แชร์

ตอนที่ 2

รักต้องแลก

Writer : Aile'N

ตอนที่ 2

"เอ่อ...เราเพิ่งได้พนักงานใหม่ไป ตอนนี้เต็มทุกตำแหน่งแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ" 

"ปิดรับสมัครแล้วค่ะ" 

"เราไม่ได้รับสมัครพนักงานแล้วครับ ขอโทษที่ไม่ได้เอาป้ายลง เลยทำให้เข้าใจผิด" 

"ปิดรับแล้วค่ะ ลองไปที่อื่นดูนะคะ"

กว่าสองอาทิตย์แล้วที่ไม่ว่าจะนิชาจะไปยื่นใบสมัครงานที่ไหนเธอก็ถูกปฏิเสธแทบจะทุกที่ บางที่ก็ปฏิเสธซึ่งหน้า บางที่ก็โทรกลับมาบอกหลังจากที่ได้สัมภาษณ์ไปแล้ว แต่บางที่ก็เงียบหายไม่ติดต่อกลับมา ไม่ว่าฝ่ายบุคคลของแต่ละบริษัทจะชื่นชมประวัติการทำงานของเธอเหมือนอยากจะรับเข้าทำงานขนาดไหน แต่คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกที่... 

นานเข้าก็เกิดความท้อเล็กๆ ขึ้นในใจ แต่นิชาไม่มีทางยอมแพ้ เธอพักเรื่องหางานใหม่ไว้ก่อน หันมาหยิบจับสิ่งใกล้ตัวแทน นั่นก็คือการทำขนม แม้จะทำได้ไม่เก่งเท่ามารดาแต่เพราะได้คลุกคลีมาตั้งแต่เด็กนิชาจึงทำขนมได้หลายอย่าง เธอเริ่มต้นจากการช่วยแม่ทำฝาก 'ป้าน้อม' ที่เป็นเพื่อนบ้านไปขายที่ตลาดและมองหาช่องทางขายออนไลน์ด้วย เริ่มจากออเดอร์เล็กๆ น้อยๆ ไม่เกินตัว หากขายดีถึงจะหาที่ทางลงทุนเปิดร้าน 

แน่นอนว่าพอเห็นเธอหยุดงานมาทำขนมขาย ผู้เป็นแม่มีหรือจะไม่สงสัย นิชาเพียงให้เหตุผลว่างานที่ทำเริ่มส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจด้วยจำนวนงานและแรงกดดันต่างๆ ที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน ซึ่งพูดไปแม่ก็คล้ายจะไม่เข้าใจแต่เธอก็ไม่ได้อธิบายต่อ บอกแค่ว่าอยากหางานใหม่ ระหว่างนี้ไม่อยากอยู่ว่างๆ เลยลองทำขนมขาย ถ้าไปได้ดีก็อาจยึดเป็นอาชีพหลัก พูดอยู่นานจนในที่สุดแม่ก็ยอมรับในการตัดสินใจ 

หลังจากตัดสินใจได้นิชาก็เริ่มตื่นตั้งแต่เช้ามืด ทำขนมแพ็คใส่กล่องนำไปฝากเพื่อนบ้านขายที่ตลาด เมื่อเรียบร้อยก็เปิดรับออเดอร์ทางออนไลน์ ใจจริงนิชาอยากจะเปิดร้านขายที่หน้าบ้านด้วยซ้ำ ติดเพียงแต่ว่าบ้านเธอค่อนข้างอยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยมีคนผ่านเท่าไร จึงตัดทิ้งไป 

ช่วงแรกนั้นขนมที่ตลาดจะขายดีกว่าทางออนไลน์ เพราะแม่ของเธอทำขายมาเนิ่นนาน เลยมีลูกค้าประจำแวะเวียนมาอุดหนุนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่านิชาก็ไม่อยากทิ้งช่องทางออนไลน์เธอทั้งขยันโพสต์ขยันแชร์ด้วยตัวเอง และรบกวนให้คนรู้จักบอกต่อๆ กันออกไป เพียงไม่นานก็เริ่มมีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ จากน้อยๆ ก็เริ่มมากขึ้น 

แม้การทำขนมขายจะเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงเหมือนงานประจำ ทว่าออเดอร์ที่มีเข้ามาและเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ก็ทำให้นิชาตัดสินใจพักเรื่องหางานไว้ก่อน เธอทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจไปกับการทำขนม ทั้งคิดสูตรและแพ็คเกจน่ารักๆ ให้น่าสนใจ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ราบรื่นราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ที่สุดแล้วยังไงก็ต้องตื่น... 

ในเย็นวันหนึ่งที่นิชาไปตลาดเพื่อช่วยป้าน้อมเก็บร้านและรับขนมในส่วนที่ขายไม่หมดกลับบ้านเหมือนทุกวัน ความจริงที่ไม่คาดคิดก็ตีแสกกลางหน้าเมื่อขนมของเธอยังเหลืออยู่เต็มแผง ขายไม่ออกเลยสักชิ้น นั่นเป็นเพราะมีลูกค้าคนหนึ่งมาโวยวายที่ร้านป้าว่าขนมของเธอสกปรก มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนมากมายหลายชิ้น ทำให้ตอนนี้ขนมของเธอกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในตลาด ลุกลามไปไกลอย่างหาทางออกไม่ได้ 

ไม่ว่านิชาจะพยายามอธิบายยังไงก็ไม่มีคนรับฟัง มากไปกว่านั้นป้าน้อมก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย แม้จะมั่นใจว่าขนมของตนสะอาดได้มาตรฐานแต่ด้วยไม่มีโอกาสได้แก้ตัวซ้ำทำคนอื่นเดือดร้อนตาม แรงกดดันมหาศาลทำให้เธอไม่สามารถนำขนมไปขายที่ตลาดได้อีก 

ความซวยไม่หมดอยู่แค่นั้นเมื่อช่องทางออนไล์ของร้านก็เกิดเรื่องราวคล้ายกันในเวลาเดียวกัน เมื่อมีคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกค้าของร้านเข้ามารีวิวขนมของเธอในทางเสียหาย ทั้งปนเปื้อนและเน่าเสียทั้งที่ไม่เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน หลักฐานที่แนบมาก็ไม่ใกล้เคียงกับขนมที่เธอทำเลยสักนิด ราวกับจงใจโจมตีให้เธอเสียหาย แม้จะมีลูกค้าประจำมาแก้ต่างให้ว่าไม่จริง แต่คนนอกที่หลงเชื่อคนเหล่านั้นไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิด 

ทั้งๆ ที่เธอเป็นเพียงร้านขนมเล็กๆ แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับเลยเถิดไปไกลมากๆ ถึงขั้นมีคนแชทมาด่าเธอถึงในแอ็กเคานต์ส่วนตัว เรื่องราวบานปลายจนไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน สุดท้ายนิชาก็จำต้องปิดเพจไป เธอไม่เหลือช่องทางทำมาหากินอย่างที่ตั้งใจอีก ผู้เป็นแม่ที่รู้เรื่องจากเพื่อนบ้านที่แวะมาเยี่ยมก็พลอยเครียดจนส่งผลต่อสุขภาพตามไปด้วย 

"อานิ...อานิคะ" เสียงเรียกของน้องปัญญ์ทำนิชาที่กำลังนั่งเหม่อหลุดออกจากภวังค์ 

"คะ?" ใบหน้าสวยที่มีร่องรอยอิดโรยและซีดขาวหันมามองหลานๆ เล็กน้อยก่อนฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถาม 

"ทำไมอานิไม่ทานกับน้องปัญญ์พี่ปุณณ์ล่ะคะ อร่อยนะคะ" เจ้าเด็กช่างจ้อมีสีหน้าเหงาหงอยเมื่อเห็นคุณอาไม่สดใสร่าเริงอย่างเคย เมื่อก่อนเวลามาทานไอศกรีมด้วยกันอานิก็ทานด้วยแท้ๆ ทำไมพักหลังๆ มาถึงไม่เห็นอานิทานอะไรเลย เอาแต่นั่งทำหน้าเครียด 

"อานิไม่หิวเลยค่ะ น้องปัญญ์กับน้องปุณณ์ทานกันเลยไม่ต้องห่วงอานะ ทานเสร็จจะได้กลับบ้านกัน" มือเรียวบางลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู พยายามดึงสติตัวเองให้กลับมาสนใจเด็กๆ ให้มาก ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาความสนใจของเธอทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่ผู้ชายที่กำลังเดินเข้าร้านมากับผู้หญิงคนหนึ่ง 

ทั้งคู่เดินควงแขนกันเข้ามาบ่งบอกสถานะที่สนิทชิด ไม่ทันได้ถอนสายตาร่างสูงก็หันมาสบตาพอดี ริมฝีปากหนากดยิ้มลึกอย่างเจ้าเล่ห์พลันเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมาก็แว้บเข้ามาในหัว... 

ไม่ผิดแน่...ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขา!

ทั้งเรื่องที่ไม่ว่าจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ ไหนจะเรื่องขนมที่ปนเปื้อนทั้งๆ ที่เธอมั่นในว่าขนมของเธอสดใหม่และสะอาดทุกชิ้น คนที่เข้ามาโจมตีเธอก็ไม่คุ้นหน้า จำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าซื้อขนมของเธอไปตอนไหน เหตุการณ์เหล่านี้มันมีพิรุธเต็มไปหมด แล้วรอยยิ้มเมื่อกี้...เหมือนเขากำลังเยาะเย้ยกันอยู่ชัดๆ! 

นิชาถอนสายตาจากอดีตเจ้านายและไม่คิดจะกลับไปมองให้เขาได้ใจอีก ทว่าก็ยังรับรู้ได้ว่าถูกใครคนนั้นจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เธออึดอัดและอยากรีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ แต่ก็ไม่อยากเร่งเร้าเด็กๆ เลยทำได้แค่ข่มใจนิ่ง ทำเป็นเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจใคร โดยลืมไปว่านิสัยเสียของอัคคีอย่างหนึ่งคือยิ่งถ้าเขาสนใจยิ่งเมินเฉยใส่ เขาก็ยิ่งตามตอแย 

"อ้าว คุณนิ ไม่เจอกันนานเลย หวังว่า...จะสบายดีนะครับ" น้ำเสียงยียวนเอ่ยทัก ไม่รอให้เจ้าของโต๊ะอนุญาตก็ทำการเชิญตัวเองนั่งเบียดลงมาข้างกันอย่างไร้มารยาท 

"มีธุระอะไรคะ" นิชาไม่ตอบรับคำทักทาย เธอถามกลับเสียงเรียบ จับคลื่นความไม่พอใจได้ชัดเจนแต่คนฟังกลับหาได้สนใจ 

"ต้องมีธุระด้วยเหรอถึงจะทักคุณได้ คนเคยๆ รู้จักกัน บังเอิญเจอกันก็ต้องทักทายกันสักหน่อยสิ ผมไม่ใจร้ายกับพนักงานของผมขนาดเมินเฉยได้ลงหรอกนะ" อัคคีกดยิ้มลึกขณะโน้มตัวเข้ามาพูดใกล้ๆ น้ำเสียงยียวนของเขาทำขมับคนฟังเครียดเกร็งจนปวด เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นอารมณ์ที่ไม่คงที่ของตัวเองไม่ให้เผลอทำอะไรไม่ดีออกไป 

"ถ้าคนแบบคุณไม่เรียกว่าใจร้าย ในโลกนี้คงไม่มีคนใจดี" เสียงหวานเปล่งลอดไรฟันให้ได้ยินกันสองคน 

"ผมแค่ทำได้ทุกอย่าง...เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ" อัคคียังคงแย้มยิ้มเต็มใบหน้าแม้จะถูกอดีตเลขาจิกกัดและมองด้วยแววตาเกลียดชัง มือแกร่งสอดเข้าไปลูบเอวบางอย่างจาบจ้วง นิชานั่งตัวเกร็ง พยายามแกะมือเขาออกอย่างเนียนๆ ทว่าเขาดันกัดไม่ปล่อย เธอไม่มีแรงสู้อีกอย่างก็ไม่อยากโวยวายให้เด็กๆ รู้จึงทำได้เพียงจ้องปรามร่างสูงผ่านทางสายตาเท่านั้น 

"น้องปุณณ์ น้องปัญญ์ รีบทานค่ะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว" นิชาคร้านจะต่อปากต่อคำกับคนเห็นแก่ตัว เห็นได้ชัดว่าอัคคีจงใจเข้ามาหาเพราะอะไร ฉะนั้นเธอจึงไม่มีเหตุผลที่จะญาติดีกับคนที่ใจร้ายพรรค์นี้อีก ความรู้สึกดีๆ มันจบไปตั้งแต่วันที่เธอก้าวขาออกมาจากห้องทำงานของเขาในวันนั้นแล้ว 

"คุณหนีผมไม่พ้นหรอกคุณนิ ยังไงคุณก็ต้องกลับมาเป็นของผม" ร่างบางที่กำลังจะหาหนทางหลีกหนีถูกลำแขนแกร่งรั้งลงนั่งข้างกันอีกครั้ง น้ำเสียงยียวนเอ่ยกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูพร้อมกับเป่าลมเบาๆ ทำขนอ่อนลุกซู่ เส้นความอดทนที่ขาดสะบั้นทำให้นิชาใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงออกห่างจนสำเร็จ เธอรีบคว้ากระเป๋าและพาเด็กๆ หนีออกมาด้วยความโกรธที่ลุกโชนอยู่เต็มอก 

.

.

นิชาเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยการตะเวนสมัครงานไปทั่ว ในระแวกบ้านไม่ได้ก็ออกไปไกลขึ้น ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม สุขภาพร่างกายและจิตใจของเธอเริ่มย่ำแย่เพราะไม่ว่าจะเจอปัญหามากมายสักแค่ไหนเธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้คนเดียว เธอกลายเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อยกินน้อยไม่สดใสร่าเริงอย่างที่เคย แน่นอนว่าผู้เป็นมารดาย่อมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้และพลอยเครียดตามไปด้วย 

แล้ววันที่นิชาไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง...

แม่ของเธอถูกหามส่งโรงพยาบาลด้วยภาวะความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจกำเริบ เธอนั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างคนสิ้นหวัง เธอไม่เคยโทษโชคชะตา แม้จะเหลือตัวเองเป็นเสาหลักเพียงคนเดียวในครอบครัว แต่ตอนนี้พอปัญหาทุกอย่างมันรุมเร้าเข้ามามากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทนรับไหว เธอก็ไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้อีกต่อไป 

"คนไข้จำเป็นจะต้องผ่าตัดหัวใจอย่างเร่งด่วน แต่ว่าค่ารักษาค่อนข้างสูง และไม่สามารถเบิกประกันสุขภาพของคนไข้ได้ ญาติพร้อมที่จะให้หมอผ่าเลยไหมครับ" 

ร่างบางแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวของคุณหมอพร้อมได้รับเอกสารชี้แจงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการผ่าตัดใหญ่คร่าวๆ มาให้พิจารณา ตัวเลขยาวเหยียดในกระดาษแผ่นนั้นคือความสิ้นหวังของนิชาอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะต้องเจอปัญหามากมายเท่าไรเธอก็ยังยืนหยัดสู้ไหว ทว่าตอนนี้เธอหมดทางสู้อย่างสมบูรณ์.. 

"หมอมีเวลาให้ตัดสินใจเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นนะครับ เพราะคนไข้ไม่สามารถรอนานมากไปกว่านี้ได้" 

คุณหมอกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เวลาหนึ่งวันเป็นการเว้นระยะให้ร่างบางมีเวลาคิดและตัดสินใจ ถึงอย่างนั้นคำตอบของนิชาก็มีเพียงหนทางเดียวคือแม่ของเธอจะต้องได้ผ่าตัดเท่านั้น!

ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรเธอก็ยอม! 

.

ไม่ต้องรอให้ถึงวัน หลังออกจากโรงพยาบาลนิชาก็ขับรถมายังตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองทันที แม้เธอจะลาออกไปแล้วแต่พอกลับเข้ามาพนักงานทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่แสนจะเข้มงวดกลับไม่ได้แสดงอาการแปลกใจ แถมยังยอมให้เธอเข้าบริษัทได้ง่ายๆ ซึ่งก็ดีเพราะเธอไม่มีเวลาจะสนใจอะไรอีก เธอต้องการจะคุยกับประธานบริษัทเพียงคนเดียวเท่านั้น! 

เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงจุดหมายร่างบางก็เคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องเพียงสองสามทีเท่านั้นก็เปิดเข้าไปอย่างถือวิสาสะ โชคดีที่ร่างสูงนั่งทำงานอยู่ในห้องไม่ได้ไปไหน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ก่อนจะมีท่าทีแปลกใจเมื่อรู้ว่าเป็นเธอ 

"เกิดอะไรขึ้น" สภาพของอดีตเลขาที่ใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาบวมช้ำปริ่มน้ำใสๆ เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาและพร้อมจะร้องอีกได้ทุกเมื่อ ทำให้อัคคีต้องรีบวางปากกาลงและลุกเดินเข้ามาหา

"คุณพูดถูก...ยังไงนิก็ต้องกลับมา" นิชาไม่ตอบคำถาม เพียงตัดพ้อและแสยะยิ้มกับตัวเองอย่างสมเพช 

แม้ร่างบางจะไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม แต่อัคคีก็เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเป็นอย่างดี เขาควรจะดีใจที่เอาชนะเธอได้ แต่น้ำตาที่จวนจะหล่นอาบแก้มขาวกลับดึงความสนใจจากเขาได้มากกว่า ทว่าแม้จะดูเปราะบางพร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อแบบนั้น นิชากลับไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น ใบหน้าซีดขาวเชิดรั้น แผ่นหลังเหยียดตรง ดวงตาแน่วแน่มั่นคง 

"คุณจะทำอะไรกับนิก็ได้...จะให้เป็นคู่นอน ของเล่น ของตาย ได้ทั้งนั้น..." ร่างบางข่มความเจ็บปวดที่หน่วงรั้งก้อนเนื้อในอกซ้ายพูดออกไปอย่างไม่ลังเล เธอเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนที่อัคคียื่นข้อเสนอนี้ให้ แต่เวลานี้เธอกลับเป็นฝ่ายยอมทิ้งศักดิ์ศรีบากหน้ามาเสนอตัวให้เขาถึงที่ 

"แต่...ต้องแลกด้วยเช็คเงินสดสิบล้าน!" เสียงหวานยื่นคำขาดออกไปอย่างหน้าไม่อาย ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากและต้องการความช่วยเหลือแท้ๆ เธอกลับยังคงหยิ่งในศักดิ์ศรีจวบจนวินาทีสุดท้าย 

"..." 

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน อัคคีสนใจเพียงดวงตาแดงเรื่อของอดีตเลขาเพียงเท่านั้น เขากำลังครุ่นคิดว่าใบหน้าสวยๆ ของนิชาไม่สมควรแปดเปื้อนด้วยน้ำตาหรือความเศร้าหมอง และเขาจะไม่มีวันทำให้เธอร้องไห้ ไม่สิ...ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้เธอร้องไห้ทั้งนั้น! 

มือหนายกขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้าซีดขาว นิชาเบี่ยงหลบทว่าคนเอาแต่ใจอย่างอัคคีกลับไม่แยแส สัมผัสอุ่นนุ่มทาบลงบนแก้มขาว ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ไปตาขอบตาแดงช้ำอย่างแผ่วเบา นิชาไม่เข้าใจว่าเขาจะมาแสดงความห่วงใยอะไรกันตอนนี้ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะเขา! เพราะเขาบีบบังคับทำให้เธอต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ 

อัคคีไม่ได้ทำอะไรร่างบางมากไปกว่านั้น เขาเพียงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบเช็คออกมาเซ็นแล้วเดินกลับมายื่นให้เธออย่างไม่นึกเสียดาย 

"อยากได้เท่าไรก็เขียนเอา" ร่างสูงกล่าวอย่างจริงจัง เขาไม่ได้มีความคิดในแง่ลบต่ออดีตเลขาที่กำลังเรียกร้องเงินจากเขาถึงสิบล้าน เพราะมั่นใจว่านิชาต้องมีเหตุผลและอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะต้องได้รู้อย่างแน่นอน 

ดวงตาโศกเหลือบมองเช็คเงินสดที่ถูกเว้นว่างจำนวนเงินไว้ให้เขียนเองอย่างสับสนเล็กๆ เนื่องจากเตรียมใจไว้แล้วว่าตัวเธอคงไม่มีค่าพอให้เขายอมเสียเงินถึงสิบล้านแน่ แต่นี่...มันเกินความคาดหมายไปมากเลยทีเดียว 

นิชาเดินถือเช็คออกมาจากบริษัทอย่างเหม่อลอย ร่างกายทุกส่วนรวมถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายหนักอึ้งจนแทบจะก้าวขาไปออก เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดี มันก็ดีนะที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินรักษาแม่แล้ว แต่วิธีที่ได้มามันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก แม้อัคคีจะยื่นเช็คให้กันง่ายๆ แต่ชีวิตหลังจากนี้ของเธอจะเป็นยังไงต่อ ไม่สามารถคาดเดาได้เลย 

นิชาโยนเรื่องเครียดๆ ทิ้งไปชั่วคราว เธอนำเช็คไปขึ้นเงินหลังเขียนตัวเลขลงไปเป็นจำนวนสิบล้านตามที่เรียกร้องไปไม่ขาดไม่เกิน แม้ค่ารักษาแม่จะไม่ถึงสิบล้านแต่เงินที่เหลือเธอตั้งใจจะเก็บไว้เป็นค่าเทอมและค่าเลี้ยงดูหลานๆ เธอจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ในเมื่อเสนอตัวให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจแล้ว เธอก็ต้องเรียกเงินให้สมน้ำสมเนื้อสักหน่อย ใครจะมองยังไงก็ช่างในเมื่อเธอพิสูจน์แล้วว่าศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้!

การผ่าตัดของผู้เป็นแม่ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะเหนื่อยที่ต้องดูแลทั้งแม่และหลานๆ แต่นิชาก็ดีใจและซึ้งใจอยู่ลึกๆ เพราะถ้าไม่ได้อัคคีช่วยไว้เธอก็หมดหนทางจะสู้ต่อแล้วจริงๆ เธอตั้งใจไว้ว่าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเข้าที่เข้าทางไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เธอจะไปคุยกับเขาในเรื่องที่ตกลงกัน ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปทำงานด้วยหรือแค่เปลี่ยนสถานะจากเลขามาเป็นคู่นอนอย่างเดียว เธอทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ 

..

..

..

..

เอาล่ะ เริ่มเลอออออ!

พูดคุยกันได้ที่เพจ/เฟซบุ๊ก Aile'N จ้า

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status