Share

บทที่ 10

Penulis: ไห่ตงชิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึง

เมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”

เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”

ปึง

หลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”

ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที

เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจ

เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบท

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพื่อปราบปรามผู้คน ซึ่งเทียบเท่ากับการล้มล้างกฎเกณฑ์ของราชสำนักโดยสิ้นเชิง

เหลยนั่วซานทั้งตกใจทั้งโมโห ในความคิดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องสร้างสมดุลระหว่างการเมืองกับเสนาบดีเช่นพวกเขาในราชสำนัก องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้ดูแลประเทศเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาท้าทายกฎเกณฑ์?

“องค์รัชทายาท ท่านต้องการสังหารกระหม่อมหรือ?”

เหลยนั่วซานจ้องเขม็งไปที่หลี่เฉิน คิดว่าหลี่เฉินคงไม่กล้าแตะต้องเขา

มิฉะนั้นขุนนางทั้งบุ๋นบู๊จะต้องเคลื่อนไหว ขับไล่องค์รัชทายาท

“องค์รัชทายาทท่านต้องคิดให้รอบคอบ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว มันจะทำให้จิตใจของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เย็นชา และจะไม่มีใครกล้าช่วยองค์รัชทายาทจัดการปัญหา”

คำขู่ที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ

“ลากเสนาบดีที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ไปประหารให้ข้า!”

เมื่อหลี่เฉินสั่ง องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพาก็ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางขั้นอะไร ด้วยวิธีล้างสมองมาหลายปีของหน่วยงานบูรพา แนวคิดเรื่องอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ถูกจารึกไว้ในกระดูกของพวกเขา

องครักษ์เสื้อแพรสองสามนายพุ่งเข้ามาดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์ จับเหลยนั่วซานทั้งซ้ายขวาแล้วลากออกไป

ครั้งเหลยนั่วซานตื่นตระหนกมาก

เขาพบว่าความเชื่อมั่นและความมั่นใจของเขาเป็นเหมือนเรื่องตลกไร้สาระต่อหน้าหลี่เฉิน

หลี่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะเล่นตามกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้ตั้งแต่ต้น

“องค์รัชทายาท! ท่านโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะโน้มน้ามใจขุนนางได้อย่างไร?”

หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชา “หัวของนักวิชาการหอเหวินหยวนคนหนึ่ง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้ากลัวข้าได้ เช่นนั้นก็เพิ่มหัวของเสนาบดีกรมครัวเรือนไปอีกหนึ่ง แล้วข้าจะดูสิว่า กระดูกแข็งๆ ของนักวิชาการ จะทนดาบคมๆ ของข้าได้หรือไม่”

“เจ้าคิดว่าข้าจะเล่นสิ่งที่เรียกว่าการประนีประนอมและสมดุลกับเจ้าแล้วค่อยๆ ดึงพลังกลับคืนมา? เจ้าคิดมากไปแล้ว หากเป็นจ้าวเสวียนจีก็อาจจะพอมีคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่กับเจ้า ที่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เสนาบดีกรมครัวเรือนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้าเข้ามาร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่า ผลที่ตามมาจากการเลือกข้างผิดเป็นเช่นไร”

สิ้นประโยคของหลี่เฉิน เขาก็โบกแขนเสื้อ องครักษ์เสื้อแพรก็ลากเหลยนั่วซานที่กรีดร้องและดิ้นรนออกไป โดยไม่พูดไม่จาสักคำ

จากนั้นเสียงกรีดร้องก็หยุดกะทันหันนอกประตูตำหนัก

ผ่านไปสักพัก องครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งก็กลับมาหาหลี่เฉิน โดยกุมศีรษะมนุษย์ที่เปื้อนเลือดไว้ในมือ นั่นเป็นหัวของเหลยนั่วซาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างคล้ายตายตาไม่หลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ

“องค์รัชทายาท ขุนนางทรยศเหลยนั่วซานถูกสำเร็จโทษแล้ว”

“พอดีเลยพระคลังว่างเปล่า ไปค้นบ้านของเหลยนั่วซาน ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนในสามชั่วโคตรถูกลดระดับเป็นทาส และส่งไปที่กองทัพ ส่วนผู้หญิงที่อายุมากกว่าสิบสี่ปีจะถูกส่งเข้ากองทัพ ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หญิง ส่วนคนแก่ คนอ่อนแอและเด็กจะถูกไล่ออกจากเมืองหลวง และจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกสวีฉังชิงผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมครัวเรือนมา ข้าอยากจะรู้ว่าวันนี้ จะต้องตัดหัวกรมครัวเรือนไปกี่คน ถึงจะหาคนที่สามารถจัดการเรื่องราวให้ข้าได้”

อย่างไรก็ตาม เสนาบดีกรมครัวเรือนนั้นเป็นขุนนางขั้นที่ 2 และเป็นผู้นำกรมคนหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งใ นเสาหลักของจักรวรรดิ

แต่เหลยนั่วซานก็ถูกตัดหัวเช่นนี้

ความวุ่นวายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคนส่วนใหญ่ได้ยินข่าว พวกเขาคิดว่าพวกเขาฟังผิด หรือคิดว่าองค์รัชทายาทบ้าไปแล้ว

หลี่เฉินไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เขามองไปที่สวีฉังชิงซึ่งรีบมาจากกรมครัวเรือน และกำลังหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่

“กระหม่อม ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือน สวีฉังชิง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ ”

เทียบกับเหลยนั่วซานแล้ว สวีฉังชิงรู้กฎเกณฑ์กว่ามาก

หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว เขาก็ก้มศีรษะค้อมเอว ลดสองมือลง โดยไม่กล้ามองหน้าหลี่เฉิน เขาคุกเข่าลงโดยตรง และแซ่ซ้องว่าทรงพระเจริญ

ในเวลานี้ สวีฉังชิงรู้เพียงว่าเหลยนั่วซาน หัวหน้าของตนนั้นถูกเรียกไปยังตำหนักบูรพา แต่เรียกไปทำไม แล้วคนอยู่ที่ไหน เขาไม่รู้เลย

อย่างไรก็ตาม ในห้องโถงใหญ่ มีคราบมากมายที่แม้ว่าจะทำความสะอาดแล้ว แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นคราบเลือด ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“ไม่ต้องพิธีรีตอง”

หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “เหลยนั่วซานตายแล้ว”

“หัวของเขาถูกวางไว้ข้างๆ เจ้าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว หากเจ้าดูให้ดี เจ้าน่าจะมองเห็นร่องรอยที่เหลืออยู่”

สวีฉังชิงหนังตากระตุก เขาตกใจจนไม่กล้าหายใจเข้า

หัวของเขากำลังแล่นฉิว และเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ และมันก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาอีกด้วย

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสในรอบหมื่นปี ที่จะก้าวข้ามอุปสรรคที่ทำให้เจ้าหน้าที่นับไม่ถ้วนต้องสิ้นหวังตลอดชีวิตของการเป็นขุนนางขั้นที่สอง เลื่อนไปเป็นเสนาบดีขุนนางขั้นที่หนึ่ง

หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในช่วงสั้นๆ สวีฉังชิงก็พูดทันทีว่า “กระหม่อมไม่รู้เหลยนั่วซานก่ออาชญากรรมอะไร แต่เนื่องจากองค์รัชทายาททรงโกรธมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรตาย”

หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา และพูดว่า “เจ้าฉลาดกว่าเขามาก”

สวีฉังชิงก้มหน้า ไม่กล้ามองหลี่เฉิน เขากล่าวว่า “กระหม่อมรู้แค่ว่าฮ่องเต้พระวรกายมังกรไม่ดีนัก และไม่สามารถจัดการกิจการของประเทศได้ และองค์รัชทายาทก็เป็นผู้ควบคุมดูแลประเทศ ดังนั้นจึงต้องฟังองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินเริ่มพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้เขาไม่มีรากฐานเลยในราชสำนักอาจกล่าวได้ว่าคนของจ้าวเสวียนจีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

และเขาจำเป็นต้องจัดตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมอำนาจของตัวเอง

ดังนั้นสำหรับการเลือกสมาชิกเข้าทีมนั้น สิ่งแรกคือการฉลาดเพียงพอและมีความทะเยอทะยานเพียงพอ อย่างที่สองคือความสามารถ

คนที่ฉลาดเกินไป จะไม่ติดตามเขาในเวลานี้

มีเพียงคนฉลาดและทะเยอทะยานเท่านั้นที่จะติดตามเขาในตอนที่รากฐานของเขาอ่อนแอ เพื่อที่จะได้รับรางวัลมากขึ้น หากเขาชนะในอนาคต

สำหรับความสามารถ ถ้าหากผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนางมาได้หลายปี และสามารถปีนจากขั้นที่หก ขึ้นมาเป็นขั้นที่สองได้ คนแบบนี้จะขาดความสามารถได้อย่างไร?

“ลองดูนี่สิ”

หลี่เฉินไม่ยกเรื่องของเหลยนั่วซานขึ้นมาพูดอีก แต่โยนสาส์นกราบทูลข้อราชการมณฑลหนานเหอไปตรงหน้าสวีฉังชิง

สวีฉังชิงถือสาส์นกราบทูลข้อราชการด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ แล้วอ่านอย่างละเอียด

ทันทีที่เขาเห็นเนื้อหานี้ เขาก็รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่

สวีฉังชิงวางสาส์นกราบทูลข้อราชการลง และกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “องค์รัชทายาท ภัยพิบัติในมณฑลหนานเหอได้เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีการส่งสาส์นกราบทูลข้อราชการมากกว่าสิบครั้ง แต่ละครั้งยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ”

“แล้วทำไมเราไม่บรรเทาภัยพิบัติล่ะ?” หลี่เฉินถาม

“ท้องพระคลังว่างเปล่า”

สวีฉังชิงประสานมือ แล้วตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ตอนนี้ท้องพระคลังมีเพียง 3.7 ล้านตำลึง แม้แต่เงินเดือนที่ใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศก็ยังไม่เพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงการบรรเทาภัยพิบัติเลย มณฑลหนานเหอต้องการบรรเทาสาธารณภัย หากไม่มีถึงห้าล้านตำลึงก็ไม่อาจรับมือไหว มันเป็นแค่หยดเดียวในถังเท่านั้นองค์รัชทายาท”

“ข้าจำได้ว่าท้องพระคลังมีรายได้จากภาษีถึง 60 ล้านตำลึงทุกปี แต่ทำไมมันว่างเปล่าจัง ?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม

สวีฉังชิงยิ้มอย่างขมขื่น “เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ต่างๆ ภัยแห้งแล้งทางภาคเหนือกินเวลานานกว่าหนึ่งปี น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และค่าใช้จ่ายทางทหารก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยังมี...”

พูดถึงตรงนี้ สวีฉังชิงก็ได้ตระหนักว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป จึงรีบปิดปากไม่กล้าพูดต่อ

“เจ้าพูดมา ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น

สวีฉังชิงได้ยินดังนั้น จึงกัดฟันพูดอย่างกล้าหาญว่า “ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป อ๋องศักดินา เช่น หานอ๋อง ชูอ๋อง จ้าวอ๋อง จิ่งหยางอ๋องและคนอื่นๆ ต่างเริ่มไม่จ่ายเงินสมทบประจำปีด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จึงหายไป”

หลี่เฉินหรี่ตา

อ๋องศักดินา!

ในระบบต้าฉิน หลังจากอ๋องศักดินาได้ศักดินาแล้ว พวกเขาจะมีอำนาจทางการทหาร อำนาจทางการเมืองและสิทธิในการเก็บภาษีในดินแดน แค่ต้องจ่ายส่วยประจำปีจำนวนหนึ่งให้กับราชสำนักทุกปี ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นประเทศซ้อนประเทศอีกที

สองร้อยปีหลังจากสถาปนาราชวงศ์ฉิน อ๋องศักดินาเหล่านี้ก็กลายเป็นมะเร็งก้อนใหญ่

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรมากเรื่องอ๋องศักดินา

ตอนนี้ฮ่องเต้อาจจะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ และจักรวรรดิจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หลี่เฉินไม่ต้องพูดเลยว่าอยากจะโค่นล้มอ๋องศักดินาเพียงใด เพราะเหล่าเสด็จลุงพวกนั้นก็กำลังรอให้ฮ่องเต้สิ้นพระชมน์ เพื่อที่จะได้ชูธงโค่นล้มเขา

ดังนั้นการจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องศักดินาจะต้องรอจนกว่าเขาจะขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ

ส่วนตอนนี้ เริ่มแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในประเทศก่อน

“ภัยพิบัติเกิดขึ้นมานานหลายปี ราชสำนักได้จัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ข้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่ด้านล่างไม่สามารถจัดการกับพวกเขาโดยไม่เปื้อนน้ำมันได้ จงส่งรายงานชื่อผู้ทุจริต เจ้าหน้าที่ที่เจ้ารู้จัก มอบมันให้หน่วยงานบูรพา แล้วหน่วยงานบูรพาจะจัดการมัน”

หลี่เฉินซึ่งกำลังขาดแคลนเงินให้ความสนใจกับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเป็นอย่างมาก

ยิ่งประเทศยากจน ก็มีคนสองกลุ่มเทานั้นที่ร่ำรวยขึ้น

กลุ่มแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต กลุ่มที่สองคือพ่อค้า

“ยังมี ราคาเมล็ดพืช น้ำมัน ข้าว บะหมี่และของใช้จำเป็นอื่นๆ ตอนนี้ราคาเท่าไหร่?”

สวีฉังชิงตกใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้ยินคำว่าหน่วยงานบูรพา แต่เมื่อได้ยินคำถามเขาก็รีบตอบโดยสัญชาตญาณ “ราคาพุ่งสูงขึ้น ราคาข้าวขึ้นถึงระดับไร้สาระแล้ว เมื่อต้นปี 5 เหรียญทองแดงก็ซื้อข้าวใหม่คุณภาพดีได้หนึ่งจิน แต่ตอนนี้ แม้แต่ข้าวเก่าที่ขึ้นราก็ยังหาซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน 30 เหรียญทองแดง”

“ข้าวในตลาดกระจุกตัวอยู่ในมือของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่ร่วมมือกันดันราคาให้สูงขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมครัวเรือนเคยขอยืมเมล็ดพืชจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวง ในนามของราชสำนัก แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับอะไรเลย แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังมาร่องห่มร้องไห้หาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม น่ารังเกียจจริงๆ!”

“เจ้าไปเรียกรวมตัวพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวงมา บอกว่าพรุ่งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงในตำหนักบูรพา”

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา “มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเงินในช่วงวิกฤตของประเทศ พ่อค้าเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากมายในช่วงวิกฤตของประเทศเสมอ คิดจะสร้างความมั่งคั่งบนเรื่องนี้งั้นหรือ ราวกับว่าดาบของราชสำนักจะร่วงใส่คอพวกเขา?”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi
Komen (1)
goodnovel comment avatar
ต.ตระกูล แก้ว
นุกนุกมากมากคับ
LIHAT SEMUA KOMENTAR

Bab terkait

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

Bab terbaru

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1022

    ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินก็คือชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ และอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าเร่ร่อนก็คือกองทัพม้าเพื่อรับมือกับกองทัพม้าของชนเผ่าเร่ร่อน จักรวรรดิต้าฉินไม่เพียงแต่เร่งพัฒนากองทัพม้าของตนเอง แต่ยังคิดค้นวิธีการรับมือโดยเฉพาะตัวอย่างเช่น ทหารหนัก ซึ่งเป็นกองกำลังพิเศษที่พัฒนาขึ้นจากทหารราบทั่วไป มีไว้เพื่อรับมือกับกองทัพม้าโดยเฉพาะทหารหนักมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อร่างกายของทหารเป็นอย่างมาก ในจักรวรรดิต้าฉินซึ่งมีความสูงเฉลี่ยไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผู้ที่ต้องการเข้าประจำการในกองทัพทหารหนักต้องมีความสูงไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร และมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบชั่งหากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีทางสวมเกราะเหล็กเต็มตัวที่หนักถึงหกสิบจิน หรือถือโล่เหล็กดำที่หนักถึงแปดสิบชั่งได้เมื่อรวมกับดาบรบและอาวุธอื่นๆ ภาระน้ำหนักของทหารหนักแต่ละนายจะอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบชั่งเป็นอย่างน้อยกองกำลังประเภทนี้ย่อมเป็นหน่วยที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล ราชสำนักต้องใช้เงินเฉลี่ยปีละสามสิบตำลึงเงินต่อทหารหนักหนึ่งนาย ซึ่งเงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับเลี้ยงทหารราบทั่ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1021

    "บิดาของข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ราชสำนักก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เป็นวันอภิเษกของข้า แต่เจ้ากลับเลือกเป็นกบฏ แล้วยังคิดว่าตัวเองถูกต้องอีก"ซูจิ่นพ่ามองหลูฝูเฉินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะตวาดเสียงดัง "ในเมื่อเจ้าเลือกเป็นกบฏ เช่นนั้นข้ากับเจ้าก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป!""ข้ารู้ว่าเจ้าและนายของเจ้าคิดอะไร แต่วันนี้ข้าจะบอกให้ชัด ขบวนอภิเษกนี้ต้องเข้าสู่ศาลบูรพกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้! เจ้าจะเปิดทางหรือไม่!?"สตรีเพียงหนึ่งเดียว ยืนอยู่บนเกี้ยวแห่งขบวนอภิเษก ท่ามกลางม้าศึกสิบหกตัวและคนหามเกี้ยวแปดคน ขุนนางจากกรมพิธีการและสำนักคุมประพฤติเดินนำหน้า ด้านหลังมีข้ารับใช้และสาวใช้ติดตามพร้อมทรัพย์สินสมรสอันล้ำค่าทางเบื้องหน้าปูด้วยกลีบดอกไม้สองข้างทางเต็มไปด้วยการสังหารขององครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังกบฏแต่ซูจิ่นพ่ากลับไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนางยืนอยู่บนเกี้ยว ถึงแม้ร่างจะเป็นสตรีบอบบาง แต่จิตวิญญาณของนางทะยานขึ้นสู่เวหาไม่เพียงแค่หลูฝูเฉินที่เริ่มลังเลกับภารกิจนี้ แม้แต่กองกำลังกบฏที่กำลังต่อสู้อยู่ก็รู้สึกหวั่นเกรงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากรัศมีอันน่าเกรง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1020

    การสังหารที่โหดเหี้ยมปะทุขึ้นอย่างไร้สัญญาณเตือนเพียงแค่เริ่มต้นก็เป็นจุดสูงสุดของการต่อสู้แล้วองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพาและกองกำลังกบฏล้วนเป็นทหารชั้นยอด เพียงเผชิญหน้ากันไม่กี่อึดใจก็ปะทะกันทันทีเสียงอาวุธกระทบกัน เสียงตะโกนก้องด้วยโทสะ ผสมกับเสียงร่างที่ล้มลงกระแทกพื้นดินอันหนักแน่น ราวกับเสียงร่ำไห้จากนรกที่รายล้อมขบวนอภิเษกอันเป็นสัญลักษณ์ของความมงคลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ของการต่อสู้ ก็ได้คร่าชีวิตไปกว่าสิบชีวิตสิ่งที่แดงฉานยิ่งกว่าชุดแต่งงาน และสว่างสดใสกว่ากลีบดอกไม้บนพื้น คือโลหิตของมนุษย์ท่ามกลางเสียงสังหาร ขุนนางกรมพิธีการที่ก่อนหน้านี้ตกใจจนล้มลงกับพื้น ละทิ้งความอับอาย รีบวิ่งไปยังเกี้ยวของซูจิ่นพ่าและตะโกนลั่น "คุ้มกันพระชายา! เร็วเข้า! รีบมาคุ้มกัน!"เขาประคองหมวกขุนนางของตน ก่อนจะเอ่ยถามคนภายในเกี้ยว "พระชายาทรงปลอดภัยหรือไม่?"ภายในเกี้ยว เสียงของซูจิ่นพ่าดังออกมาอย่างสงบนิ่ง "ข้าไม่เป็นอะไร ขบวนอภิเษกจงเดินหน้าต่อไป อย่าให้พลาดเวลามงคล"น้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบไร้ความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางและทหารที่ได้ยิน ต่างอดไม่ได้ที่จะมองซูจิ่นพ่าใหม่อีกคร

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1019

    "ง่ายดายเกินไป"จ้าวเสวียนจีพึมพำกับตัวเองราวกับไม่ได้ยินคำพูดของฟู่อวี้จือ "หลี่เฉินคือลูกมังกรตัวจริง เขารู้ดีว่าข้ากับเจ้าจะก่อการในวันนี้ เขาจะไม่มีการเตรียมการใดเลยหรือ?""แม้ว่าเขาจะไม่เตรียม ซูเจิ้นถิงก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่รับมือได้ง่าย?""ตอนนี้แม้แต่ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ต่างซ่อนตัวอยู่ในตำหนักบูรพาและสำนักบัญชาการทหารสูงสุด เจ้าคิดว่ามันไม่แปลกหรือ?"ฟู่อวี้จือกล่าวอย่างลังเล "แต่ในถนนของเมืองหลวง ก็มีองครักษ์หน่วยบูรพาและองครักษ์อวี่หลินวางกำลังทุกห้าก้าว พวกเราก็เจอการต่อต้านไม่น้อย""ไปแจ้งหลี่อิ๋นหู่ ให้เขายึดประตูเสิ่นอู่"จ้าวเสวียนจีสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ประตูเสิ่นอู่มีซูผิงเป่ยเฝ้ารักษาด้วยตัวเอง ประตูนี้เชื่อมระหว่างเมืองชั้นในและชั้นนอก ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เขาต้องยึดให้ได้โดยเร็วที่สุด"สายตาของจ้าวเสวียนจีหรี่ลง แววโหดเหี้ยมฉายชัด "สั่งให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่ในเมืองชั้นในเคลื่อนไหว ประสานโจมตีจากทั้งสองด้าน เปิดเผยไพ่สองใบแรกของเราออกมา ดูสิว่าซูเจิ้นถิงและตำหนักบูรพาจะยังอดทนต่อไปได้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการใด ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถอ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1018

    เพียงช่วงเวลาหนึ่งธูปหมด ประตูเสิ่นอู่ก็เต็มไปด้วยซากศพ ทั้งฝ่ายรับและฝ่ายรุก แต่ทว่าผู้ที่ยังคงยืนอยู่ ล้วนเป็นฝ่ายที่มีริบบิ้นแดงผูกแขนนักรบเหล่านั้นที่ยังคงเปื้อนกลิ่นเลือด แยกแถวออกเพื่อเปิดทางให้หลี่อิ๋นหู่ในชุดเกราะก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองเขายืนอยู่บนหอคอยประตูเสิ่นอู่ มองไปยังเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เสียงตะโกนสู้รบจากที่ไกลยังพอได้ยิน ขณะที่ใกล้ตัวนั้นมีเพียงกลิ่นคาวเลือดนี่เป็นครั้งแรกที่หลี่อิ๋นหู่ได้เข้าร่วมสงครามจริงๆ ทิวทัศน์ของเลือดที่ไหลนองและซากศพที่เกลื่อนกลาดไม่เพียงไม่ทำให้เขาหวาดกลัว กลับกระตุ้นความฮึกเหิมของเขายิ่งขึ้นมือของเขาตบลงบนราวกั้นหินอย่างหนัก ก่อนหันไปกล่าวกับโจวสิงเจี่ย องครักษ์ที่ติดตามปกป้องเขาตลอดเวลา "ผู้อาวุโสโจว! มหากาพย์แห่งหมื่นชั่วอายุคนอยู่ตรงหน้าเราแล้ว!""ตราบใดที่เราบุกเข้าสู่พระราชวังหลวงได้ ฆ่าหลี่เฉินเสีย แผ่นดินนี้ก็จะเป็นของเรา!"โจวสิงเจี่ยกล่าวเบาๆ "ท่านอ๋องย่อมไร้อุปสรรค ปกครองแผ่นดินด้วยเสื้อคลุมทองคำ"หลี่อิ๋นหู่ยกมือขึ้น สีหน้าเย็นชา "อย่าเรียกข้าว่าอ๋อง ข้าไม่ชอบได้ยินคำนั้น"โจวสิงเจี่ยฉุกคิ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1017

    คำพูดของหลี่เฉินทำให้จ้าวชิงหลานรู้สึกอับอายและโกรธแค้นถึงขีดสุดสถานการณ์พิเศษที่พวกเขาอยู่ และถ้อยคำของหลี่เฉิน ล้วนแต่กระตุ้นทุกเส้นประสาทในร่างของนาง"ข้ากับเขาได้แยกทางกันแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเพราะเจ้า นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยังต้องมาดูถูกข้าอีก" น้ำเสียงของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความแค้น"เหตุใดจึงเป็นเพราะข้า?"หลี่เฉินโต้กลับ "หากไม่ใช่เพราะเขาโหดเหี้ยมถึงขั้นหมายจะฆ่าลูกของตนเอง เจ้าจะหมดสิ้นศรัทธาต่อเขาหรือ? ข้าต่างหากที่ช่วยเจ้า หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคงยังยอมทำงานให้เขาต่อไป"จ้าวชิงหลานพยายามดิ้นรนอีกครั้งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ปล่อยข้าก่อน""ข้าไม่ปล่อย"หลี่เฉินไม่ยอมผ่อนปรน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังกระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น"จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ เจ้าคือฮองเฮา เขาคือพระอัยกาแห่งแผ่นดิน ไม่ว่าการกบฏนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพน่าอับอายที่สุดก็คือเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันได้เป็นไทเฮา ดังนั้น เมื่อข้าขึ้นครองราชย์ ต้าฉินจะมีฮองเฮาสองพระองค์"เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน สีหน้าของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยควา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1016

    ตั้งแต่พิธีในช่วงเช้าเริ่มต้นขึ้น จ้าวชิงหลานก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า ร่างของนางสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหลี่เฉินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย พลางกล่าวว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำแหน่งที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี้ เป็นที่ของผู้ใด?""รู้สิ ข้างกายฮองเฮาย่อมมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ยืนได้"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "แต่เสด็จพ่อไม่ได้เสด็จมาใช่หรือไม่? อีกอย่าง รอบข้างนี้ก็ไร้ผู้คน""แต่บรรพกษัตริย์ล้วนกำลังจับตาดูเจ้ากับข้าอยู่!" จ้าวชิงหลานกล่าวเสียงเข้มหลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนเงยหน้ามองภาพวาดและป้ายวิญญาณของฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีต จากนั้นกล่าวว่า "หากบรรพกษัตริย์เหล่านั้นสามารถปรากฏตัวขึ้นได้ สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำก็คือประหารกบฏทั้งหมดที่นำโดยบิดาของเจ้า"จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปากแน่น นางไม่อาจหาคำใดมาหักล้างคำพูดของเขาได้โชคดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกหลี่เฉินกล่าวจนเงียบไป และในเมื่อไม่มีสิ่งใดให้กล่าว นางก็เลือกที่จะเงียบ"คนตายไม่อาจพึ่งพาได้ หากคิดว่าคนตายจะช่วยอะไรได้ จักรวรรดิต้าฉินคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้"หลี่เฉินกล่าวพลางกระชากบ่าของจ้าวชิงหลานให้หันมาหาตน บังคับให้นางประจัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1015

    ซูเจิ้นถิงมองซูผิงเป่ยแวบหนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดเรื่องนี้ออกไปดีหรือไม่ซูผิงเป่ยรู้สึกใจร้อนขึ้นมาทันที "ท่านพ่อ สถานการณ์ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังมีเรื่องปิดบังข้าอีกหรือ? ถ้าข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าจะรับมือที่ประตูเสินอู่ได้อย่างไร?"ซูเจิ้นถิงแค่นเสียงต่ำ ก่อนจะลดเสียงลงและกล่าวว่า "เพิ่งได้รับข่าวมา แม่ทัพที่ประจำตำแหน่งสำคัญในกองบัญชาการทหารบางนายหายตัวไป"คำพูดสั้นๆ นี้ทำให้ซูผิงเป่ยรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง"แม่ทัพระดับบัญชาการนั้นหรือ!? แถมยังเป็นตำแหน่งสำคัญด้วย!?""แม้ว่าตำแหน่งของพวกเขาจะไม่สูงนัก แต่พวกเขาก็สามารถเข้าถึงข้อมูลลับต่างๆ ได้มากมาย การหายตัวไปของพวกเขาหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาถูกฆ่าตายแล้ว หรือว่าพวกเขาเป็นคนของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก!?"ซูเจิ้นถิงขมวดคิ้ว ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ข้าได้ส่งคนออกไปสืบสวนแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวกลับมา ข้าว่ามีโอกาสสูงที่พวกเขาจะถูกฆ่าตายไปแล้ว"ซูผิงเป่ยกัดฟันแน่น ก่อนจะสบถออกมา "ให้ตายเถอะ! จ้าวเสวียนจีซ่อนคนของมันไว้ลึกขนาดนี้เลยหรือ? กองบัญชาการทหารตรวจสอบกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ยังแอบซ่อนสายของมันไว้ได้!?"

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1014

    "จิ่นพ่า พี่ไม่มีความสามารถอะไรนัก สิ่งเดียวที่พี่ทำสำเร็จและน่าภูมิใจที่สุดในชีวิต คือศึกที่เสียนเฉา""แต่ถึงกระนั้น ศึกนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีพ่อคอยช่วยเหลือทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และหากไม่มีองค์ชายตำหนักบูรพาคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ พี่ก็คงไม่อาจชนะศึกนั้นได้"ซูผิงเป่ยกล่าวด้วยเสียงเรียบ ขณะก้มมองซูจิ่นพ่าที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง "แต่วันนี้ วันแต่งงานของเจ้า พี่ให้คำมั่นว่า จะไม่มีผู้ใดมาทำลายพิธีแต่งงานของน้องสาวพี่ได้!"ซูจิ่นพ่าหันไปมองซูผิงเป่ย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ "ท่านสวมชุดเกราะเช่นนี้ กำลังจะออกเดินทางแล้วสินะ?"ซูผิงเป่ยพยักหน้า "หน่วยบูรพาส่งข่าวมาว่า จุดที่พวกเขาเฝ้าระวังอยู่เกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติ มีบุคคลแปลกหน้าปรากฏตัวรอบนอกเมืองหลวงจำนวนมาก ข้าต้องนำกองกำลังไปประจำการที่ ประตูเสินอู่ ด้วยตัวเอง""เมื่อพระราชพิธีเริ่มขึ้น หากกองกำลังศัตรูโจมตีจากเมืองรอบนอกเข้าเมืองชั้นใน ประตูเสินอู่จะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่พวกเขาต้องผ่าน ข้าจะดูแลจุดนั้นด้วยตัวเอง"ซูจิ่นพ่าถอนหายใจเบาๆ "ข้าไม่เข้าใจพวกผู้ชายจริงๆ ทำไมถึงต้องแย่งชิงอำนาจกัน? เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้วต

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status