แพรพิไลกลับห้องทำงานแล้วหยิบเอกสารข้อมูลของครองขวัญ ภรรยาของสุกำพลออกมานั่งศึกษา เพื่อดูว่านอกจากคลับแห่งนี้แล้ว เจ้าตัวยังไปที่ไหนอีกบ้างในแต่ละวัน เพราะเท่าที่ผู้ว่าจ้างบอกมา ครองขวัญไม่ได้ทำงานอะไร เงินที่ใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของสุกำพลทุกบาททุกสตางค์
สิ่งแรกที่แพรพิไลทำนั่นคือการสะกดรอยตามครองขวัญเพื่อดูว่าในแต่ละวันเจ้าตัวทำอะไรและพบปะใครบ้าง
ในวันแรกนั้นกิจกรรมของครองขวัญมีเพียงทำผมที่ร้านเสริมสวย นวดหน้าที่สปา และรับประทานอาหารในภัตตาคารของโรงแรม ตกกลางคืนก็นั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนไฮโซในร้านอาหารกึ่งผับที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง กว่าจะกลับเข้าคฤหาสน์หัสวิจิตรอีกครั้งก็ปาเข้าไปตีสาม
สรุปได้ว่าวันนี้เธอยังไม่เห็นชายหนุ่มที่เข้าข่ายว่าจะเป็นชู้รักของครองขวัญแม้แต่คนเดียว
“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด”
แพรพิไลทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง
บางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจพวกสาวไฮโซเหล่านี้สักเท่าไร ในแต่ละวันเวลาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่หมดไปกับเรื่องไร้สาระ ทว่าพอคิดในมุมกลับ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเบื่อชีวิตที่เป็นอยู่ก็ได้...มีเงินมากเกินไปก็คงทุกข์เพราะไม่รู้จะเอาไปใช้อย่างไรกระมัง
วันถัดมา แพรพิไลก็ยังคงติดตามครองขวัญเช่นเคย แต่วันนี้เธอเปลี่ยนรถที่ใช้ติดตาม และแต่งตัวแต่งหน้าแตกต่างไปจากเมื่อวานเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจำได้ ซึ่งกิจวัตรประจำวันของครองขวัญยังคงเป็นการเข้าร้านเสริมสวย ร้านสปา และรับประทานอาหารในภัตตาคารหรู แต่ตกกลางคืนเจ้าตัวกลับไปเปลี่ยนชุดที่คฤหาสน์เป็นชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงสดเนื้อผ้าพลิ้วไหวยามก้าวเดิน กระโปรงบานทิ้งตัวระดับเข่ามีประกายระยิบระยับล้อกับแสงไฟที่ตกต้องเนื้อผ้า
“ชุดแบบนี้แปลว่าวันนี้จะไปที่คลับเฮราสินะ” เธอพูดพลางหันมองชุดของตัวเองที่แขวนไว้หลังเบาะแล้วได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน ตอนแรกที่เตรียมชุดนี้มาเธอยังกลัวว่ามันจะเว่อร์วังอลังการมากเกินไป แต่พอเห็นชุดของครองขวัญแล้วกลับกลายเป็นว่าชุดของเธอจืดสนิท
“แสดงว่าที่นี่แต่งตัวประชันกันสุดฤทธิ์ ถ้าต้องมาบ่อย ๆ แล้วจะเอาชุดที่ไหนใส่มาล่ะเนี่ย” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว
“อื้ม...เรื่องแบบนี้ต้องให้ลินดาช่วยเสียแล้ว”
ลินดา หรือเรืองฤทธิ์ สาวประเภทสอง เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ซึ่งตอนนี้เปิดร้านให้เช่าชุดคอสเพลย์ รวมไปถึงชุดราตรีและชุดออกงานต่าง ๆ ตอนที่กลับมาจากเมืองนอกใหม่ ๆ เธอเคยไปเยี่ยมเยือนอยู่หลายครั้ง งานศพของบิดาเธอ ลินดาก็มาช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่หลายวัน
แพรพิไลขับรถตามครองขวัญอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงสถานที่โอ่อ่ากว้างขวางแห่งหนึ่ง เธอเหลือบมองตัวอักษรสีทองที่อยู่ด้านหน้าโดมขนาดใหญ่ ซึ่งทำเลียนแบบสิ่งปลูกสร้างกลางทะเลทรายสมัยอียิปต์โบราณ ตรงประตูทางเข้ามีสฟิงซ์สองตัววางตั้งไว้คนละด้านของประตู
“เฮรา...เทพีเฮรางั้นหรือ ไม่เลวนี่”
หญิงสาวเลือกจอดรถตำแหน่งที่อยู่ตรงข้ามกับรถของครองขวัญ รอจนกระทั่งเป้าหมายเข้าไปด้านในแล้วจึงหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นกล้องแอบถ่ายในรูปแบบของปากกากับกุญแจรถ เม็มโมรีสำรอง และโทรศัพท์มือถือสองเครื่องใส่ในกระเป๋าสะพาย จากนั้นก็ปีนไปเบาะหลัง หยิบที่บังแดดมาติดกระจกรถทั้งสองด้าน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเดินผ่านมาบริเวณนี้จึงลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เตรียมมา ปล่อยผมยาวสยาย เติมลิปสติกสีแดงสด และเขียนอายไลเนอร์เพิ่มอีกนิดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
แพรพิไลเดินเชิดหน้าไปที่ประตู ครั้นพอก้าวเข้ามาด้านในแล้วจึงพบว่าบริเวณที่เธอยืนอยู่คือโถงรับรองแขกซึ่งมีนักเที่ยวกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ประปรายบนโซฟาที่จัดไว้เป็นซุ้ม ๆ ถัดออกไปเป็นประตูกระจกบานใหญ่ มีเครื่องสแกนบัตรตั้งอยู่ด้านข้าง เธอเดาว่าคงเอาไว้สแกนบัตรของสมาชิก หากไม่มีบัตรผ่านก็คงไม่สามารถผ่านประตูนี้เข้าไปได้
ร่างโปร่งระหงเดินนวยนาดไปที่เคาน์เตอร์ใกล้ประตู พนักงานต้อนรับสาวหน้าตาสะสวยสองคนคลี่ยิ้มหวานหยดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
แพรพิไลยิ้มตอบกลับไป พยายามวางมาดไฮโซที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ดิฉันอยากเป็นเมมเบอร์ของที่นี่ค่ะ ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
ทันทีที่เธอพูดจบ พนักงานสาวทั้งสองคนนั้นก็ลุกพรวดแล้วเดินออกมาจากเคาน์เตอร์พร้อมกับใบสมัครสมาชิก จากนั้นก็กุลีกุจอต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีด้วยการพาเธอไปนั่งที่ชุดรับแขกแล้วเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นฉ่ำให้ เธอเดาว่าพนักงานเหล่านี้ต้องได้เปอร์เซ็นต์จากลูกค้าที่มาสมัครสมาชิกแน่นอน ถึงได้ดูแลเป็นอย่างดีจนแทบจะป้อนเครื่องดื่มเข้าปาก
“รบกวนขอบัตรประชาชนด้วยนะคะคุณผู้หญิง” หนึ่งในนั้นค้อมศีรษะลงระหว่างที่ขอบัตรประชาชนจากเธอ เห็นแล้วก็ให้รู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไร เพราะเจ้าตัวทำราวกับว่าหากหมอบกราบได้ก็คงทำไปแล้ว
แพรพิไลหยิบปากกาขึ้นมาจากกระเป๋าเอามาวางบนโต๊ะ ซึ่งความจริงแล้วมันคือกล้องแอบถ่ายที่เธอพกมาด้วย จากนั้นก็หยิบบัตรประชาชนออกมายื่นให้พนักงานคนนั้นไป
และชื่อที่ปรากฏบนบัตรใบนั้นก็คือ เพชรแพรวา ศุภสาสน์!
บัตรประชาชนปลอมที่เธอจ้างกลุ่มเฉพาะกิจจัดทำให้เพื่อใช้ในการทำงาน เธอรู้ดีว่าสถานที่พวกนี้ หรือไม่ว่าที่ไหนก็ตามมักขอบัตรประชาชนของลูกค้าไปทำสำเนาเก็บไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างจริงจังหรอกว่าบัตรที่เอาไปนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม
ระหว่างที่รอพนักงานสาวนำบัตรไปถ่ายสำเนา แพรพิไลก็เลื่อนปากกาไปช้า ๆ เพื่อเก็บภาพบริเวณทางเข้าด้านหน้าเอาไว้ ดวงตาวาววามของหญิงสาวมองไปรอบด้านอย่างสนอกสนใจ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยจนกระทั่งประสานสายตากับชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟาด้านในสุด สีหน้าดูเคร่งเครียดราวกับโลกจะถล่ม
แพรพิไลลอบประเมินเขาอย่างรวดเร็วตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ผู้ชายคนนี้ดู ๆ ไปแล้วบุคลิกช่างคล้ายคลึงกับสุกำพล สังเกตจากการแต่งตัวและเครื่องประดับที่สวมใส่ก็พอรู้ว่าเขาเงินหนาและมีระดับไม่น้อย แต่ดูอ่อนวัยกว่า หล่อเหลากว่า และที่สำคัญสายตาของเขาที่มองมาก็ดูเจ้าชู้กว่าด้วย
ในตอนที่เธอกำลังจะถอนสายตาออกมา เขากลับยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมพลางค้อมศีรษะลงและพูดโดยไม่ออกเสียงมาทางเธอ...สวัสดีครับ
แพรพิไลยิ้มตอบและค้อมศีรษะกลับอย่างไว้ตัวนิด ๆ ทว่าภายในใจกลับลอบก่นด่าชายหนุ่มคนนั้น
โถ...ไอ้หน้าหม้อ...
“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะจ่ายเป็นบัตรเครดิตรึเปล่าคะ”
เสียงพนักงานอีกคนถามอย่างสุภาพ แพรพิไลพยักหน้าให้พลางหยิบบัตรเดบิตออกมาจากกระเป๋าเพราะเธอไม่มีบัตรเครดิต คิดในใจว่าพรุ่งนี้เธอต้องรีบเอาบิลไปเบิกกับสุกำพลโดยด่วน เพราะค่าเมมเบอร์ที่จ่ายไปคือหนึ่งแสนสองหมื่นบาท และเงินก้อนนี้ก็เป็นก้อนสุดท้ายของเธอแล้ว
“สำหรับสิทธิพิเศษที่คุณผู้หญิงจะได้รับจากคลับเฮราของเราก็คือ ดริงก์ฟรีสามดริงก์ทุกครั้งที่มา รวมถึงออร์เดิร์ฟหนึ่งชุด และสามารถเรียกใช้บริการจากครูสอนลีลาศของเราได้ไม่จำกัดชั่วโมงนะคะ” พูดจบเจ้าตัวก็เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อเอาบัตรใบนั้นไปรูด
แพรพิไลฟังประโยคสุดท้ายที่พนักงานบอกแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เรียกใช้บริการจากครูสอนลีลาศ...สงสัยครูสอนลีลาศต้องเป็นผู้ชายแน่นอน
หลังจากที่รับบัตรเดบิตและบัตรประชาชนคืนมาแล้ว แพรพิไลก็พับใบสมัครเป็นสามทบเพื่อให้สามารถเก็บในกระเป๋าสะพายใบเล็กได้ จากนั้นพนักงานก็นำกล่องกำมะหยี่สีแดงมายื่นให้ ครั้นพอเปิดดูก็เห็นบัตรสมาชิกใบสีทองอยู่ในนั้น
หญิงสาวนำบัตรออกมาจากกล่องแล้วเดินไปสแกนบัตรหน้าประตู ก่อนจะเดินเฉิดฉายเข้าไปด้านใน โดยมีชายหนุ่มที่เธอเพิ่งแอบด่าเมื่อครู่ตามหลังไปห่าง ๆ
เสียงเพลงจังหวะร้อนแรงบรรเลงไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการแสดงแสนวาบหวิวบนเวที แพรพิไลกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางลอบเบือนหน้าหนีคู่หญิงชายที่กำลังทำการ ‘โชว์’ อย่างเร่าร้อนตามจังหวะเพลง เธอจะเรียกสิ่งที่อยู่บนเวทีว่าความอุบาทว์ดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เธอไม่อาจเรียกมันว่าศิลปะได้เลย และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป อาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ หรือแม้กระทั่งสมาชิกที่เข้ามาร่วมสังสรรค์ล้วนอันตรายด้วยกันทั้งหมด เธอไม่กล้าแสดงตัวเป็นจุดเด่นมากนักจึงได้แต่คอยหลบเลี่ยงอยู่ในมุมมืดเพียงลำพังและคอยเฝ้าสังเกตทุกคนที่อยู่ที่นี่ “คุณไม่ควรมาที่นี่”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้แพรพิไลสะดุ้งวาบ ครั้นพอหันไปมองก็เห็นเพียงหน้ากากสีดำที่ทางสมาคมบังคับให้สวมเท่านั้น แต่ริมฝีปากสีเข้มและเสียงนั่นช่างคุ้นตาคุ้นหูเธอเหลือเกิน“คุณ...” แพรพิไลพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะไม่กล้าเอ่ยออกไปตรง ๆ ว่าใช่คนที่กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่า จะมองรูปร่างของเขาก็ไม่สามารถมองได้ เพราะชุดคลุมสีดำยาวกรอมเท้ากับหน้ากากนั้นปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งที
“ว่าไงนะคะ ลาออกงั้นหรือ” แพรพิไลถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงแหบแห้ง รู้สึกเรี่ยวแรงหดหายทันทีเมื่อนักสืบมือดีของสำนักงานมายื่นใบลาออก“คุณแพรต้องเข้าใจผมด้วยนะครับ ลูกผมยังเล็ก ผมเองก็ต้องกินต้องใช้” คนพูดถอนหายใจแผ่ว หลุบตาลงต่ำเหมือนไม่กล้าสู้หน้าแพรพิไลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ยอมรับแต่โดยดี“แพรเข้าใจค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เคยช่วยงานคุณพ่อมาตั้งหลายปี” หญิงสาวส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้สีหน้าละอายใจผุดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวออกไปจากห้องทันทีแพรพิไลไม่คิดโทษใครทั้งสิ้น รู้ดีว่าการที่เธอเข้ามาบริหารสำนักงานนักสืบไพศาลแทนบิดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหกเดือนก่อนเป็นเหตุให้นักสืบหลายคนไม่เชื่อในฝีมือ และต่างพากันคิดว่าเธอกำลังพาสำนักงานนักสืบแห่งนี้ล่มจมลง ดังนั้นในช่วงหกเดือนนี้จึงมีนักสืบคนเก่าคนแก่ฝีมือดีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดาพากันตบเท้าลาออกกันเป็นแถวจะโทษพวกเขาที่ทอดทิ้งเธอก็ไม่ได้ เพราะในช่วงหกเดือนนี้แทบไม่มีงานผ่านเข้ามาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็แต่งานติดตามบุคคล คดีชู้สาวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ในเมื่อไม่มีงานเข้า รายได้
“สามีภรรยาคู่หนึ่ง ถ้าอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วอีกฝ่ายเปลี่ยนไป สาเหตุมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ”เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะก่อนพูดต่อ“จริงอยู่ว่าภรรยาผมเธอชอบการเข้าสังคมและการสังสรรค์มาก แต่ทุกครั้งเธอมักกลับบ้านเป็นเวลาเสมอ หรือไม่ก็อัปเดตสเตตัสของตัวเองในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กตลอดเวลาว่าตอนนี้กำลังทำอะไร แต่มาช่วงสองสามเดือนให้หลังนี้ดูเหมือนพฤติกรรมตรงนี้ของเธอจะเปลี่ยนไป ช่วงกลางวันเธอก็อัปเดตเป็นปกติ และถ้าเป็นตอนกลางคืนเธอแทบไม่แตะโซเชียลเลย ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอกำลังอยู่กับคนอื่น”สุกำพลหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งมาตรงหน้านักสืบสาว“ผมสังเกตว่าเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเข้าสังคมของที่นี่ครับ”แพรพิไลกวาดตามองรายละเอียดบนนามบัตรใบนั้นอย่างรวดเร็วก่อนส่งต่อให้จิรายุ“คลับเฮรา...ถ้าจำไม่ผิดที่นี่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานนี่คะ ค่าเมมเบอร์แพงมากด้วย”“ใช่ครับ เพราะค่าเมมเบอร์แพง สมาชิกที่นี่จึงมีแต่ไฮโซชื่อดังของเมืองไทยไปรวมตัวกัน อีกทั้งการเต้นลีลาศก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สาวสังคมและหนุ่มกระเป๋าหนัก ผมสืบมาได้ว่าภรรยาของผมเธอจะไปที่นี่ประมาณอาทิตย์ละ