ณ ห้องในคอนโด
ในห้องคอนโดมิเนียมอันกว้างขวางของณัฐรินีย์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ อาคิรายืนหน้าเคาน์เตอร์ครัว กำลังเทกาแฟร้อนๆ ลงในแก้ว แต่สายตาของเธอไม่ได้จดจ่ออยู่กับกาแฟตรงหน้า เธอกลับเหม่อลอยคิดถึงกฤติน ชายหนุ่มที่เธอแอบชอบ คำพูดของเขาเมื่อวันนั้น ยังคงก้องอยู่ในหัว อาคิราไม่ทันสังเกตว่าแก้วเต็มแล้ว ทำให้กาแฟร้อนๆ ล้นออกจากแก้ว
“เอ้า ล้นแล้วแม่คุ้นน”
“ห๊ะ?”
ณัฐรินีย์จับมือที่กำลังเทกาแฟของอาคิราไว้ได้ทัน ก่อนที่จะหกไปมากกว่านี้
“อุ๊ย โทษที”
“มัวเหม่ออะไรอยู่ยะ”
อาคิรารีบหยิบผ้ามาเช็ดคราบกาแฟ เธอรู้สึกเก้อเขิน
“แหมๆๆ ตั้งกะไปเดทวันนั้น ดูจิตใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัวเลยเนอะ”
ณัฐรินีย์หรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ และอมยิ้มล้อเลียนเพื่อนสาว
“บ้า เดทเดิทอะไรกัน”
อาคิราแก้เขินด้วยการถือแก้วกาแฟแล้วเดินไปนั่งที่โซฟานั่งเล่น
“จ้า ไม่ได้เดท”
ณัฐรินีย์หัวเราะคิกคัก พร้อมกับหอบหนังสือออกแบบประมาณ 5-6 เล่ม มาวางกองไว้ที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบโน้ตบุ๊คมาวางไว้ข้างๆ
“ทำงานเหรอ?”
“อื้อ อีตาธีรเทพนั่น บอกอยากได้ภาพร่างของแบบสินค้าเร็วๆ น่ะ ฉันเลยต้องถ่างตาทำอยู่เนี่ย”
“อื้อหือ แบบเยอะเลยนี่ แต่ฉันว่ามันยังไม่คลิกเท่าไหร่เลยนะ” อาคิราชะโงกหน้ามาดู
“ใช่มะ ฉันก็ว่างั้น” ณัฐรินีย์เกาหัวแกรกๆ
“โอ้ยย หนังสือออกแบบที่มีก็น้อยเกิน”
“อยากได้หนังสือออกแบบเยอะๆ จัง” ณัฐรินีย์เอาคางเกยโต๊ะบ่นอุบอิบ
อาคิรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งหาทางช่วยเพื่อน แล้วเธอก็นึกขึ้นได้
“ไปหอสมุดกันมั้ย? ที่นั่นน่าจะมีหนังสือออกแบบให้ยืมเยอะอยู่นะ”
“หอสมุดเหรอ? กู๊ดไอเดีย ไปที่ไหนดีล่ะ” ณัฐรินีย์ยกนิ้วชี้ไปทางอาคิรา
“คุณกฤตเป็นบรรณารักษ์ เดี๋ยวโทรหาแปปนะ”
อาคิรารีบหยิบมือถือแล้วกดหากฤตินทันที โดยไม่สนใจเสียงล้อเลียนของเพื่อนสาวที่นั่งอยู่
เพียงครู่เดียวอาคิราก็ได้พิกัดของหอสมุดที่กฤตินเป็นบรรณารักษ์ สองสาวจึงรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
ณ หอสมุดโบราณแถวชานเมือง
ภายในหอสมุดโบราณอันเงียบสงบ กลิ่นหอมของหนังสือเก่าอบอวลไปทั่ว แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสี สาดส่องลงบนชั้นหนังสือไม้สูงใหญ่ ที่เรียงรายไปด้วยหนังสือมากมาย บรรยากาศภายในห้องสมุดเงียบสงบ มีเพียงเสียงพลิกหน้าหนังสือเป็นระยะๆ
กฤตินชายหนุ่มรูปหล่อ กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะไม้สนเก่า เขาเป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดแห่งนี้ เขารักหนังสือและชอบอ่านหนังสือ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตอยู่กับหนังสือในหอสมุดโบราณแห่งนี้
ขณะที่เขากำลังคร่ำเคร่งกับหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ปลายสายคือ อาคิรา หญิงสาวที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ทันทีที่กฤตินรู้ว่า อาคิรากับเพื่อนสาวของเธอต้องการมาที่หอสมุด เขารู้สึกดีใจอย่างมาก รีบส่งพิกัดที่ตั้งหอสมุดให้เธอทันที
“ดีใจอะไรครับ คุณชาย” วิลเลียม ชายหนุ่มวัยกลางคนถือถาดใส่กาแฟร้อนเข้ามา และนำมันวางบนโต๊ะ
“วิล เดี๋ยวอาคิรากับเพื่อนของเธอจะมาที่นี่ ช่วยดูแลให้หน่อย” กฤตินหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“รับทราบครับ” ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหมือนพ่อบ้านโค้งคำนับ ก่อนจะเดินออกไป
“หาหนังสืออะไรให้ไออ่านดีนะ” กฤตินนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“อ๊ะ! นึกออกแล้ว” กฤตินยิ้มกริ่มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นตรงไปยังประตูลับด้านหลังที่เต็มไปด้วยหนังสือโบราณมากมาย
หอสมุดโบราณที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ลึกลับ
รถคันสีขาวเล็กกระทัดรัดเหมาะกับชาวเมืองกำลังแล่นผ่านตึกรามบ้านช่องสูงระฟ้า ผ่านสวนสาธารณะ ผ่านโรงเรียนและสถานที่ต่างๆ มากมาย
ณัฐรินีย์และอาคิรากำลังเดินทางไปยังหอสมุดที่กฤตินทำงานเป็นบรรณารักษ์ ซึ่งพวกเธอใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึงหอสมุดแห่งนั้น
“ว้าว”
อาคิราตกตะลึกในความงาม ขณะมองดูหอสมุดที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่แถบชานเมือง
ตัวอาคารของหอสมุดสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ดูเก่าแก่ และสง่างาม ด้านหน้าหอสมุดมีบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ ทอดยาวขึ้นไปสู่ประตูไม้บานใหญ่
ประตูไม้บานใหญ่ แกะสลักลวดลายสวยงาม บ่งบอกถึงอดีตอันยาวนานของหอสมุด เหนือประตูไม้มีป้ายหินอ่อนแกะสลักตัวอักษรภาษาไทยโบราณที่อ่านว่า “หอสมุดประชาชน”
สวนขนาดเล็กที่รายล้อมรอบตัวหอสมุดเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ดอกไม้หลากสีสันบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย บรรยากาศภายในสวนเงียบสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใย
“โอ้โห ด้านนอกโคตรสวย”
ณัฐรินีย์ตื่นตะลึงกับความสวยงามด้านนอกของหอสมุด
“เพิ่งรู้ว่ามีสถานที่ดีๆ แบบนี้อยู่ด้วยนะเนี่ย” ณัฐรินีย์พึมพำพร้อมกับหอบโน้ตบุ๊คและสมุดสำหรับออกแบบลงมาด้วย
ประตูสู่โลกแห่งหนังสือ
เมื่ออาคิราเปิดประตูเข้าไป ก็ได้กลิ่นหอมของหนังสือเก่า ผสมกับกลิ่นอายของอดีตอบอวลไปทั่ว
อาคิราและณัฐรินีย์เดินเข้าไปในหอสมุด
ภายในหอสมุดเงียบสงบ และร่มรื่น
ชั้นวางหนังสือเรียงรายอยู่สองข้างทาง เต็มไปด้วยหนังสือเก่าและใหม่ แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีสาดส่องลงมาบนพื้นหอสมุด
อาคิราเดินไปตามทางมองหากฤตินที่ทำงานเป็นบรรณารักษ์อยู่ที่หอสมุดแห่งนี้
ในที่สุดเธอก็เห็นกฤติน กำลังยืนรอเธออยู่ที่โต๊ะทำงาน
กฤตินสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินทับด้วยสูทสีดำ คอปกเชิ้ตติดกระดุม กางเกงขายาวสีดำ ขากระบอกตรงรีดเรียบ รองเท้าหนังสีน้ำตาลผูกเชือกดูสุภาพ
ขนาดอยู่ในชุดทำงานยังหล่อขนาดนี้
อาคิราได้แต่คิดอยู่ในใจ
“สวัสดีค่ะ” อาคิราเอ่ยทักทาย
กฤตินมองหญิงสาวที่วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ผ้าลินินเนื้อบางเบา สวมใส่สบาย กางเกงขายาวสีเบจ ขาตรงเรียบร้อย รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาด กระเป๋าสะพายสีดำขนาดพอเหมาะ
อา..ช่างน่ารักอะไรแบบนี้
กฤตินคิดอยู่ในใจ
“อะแฮ่ม”
ณัฐรินีย์กระแอม เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว
“อะ เอ่อ นี่ณัฐค่ะ เพื่อนฉันเอง” อาคิราได้สติรีบแนะนำ
“สวัสดีค่ะ ขอยืมใช้สถานที่แล้วก็ยืมหนังสือหน่อยนะคะ” ณัฐรินีย์ยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์
“ได้ครับ” กฤตินยิ้มให้
“วิล ช่วยพาคุณณัฐไปดูหนังสือที่เกี่ยวกับการออกแบบหน่อย” กฤตินหันไปเรียกชายวัยกลางคน
“เชิญทางนี้ครับ” วิลเลียม พ่อบ้านประจำหอสมุดผายมือให้ณัฐรินีย์ตามเข้าไป
“งั้นฉันไปหาหนังสือก่อนนะ” ณัฐรินีย์ยักคิ้ว ขยิบตาให้อาคิรา ก่อนจะเดินตามวิลเลียมไปด้วยท่าทางร่าเริง
“ขอโทษทีนะ ที่ณัฐดูดีดเหลือเกินน่ะ” อาคิราส่ายหน้าให้กับอาการของเพื่อน
“ไม่เป็นไรหรอก ตลกดีน่ะ” กฤตินหัวเราะเบาๆ
“เอ่อ..พวกฉันไม่ได้มารบกวนคุณใช่มั้ย”
“ไม่หรอก มานี่สิ” กฤตินยิ้ม ก่อนจะจูงมืออาคิราให้เดินตามเขาไป
กฤตินพาอาคิราเข้าไปในห้องอ่านหนังสือที่อยู่ปีกด้านขวาของตึก
“นั่งสิ”
อาคิรานั่งลงอย่างว่าง่าย พร้อมกับสำรวจไปรอบห้อง ภายในห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ
“เธอลองอ่านนี่สิ” กฤตินส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้อาคิรา
“อะไรน่ะ ‘ตำนานความรักของเทพเจ้าเท็นงุ’ งั้นหรอ??”
“ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อหนังสือนี้มาก่อนเลยล่ะ”
อาคิรารับมาดู พอพลิกอ่านชื่อหนังสือ เธอก็ถามด้วยความสงสัย
“มันเป็นหนังสือโบราณ ไม่ค่อยมีคนรู้จักหรอก” กฤตินตอบ พร้อมกับยกถาดใส่กาน้ำชาและถ้วยชามาวางไว้บนโต๊ะ
“เห...ชื่อหนังสือแปลกดี”
“เธอชอบอ่านนิยายโรแมนติกไม่ใช่เหรอ?” กฤตินรินน้ำชาใส่ถ้วยและวางลงตรงหน้าอาคิรา
“อื้อ” อาคิราพยักหน้า
“งั้นลองอ่านดู เธอน่าจะชอบ” กฤตินกระซิบข้างหู ส่งยิ้มหวานให้
“อะ อื้อ” อาคิราหน้าแดง
“ฉันไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็เรียกล่ะ” กฤตินอมยิ้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“โอ้ยยย..ใจฉันจะรอดมั้ยเนี่ย” อาคิราฟุบหน้าลงบนหนังสือหน้าแดง
ภายในห้องคอนโดหรูแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง ปลุกให้ธีรเทพตื่น เขาขยับตัวมองไปรอบๆ ห้องนอน แต่ไม่พบกานต์รวีธีรเทพรู้สึกงุนงง เขาลุกจากเตียงและเดินออกมาด้านนอก มองหาภรรยาของเขา พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง ติดไว้ที่ตู้เย็นเขียนว่า “สุดสัปดาห์นี้ ฉันไปกับชัญญานะคะ กลับมาวันจันทร์ค่ะ”ธีรเทพอ่านโน้ตจบ ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะหมู่นี้กานต์รวีใช้เวลากับชัญญา เพื่อนสนิทของเธอเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งกานต์รวีก็ไม่กลับมานอนที่ห้อง โดยให้เหตุผลว่า ชัญญามีปัญหา เธอจึงไปนอนเป็นเพื่อนแต่ธีรเทพก็ปล่อยผ่านไป เพราะกานต์รวีเคยเล่าให้เขาฟังว่า ชัญญาเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญ และเขาก็เคยเจอชัญญาครั้งหนึ่ง เท่าที่เขาเห็น ชัญญาเป็นผู้หญิงสวย เก่ง ฉลาด พูดจาไพเราะ การที่กานต์รวีมีเพื่อนดีแบบนี้ เขาก็รู้สึกดีใจด้วยแต่ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนกานต์รวีห่างเหินไป เรื่องปกติที่เขาเคยปฏิบัติกันทุกคืน กานต์รวีก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมมีอะไรด้วย“เฮ้อ...แล้ววันหยุดแบบนี้เราจะทำอะไรดีล่ะเนี่ย”ธีรเทพถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปที่เครื่องชงกาแฟ พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นงานออกแบบสินค้าตัวใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเขาก
ณ ร้านอาหารหรูหราแสงแดดยามเย็นส่องผ่านกระจกบานใหญ่ของร้าน บวกกับแสงไฟที่สลัว ทำให้บรรยากาศภายในร้านอาหารเต็มไปด้วยความโรแมนติก มีผู้คนมากมายที่มาทานอาหาร เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของผู้คนดังทั่วร้านญาณวดีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างสบายใจ รอก้องเกียรติที่กำลังเดินทางมาหานวลพรรณ เดินเข้ามาในร้านอาหารด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาของเธอจับจ้องไปที่ญาณวดี ที่นั่งอยู่คนเดียวตรงโต๊ะริมหน้าต่างนวลพรรณพุ่งตรงไปหาญาณวดีอย่างรวดเร็ว“วดี ในที่สุดก็เจอแก!”“คุณนวล!” ญาณวดีตกใจมาก“เธอมาทำไม?”“ฉันจะมาเอาผัวฉันคืน”“ผัวเธอ? อย่ามาตลก ก้องรักฉัน ไม่ได้รักเธอ” ญาณวดียิ้มเยาะ“รักเหรอ? ถ้ารักแล้วทำไมเขายังอยู่กับฉัน ทำไมก้องไม่ทิ้งฉันไปหาเธอ?” นวลพรรณยิ้มเหยียด“เพราะก้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว เธอคิดว่าก้องอยากอยู่กับเธอเหรอ?” ญาณวดีเอนตัวไปด้านหลัง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามนวลพรรณ“แก...” นวลพรรณตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ“ฉันจะบอกความลับให้นะ...” ญาณวดีลุกขึ้นเดินไปหานวลพรรณ“ก้องน่ะ เขาเบื่อมีเซ็กส์กับเธอแล้ว เพราะเธอมันจืดชืด ส่วนฉันน่ะ เร่าร้อนทุกคืน เขาถึงได้ชอบมามีอะไรกั
ตัณหาราคะร้อนแรงโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ภายนอกเป็นอาคารสูงใหญ่ทันสมัย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างรีบเร่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นตัว ผู้คนเดินเข้าออกกันขวักไขว่ภายในของโรงพยาบาลตกแต่งอย่างหรูหรา สะอาดตา พนักงานทุกคนแต่งกายสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใสบริเวณโถงกลางมีผู้ป่วยและญาติรอคิวเข้ารับการตรวจ สามารถนั่งผ่อนคลายบนโซฟานุ่มๆ มีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆตึกผู้ป่วยหนักที่ชั้น 5 เป็นโซนที่คุณเกศ หรือคุณกชมน ภรรยาของเอกวัฒน์รักษาตัวอยู่ห้องที่คุณเกศพักเป็นห้องผู้ป่วยส่วนตัว มีขนาดกว้างขวาง สว่างไสว มีหน้าต่างขนาดใหญ่ มองเห็นวิวเมืองได้ไกลบนเตียงผู้ป่วย คุณเกศนอนหลับตาอย่างสงบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาว เครื่องช่วยหายใจส่งเสียงออกมาเป็นระยะ สายยางน้ำเกลือ และจอแสดงผลสัญญาณชีพ เอกวัฒน์นั่งอยู่ข้างเตียง จับมือของเธอไว้ด้วยความเป็นห่วงบรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด ชัญญากำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่มุมห้อง แอบมองทั้งคู่ด้วยความริษยา“นายขา ไปนอนพักผ่อนตรงโซฟาหน่อยมั้ยคะ” ชัญญาแตะแขนของเอกวัฒน์เบา“อืม..ก็ดีเหมือนกัน” เอกวัฒน์มีสีหน้าไม่สดชื่น“นายคะ ญ่าว่านายไปล้างหน้าซักหน่อยดีกว่าค่ะ จะได้สดชื่น เดี๋ยวญ่า
รอยยิ้มที่หายไปณ บ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นของธีรเทพและกานต์รวี ช่วงเวลายามเย็นหลังเลิกงาน แสงแดดที่สาดส่องเข้าไปทำให้บ้านดูสวยงามเป็นอย่างมากธีรเทพเพิ่งเลิกงานกลับมา เขาเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ภายในบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหราและทันสมัยธีรเทพมองไปรอบๆ บ้านที่เต็มไปด้วยงานศิลปะและการตกแต่งภายในที่เขาเป็นผู้ดูแล เมื่อก่อนเขารู้สึกว่ามันช่างให้ความอบอุ่น และทำให้เขาอยากกลับบ้านเร็วๆ แต่วันนี้กลับไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้เลย“รวี อยู่ไหนครับ?”เสียงเรียกของเขาดังไปทั่วบ้าน แต่ไม่มีการตอบกลับ ธีรเทพถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เขาพบว่ากานต์รวีกำลังจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ๊ค แสงจอคอมพิวเตอร์สว่างส่องหน้าเธอขณะที่เธอพิมพ์อะไรบางอย่างอย่างรีบเร่ง“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”“อื๊อ ก็เหมือนเดิมล่ะค่ะ” กานต์รวีเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากของสามีที่กำลังจะหอมแก้มเธอ ทำให้เขาชะงักไปธีรเทพเดินไปนั่งลงข้างๆ เธอ พยายามดึงความสนใจของเธอ“เราควรใช้เวลาด้วยกันหน่อยมั้ย? ไปทานข้าวข้างนอกกับผมนะ” ธีรเทพแตะแขนเธอกานต์รวีหยุดพิมพ์ชั่วครู่ แต่ยังคงไม่ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค
รอยจูบในความทรงจำยามบ่ายวันศุกร์ใกล้เลิกงาน ณัฐรินีย์นั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่งของคาเฟ่เล็ก ๆ ที่อยู่ในตึกของบริษัท Vivid บรรยากาศในร้านสงบเงียบ เสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ ลอยคลออยู่ในอากาศ ข้างๆ เธอ กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดใหม่ทำให้บรรยากาศยิ่งอบอุ่นยิ่งขึ้น แต่จิตใจของณัฐรินีย์กลับไม่ได้สงบตามไปด้วยเธอนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางคิดถึงธีรเทพ หัวใจของเธอเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงเขา ภาพของเขาที่นั่งรอเธอทำมาม่าให้ทาน ภาพของรอยยิ้มที่อบอุ่น และสายตาที่มองเธอด้วยความห่วงใยยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอณัฐรินีย์คิดถึงวันที่ธีรเทพเข้ามาในชีวิตของเธอ โดยไม่ทันได้คาดคิด ความใกล้ชิดและการพูดคุยที่เป็นธรรมชาติทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หายไปนาน ความรู้สึกที่เคยเก็บซ่อนไว้กลับมาปรากฏชัดในใจอีกครั้ง(ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้นะ?ทั้งๆ ที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เราควรจะตัดใจสิ...แต่มันยากเหลือเกิน)ณัฐรินีย์คิดในใจ พลางถอนหายใจเบา ๆเธอรู้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่หัวใจของเธอกลับไม่ยอมฟังเหตุผล ความคิดถึงและความรู้สึกหวั่นไหวที่เธอมีต่อธีรเทพทำให้เธอต้องต่อสู้กับตัวเองในทุกๆ วันณัฐรินีย์เ
สัญญาณอันตรายบ่งบอกกฤตินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวภายในหอสมุด แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและเหมาะสมสำหรับการศึกษาค้นคว้าเขาเปิดตำราเก่าแก่ที่บันทึกเรื่องราวของคุณไสยและเวทมนตร์ขาว แต่จู่ ๆ ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา“เฮ้ เจ้ารู้สึกมั้ย?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งจู่ๆ ก็โผล่มาด้านหลัง“อื้อ” กฤตินปิดหนังสือทันที“แหม พอเป็นเรื่องของยัยเด็กนั่น เจ้ารีบร้อนทุกทีเลยนะ” เด็กหนุ่มค่อนแคะ“หนวกหูน่า โซระ”กฤตินลุกขึ้นและเดินออกจากหอสมุดไปทันทีภายในร้านอาหารไทยสไตล์ทันสมัยที่ตั้งอยู่ใกล้ออฟฟิศอาคิราและณัฐรินีย์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง แสงแดดยามเย็นที่ตกกระทบผ่านกระจกทำให้ภายในร้านดูอบอุ่นและเงียบสงบ คนในร้านไม่พลุกพล่านมากนัก ทำให้บรรยากาศเป็นใจสำหรับบทสนทนาที่เคร่งเครียดและสำคัญอาคิราและณัฐรินีย์นั่งตรงข้ามกัน อาหารบนโต๊ะถูกจัดเรียงอย่างน่าทาน แต่ทั้งสองคนแทบไม่ได้แตะต้อง มีเพียงถ้วยชาที่ถูกหยิบขึ้นมาจิบเป็นระยะๆอาคิรานำขวดยาเสน่ห์ที่ได้มาจากญาณวดียื่นให้ณัฐรินีย์ดู“นี่แหล่ะ ยาเสน่ห์แน่นอน”“เธอแน่ใจได้ยังไง?” ณัฐรินีย์มอง
ราตรีที่หน้าคอนโดภายในร้านอาหารไทยสไตล์ ณัฐรินีย์นั่งตัวลีบ หน้าจ๋อยอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มหล่อมาดนักธุรกิจ ที่อยู่ในชุดไปรเวทแบบสบายๆ แต่ใบหน้าหล่อกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้า เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียด“นี่คุณ...ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้” ธีรเทพกุมขมับ“ขโมยของคนอื่น มันผิดกฎหมายนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“แค่ขวดน้ำมันน่ะ วดีคงไม่รู้เรื่องหรอก”“ยังจะพูดอีกนะ” ธีรเทพเสียงเข้ม“.......” ณัฐรินีย์สงบปากสงบคำทันที“ว่าแต่ คุณกับอาคิราเชื่อเรื่องพวกนี้เหรอ?” ธีรเทพถอนใจ สายตาที่มองดูณัฐรินีย์เริ่มอ่อนลง“อื้อ ไอเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษน่ะ” ณัฐรินีย์พยักหน้าหงึกๆ และเผลอหลุดปากออกมา“ยังไง?”“แหงะ มะ มะ ไม่มีอะไร” ณัฐรินีย์ตกใจนึกขึ้นได้ รีบปฏิเสธทันควัน“บอกมา” ธีรเทพคาดคั้น“คือ...ถ้าฉันเล่าแล้ว คุณจะไม่บอกใครใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์กระพริบตาท่าทางลังเล“อื้อ”“คุณจะไม่หัวเราะใช่มั้ย?” ณัฐรินีย์ถามย้ำ สายตาจริงจัง“อื้อ” ธีรเทพพยักหน้า แอบยกมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม“ไอ มีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นวิญญาณได้” ณัฐรินีย์สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา“คุณ
คืนนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยหมู่เมฆสีเทาอึมครึม กฤตินยืนอยู่หน้ากระจกในห้องของเขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำและเนกไทสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตคืนนี้เขาจะไปงานสวดพระอภิธรรมศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายแล้ว“ข้าไปด้วยสิ” เด็กหนุ่มนามว่า “โซระ” โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มเสียง“นายไปก็ได้ แต่ทำยังไงกับสีตาของนายด้วยนะ” กฤตินเหลือบมองก่อนจะยิ้มออกมา“ข้าใส่อันนี้ได้” โซระคลี่ยิ้ม ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดออกจากกระเป๋าเสื้อ“นี่นาย...” กฤตินถอนใจ“ใครเขาใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืนกัน”“ข้านี่ไง เอาน่า ถ้าต้องถอดแว่นออก ข้าค่อยพลางสายตาเอา” โซระยิ้มด้วยท่าทางสนุก เขาถูกใจแว่นกันแดดมาก“ตามใจนาย” กฤตินรู้ดีว่าห้ามไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย“ว่าแต่ นายอย่ากินวิญญาณแถวนั้นมากนักล่ะ เดี๋ยวจะป่วยเอาซะก่อน” กฤตินเอ่ยเตือน“รู้แล้วน่า” โซระยักไหล่“ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาดูแลหรอก เจ้าไปดูแลยัยเด็กคนนั้นเถอะ” โซระยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” กฤตินยิ้มรับราตรีแห่งความสูญเสียงานศพของคุณเกศ ภรรยาของเอกวัฒน์ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และเร่งรีบหลังจากที่เธอเสียได้ไม่กี่วันภา