงศ์สองแคว้นโดยแท้โดยเฉพาะคำพูดของหวงจี๋เทียน และของกำนัลที่นำมาด้วย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แคว้นจินมีความจริงใจ และต้องการร่วมมือกับต้าฉินอย่างแท้จริงเมื่อนึกได้เช่นนี้ หลี่เฉินก็รู้สึกชื่นชอบหวงจี๋เทียนขึ้นมาทันที"องค์รัชทายาทต้าฉิน" หวงจี๋เทียนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา "แคว้นเหลียวเป็นมหาอำนาจที่โลภมาก เรื่องนี้ผู้คนทั่วหล้าล้วนทราบดี ไม่ว่าต้าฉินหรือแคว้นจิน ต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจนี้เพียงลำพัง พูดให้ตรงไปตรงมา พวกเราไม่สามารถรับมือแคว้นเหลียวได้เพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 939

    เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน วั่นเจียวเจียวถึงกับยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตของนางยามนี้โค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว“บ่าวก็รู้อยู่แล้วว่าองค์รัชทายาทต้องมีแผนรับมือเพคะ!”ดูเหมือนว่าในใจของวั่นเจียวเจียว องค์รัชทายาทของนางจะไร้เทียมทาน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้องค์รัชทายาทจนมุมได้ขณะนั้นเอง สวีจวินโหลวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“องค์รัชทายาท!”สวีจวินโหลวโค้งคำนับก่อนเอ่ยรายงาน “ทูลองค์รัชทายาท คณะทูตจากแคว้นจินร้องขอเข้าเฝ้า”หลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เชิญเข้ามา”“นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้ามิรับแขกผู้ใด ห้ามผู้ที่มิได้รับอนุญาตเข้าใกล้พระที่นั่งสีเจิ้งในระยะสิบจั้ง ฝ่าฝืน…ประหาร!”สวีจวินโหลวสีหน้าเคร่งขรึม รีบรับคำสั่งแล้วล่าถอยออกไปทันทีไม่นานนัก คณะทูตจากแคว้นจินก็เดินตามหลังสวีจวิ้นหลินเข้าสู่พระที่นั่งสีเจิ้งผู้มาเยือนทั้งสิ้นสามคน ชายชราอายุครึ่งร้อยสองคนเป็นผู้ติดตาม คอยเคียงข้างบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเมื่อเห็นทรงผมของทั้งสามคน หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ในชั่ววินาทีนั้น เขารู้สึกราวกับตนเองถูกดึงกลับไปยังละครย้อนยุคในชาติก่อนที่เคยดูเกี่ยวกับราชสำนักในสมัยชิงไม่อาจช่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 938

    เช้าวันรุ่งขึ้น สำนักราชเลขาก็ลงมือเคลื่อนไหวหลี่อิ๋นหู่ ออกประกาศราชโองการในนามขององค์ชายแปด และ จ้าวอ๋องในประกาศฉบับนั้นเริ่มต้นด้วยการกล่าวโทษหลี่เฉินถึงความผิดทั้งปวงที่เกิดขึ้นหลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รายชื่อขุนนางที่ถูกประหาร ถูกริบทรัพย์ ถูกกำจัดไป ล้วนถูกระบุไว้ชัดเจน จากนั้นก็ชี้ชัดว่าหลี่เฉินใช้อำนาจในทางมิชอบ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยปราศจากเหตุผลในเนื้อหาของประกาศฉบับนี้ หลี่เฉินถูกกล่าวหาว่าเป็นองค์รัชทายาทที่โฉดเขลา อำมหิต และไร้ความสามารถและที่สำคัญที่สุด…หลี่อิ๋นหู่ ได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ในตอนท้ายของประกาศเขาได้ตั้งข้อกังขาต่อเชื้อสายของหลี่เฉิน!หลี่อิ๋นหู่กล่าวหาว่าองค์รัชทายาทในปัจจุบัน มิใช่พระโอรสที่แท้จริงของต้าสิงฮ่องเต้ แต่เป็นบุตรชายที่เกิดจากสตรีสามัญชนที่ต้าสิงฮ่องเต้เคยโปรดปรานเมื่อครั้งยังไร้รัชทายาท ในปีนั้น เมื่อพระนางตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระโอรส ต้าสิงฮ่องเต้ จึงรับตัวเข้าวัง และเพื่อปกปิดความจริงจึงให้พระสนมองค์หนึ่งแสร้งรับเป็นพระมารดาเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทั้งแผ่นดินถึงกับสั่นสะเทือน!ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าองค์ชายแปด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 937

    การเคลื่อนย้ายกองทัพ นับแต่อดีตกาล ล้วนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่สุดของผู้ปกครองโดยทั่วไป การนำกองทัพจากต่างเมืองเข้ามาในเมืองหลวง ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เฉินจำต้องใช้กำลังทหารจากภายนอกหากไม่ได้เตรียมการไว้ อาจไม่ปลอดภัยไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าจ้าวเสวียนจีเตรียมกำลังพลไว้เท่าใดซูเจิ้นถิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้น “องค์รัชทายาทยังทรงจำกองทัพเหลียวตงได้หรือไม่?”หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นมองซูเจิ้นถิง ส่งสัญญาณให้เขากล่าวต่อ“เมื่อปีก่อน ผิงเป่ยได้รับพระบัญชาให้นำทัพไปปราบดองอิ๋งในแคว้นเซียน ในครานั้น ได้มีการเรียกใช้กองทัพเหลียวตง ซึ่งมี แม่ทัพหูซื่อฟาน เป็นผู้บัญชาการ”“แม่ทัพหูซื่อฟาน เคยเป็นอดีตคนของบิดากระหม่อม ในเรื่องความจงรักภักดีนั้น ไม่มีปัญหาแน่นอน”“ส่วนกองทัพจากที่อื่น กระหม่อมเห็นว่าหากไม่ใช่สถานการณ์จำเป็นจริงๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะนอกจากจ้าวเสวียนจีแล้ว พวกเรายังต้องระวังอ๋องจากแคว้นต่างๆ ที่อาจฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย โดยเฉพาะเขตจีชิ่งและกานส่าน จีชิ่งเป็นเขตของเหวินอ๋อง กานส่านเป็นเขตของหนิงอ๋อง หากเกิดเรื่องขึ้นที่ใดที่หนึ่ง ย่อมสะเทือ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 936

    “แม่ทัพซู ดูเหมือนว่าจ้าวเสวียนจีจะทนไม่ไหวแล้ว พวกเขาอาจใช้กำลังทหารบีบคั้นตำหนักบูรพาได้ทุกเมื่อ”คำพูดแรกของหลี่เฉินทำให้ใจของซูเจิ้นถิงแทบหยุดเต้นทว่าซูเจิ้นถิงเพียงยิ้มบางๆ พลางกล่าว “องค์รัชทายาทวางพระทัยเถิด ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของกระหม่อม ตำหนักบูรพาจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “มีแม่ทัพซูกล่าวเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว”จากนั้นเขาหันไปมองสวีฉังชิง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สวีฉังชิง ต่อจากนี้ ภาระของเจ้าจะหนักที่สุด”สวีฉังชิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบกล่าว “องค์รัชทายาท กระหม่อมยินดีถวายชีวิตเพื่อองค์รัชทายาท”“ในด้านราชการ เจ้าอาจต้องรับภาระมากขึ้น เวลานี้ข้าไม่อาจเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าได้ แม้เลื่อนตำแหน่ง สำนักราชเลขาก็คงไม่ยอมรับ ทำให้ชื่อเสียงไม่เป็นที่ยอมรับและกลับกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของเจ้า แต่ข้าขอรับปาก จะมอบตำแหน่งมหาเสนาบดีให้แก่เจ้า”หากต้องการให้ม้าออกวิ่ง ก็ต้องให้อาหารม้าอิ่มเสียก่อนขณะนี้ ตำแหน่งรองเสนาบดีกรมครัวเรือนของสวีฉังชิงนั้นต่ำเกินไป และข้อจำกัดของกรมครัวเรือนก็มาก ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสำคัญต่างๆ ได้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 935

    “องค์รัชทายาททรงดื้อดึงถึงเพียงนี้ เช่นนั้น พวกหม่อมฉันย่อมไม่อาจนิ่งเฉย”จ้าวเสวียนจีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ครั้งนี้ เขาไม่มีทางถอยอีกแล้วสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ทุกฝ่ายต่างยืนอยู่ริมหน้าผา หากใครก้าวถอยหลังเพียงก้าวเดียว ก็จะร่วงลงสู่หุบเหวอันลึกสุดหยั่งเขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “กระหม่อมขอตัว”กล่าวจบ จ้าวเสวียนจีก็หันหลังเดินออกจากพระที่นั่งไท่เหอทันทีฟู่อวี้จือและจางปี้อู่ก็เดินตามไปโดยไม่เอ่ยคำใด แม้แต่จะค้อมศีรษะให้หลี่เฉินสักครั้ง ยังไม่ทำหลี่อิ๋นหู่เดินมาถึงข้างกายหลี่เฉิน มองดูเขาพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยัน ราวกับว่านี่คือฉากที่เขาอยากเห็นที่สุด“น้องขอตัว”เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเดินออกไปอย่างองอาจหลังจากนั้น ขุนนางที่เป็นพวกพ้องของสำนักราชเลขาต่างทยอยออกไป ราวกับกระแสน้ำที่ถาโถมพัดผ่านแต่หลี่เฉินหาได้เอ่ยปากห้ามพวกเขาแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่ มองดูเงาหลังของพวกเขาจากไปเงียบๆ เพียงพริบตาเดียว พระที่นั่งไท่เหอที่เคยเต็มไปด้วยขุนนาง ก็บรรยากาศเงียบเหงาลงทันทีเมื่อสำนักราชเลขาถอนตัวไปแล้ว ผู้ที่ยังเหลืออยู่ ก็เป็นฝ่ายของตำหนักบูรพาบ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 934

    องค์รัชทายาทฆ่าคนมาแล้วมากมายมีตัวอย่างนับไม่ถ้วนที่พิสูจน์ว่า ไม่มีใครที่องค์รัชทายาทไม่กล้าฆ่ามหาบัณฑิตจากสำนักราชเลขา? เขาก็เคยฆ่ามาแล้วแม้แต่ทูตจากแคว้นเหลียว เขายังสังหารต่อหน้าเย่ลู่เสินเสวียนได้เลยชื่อเสียงแห่งความโหดเหี้ยมขององค์รัชทายาท สร้างขึ้นมาจากเลือดของคนเหล่านั้นดังนั้นเมื่อเขากล่าวว่า จะฆ่าจ้าวเสวียนจี ไม่มีขุนนางคนใดในท้องพระโรงที่คิดว่าเขาไม่กล้าทำยกเว้นเพียง จ้าวเสวียนจีเพียงผู้เดียวเขาเงยหน้ามองหลี่เฉิน สีหน้าเรียบเฉย ก่อนกล่าวว่า "หากองค์รัชทายาทเห็นว่าหม่อมฉันสมควรถูกสังหาร หม่อมฉันก็ยินดีมอบศีรษะนี้ให้พระองค์ได้ลงมือ"มีบางปัญหา หากแก้ไม่ได้ ก็ตัดรากถอนโคนมันเสียแต่บางปัญหา หากแก้ไขได้ ก็ควรแก้ไขที่ตัวปัญหา การกำจัดคนที่สร้างปัญหาออกไป อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมจ้าวเสวียนจีเข้าใจเรื่องนี้ดี และหลี่เฉินก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นจ้าวเสวียนจีจึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นเพราะหากหลี่เฉินเสียสติถึงขั้นสังหารเขาต่อหน้าขุนนางทั้งหมด วันพรุ่งนี้ ราชสำนักต้าฉินก็ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆและนี่คือราคาที่หลี่เฉินไม่มีทางยอมจ่ายและเขาก็ไม่ยอมจ่ายจริงๆ“

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status