เสียงเพลงจังหวะร้อนแรงบรรเลงไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการแสดงแสนวาบหวิวบนเวที แพรพิไลกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางลอบเบือนหน้าหนีคู่หญิงชายที่กำลังทำการ ‘โชว์’ อย่างเร่าร้อนตามจังหวะเพลง
เธอจะเรียกสิ่งที่อยู่บนเวทีว่าความอุบาทว์ดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เธอไม่อาจเรียกมันว่าศิลปะได้เลย และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป อาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ หรือแม้กระทั่งสมาชิกที่เข้ามาร่วมสังสรรค์ล้วนอันตรายด้วยกันทั้งหมด เธอไม่กล้าแสดงตัวเป็นจุดเด่นมากนักจึงได้แต่คอยหลบเลี่ยงอยู่ในมุมมืดเพียงลำพังและคอยเฝ้าสังเกตทุกคนที่อยู่ที่นี่
“คุณไม่ควรมาที่นี่”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้แพรพิไลสะดุ้งวาบ ครั้นพอหันไปมองก็เห็นเพียงหน้ากากสีดำที่ทางสมาคมบังคับให้สวมเท่านั้น แต่ริมฝีปากสีเข้มและเสียงนั่นช่างคุ้นตาคุ้นหูเธอเหลือเกิน
“คุณ...” แพรพิไลพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะไม่กล้าเอ่ยออกไปตรง ๆ ว่าใช่คนที่กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่า จะมองรูปร่างของเขาก็ไม่สามารถมองได้ เพราะชุดคลุมสีดำยาวกรอมเท้ากับหน้ากากนั้นปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอแสนคุ้นเคย
“ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ แต่ขอเตือนเอาไว้อย่างหนึ่งว่าคราวหน้าอย่าให้ผมเจอคุณที่นี่อีก” เสียงนั้นยังคงดังออกมาจากบุรุษที่สวมหน้ากากสีดำ แต่ก็ทำให้เธอมั่นใจแล้วว่าเขาคือคนที่เธอคิดไว้จริง ๆ
“แล้วทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” เธออดย้อนถามเขาไม่ได้ ตอนอยู่ที่คลับเฮราหรืออยู่กับเธอสองต่อสองเขาดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มและมักพูดจาทีเล่นทีจริงเสมอ ทว่าพอมาเจอกันที่นี่ ทั้งท่าทีและน้ำเสียงกลับดูเคร่งเครียดจริงจังราวกับคนละคน
“ผมก็ตามลูกค้าของผมมาน่ะสิ คุณก็รู้ฐานะของผมแล้วไม่ใช่หรือว่าผมเป็นพวกผู้ชายขายน้ำน่ะ”
เขาตอบพลางก้าวเข้ามาชิดจนใบหน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ โชคดีที่มีหน้ากากปิดบังเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาคงเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของเธอเป็นแน่
“การแสดงจบแล้ว อีกสักพักคุณก็ควรกลับได้ละ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มือของเขากลับยึดเอวเธอเอาไว้แล้วดันจนร่างเธอชิดผนัง จากนั้นก็บดเบียดร่างของเขาเข้ามาชิดจนเธอรู้สึกได้ถึงสรีระกำยำภายใต้ชุดคลุม
“คุณจะทำอะไร!” เธอถามเขาเบา ๆ พร้อมจับต้นแขนของเขาแน่นด้วยความตกใจ
“อยู่เฉย ๆ ก่อน อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่นะ”
เขาพูดอะไร เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด ใครเป็นคนจับตาดู แล้วคนที่ดูจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใครในเมื่อทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด คือชุดคลุมสีดำยาวกรอมเท้าและสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า แม้กระทั่งเขาเอง หากเขาไม่พูดออกมาเธอก็คงไม่รู้ว่านี่คือรชต ผู้ชายที่เธอคิดว่าขายบริการคนนั้น
ขณะที่กำลังสงสัย ชุดคลุมของเธอก็ถูกเขาเลิกขึ้นจนถึงหน้าขา จากนั้นเขาก็ยกขาข้างหนึ่งของเธอขึ้นไปเกี่ยวเอวเขาเอาไว้ เธอเกือบหวีดร้องออกมาแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงเขาเตือนขึ้นเสียก่อน
“อย่าร้องนะคุณ ก็แค่ทำท่าเท่านั้นแหละ ผมไม่ได้ทำจริง ๆ หรอกน่า คุณลองมองไปรอบ ๆ สิว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรกันอยู่ เราจะแปลกแยกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นที่สงสัยของคนคุม”
แพรพิไลมองไปรอบกายตามที่เขาบอกแล้วก็ต้องตกใจเป็นคำรบสอง เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะบนเวที โต๊ะ โซฟา หรือแม้กระทั่งบนพื้นต่างก็มีคู่ชายหญิงร่วมรักกันนัวเนียท่ามกลางแสงไฟสลัวและเสียงเพลงที่เหมือนจะดังขึ้นอีกเล็กน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังมีเหมือนกันนั่นก็คือชุดคลุมและหน้ากาก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“ไหนคุณบอกว่าแค่ทำท่าให้เหมือนเฉย ๆ ไง” เธอแค่นเสียงใส่พลางจิกเล็บลงไปที่ต้นแขนเขา แม้จะมีเนื้อผ้ากางกั้นอยู่จนผิวเนื้อบริเวณนั้นไม่อาจสัมผัสกันได้ แต่มันก็ไม่อาจปกปิดอะไรบางอย่างที่กำลังตื่นตัวเต็มที่และดุนดันต้นขาของเธออยู่
“ผมก็ไม่ได้ทำจริงสักหน่อย แต่ขอโทษทีนะ ตรงนั้นมันควบคุมได้ที่ไหนกันเล่า คุณก็รู้นี่นาว่าใต้ชุดคลุมนี่เราต่างล่อนจ้อนด้วยกันทั้งคู่ แล้วคุณจะให้ผมเหี่ยวเป็นมะเขือเผาหรือยังไง ขืนเป็นอย่างนั้นผมก็รับแขกได้น้อยน่ะสิ”
เขาพูดเสียงพร่าชิดใบหูจนหน้ากากเสียดสีกัน ขณะที่เธอเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ เขาก็เริ่มวาดลีลาทำท่า ‘ร่วมรักจอมปลอม’ เพื่อหลอกตาคนคุม
“อีตาบ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” หัวใจเธอเต้นกระหน่ำจนแทบระเบิดออกมานอกอก และเธอก็มั่นใจว่าเขาต้องรู้สึกได้อย่างแน่นอน
“อีกนิดน่า...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงสั่นพร่าของเขาพูดชิดใบหูอีกครั้งราวกับต้องการแกล้งให้เธอได้อาย
“คนทุเรศ! ทำไมต้องทำเสียงกระเส่าด้วย” เธอพูดเสียงลอดไรฟันพลางหยิกต้นแขนเขาอย่างแรง
“หึ ๆ ก็เดี๋ยวไม่สมจริงไง” เขาพูดกลั้วหัวเราะเบา ๆ ใบหน้ายังคงฝังอยู่กับซอกคอของเธอ แต่ยอมปล่อยขาข้างนั้นของเธอลงยืนที่พื้นตามเดิม จากนั้นก็กระซิบเสียงเครียด
“เดี๋ยวคุณเดินตามผมมานะ ห้ามปล่อยมือจากผมเด็ดขาด ใครดึงมือไว้ก็สะบัดแรง ๆ ไม่ต้องสนใจใคร เสร็จแล้วก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องให้เรียบร้อยแล้วก็รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และขอร้องว่าอย่ากลับมาที่นี่อีก”
พูดจบเขาก็ปรี่ออกไป ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดวูบเข้ามากระทบผิวของเธอทันทีจนอดขนลุกซู่ไม่ได้ ครั้นพอหันมองรอบกาย ภาพการร่วมรักที่เห็นเป็นคู่ ๆ ก่อนหน้านี้ก็เริ่มขยายวงกว้างและทวีความวิปริตมากขึ้นเรื่อย ๆ
สมาคมบ้าอะไรกันนี่...
“ว่าไงนะคะ ลาออกงั้นหรือ” แพรพิไลถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงแหบแห้ง รู้สึกเรี่ยวแรงหดหายทันทีเมื่อนักสืบมือดีของสำนักงานมายื่นใบลาออก“คุณแพรต้องเข้าใจผมด้วยนะครับ ลูกผมยังเล็ก ผมเองก็ต้องกินต้องใช้” คนพูดถอนหายใจแผ่ว หลุบตาลงต่ำเหมือนไม่กล้าสู้หน้าแพรพิไลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ยอมรับแต่โดยดี“แพรเข้าใจค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เคยช่วยงานคุณพ่อมาตั้งหลายปี” หญิงสาวส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้สีหน้าละอายใจผุดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวออกไปจากห้องทันทีแพรพิไลไม่คิดโทษใครทั้งสิ้น รู้ดีว่าการที่เธอเข้ามาบริหารสำนักงานนักสืบไพศาลแทนบิดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหกเดือนก่อนเป็นเหตุให้นักสืบหลายคนไม่เชื่อในฝีมือ และต่างพากันคิดว่าเธอกำลังพาสำนักงานนักสืบแห่งนี้ล่มจมลง ดังนั้นในช่วงหกเดือนนี้จึงมีนักสืบคนเก่าคนแก่ฝีมือดีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดาพากันตบเท้าลาออกกันเป็นแถวจะโทษพวกเขาที่ทอดทิ้งเธอก็ไม่ได้ เพราะในช่วงหกเดือนนี้แทบไม่มีงานผ่านเข้ามาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็แต่งานติดตามบุคคล คดีชู้สาวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ในเมื่อไม่มีงานเข้า รายได้
“สามีภรรยาคู่หนึ่ง ถ้าอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วอีกฝ่ายเปลี่ยนไป สาเหตุมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ”เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะก่อนพูดต่อ“จริงอยู่ว่าภรรยาผมเธอชอบการเข้าสังคมและการสังสรรค์มาก แต่ทุกครั้งเธอมักกลับบ้านเป็นเวลาเสมอ หรือไม่ก็อัปเดตสเตตัสของตัวเองในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กตลอดเวลาว่าตอนนี้กำลังทำอะไร แต่มาช่วงสองสามเดือนให้หลังนี้ดูเหมือนพฤติกรรมตรงนี้ของเธอจะเปลี่ยนไป ช่วงกลางวันเธอก็อัปเดตเป็นปกติ และถ้าเป็นตอนกลางคืนเธอแทบไม่แตะโซเชียลเลย ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอกำลังอยู่กับคนอื่น”สุกำพลหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งมาตรงหน้านักสืบสาว“ผมสังเกตว่าเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเข้าสังคมของที่นี่ครับ”แพรพิไลกวาดตามองรายละเอียดบนนามบัตรใบนั้นอย่างรวดเร็วก่อนส่งต่อให้จิรายุ“คลับเฮรา...ถ้าจำไม่ผิดที่นี่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานนี่คะ ค่าเมมเบอร์แพงมากด้วย”“ใช่ครับ เพราะค่าเมมเบอร์แพง สมาชิกที่นี่จึงมีแต่ไฮโซชื่อดังของเมืองไทยไปรวมตัวกัน อีกทั้งการเต้นลีลาศก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สาวสังคมและหนุ่มกระเป๋าหนัก ผมสืบมาได้ว่าภรรยาของผมเธอจะไปที่นี่ประมาณอาทิตย์ละ
แพรพิไลกลับห้องทำงานแล้วหยิบเอกสารข้อมูลของครองขวัญ ภรรยาของสุกำพลออกมานั่งศึกษา เพื่อดูว่านอกจากคลับแห่งนี้แล้ว เจ้าตัวยังไปที่ไหนอีกบ้างในแต่ละวัน เพราะเท่าที่ผู้ว่าจ้างบอกมา ครองขวัญไม่ได้ทำงานอะไร เงินที่ใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของสุกำพลทุกบาททุกสตางค์สิ่งแรกที่แพรพิไลทำนั่นคือการสะกดรอยตามครองขวัญเพื่อดูว่าในแต่ละวันเจ้าตัวทำอะไรและพบปะใครบ้างในวันแรกนั้นกิจกรรมของครองขวัญมีเพียงทำผมที่ร้านเสริมสวย นวดหน้าที่สปา และรับประทานอาหารในภัตตาคารของโรงแรม ตกกลางคืนก็นั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนไฮโซในร้านอาหารกึ่งผับที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง กว่าจะกลับเข้าคฤหาสน์หัสวิจิตรอีกครั้งก็ปาเข้าไปตีสามสรุปได้ว่าวันนี้เธอยังไม่เห็นชายหนุ่มที่เข้าข่ายว่าจะเป็นชู้รักของครองขวัญแม้แต่คนเดียว“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด”แพรพิไลทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจพวกสาวไฮโซเหล่านี้สักเท่าไร ในแต่ละวันเวลาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่หมดไปกับเรื่องไร้สาระ ทว่าพอคิดในมุมกลับ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเบื่อช