แชร์

บทที่ 10

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึง

เมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”

เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”

ปึง

หลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”

ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที

เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจ

เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบท

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพื่อปราบปรามผู้คน ซึ่งเทียบเท่ากับการล้มล้างกฎเกณฑ์ของราชสำนักโดยสิ้นเชิง

เหลยนั่วซานทั้งตกใจทั้งโมโห ในความคิดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องสร้างสมดุลระหว่างการเมืองกับเสนาบดีเช่นพวกเขาในราชสำนัก องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้ดูแลประเทศเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาท้าทายกฎเกณฑ์?

“องค์รัชทายาท ท่านต้องการสังหารกระหม่อมหรือ?”

เหลยนั่วซานจ้องเขม็งไปที่หลี่เฉิน คิดว่าหลี่เฉินคงไม่กล้าแตะต้องเขา

มิฉะนั้นขุนนางทั้งบุ๋นบู๊จะต้องเคลื่อนไหว ขับไล่องค์รัชทายาท

“องค์รัชทายาทท่านต้องคิดให้รอบคอบ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว มันจะทำให้จิตใจของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เย็นชา และจะไม่มีใครกล้าช่วยองค์รัชทายาทจัดการปัญหา”

คำขู่ที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ

“ลากเสนาบดีที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ไปประหารให้ข้า!”

เมื่อหลี่เฉินสั่ง องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพาก็ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางขั้นอะไร ด้วยวิธีล้างสมองมาหลายปีของหน่วยงานบูรพา แนวคิดเรื่องอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ถูกจารึกไว้ในกระดูกของพวกเขา

องครักษ์เสื้อแพรสองสามนายพุ่งเข้ามาดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์ จับเหลยนั่วซานทั้งซ้ายขวาแล้วลากออกไป

ครั้งเหลยนั่วซานตื่นตระหนกมาก

เขาพบว่าความเชื่อมั่นและความมั่นใจของเขาเป็นเหมือนเรื่องตลกไร้สาระต่อหน้าหลี่เฉิน

หลี่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะเล่นตามกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้ตั้งแต่ต้น

“องค์รัชทายาท! ท่านโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะโน้มน้ามใจขุนนางได้อย่างไร?”

หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชา “หัวของนักวิชาการหอเหวินหยวนคนหนึ่ง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้ากลัวข้าได้ เช่นนั้นก็เพิ่มหัวของเสนาบดีกรมครัวเรือนไปอีกหนึ่ง แล้วข้าจะดูสิว่า กระดูกแข็งๆ ของนักวิชาการ จะทนดาบคมๆ ของข้าได้หรือไม่”

“เจ้าคิดว่าข้าจะเล่นสิ่งที่เรียกว่าการประนีประนอมและสมดุลกับเจ้าแล้วค่อยๆ ดึงพลังกลับคืนมา? เจ้าคิดมากไปแล้ว หากเป็นจ้าวเสวียนจีก็อาจจะพอมีคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่กับเจ้า ที่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เสนาบดีกรมครัวเรือนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้าเข้ามาร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่า ผลที่ตามมาจากการเลือกข้างผิดเป็นเช่นไร”

สิ้นประโยคของหลี่เฉิน เขาก็โบกแขนเสื้อ องครักษ์เสื้อแพรก็ลากเหลยนั่วซานที่กรีดร้องและดิ้นรนออกไป โดยไม่พูดไม่จาสักคำ

จากนั้นเสียงกรีดร้องก็หยุดกะทันหันนอกประตูตำหนัก

ผ่านไปสักพัก องครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งก็กลับมาหาหลี่เฉิน โดยกุมศีรษะมนุษย์ที่เปื้อนเลือดไว้ในมือ นั่นเป็นหัวของเหลยนั่วซาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างคล้ายตายตาไม่หลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ

“องค์รัชทายาท ขุนนางทรยศเหลยนั่วซานถูกสำเร็จโทษแล้ว”

“พอดีเลยพระคลังว่างเปล่า ไปค้นบ้านของเหลยนั่วซาน ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนในสามชั่วโคตรถูกลดระดับเป็นทาส และส่งไปที่กองทัพ ส่วนผู้หญิงที่อายุมากกว่าสิบสี่ปีจะถูกส่งเข้ากองทัพ ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หญิง ส่วนคนแก่ คนอ่อนแอและเด็กจะถูกไล่ออกจากเมืองหลวง และจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกสวีฉังชิงผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมครัวเรือนมา ข้าอยากจะรู้ว่าวันนี้ จะต้องตัดหัวกรมครัวเรือนไปกี่คน ถึงจะหาคนที่สามารถจัดการเรื่องราวให้ข้าได้”

อย่างไรก็ตาม เสนาบดีกรมครัวเรือนนั้นเป็นขุนนางขั้นที่ 2 และเป็นผู้นำกรมคนหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งใ นเสาหลักของจักรวรรดิ

แต่เหลยนั่วซานก็ถูกตัดหัวเช่นนี้

ความวุ่นวายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคนส่วนใหญ่ได้ยินข่าว พวกเขาคิดว่าพวกเขาฟังผิด หรือคิดว่าองค์รัชทายาทบ้าไปแล้ว

หลี่เฉินไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เขามองไปที่สวีฉังชิงซึ่งรีบมาจากกรมครัวเรือน และกำลังหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่

“กระหม่อม ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือน สวีฉังชิง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ ”

เทียบกับเหลยนั่วซานแล้ว สวีฉังชิงรู้กฎเกณฑ์กว่ามาก

หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว เขาก็ก้มศีรษะค้อมเอว ลดสองมือลง โดยไม่กล้ามองหน้าหลี่เฉิน เขาคุกเข่าลงโดยตรง และแซ่ซ้องว่าทรงพระเจริญ

ในเวลานี้ สวีฉังชิงรู้เพียงว่าเหลยนั่วซาน หัวหน้าของตนนั้นถูกเรียกไปยังตำหนักบูรพา แต่เรียกไปทำไม แล้วคนอยู่ที่ไหน เขาไม่รู้เลย

อย่างไรก็ตาม ในห้องโถงใหญ่ มีคราบมากมายที่แม้ว่าจะทำความสะอาดแล้ว แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นคราบเลือด ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“ไม่ต้องพิธีรีตอง”

หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “เหลยนั่วซานตายแล้ว”

“หัวของเขาถูกวางไว้ข้างๆ เจ้าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว หากเจ้าดูให้ดี เจ้าน่าจะมองเห็นร่องรอยที่เหลืออยู่”

สวีฉังชิงหนังตากระตุก เขาตกใจจนไม่กล้าหายใจเข้า

หัวของเขากำลังแล่นฉิว และเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ และมันก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาอีกด้วย

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสในรอบหมื่นปี ที่จะก้าวข้ามอุปสรรคที่ทำให้เจ้าหน้าที่นับไม่ถ้วนต้องสิ้นหวังตลอดชีวิตของการเป็นขุนนางขั้นที่สอง เลื่อนไปเป็นเสนาบดีขุนนางขั้นที่หนึ่ง

หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในช่วงสั้นๆ สวีฉังชิงก็พูดทันทีว่า “กระหม่อมไม่รู้เหลยนั่วซานก่ออาชญากรรมอะไร แต่เนื่องจากองค์รัชทายาททรงโกรธมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรตาย”

หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา และพูดว่า “เจ้าฉลาดกว่าเขามาก”

สวีฉังชิงก้มหน้า ไม่กล้ามองหลี่เฉิน เขากล่าวว่า “กระหม่อมรู้แค่ว่าฮ่องเต้พระวรกายมังกรไม่ดีนัก และไม่สามารถจัดการกิจการของประเทศได้ และองค์รัชทายาทก็เป็นผู้ควบคุมดูแลประเทศ ดังนั้นจึงต้องฟังองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินเริ่มพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้เขาไม่มีรากฐานเลยในราชสำนักอาจกล่าวได้ว่าคนของจ้าวเสวียนจีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

และเขาจำเป็นต้องจัดตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมอำนาจของตัวเอง

ดังนั้นสำหรับการเลือกสมาชิกเข้าทีมนั้น สิ่งแรกคือการฉลาดเพียงพอและมีความทะเยอทะยานเพียงพอ อย่างที่สองคือความสามารถ

คนที่ฉลาดเกินไป จะไม่ติดตามเขาในเวลานี้

มีเพียงคนฉลาดและทะเยอทะยานเท่านั้นที่จะติดตามเขาในตอนที่รากฐานของเขาอ่อนแอ เพื่อที่จะได้รับรางวัลมากขึ้น หากเขาชนะในอนาคต

สำหรับความสามารถ ถ้าหากผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนางมาได้หลายปี และสามารถปีนจากขั้นที่หก ขึ้นมาเป็นขั้นที่สองได้ คนแบบนี้จะขาดความสามารถได้อย่างไร?

“ลองดูนี่สิ”

หลี่เฉินไม่ยกเรื่องของเหลยนั่วซานขึ้นมาพูดอีก แต่โยนสาส์นกราบทูลข้อราชการมณฑลหนานเหอไปตรงหน้าสวีฉังชิง

สวีฉังชิงถือสาส์นกราบทูลข้อราชการด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ แล้วอ่านอย่างละเอียด

ทันทีที่เขาเห็นเนื้อหานี้ เขาก็รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่

สวีฉังชิงวางสาส์นกราบทูลข้อราชการลง และกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “องค์รัชทายาท ภัยพิบัติในมณฑลหนานเหอได้เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีการส่งสาส์นกราบทูลข้อราชการมากกว่าสิบครั้ง แต่ละครั้งยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ”

“แล้วทำไมเราไม่บรรเทาภัยพิบัติล่ะ?” หลี่เฉินถาม

“ท้องพระคลังว่างเปล่า”

สวีฉังชิงประสานมือ แล้วตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ตอนนี้ท้องพระคลังมีเพียง 3.7 ล้านตำลึง แม้แต่เงินเดือนที่ใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศก็ยังไม่เพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงการบรรเทาภัยพิบัติเลย มณฑลหนานเหอต้องการบรรเทาสาธารณภัย หากไม่มีถึงห้าล้านตำลึงก็ไม่อาจรับมือไหว มันเป็นแค่หยดเดียวในถังเท่านั้นองค์รัชทายาท”

“ข้าจำได้ว่าท้องพระคลังมีรายได้จากภาษีถึง 60 ล้านตำลึงทุกปี แต่ทำไมมันว่างเปล่าจัง ?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม

สวีฉังชิงยิ้มอย่างขมขื่น “เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ต่างๆ ภัยแห้งแล้งทางภาคเหนือกินเวลานานกว่าหนึ่งปี น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และค่าใช้จ่ายทางทหารก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยังมี...”

พูดถึงตรงนี้ สวีฉังชิงก็ได้ตระหนักว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป จึงรีบปิดปากไม่กล้าพูดต่อ

“เจ้าพูดมา ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น

สวีฉังชิงได้ยินดังนั้น จึงกัดฟันพูดอย่างกล้าหาญว่า “ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป อ๋องศักดินา เช่น หานอ๋อง ชูอ๋อง จ้าวอ๋อง จิ่งหยางอ๋องและคนอื่นๆ ต่างเริ่มไม่จ่ายเงินสมทบประจำปีด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จึงหายไป”

หลี่เฉินหรี่ตา

อ๋องศักดินา!

ในระบบต้าฉิน หลังจากอ๋องศักดินาได้ศักดินาแล้ว พวกเขาจะมีอำนาจทางการทหาร อำนาจทางการเมืองและสิทธิในการเก็บภาษีในดินแดน แค่ต้องจ่ายส่วยประจำปีจำนวนหนึ่งให้กับราชสำนักทุกปี ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นประเทศซ้อนประเทศอีกที

สองร้อยปีหลังจากสถาปนาราชวงศ์ฉิน อ๋องศักดินาเหล่านี้ก็กลายเป็นมะเร็งก้อนใหญ่

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรมากเรื่องอ๋องศักดินา

ตอนนี้ฮ่องเต้อาจจะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ และจักรวรรดิจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หลี่เฉินไม่ต้องพูดเลยว่าอยากจะโค่นล้มอ๋องศักดินาเพียงใด เพราะเหล่าเสด็จลุงพวกนั้นก็กำลังรอให้ฮ่องเต้สิ้นพระชมน์ เพื่อที่จะได้ชูธงโค่นล้มเขา

ดังนั้นการจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องศักดินาจะต้องรอจนกว่าเขาจะขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ

ส่วนตอนนี้ เริ่มแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในประเทศก่อน

“ภัยพิบัติเกิดขึ้นมานานหลายปี ราชสำนักได้จัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ข้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่ด้านล่างไม่สามารถจัดการกับพวกเขาโดยไม่เปื้อนน้ำมันได้ จงส่งรายงานชื่อผู้ทุจริต เจ้าหน้าที่ที่เจ้ารู้จัก มอบมันให้หน่วยงานบูรพา แล้วหน่วยงานบูรพาจะจัดการมัน”

หลี่เฉินซึ่งกำลังขาดแคลนเงินให้ความสนใจกับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเป็นอย่างมาก

ยิ่งประเทศยากจน ก็มีคนสองกลุ่มเทานั้นที่ร่ำรวยขึ้น

กลุ่มแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต กลุ่มที่สองคือพ่อค้า

“ยังมี ราคาเมล็ดพืช น้ำมัน ข้าว บะหมี่และของใช้จำเป็นอื่นๆ ตอนนี้ราคาเท่าไหร่?”

สวีฉังชิงตกใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้ยินคำว่าหน่วยงานบูรพา แต่เมื่อได้ยินคำถามเขาก็รีบตอบโดยสัญชาตญาณ “ราคาพุ่งสูงขึ้น ราคาข้าวขึ้นถึงระดับไร้สาระแล้ว เมื่อต้นปี 5 เหรียญทองแดงก็ซื้อข้าวใหม่คุณภาพดีได้หนึ่งจิน แต่ตอนนี้ แม้แต่ข้าวเก่าที่ขึ้นราก็ยังหาซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน 30 เหรียญทองแดง”

“ข้าวในตลาดกระจุกตัวอยู่ในมือของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่ร่วมมือกันดันราคาให้สูงขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมครัวเรือนเคยขอยืมเมล็ดพืชจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวง ในนามของราชสำนัก แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับอะไรเลย แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังมาร่องห่มร้องไห้หาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม น่ารังเกียจจริงๆ!”

“เจ้าไปเรียกรวมตัวพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวงมา บอกว่าพรุ่งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงในตำหนักบูรพา”

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา “มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเงินในช่วงวิกฤตของประเทศ พ่อค้าเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากมายในช่วงวิกฤตของประเทศเสมอ คิดจะสร้างความมั่งคั่งบนเรื่องนี้งั้นหรือ ราวกับว่าดาบของราชสำนักจะร่วงใส่คอพวกเขา?”

ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
ต.ตระกูล แก้ว
นุกนุกมากมากคับ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 774

    ขุนนางวัยกลางคนคนนั้นไม่คิดว่าหลี่เฉินจะลงโทษเขารุนแรงเช่นนี้ เขาจึงดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง "องค์รัชทายาท! ท่านไม่ใส่ใจสถานการณ์ของชาติ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ นี่คือการทำลายรากฐานของแผ่นดิน!""เกียรติยศของแคว้นและความผาสุกของลูกหลานในอนาคต ไม่สามารถได้มาด้วยเลือดร้อนเพียงอย่างเดียวได้ กองทัพหกแสนของแคว้นเหลียวจ้องมองเราอย่างดุดัน ทั้งภายในและภายนอกแคว้นก็มีแต่ปัญหา ท่านยังจะดึงดันใช้นโยบายแข็งกร้าวเช่นนี้ต่อไป และไม่ยอมฟังคำเตือนจากพวกเรา ในที่สุด แผ่นดินนี้จะต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของท่านเอง!""ข้าซึ่งเป็นข้าราชการที่กินเงินเดือนของราชสำนัก ย่อมต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้จะต้องสละชีวิตนี้ ข้าก็ไม่อาจทนเห็นท่านทำลายรากฐานที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้!"ขณะที่เขากล่าวนั้น ทหารสองนายก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อจะจับกุมตัวเขาแต่ด้วยพละกำลังที่เกิดจากสัญชาตญาณในยามวิกฤติ เขาผลักทหารทั้งสองออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การขอความเมตตาย่อมไร้ประโยชน์ แต่หากเขาสามารถปลุกเร้าความโกรธของขุนนางคนอื่นๆ ได้ อาจจะมีความหวังรอดชีวิตอยู่บ้างขุนนางผู้นี้กัดฟันแน่นก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 773

    ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับสูงสุดในพระที่นั่งไท่เหอ แต่ก็ถือว่าเป็นชนชั้นนำในหมู่ประชากรหลายสิบล้านคนของต้าฉิน การที่เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืนในพระที่นั่งไท่เหอได้ อย่างไรเสียก็คือหนึ่งในชนชั้นยอดของยุคสมัยนี้และเมื่อเขาเอ่ยปากพูด ก็ใช้คำกล่าวที่ยกตนขึ้นสูงในทันทีหวังที่จะใช้ถ้อยคำนี้กดดันหลี่เฉิน"อ้อนวอนเพื่อแผ่นดิน"คำพูดนี้ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะออกมา "ดี! ช่างเป็นการอ้อนวอนเพื่อแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!""ถ้าเจ้าคือผู้ที่อ้อนวอนเพื่อราษฎร เช่นนั้นข้าก็คงเป็นองค์รัชทายาทที่ไม่สนใจเสียงของราษฎร เป็นผู้ปกครองที่ไร้สติและโง่เขลาใช่หรือไม่!?"เมื่อเผชิญกับคำถามที่ดังก้องและชัดเจนของหลี่เฉิน ขุนนางวัยกลางคนก็เริ่มหวั่นไหวเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเขา ก่อนกัดฟันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ "กระหม่อม…กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น""เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?"หลี่เฉินเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน "แคว้นเหลียวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ข้าได้เตือนพวกเจ้าไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! แคว้นเหลียวไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 772

    แกร๊ก…เสียงกระดูกนิ้วมือของเย่ลู่เสินเสวียนดังขึ้นขณะที่เขากำหมัดแน่นไม่มีสิ่งใดที่น่าอับอายมากไปกว่านี้อีกแล้วเย่ลู่เสินเสวียนสูดลมหายใจลึก ก่อนหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีและกัดฟันกล่าวว่า "ยังไม่รีบมาอีก!?"เย่ลู่กู่จ้านฉีราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเย่ลู่เสินเสวียนทันทีเมื่อไปถึงหน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเย่ลู่กู่จ้านฉีตื่นเต้นเกินไป หรือว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู เขากลับสะดุดล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ เย่ลู่กู่จ้านฉีล้มลงในท่าหมอบหน้าแนบพื้นอย่างน่าอับอาย"ฮะ…ฮ่าๆๆๆ!"เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจจากบางคนแม้แต่ซูเจิ้นถิงเองก็เผลอเผยรอยยิ้มที่มุมปาก แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ควรหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะหันไปเตือนคนที่หัวเราะเสียงดังนั้น กลับเห็นว่าผู้ที่หัวเราะเสียงดังที่สุดคือบุตรชายของเขาเอง…เย่ลู่เสินเสวียนมองดูเย่ลู่กู่จ้านฉีที่หน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย สีหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธ"น่าอับอายสิ้นดี!"เขาเค้นคำออกมาจากไรฟันด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 771

    ทุกย่างก้าวที่หลี่เฉินเดินผ่าน เสียงพูดคุยที่เคยดังสนั่นในพระที่นั่งไท่เหอพลันเงียบลงทันทีสายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลี่เฉินที่เคลื่อนไหว โดยไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ก้าวลงจากบัลลังก์มังกรอย่างกะทันหันจนกระทั่งหลี่เฉินเดินไปหยุดที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ เขายืนอยู่หลังธรณีประตู และจ้องมองเย่ลู่เสินเสวียนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งหลี่เฉินชี้ไปที่ธรณีประตู ก่อนกล่าวว่า "ธรณีประตูนี้ ด้านในคือพระที่นั่งไท่เหอ คือดินแดนต้าฉิน"เย่ลู่เสินเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่า หลี่เฉินต้องการจะสื่ออะไร แต่ก็ตอบกลับไปว่า "เจ้าหมายความว่า ด้านนอกธรณีประตูนี้ เป็นดินแดนของแคว้นเหลียวอย่างนั้นหรือ?"เย่ลู่เสินเสวียนคิดว่าตนเองตอบได้อย่างมีชั้นเชิงแต่หลี่เฉินส่ายศีรษะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ไม่ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ นอกธรณีประตูนี้ ใต้ฟ้าสีเหลืองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนเป็นดินแดนของต้าฉิน""และดินแดนต้าฉิน จะไม่มีวันให้ใครยืมใช้โดยเด็ดขาด""หรือไม่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียวลองพิจารณาส่งภรรยาของท่านมาให้ข้าเล่นสักคนสองคนดีหรือไม่?"คำพูดหยาบโลนที่ราวก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 770

    ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เองแคว้นเหลียวไม่สิ้นความทะเยอทะยานจริงๆหลี่เฉินเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนครั้งนี้ของเย่ลู่เสินเสวียนแล้วมันไม่ใช่เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายที่ถูกฆ่าและไม่ใช่เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของท่านอ๋องเก้าที่ทำให้แคว้นเหลียวต้องอับอายขายหน้าแต่คือการผลักดันให้การเจรจาระหว่างต้าฉินและแคว้นเหลียวเกิดขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วคือความทะเยอทะยานที่จะเปิดเส้นทางผ่านด่านเย่ว์หยาเพื่อบุกโจมตีต้าฉินโดยไร้การต่อต้านเย่ลู่เสินเสวียนเอ่ยเสียงดังต่อไปว่า "เพื่อแสดงความจริงใจของแคว้นเหลียว เราพร้อมจะลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับต้าฉิน และพร้อมคืนครึ่งหนึ่งของแคว้นเยี่ยนอวิ๋นสิบหกหัวเมือง เพียงแค่ต้าฉินพยักหน้าตกลง แคว้นเหลียวก็จะมอบหัวเมืองเหล่านั้นให้ก่อนทันที จากนั้นต้าฉินค่อยเปิดเส้นทางด่านเย่ว์หยาให้เรา"คำพูดนี้ทำให้พระที่นั่งไท่เหอปั่นป่วนในทันทีเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น หลายคนแสดงท่าทีลังเลและสนใจในข้อเสนอขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวว่า "องค์ชาย แคว้นเหลียวมีกำลังเหนือกว่าพวกเราอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขายัง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 769

    สำหรับเย่ลู่เสินเสวียน การสูญเสียบุตรชายไปหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องใหญ่เขาเป็นบุรุษที่มีหญิงล้อมหน้าล้อมหลัง หากร่างกายยังแข็งแรง บุตรหลานย่อมไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนแม้ว่าเขาจะชื่นชอบเย่ลู่ฉีหมิง แต่ก็ไม่ถือสาอะไรนัก ลูกๆ ที่คอยเอาใจเขามีอยู่มากมาย และเขาก็สามารถสร้างทายาทใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพราะตัวเขายังหนุ่มแน่นแต่สิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ คือการที่บุตรชายของเขาถูกองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินสังหาร แล้วส่งหัวเน่าเปื่อยมาทิ้งไว้ต่อหน้าเขานั่นเท่ากับว่า หลี่เฉินเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างจงใจแม้เย่ลู่เสินเสวียนจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครกล้าเอ่ยแทนเขาเย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจัดจนกระโดดขึ้นมาพูดทันที "เจ้าโกหก! ข้ายืนยันตัวตนของเย่ลู่ฉีหมิงแล้ว เขาไม่ได้แอบอ้างเป็นใครทั้งนั้น และเจ้าเองก็ไม่เคยสงสัยในตัวเขาสักนิด จนกระทั่งเจ้าฆ่าเขา ตอนนี้กลับมาบอกว่าเขาแอบอ้าง นี่มันโกหกชัดๆ!"หลี่เฉินเหลือบมองเย่ลู่กู่จ้านฉีด้วยความประหลาดใจเขาเริ่มคิดว่า หรือในช่วงเดือนที่ผ่านมา อ๋องเก้าผู้นี้จะหิวโหยจนเพี้ยนไปแล้วหลี่เฉินยกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างเย้ยหยัน "อ้อ? แสดงว่าเขา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 768

    เมื่อกล่องผ้าดำถูกเปิดออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในคือศีรษะมนุษย์ที่เน่าเปื่อยจนแทบดูไม่ได้!ศีรษะนั้นถูกปกคลุมด้วยเลือดดำคล้ำที่แห้งกรัง บาดแผลลึกตัดขวางไปทั่วใบหน้าจนดูเหมือนหัวหมูที่ถูกสับด้วยมีด ความเน่าเปื่อยทำให้เนื้อหนังผุพัง ผมพันกันยุ่งเหยิง และระหว่างเนื้อที่เน่าผุยังมีหนอนสีขาวเล็กๆ ไต่ยั้วเยี้ยไปมาภาพนั้นทำให้แม้แต่แม่ทัพผู้ชินชากับการฆ่าฟันยังรู้สึกขนลุกฮาเลยต้าลี่ที่เป็นคนถือกล่องถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสิ่งนั้นเป็นคนแรกหลังจากตกตะลึง เขาก็โกรธจัด เงยหน้าขึ้นตะโกนใส่หลี่เฉินด้วยความเดือดดาล "เจ้ากล้าลอบสังหารองค์รัชทายาทของพวกเราอย่างนั้นหรือ!?"หลี่เฉินยังคงสีหน้าราบเรียบ พลางเอ่ยคำสั่งสั้นๆ "ตบปาก"เพียะ!เพียะ! เพียะ!เสียงฝ่ามือตบดังขึ้นสามครั้งติดเป็นซานเป่าที่เข้าไปตบฮาเลยต้าลี่ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างจนเกิดเสียงดังชัดเจนแม้รูปร่างของซานเป่าจะเล็กและผอมกว่า แต่ฮาเลยต้าลี่ที่ดูราวกับหมีสีน้ำตาลกลับไม่อาจสู้เขาได้เลยแม้แต่จะตั้งตัวฮาเลยต้าลี่ยังไม่อาจทำได้ อย่าว่าแต่ต่อต้านเลย ใบหน้าของเขาจึงถูกซานเป่าตบเข้าที่หน้าเต็มๆ ถึงสามครั้งโดยไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 767

    ชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้ามักนับถือสัญลักษณ์ของหมาป่า ต่างจากชาวฮั่นแห่งแผ่นดินต้าฉินที่ยึดถือมังกรเป็นเครื่องหมายการเคารพหมาป่าในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขาเชิดชูพลังอำนาจ และเชื่อมั่นในหลักการที่ว่า ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ต้องถูกกลืนกินคำพูดของหลี่เฉินที่เพิ่งกล่าวออกไป จึงมีความหมายแฝงสองนัย เหล่าคนแคว้นเหลียวที่อยู่ในที่นั้น แม้จะรู้สึกไม่พอใจและอึดอัดใจเพียงใด ก็ไม่อาจหาคำมาคัดค้านได้เย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของพระที่นั่งไท่เหอ มองเย่ลู่เสินเสวียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาท ท่านเห็นหรือยัง นี่แหละคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ปากคมเสียยิ่งกว่าคมหอกคมดาบ สามารถปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาโกรธได้เลยทีเดียว ท่านต้องระวังตัว อย่าตกหลุมพรางของเขาเด็ดขาดเย่ลู่เสินเสวียนยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสง่างาม "ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินจะไม่ต้อนรับพวกเราเลยนะ""จริงอย่างว่า"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ต้าฉินและแคว้นเหลียวเป็นศัตรูกันมานานนับศตวรรษ ศพผู้คนที่ตายจากความขัดแย้งของสองแคว้น หากนำมาต่อกันคงทอดยาวจากพระราชวั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 766

    "องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียว เริ่มศึกษาวรรณศิลป์ตั้งแต่อายุสามปี หัดวิชาการต่อสู้ตั้งแต่อายุห้าปี เจ็ดปีก็สามารถประพันธ์บทกวีได้เอง สิบสองปีฝึกปราบม้าศึกสายพันธุ์หายากที่ดุร้ายที่สุด และในวัยสิบห้าก็นำทัพเข้าสู่สนามรบ""เขาอายุเพียงยี่สิบกว่าปี แต่เรื่องราวชีวิตของเขานั้นเล่าขานเป็นตำนาน ความสามารถโดดเด่นหาใครเทียบมิได้ คนด้อยความรู้อย่างชาวต้าฉินพวกเจ้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร!"คำพูดเหล่านี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีพูดด้วยความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเขาไม่ทันตระหนักเลยว่า คำพูดของเขาเป็นการดูถูกคนทุกคนในที่นั้น ยกเว้นตัวเขาเองหลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า "ท่านอ๋องเก้า กินอิ่มจนมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือแล้วกระมัง?"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีก็รีบเงียบปากทันที เพราะในใจเขายังคงหวาดกลัวหลี่เฉินอยู่บ้างในขณะเดียวกัน เขาก็แอบลั่นวาจาในใจว่า หากข้าได้กลับแคว้นเหลียวเมื่อใด เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือดแน่นอน...ทุ่งหญ้าเขียวขจีทอดยาวไปไกลนับพันลี้ในค่ำคืนเดียว...คำพูดนี้น่าสนใจสำหรับหลี่เฉินเขาไม่รู้ว่าเย่ลู่เสินเสวียนมีพระชายากี่คน...ได้ยินมาว่าชาวแ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status