ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึงเมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”ปึงหลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบทด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพ
หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต
เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ
สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด
“ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า
เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก
“องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก
ในมือถือบัญชีรายการของกำนัลที่เหอคุนส่งมาเมื่อช่วงเช้า หลี่เฉินเหลือบตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”หลังจากเหอคุนลุกขึ้น หลี่เฉินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงรอยยิ้ม “ใครๆ ก็ว่าปีเดียวเป็นเจ้าเมือง ได้เงินหมื่นตำลึง ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องพูดเล่น แต่ครั้งนี้ เจ้าเปิดหูเปิดตาให้ข้าเห็นแล้วจริงๆ”“บัญชีของกำนัลที่เจ้าส่งมา มูลค่ารวมเกินสองล้านตำลึงได้อย่างง่ายดาย ต้นปะการังนั้น ข้าก็ได้ดูแล้ว ถือเป็นสมบัติหายากอย่างแท้จริง ของล้ำค่าเช่นนี้ ในพระราชวังหลวงยังไม่มี เจ้าเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยกว่าข้าที่เป็นองค์รัชทายาทเสียอีก”ใบหน้าเหอคุนซีดลงเขารับรู้ถึงอันตรายที่แฝงในน้ำเสียงเรียบเย็นขององค์รัชทายาทหากตอบผิดแม้แต่น้อย ศีรษะของเขาอาจหลุดจากบ่าในทันทีแต่คำถามเช่นนี้ เขาเตรียมคำตอบไว้ตั้งแต่ตัดสินใจกระทำการเสี่ยงนี้แล้วเหอคุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้มศีรษะกล่าวตอบ “กราบทูลองค์ชาย หากข้ารับราชการคนใดมีอำนาจอยู่ในมือบ้างเล็กน้อย การทุจริตก็กลายเป็นเรื่องง่ายมาก และกระหม่อมกล้ากล่าวว่า ในราชสำนักต้าฉินทุกว
เหอคุน ชายวัย 38 ปีเขาเป็นจิ้นซื่อในปีที่หกแห่งรัชศกต้าสิง จากนั้นผ่านการคัดเลือกและถูกส่งไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการและนายอำเภอในเขตซูหาง ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เก้าแห่งรัชศกเดียวกัน ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าแห่งซูหางระดับห้าขั้นแรกการกลับมารายงานหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ เหอคุนได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานสำหรับงานอภิเษกขององค์รัชทายาทตำหนักบูรพา เขาจึงตัดสินใจลงมือทันทีเหอคุนดำรงตำแหน่งในกรมทอผ้าซูหางมาหลายปีและรู้ว่ากำลังจะครบวาระ ขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักไป เมื่อผู้สนับสนุนของเขาขัดแย้งกับสวีฉังชิง รองเสนาบดีกรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ซึ่งอยู่ฝ่ายตำหนักบูรพาและถูกปลดจากตำแหน่งในสภาพการณ์เช่นนี้ เส้นทางราชการของเหอคุนตกอยู่ในความเสี่ยง เขาอาจถูกส่งไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือถูกละเลย ดังนั้น เขาจึงกัดฟันส่งสิ่งของและของกำนัลล้ำค่าที่เขาได้มาจากตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมดไปยังตำหนักบูรพาเหอคุนรู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางการเมือง เพราะสวีฉังชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักบูรพา ขณะที่เขาเคยอยู่ฝ่ายคณะเสนาบดีใน
"องค์ชาย บ่าวจะนวดจุดไท่หยางให้นะเพคะ"วั่นเจียวเจียวเดินเบาๆ เข้ามาข้างกายหลี่เฉิน พลางพูดและยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกขึ้นไปกดเบาๆ ที่ขมับทั้งสองข้างของหลี่เฉินและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวลหลี่เฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตารับสัมผัสนั้นและกล่าวชมว่า “ฝีมือเจ้าชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”วั่นเจียวเจียวเผยรอยยิ้มบาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “องค์ชายทรงพอพระทัย บ่าวก็ดีใจแล้วเพคะ”ในขณะที่หลี่เฉินปิดตา วั่นเจียวเจียวใช้ดวงตามองสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ราวกับต้องการจารึกทุกอณูของบุรุษตรงหน้าไว้ในส่วนลึกของจิตใจ“เมื่อช่วงเช้า มีคนชื่อเหอคุนมาส่งของกำนัลเพคะ”คำพูดของวั่นเจียวเจียวทำให้หลี่เฉินลืมตาขึ้น“ของกำนัล?”วั่นเจียวเจียวพยักหน้า “ใช่เพคะ องค์ชายมิใช่กำลังจะอภิเษกสมรสหรอกหรือ ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าด้วยเหตุที่ฝ่าบาททรงประชวร และสถานการณ์ยังไม่สงบ พิธีอภิเษกจึงต้องเลื่อนออกไป แต่เมื่อกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดรับของกำนัลและเงินช่วยงานได้ก่อนเพคะ”“เมื่อเช้านี้ ขุนนางที่ชื่อเหอคุนผู้นั้นบอกว่ามาเข้าเฝ้ากรมครัวเรือนตามหน้าที่ แต่ตามระเบียบ อีกสองวันก็ต้องกลับไปประจำที่
"มิอาจไม่ระวัง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “จ้าวเสวียนจีดูแลราชสำนักมานานหลายปี สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คืออิทธิพลของเขาในราชสำนัก แต่ในกองทัพล่ะ?”“แม้แต่ต้วนจิ่นเจียงที่เคยควบคุมกรมยุทธนาการอย่างแน่นหนา ยังมิอาจกันเขาได้ทั้งหมด คนเช่นจ้าวเสวียนจี เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทิ้งไพ่ลับไว้?”“หากถึงจุดที่มิอาจรักษาสถานการณ์ได้ เขาอาจกล้าก่อกบฏก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าหลี่เฉินฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สำหรับข้าหรือจ้าวเสวียนจี ต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น เรื่องใหญ่นี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์ ไม่มีโอกาสแก้ตัว หากพลิกโต๊ะเมื่อใดก็มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีคำว่าเสียใจ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จะสามารถใช้กำลังทหารปกป้องอำนาจจักรพรรดิได้!”อำนาจจักรพรรดิและอำนาจทหาร แม้จะคล้ายกัน แต่ซูเจิ้นถิงก็เข้าใจทันทีถึงความหมายที่แท้จริงของหลี่เฉินเขาพยักหน้าและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบแล้ว เรื่องนี้กระหม่อมจะถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อกลับไป”หลี่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมองซูผิงเป่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มี
หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ดังนั้น ตอนนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีจะมีอันใดมิได้เด็ดขาด ชีวิตของเขาไม่เพียงแต่มีค่าถึงแปดล้านตำลึงเงินและม้าพันธุ์ดีอีกสองหมื่นตัว แต่ยังแลกกับชีวิตของขุนนางอาวุโสแห่งราชสำนักต้าฉินได้อีกด้วย”ซูเจิ้นถิงดวงตาเปล่งประกาย กล่าวอย่างจริงใจว่า “องค์ชายช่างรอบคอบและจัดการได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ หนึ่งศรยิงได้นกหลายตัว ข้าน้อยขอนับถือ”“องค์รัชทายาทจะสังหารขุนนางอาวุโสหรือ!?”จ้าวชิงหลานยกฉลองพระองค์ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดุจหงส์แฝงความเดือดดาล เร่งฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมถามเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดเกือบลืมไปเลยว่าฮองเฮาก็อยู่ด้วยหลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฝ่ายในมิควรก้าวก่ายเรื่องการเมือง เรื่องนี้...”“เขาเป็นทั้งขุนนางอาวุโสและเป็นบิดาของข้า ในเมื่อเป็นบิดา เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในบ้าน ข้าจะถามมิได้หรือ?”จ้าวชิงหลานราวกับรู้แต่แรกว่าหลี่เฉินจะพยายามหลบเลี่ยงตนเช่นนี้ จึงกล่าวขึ้นทันทีหลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองจ้าวชิงหลานก่อนกล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”จ้าวชิงหลานเม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าขอเตือนเ
หลายปีที่ผ่านมา ต้าฉินมักเป็นฝ่ายจ่ายเงินชดเชยให้ต่างชาติในทุกความขัดแย้ง แม้จะไม่ถึงขั้นต้องเสียแผ่นดิน แต่หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นกับต่างชาติเมื่อใด ต้าฉินก็ต้องจ่ายเงินเพื่อยุติเรื่องเสมอแม้ในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้น และชาวต้าฉินผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายแต่ครั้งนี้ หลี่เฉินกลับสามารถเค้นเงินเกือบ แปดล้านตำลึง และม้าพันธุ์ดีถึง หมื่นห้าพันตัว จากปากแคว้นเหลียวมาได้ ซึ่งถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อหากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป และแคว้นเหลียวส่งของตามที่ตกลงมาให้จริง เสียงชื่นชมที่มีต่อรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาจะถึงจุดสูงสุดแม้ในราชสำนัก จ้าวเสวียนจีอาจใช้อิทธิพลของเขากดดันไม่ให้ตำหนักบูรพาเติบโตมากขึ้น แต่ในหมู่ประชาชน เสียงยกย่องของหลี่เฉินจะไม่อาจหยุดยั้งได้ท้ายที่สุดแล้ว การปกครองแผ่นดินย่อมขึ้นอยู่กับ ใจของประชาชนหากสถานการณ์นี้ลุกลามไปจนถึงขั้นสุด แม้แต่จ้าวเสวียนจีที่อยากเดิมพันทุกอย่างก็ยากที่จะเปลี่ยนกระแสที่สำคัญคือ หลี่เฉินไม่ได้มีแผนจะสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีเพื่อปิดปาก แต่กลับเลือกใช้เขาเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีกลับถึงแคว้นเหลียว เรื่องทุกอย่า
“หน้าตา?”“หรือท่านอ๋องกำลังจะบอกข้าว่า การให้เกียรติโจรที่บุกเข้ามาในบ้านอย่างสุภาพเรียบร้อยแล้วส่งมันกลับไป คือการรักษาหน้าตา?”หลี่เฉินหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะหายไปทันที เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าแคว้นเหลียวไม่ได้ร่ำรวย เงินตำลึงก็น้อยนัก เช่นนั้นเอาแค่ แปดแสนตำลึงเงิน และม้าพันธุ์ดีหนึ่งหมื่นห้าพันตัวก็พอ”เมื่อเห็นเย่ลู่กู่จ้านฉีทำท่าจะพูดอะไรอีก หลี่เฉินก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะทันที “อย่ามาต่อรองอีกเลย ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์อย่างท่าน ค่าใช้จ่ายแค่นี้ยังไม่คุ้มหรือ? หากแคว้นเหลียวแม้แต่เรื่องนี้ยังยอมไม่ได้ เช่นนั้นท่านอ๋องก็อยู่ที่ต้าฉินต่อเถอะ ข้ารับรองว่าจะดูแลท่านอย่างดี”เย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นแต่ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ขององครักษ์สองคนที่คอยคุ้มกันเขาในเงามืด พร้อมจะปรากฏตัวทันทีหากเขาออกคำสั่งเพียงแต่เขาสัมผัสได้ว่าในกำแพงด้านหลังตำหนักของหลี่เฉินก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่เช่นกันพลังทั้งสองนั้น ก็คือชายหญิงที่ปรากฏตัวตอนตัดศรีษะเย่ลู่ฉีหมิงวันนี้นี่เองเมื่อมองกลับไปยังทหารกว่าพันนายที่จัดแถวอย่างเป
“รัชทายาทต้าฉิน!”เย่ลู่กู่จ้านฉีที่อดทนต่อไปไม่ไหว ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเองว่า หากข้าฆ่าพวกนั้นแล้ว เจ้าจะปล่อยข้าไป แต่เจ้ากลับคืนคำได้อย่างไร ทั้งที่เจ้าเป็นถึงรัชทายาทต้าฉิน!”หลี่เฉินโบกมืออย่างเกียจคร้าน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าก็พูดแล้วเช่นกัน ว่าที่นี่มีกฎ และกฎนั้นข้าเป็นคนกำหนด ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือ?”“เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”เย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจนแทบจะระเบิด แต่กลับทำอะไรไม่ได้“การเดินทางข้างนอกไม่ค่อยปลอดภัยนัก ข้าคิดว่าท่านอ๋องควรอยู่ที่เมืองหลวงในฐานะแขกสักสองสามวัน ข้าจะให้คนส่งข่าวไปยังแคว้นเหลียว เพื่อให้พวกเขาส่งคนมารับตัวท่านกลับไป นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของท่านอ๋องเอง หากเกิดอะไรขึ้นกลางทางแล้วท่านเสียชีวิตในเขตแดนต้าฉิน เช่นนั้น ข้าคงกลายเป็นคนร้ายไปโดยไม่ตั้งใจ”เย่ลู่กู่จ้านฉีหัวเราะเยาะ “ข้าไม่ต้องการความหวังดีจากเจ้า ข้ามีองครักษ์ที่สามารถปกป้องข้าได้!”หลี่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย “หรือ?”หลี่เฉินหันไปหาซูผิงเป่ยและพูดอย่างเรียบๆ “ซูผิงเป่ย การเดินทางออกจากชายแดนปลอดภัยหรือไม่?”ซูผิงเป่ยเข้าใจในทันที เขาหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีแล้วหัวเราะเย็น ๆ“เส