แพรพิไลสังเกตการณ์อยู่ในรถครู่หนึ่งพร้อมทั้งหยิบกล้องปากกาออกมาเก็บภาพโดยรวมของสถานที่ไว้ เสร็จเรียบร้อยก็ขับออกมาเพื่อตั้งหลัก สำหรับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและดูมีลับลมคมในแบบนี้ เธอยอมถอยออกมาก่อนดีกว่าดันทุรังจะเข้าไป เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นคงไม่มีใครช่วยเธอได้แน่นอน
หญิงสาวขับรถกลับบ้านทั้งที่ในสมองมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ซึ่งเป็นเพียงคอนโดมิเนียมธรรมดา ๆ แต่บริเวณที่ครองขวัญเข้าไปกลับอยู่ชั้นล่างสุดซึ่งน่าจะเป็นพวกร้านค้าต่าง ๆ มากกว่า แถมยังต้องเข้าด้านหลังอาคาร ไฟก็ไม่เปิด ทำให้พื้นที่โดยรอบประตูทางเข้ามืดจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร หนำซ้ำยังมีคนยืนเฝ้าอีกสองคนเพื่อสแกนคนที่จะเข้าไปด้านในอีกด้วย
“แปลกแฮะ มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเต็มไปหมด” พรุ่งนี้เธอมีนัดต้องรายงานผลให้สุกำพลทราบในช่วงบ่าย บางทีหากเธอให้เขาดูรูปสถานที่เมื่อครู่อาจจะคิดอะไรออกก็เป็นได้
ช่วงสายของวันถัดมา แพรพิไลนำรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้เมื่อวานโอนใส่แท็บเล็ตพร้อมกับนั่งเปิดดูไปทีละรูปอย่างใจเย็น ส่วนไหนที่เป็นข้อคิดเห็นหรือข้อสันนิษฐานของตนเองก็จดใส่สมุดเอาไว้เพื่อกันลืมเวลาที่ต้องไปรายงานความคืบหน้าให้ผู้ว่าจ้าง
“ที่ไหนเนี่ยพี่แพร ทำไมมืดอย่างนี้ล่ะ” จิรายุชะโงกหน้าเข้ามามองพลางขมวดคิ้วมุ่นเพราะในภาพนั้นเห็นแค่เงาดำ ๆ ของคนที่ยืนเฝ้าตรงทางเข้าแค่นั้นเอง
“คอนโดฯ แถวชานเมืองน่ะ” หญิงสาวลองขยายภาพนั้นดูจนภาพเริ่มแตกแต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นอะไรอยู่ดี จากนั้นจึงคลิกดูภาพถัดไปเรื่อย ๆ จนเห็นภาพรวมของคอนโดมิเนียมหลังนั้น
“แกดูแล้วเห็นอะไรบ้างโจ” เธอลองถามลูกน้องดู เผื่อจะได้แนวความคิดอะไรใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึง
“เป็นซ่องรึเปล่าพี่ ทำไมต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ด้วยล่ะ”
หนุ่มรุ่นน้องตอบพลางเอียงคอมองภาพให้ได้ตำแหน่งที่ตนถนัดที่สุด หัวคิ้วยังคงขมวดเป็นปม สีหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่พอเป็นไปได้
“ซ่องผู้ชายหรือ เพราะคนที่เข้าไปในนี้คือผู้หญิงนะ” เธอจำได้ว่าคนที่เข้าไปทีหลังครองขวัญก็น่าจะเป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน ดูจากเงาของรูปร่างและท่าเดินแล้วไม่มีทางเป็นผู้ชายไปได้ แต่แล้วคำหนึ่งคำก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว
“หรือว่าจะเป็น...บ่อน!”
แพรพิไลเดินเข้ามาในร้านอาหารอิตาลีแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ตาคู่สวยสอดส่ายมองหาคนที่นัดไว้จนกระทั่งสบเข้ากับตาคมคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
ตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มุมปากเขายกยิ้มขึ้นก่อนจะโบกมือทักทายมาให้ เธอกำลังจะยิ้มตอบเขา ทว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรชตหันกลับมามองเธอด้วยเช่นกัน จึงทำให้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นชัดเจนถนัดตา สวยจัดเสียจนเธอยิ้มไม่ออก
ลูกค้าอีกคนหนึ่งละสิท่า ตาคนนี้มีผู้หญิงเลี้ยงอยู่กี่คนกันแน่นะ...
แพรพิไลละสายตาออกมาจากพวกเขาแล้วเริ่มมองหาสุกำพลอีกครั้ง ระหว่างนั้นพนักงานสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา
“คุณแพรใช่ไหมคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
เธอเดินตามพนักงานสาวคนนั้นไปและไม่สนใจรชตกับผู้หญิงคนนั้นอีก ในใจได้แต่คอยบอกตัวเองเสมอว่าเขามีอาชีพแบบนั้น การเอาอกเอาใจผู้หญิงรวมไปถึงคำพูดจาหวานหูต่าง ๆ นั่นก็เพราะมันเป็นงาน เป็นสิ่งที่เขาต้องทำ ฉะนั้นอย่าได้คิดเด็ดขาดว่าเขาปฏิบัติต่อเธอเป็นกรณีพิเศษ
“ใครหรืออาร์ต”
ช่อมาลี ผู้มีฐานะเป็นพี่สะใภ้ของรชตเอ่ยถามทั้งรอยยิ้ม เมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องหญิงสาวที่เดินเข้ามาในร้านไม่วางตา อีกทั้งยังยิ้มและโบกไม้โบกมือให้ด้วย
“รุ่นน้องที่เคยเรียนมาด้วยกันน่ะ” รชตตอบพลางมองตามแพรพิไลไปเพื่อจะดูว่าเธอนั่งตรงไหนและนัดใครไว้
“ใช่ที่บอกว่ากำลังจีบอยู่รึเปล่า” ทันทีที่พูดจบ รชตก็หันขวับมาทันที ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วถอนหายใจออกมา
“เชื่อแล้วว่าคนเป็นผัวเป็นเมียกันนี่เขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความลับ” ชายหนุ่มพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ขณะที่ช่อมาลียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดกระตุ้นมาอีก
“ก็รีบแต่งเมียเร็ว ๆ เข้าสิจะได้รู้ว่าจะสามารถมีความลับอะไรได้อีกไหม” ช่อมาลียักคิ้วให้เขา ก่อนปรายตามองร่างสูงสง่าของพชรที่กำลังเดินเข้ามาใกล้โต๊ะ
เมื่อพชรทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างช่อมาลี หญิงสาวก็หันหน้าไปพูดเบา ๆ เหมือนกระซิบกระซาบแต่จงใจให้เขาได้ยินว่า
“นี่...ผู้หญิงที่อาร์ตกำลังจีบอยู่มาที่ร้านนี้ด้วยละ”
พชรหูผึ่งทันทีพร้อมกับกวาดตามองไปทั่วร้าน
“ไหน ๆ คนไหน”
“เดินไปทางนั้นแล้ว ไม่รู้นัดใครไว้ และไม่รู้ว่าคุณรชตของเราจะแอบรักคนมีเจ้าของรึเปล่า” ช่อมาลีแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนน้องสามี
ส่วนคนถูกล้อได้แต่นั่งอมยิ้มพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง
รชตหันมองไปทางที่แพรพิไลเดินไป เธอนั่งโต๊ะด้านในซึ่งอยู่มุมสุดของร้าน เขาเห็นเธอนั่งกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่เพราะผู้ชายคนนั้นนั่งหันหลังให้เขาจึงมองไม่เห็นหน้า สักพักหญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งเดียวกับผู้ชายคนนั้น
หัวคิ้วของเขากระตุกทันทีพร้อมกับใจที่วูบโหวง...แพรมีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ
“ไปห้องน้ำเดี๋ยวมา เชิญอี๋อ๋อกันตามสบายเลยนะ”
เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไป ความจริงแล้วจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การเข้าห้องน้ำ เขาเพียงแค่อยากเห็นหน้าผู้ชายที่นั่งอยู่กับน้องแพรของเขาเท่านั้นเอง
เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้วรชตจึงมองเข้าไปข้างในตรงที่แพรพิไลนั่งอยู่ เขาเห็นคนทั้งคู่นั่งใกล้กัน โดยที่ฝ่ายชายดูเหมือนจะเอนตัวเข้าหาเธอมากจนเกินไป แต่เนื้อตัวกลับไม่ได้สัมผัสกัน ในมือของผู้ชายถือแท็บเล็ตและคอยใช้นิ้วเลื่อนไปเลื่อนมา ขณะที่แพรพิไลก็เอาแต่ชี้ที่หน้าจอแล้วพูดตลอดเวลาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ผู้ชายคนนั้น ถ้าเขาจำไม่ผิดก็คือคุณสุกำพล สามีของคุณครองขวัญมิใช่หรือ...อย่าบอกนะว่าน้องแพรของเขาแอบคบอยู่กับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว!
ขณะเดียวกัน คนที่ถูกแอบมองโดยไม่รู้ตัวนั้นก็กำลังอธิบายเสียงเบาเพราะเกรงว่าโต๊ะอื่นจะได้ยินไปด้วย
“ตามความเห็นของแพรนะคะ แพรคิดว่าคุณครองขวัญไม่น่าจะมีคนอื่นค่ะ เท่าที่ตามดูมาหลายวันแพรไม่เห็นเธอจะมีการนัดแนะกับผู้ชายที่ไหนเลย แต่มีเรื่องหนึ่งที่แพรสงสัย”
เธอไม่ได้พูดเรื่องของรชตให้สุกำพลฟัง เพราะอย่างไรเสียตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ได้ว่าครองขวัญกำลังเลี้ยงดูปูเสื่อเขาอยู่ อีกทั้งยังไม่เคยเห็นสองคนนี้นัดแนะออกไปหาความสุขกันที่ไหนเลยสักที่ จะมีก็แค่ถู ๆ ไถ ๆ ตอนเต้นรำด้วยกันเท่านั้น
“เรื่องอะไรหรือครับ คุณแพรบอกผมมาได้ทุกเรื่อง ผมยินดีรับฟัง”
เสียงทุ้มของสุกำพลดังใกล้หูเธอเสียจนขนอ่อนในกายลุกชันไปหมด รู้สึกเหมือนเขาจะเข้ามาใกล้อีกระดับหนึ่งแล้ว และเธอก็ไม่รู้จะหลบเลี่ยงอย่างไรไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป
“แพรคิดว่าคุณครองขวัญน่าจะกำลังติดยาค่ะ และความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือเธอน่าจะเริ่มเข้าบ่อนการพนัน”
“คุณว่าไงนะ! ติดยางั้นหรือ แถมยังเข้าบ่อนด้วยเนี่ยนะ” สุกำพลดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงรีบอธิบายต่อ
“ตอนอยู่ที่คลับเฮรา แพรเห็นครูสอนลีลาศคนหนึ่งยื่นอะไรบางอย่างส่งให้คุณครองขวัญแบบลับ ๆ ล่อ ๆ ค่ะ เธอก็รีบเก็บใส่กระเป๋าทันทีแล้วไปแอบเปิดหาในห้องน้ำ ของแบบนี้เนี่ยถ้าไม่ใช่ยาเสพติดก็คงไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนกันขนาดนี้ก็ได้นะคะ ส่วนเรื่องบ่อนนั้น เอ่อ...เอาไว้ให้แพรได้หลักฐานแน่นหนากว่านี้ก่อนดีกว่าค่ะ ไม่อยากพูดลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าแพรพูดจาให้ร้ายคุณครองขวัญไป”
แพรพิไลไม่ได้เล่าเรื่องคอนโดมิเนียมแห่งนั้นให้สุกำพลฟัง เพราะคิดอยู่ว่าจะหาทางไปถ่ายรูปที่นั่นให้ชัดเจนกว่านี้ และถ้าเป็นไปได้เธอจะหาวิธีเข้าไปในนั้นด้วย แต่ที่แน่ ๆ ก็คือช่วงกลางวันแบบนี้เธอจะขับรถไปดูตรงนั้นให้แน่ใจว่าบริเวณนั้นในตอนกลางวันเปิดเป็นร้านอะไรสุกำพลถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับดึงตัวขึ้นมานั่งหลังตรงตามเดิม เธอมองออกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะหัวคิ้วขมวดกันมุ่น คงเพราะเรื่องที่เธอรายงานเป็นแน่“ถ้าอย่างนั้นแพรขอตัวก่อนดีกว่านะคะ มีอะไรต้องไปทำหลายอย่างเลย” เธอทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้แน่น“เดี๋ยวก่อนสิครับ ถ้าคุณแพรไม่รังเกียจ รบกวนกินข้าวกับผมสักมื้อได้ไหม” เขาปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไม่รีบร้อนและไม่อ้อยอิ่งจนเกินไป จนแพรพิไลอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างสุกำพลดูร้ายกาจและอันตรายยิ่งกว่ารชตเสียอีก‘บ้าจริง! นึกถึงเขาอีกแล้ว...’“ได้สิคะ แหม แพรจะรังเกียจลูกค้าได้ยังไง”เธอพูดพร้อมกับรีบไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะหาเรื่องรั้งให้นั่งอยู่ข้าง ๆ เห
หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แพรพิไลกับสุกำพลก็เดินออกมาจากร้านอาหาร คราแรกชายหนุ่มอาสาเดินไปส่งเธอที่รถ แต่หญิงสาวห้ามไว้เพราะเกรงใจ อีกทั้งไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เขาทำตัวสนิทสนมเกินเลยไปกว่านายจ้างกับลูกจ้าง และเพื่อป้องกันคำครหาที่อาจตามมาภายหลังระหว่างที่เดินมาบริเวณที่จอดรถ แพรพิไลอดมองหารชตไม่ได้ เพราะตอนที่อยู่ในร้านยังเห็นเขายืนพิงเสามองมาอยู่เลย แต่พอเดินออกมาจากร้านแล้วเขากลับหายไปเฉย ๆหญิงสาวเดินไปที่รถของตัวเองพร้อมกับควานหากุญแจในกระเป๋าไปด้วย เมื่อเจอแล้วจึงหยิบขึ้นมา กำลังจะกดปลดล็อกรถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง“คุณแพรครับ”“ว้าย!” แพรพิไลกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับหันมองคนเรียกด้วยท่าทางหวาดระแวง ขณะที่รชตรีบกางมือออกแล้วยกขึ้นระดับอก พร้อมถอยหลังมาอีกหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้ดูเป็นการคุกคามเธอมากเกินไป“ผมเองครับ ขอโทษทีไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้”รชตพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นหญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับค้อนให้เขาวงใหญ่ถึงได้เอามือลงแล้วสอดไว้ในก
แพรพิไลเดินมานั่งตรงโต๊ะที่เขาบอก ระหว่างรอก็ลอบมองรชตจากทางด้านหลังพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด รชตแทนตัวเองว่าพี่ และเรียกเธอด้วยชื่อเล่นสั้น ๆ ว่าแพรโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าความจริงแล้วเธอไม่ได้ถือตัวอะไรมากมาย เพราะมันก็แค่คำเรียกขาน แต่ที่รู้สึกสะกิดใจก็เพราะถ้อยประโยคเหล่านั้นคุ้นหูคุ้นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนพี่...แพร...ที่ไหนกันนะ...“คุณแพรปวดหัวหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ฉุดเธอให้วิ่งออกมาจากกล่องความทรงจำแล้วลืมตามองอีกฝ่ายทันที จึงเห็นว่ากาแฟเย็นแก้วโปรดวางอยู่ตรงหน้าแล้วเรียบร้อย“เปล่าหรอกค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย ขอบคุณสำหรับกาแฟนะคะ”หญิงสาวใช้หลอดคนกาแฟในแก้วให้เข้ากันก่อนดูด กระนั้นก็ยังอดเหลือบมองเขาไม่ได้ปกติเคยเจอกันแต่ในคลับ ซึ่งแสงไฟและบรรยากาศไม่ได้สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน พอได้มาเจอเขาข้างนอกแบบนี้แล้วให้ความรู้สึกแปลก ๆ และคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ เขาดูดีกว่าที่คิดตอนกลางคืนรชตก็ดูโดดเด่นกว่าผู้ชายคนอื่นในคล
ตรงนั้นมีประตูบานหนึ่งซึ่งหากมองขึ้นไปชั้นบนจึงคิดว่าด้านหลังของประตูบานนี้น่าจะเป็นบันไดหนีไฟ แพรพิไลเดินเข้าไปใกล้ ๆ หันมองซ้ายขวาว่ามีคนอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจึงลองหมุนลูกบิดดูก็เห็นเป็นจริงตามที่คาดเดาไว้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอสงสัยก็คือบันไดไม่ได้หยุดอยู่แค่ชั้นล่างสุดนี้เท่านั้น ทว่ามันกลับมีทางลงไปยังชั้นใต้ดินอีกด้วยหญิงสาวตัดสินใจปิดประตูไว้ตามเดิม เพราะต่อให้เลือดนักสืบพลุ่งพล่านอยู่ในกายมากแค่ไหน แต่ความปลอดภัยในชีวิตย่อมมาก่อน ในเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าชั้นใต้ดินนั้นมีอะไรรออยู่ ฉะนั้นทางที่ดีควรถอยออกมาตั้งหลักแล้วหาทางลงไปข้างล่างให้ได้ดีกว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการติดตามครองขวัญอย่างเดียวแล้ว แต่ความลึกลับของสถานที่แห่งนี้ต่างหากที่ดึงดูดความสนใจอย่างยิ่งยวดให้สืบเสาะหาว่ามันคืออะไรกันแน่แพรพิไลเดินกลับไปที่รถของตนเองโดยที่สายตาก็คอยสอดส่ายไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กระทั่งเดินมาถึงรถ กำลังจะกดปลดล็อกรถ สายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกเสียบไว้ตรงที่ปัดน้ำฝนบริเวณฝั่งคนขับจึงหยิบออกเพราะคิดว่าเป็นแผ่นโฆษณาทั่วไป ทว่า
แพรพิไลพูดไม่ออก เพราะว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่ได้ล่วงเกินเธอสักนิด สัมผัสอันแสนเซ็กซี่เมื่อครู่นั้นเกิดจากมือของเธอเองล้วน ๆ โดยอาศัยการนำพาจากฝ่ามืออุ่นร้อนของรชต แพรพิไลเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขาคอยชี้นำอยู่ข้างหลังจึงทำให้เธอไม่ได้ยืนเฉย ๆ อยู่กลางฟลอร์ให้เป็นจุดสังเกตของคู่เต้นรำคู่อื่น“ตอนนี้จังหวะอะไรคะ แทงโก้หรือ” เพลงนี้เธอเคยฟัง จังหวะของมันน่าจะเป็นแทงโก้เพราะเคยเห็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เปิดฉากในงานเต้นรำสวมหน้ากาก“ครับ แทงโก้ แต่ครึ่งชั่วโมงต่อจากนี้เป็นอิสระ ใครจะเต้นแบบไหนก็ได้ตามแต่ที่ใจอยากเต้น”เขาชูมือแพรพิไลขึ้นสูงแล้วหมุนตัวหญิงสาวจนกระโปรงบานพลิ้วสยายตามแรงหมุนราวกับปีกผีเสื้อ ครั้นพอหมุนครบรอบก็กลายเป็นว่าเธอกับเขาหันหน้าชนกันจนหน้าผากเกือบชิด แต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปนั้นตัวเธอแทบจมหายไปกับร่างของเขา รับรู้ได้ถึงแรงกอดกระชับที่เอว และกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของรชตที่เธอเริ่มคุ้นเคยโอบล้อมรอบกาย“ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเมา”แพรพิไลพูดเสียงแผ่วขณะที่สายตาสบประสานกับเขาจนมองเห็นตั
เบื้องหน้าคือทางเดินทอดยาวกว้างประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งจากที่แพรพิไลกะด้วยสายตาคร่าว ๆ นั้น ความยาวของทางเดินนี้น่าจะเท่ากับความยาวของคอนโดฯ แห่งนี้พอดี ผนังทั้งสองด้านเป็นผนังคอนกรีตแต่ด้านหนึ่งทาสีดำไว้จนสุดทางเดินและสูงจดเพดาน มีบานประตูอยู่ทั้งหมดห้าบาน และน่าจะล็อกเอาไว้ทั้งหมดแสงไฟตามทางเดินมีเพียงหลอดฟลูออเรสเซนต์สามดวงเท่านั้น แต่ก็เพียงพอให้แพรพิไลสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่มีเส้นสีขาวทาไว้ในลักษณะเฉียงทำมุมสี่สิบห้าองศากับผนัง มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นลานจอดรถมาก่อนแพรพิไลลองเอาหูแนบกับผนังสีดำ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรมากนักนอกจากความอื้ออึงที่เดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไร จากนั้นก็ลองหมุนลูกบิดประตูแต่ละบาน และก็เป็นดังคาดที่ประตูถูกล็อกไว้ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ระหว่างที่กำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าไปข้างในได้นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวของใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาจนหญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจ“คุณลงมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ!”แพรพิไลหันไปมองเจ้าของเสียงทันที ใจก็ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มจนมือสั่นเล็กน
ห้องนั้นกว้างประมาณห้าสิบตารางเมตร มีตู้ล็อกเกอร์ตั้งเรียงรายเป็นร้อยตู้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามีคนมาที่นี่เยอะเพียงใด ทั้งสามคนมองดูตู้ที่ยังไม่มีคนเข้าใช้ท่ามกลางแสงไฟที่สลัวยิ่งกว่าทางเดินด้านนอก เมื่อเจอแล้วก็ตรงเข้าไปเปลี่ยนชุดที่แขวนไว้รอท่าอยู่ภายในตู้“คืนนี้แน่นะกริช” รชตกระซิบถามลูกน้องคู่ใจระหว่างที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมสีดำและใส่รหัสที่ตู้ล็อกเกอร์“คืนนี้แน่นอนครับเพราะวันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ”กริชเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีดำเช่นกัน กำลังจะพูดอะไรกับเจ้านายอีกสักประโยคก็มีคนเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน จึงรีบเอาหน้ากากมาสวมเช่นเดียวกับรชตเพื่อปิดบังใบหน้าของตนรชตเปลี่ยนชุดเสร็จก็ปิดตู้ล็อกเกอร์เอาไว้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถพกพาอะไรติดตัวไปด้วยได้แม้แต่อย่างเดียว มิเช่นนั้นเขาคงแอบถ่ายรูปด้านในมาได้บ้างจากนั้นทั้งหมดก็เดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงไปยังประตูสีดำบานใหญ่ ซึ่งด้านหน้าประตูมีคนสวมชุดคลุมและหน้ากากสีดำยืนเฝ้าอยู่คนละฝั่ง เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาใหม่จึงเข้ามาตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื
“หาคนใหม่ไปเลยไม่ดีกว่าหรือพี่แพร พวกนั้นเขาทิ้งเราไปนะ”จิรายุทำหน้าเบ้เมื่อนึกถึงบุคคลเหล่านั้น“ก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าพวกนั้นก็ทำงานดีนะ อีกอย่างเขาก็เคยทำงานกับเรามาก่อนจึงไว้ใจและเชื่อฝีมือกันได้ และเราก็ต้องยอมรับด้วยว่างานบางงานเราไม่สามารถแยกร่างไปทำเพราะเรามีคนน้อย บางทีเราก็เข้าไม่ถึงเนื้องานนั้น ๆ เพราะเส้นสายเราไม่แข็งแรงพอ มันไม่ใช่การเสียศักดิ์ศรีหรอกนะโจ ให้เรียกว่าช่วยเหลือเกื้อกูลกันดีกว่า”“ก็แล้วแต่พี่เลยละกัน พี่จะให้มาทำงานสืบทุจริตที่เพิ่งรับมาเมื่อวานใช่ไหมล่ะ”“ใช่ งานนั้นนั่นแหละ พี่คิดว่าถ้าให้พี่เอกทำน่าจะเหมาะที่สุด”งานสืบการทุจริตในองค์กรที่เพิ่งรับเข้ามานั้นเป็นการสืบหาตัวผู้ยักยอกทรัพย์ของบริษัทไป เธอจำได้ว่างานลักษณะนี้เอกวุฒิ นักสืบที่ลาออกไปแล้วถนัดที่สุด จะให้จิรายุไปทำคงไม่เหมาะเพราะชั่วโมงบินยังน้อย การคิดวิเคราะห์และลูกล่อลูกชนยังอ่อนด้อยประสบการณ์อยู่มาก“เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกหน่อย บ่ายแก่ ๆ จะเข้ามาอีกทีนะ”จู่ ๆ แพรพิไลก็คิดถึงใคร
เด็กชายวัชร์ส่งเสียงทักทายผู้เป็นอาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างพลางกางแขนจะให้อุ้ม รชตจึงยื่นมือไปรับร่างป้อมของหลานชายมาอุ้มไว้“แพร นี่พี่โอม พี่ชายพี่เอง...นี่แพร ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ” รชตหันไปแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันแพรพิไลยกมือไหว้อีกฝ่ายก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อได้ยินที่เขาพูดว่าเคยเล่าเรื่องของเธอให้พี่ชายฟังด้วยพชรรับไหว้พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นัยน์ตาคมกริบลอบประเมินว่าที่น้องสะใภ้แล้วรู้สึกว่าแพรพิไลคนนี้มีบุคลิกเหมือนช่อมาลี ภรรยาของเขาอยู่มากเลยทีเดียวเหมือนที่ความมั่นใจ เหมือนที่ความกระตือรือร้นในแววตา และเหมือนที่ดูเป็นคนอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้จากนั้นทั้งหมดก็พากันเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งมีเพียงช่อมาลีนั่งอ่านนิตยสารรถยนต์อยู่เพียงลำพัง ครั้นพอเห็นว่ารชตพาคนรักมาถึงแล้วจึงปิดหนังสือแล้ววางไว้บนโต๊ะตามเดิมรชตแนะนำให้สองสาวรู้จักกัน ซึ่งทั้งแพรพิไลและช่อมาลีต่างรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่ที่ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นช่อมาลีก็เดินไปเรียกบิดามารดาของทั้งสองหนุ่มที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่อีกห้องหนึ่งการทำคว
“ว่าแต่เป้าหมายเป็นใครล่ะ” รชตถามพลางมองไปรอบฟลอร์ ครั้นพอเห็นสายตาของแพรพิไลเขาก็เลิกคิ้วขึ้น“อย่าบอกนะว่าคือผู้หญิงที่เต้นรำกับพี่เมื่อกี้”“ใช่เลย คนนั้นนั่นแหละ” แพรพิไลยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าของเขาซึ่งทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา“อยากรู้ล่ะสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ชายหนุ่มกะพริบตาให้เธอข้างหนึ่ง ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนคนมองเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอามือไปปิดตาคู่นั้นไว้เสีย“อยากรู้สิ แต่พี่น่ะจะบอกแพรรึเปล่า”“บอกสิ แต่แพรน่ะยอมเอาตัวเข้าแลกรึเปล่า”แพรพิไลสะดุ้งเฮือกเมื่อแผ่นหลังเปล่าเปลือยสัมผัสกับที่นอนเย็นเฉียบ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้หญิงสาวกับรชตยังเต้นรำกันอยู่บนฟลอร์ที่คลับเฮรา ทว่าเวลานี้ร่างไร้อาภรณ์ของเธอกลับมานอนอยู่ใต้ร่างกำยำบนเตียงในห้องนอนของตัวเองเสียแล้วทุกอณูเนื้อกำลังถูกลมหายใจและริมฝีปากร้อนผ่าวไล่ประทับตีตราไปทั่วราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มือทั้งสองข้างของเขาลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่ว
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสแขนกุดสีม่วงอเมทิสต์เยื้องย่างราวกับนางพญาเข้ามาในคลับเฮรา คลับลีลาศอันโด่งดังที่สุดในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเต้นรำ เรือนร่างเย้ายวนและความสวยนั้นสะกดสายตาทุกคู่ไว้ได้อย่างง่ายดาย เธออมยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่อยู่ด้านในสุด นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบด้านด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำที่มีผีเสื้อราตรีหลายคู่กำลังเริงระบำกันท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวผู้มาใหม่ทันที ปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังมองมาทางตนอย่างสนใจหญิงสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่มารอรับออร์เดอร์ จากนั้นก็ทำทีเป็นไม่สนใจคนคู่นั้นอีก นิ้วมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ พลางหลับตาแล้วฮัมไปด้วยอย่างอารมณ์ดี“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับคุณผู้หญิง”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นตรงหน้าปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ครั้นพอเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขากับสายตาเชิญชวนคู่นั้น เธอก็ตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“เลว! อย่างน้อยก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา เขาน่าจะนึกถึงเรื่องนี้บ้าง นี่อะไร...เหยียบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจมดินแบบนี้เลยน่ะหรือ แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง พี่อาร์ตรู้ไหมคะ”“คุณพ่อคุณแม่ของคุณขวัญพาไปบำบัดน่ะ เพราะผลข้างเคียงของยาเสพติดพวกนี้ทำให้คนที่ไม่ได้เสพจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง...คุณขวัญเคยพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้งแล้ว แต่คนในบ้านช่วยไว้ได้ทันเวลา”“แปลกนะคะ ถ้าไปรักษาตัวตอนที่พยายามฆ่าตัวตาย ทำไมไม่เห็นมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างเลย”เธอจำได้ว่าตอนนั้นพยายามหาข่าวของครองขวัญจากหลาย ๆ ที่ว่าหายไปไหน เนื่องจากไม่เห็นอีกฝ่ายไปที่คลับเฮราติดกันหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง ข่าวที่ได้มาจึงค่อนข้างหลากหลายจนดูไม่น่าเชื่อถือ“ตระกูลของคุณขวัญเป็นตระกูลผู้ดีเก่ามีหน้ามีตาในสังคม เรื่องที่จะส่งลูกสาวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่ะลืมไปได้เลย เขาเรียกหมอไปรักษาที่บ้าน จ้างพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้า เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะทำร้ายตัวเองอีก”“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชีวิตพังเพราะผู้ชายคน
“แพรขอโทษ แพรไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่พี่อาร์ตนะ แต่แพรเป็นอะไรไม่รู้ แพรหงุดหงิดไปหมด มันรู้สึกอึดอัดในอกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ แพรอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาจนอยากทำลายทิ้งให้หมด...แพรไม่อยากเป็นแบบนี้เลยพี่อาร์ต ทำยังไงดี ฮือ...”“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันเป็นผลข้างเคียงจากยาที่แพรดื่มเข้าไปน่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้วแพร ทนหน่อยนะ ถ้าแพรอยากทำลายข้าวของ แพรมาทึ้งเสื้อผ้าพี่แทนก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำตอนที่หมอกับพยาบาลอยู่ก็พอ เดี๋ยวเป็นข่าว” รชตพูดหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังหัวเราะทั้งน้ำตาแพรพิไลพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงที่จนกระทั่งเริ่มผ่อนคลายลงจึงเอ่ยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์อีกครั้ง“ตกลงแล้วพี่ศักดิ์ถูกบีบบังคับยังไงกันคะ”“สุกำพลจับตัวลูก ๆ ของพี่ศักดิ์ไว้เป็นตัวประกันน่ะ พี่ศักดิ์มีลูกสาวกับลูกชายอย่างละคนใช่ไหมล่ะ มันจับเด็ก ๆ ไปอยู่ในความดูแลของสุกำพล เขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรเด็กจนกว่าพี่ศักดิ์จะหาหลักฐานที่เหลือมาได้ จนครั้งสุดท้ายที่เขาเรียกใช้งานพี่ศักดิ์ก็คือตอนที่เขาพาตัวแพรไปให้
“ข่าวด่วน นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ แท้จริงแล้วคือมาเฟียยาเสพติด!”“นักธุรกิจชื่อดัง สุกำพล พัวพันคดียาเสพติด”ข่าวพาดหัวตัวโตของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพร้อมใจกันลงข่าวไฮโซหนุ่มเนื้อหอม นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของธุรกิจมากมาย รายการข่าวทางโทรทัศน์และวิทยุต่างนำเสนอข่าวนี้กันแทบทุกช่องจนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่คนต่างพูดถึงกันมากที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะผ่านมาถึงสองวันแล้วก็ตามรชตหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นกดเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น เพราะเบื่อข่าวของสุกำพลเต็มที ยิ่งนานวันนักข่าว นักสืบออนไลน์ และนักสืบโซเชียลทั้งหลายต่างก็พากันขุดคุ้ยเรื่องของสุกำพลไม่หยุด บางคนก็แต่งเรื่องโกหก บางคนก็เป็นผู้เสียหาย บางรายก็ฟังเขาเล่ามา จนเวลานี้แทบไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ“พี่อาร์ตเปลี่ยนช่องทำไม” น้ำเสียงราบเรียบของแพรพิไลทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่เตียงคนไข้“อ้าว...ตื่นนานรึยัง อยากกินอะไรไหม” เขาไม่ตอบคำถามของ
“คุณสุกำพล จนป่านนี้แล้วคุณคิดว่าจะหนีรอดหรือ ตอนนี้ทางออกทุกทางของที่นี่ตำรวจปิดล้อมไว้หมดแล้ว บรรดาสมาชิกที่พากันวิ่งออกไปนั่นก็ถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมด...ผมจะบอกอะไรให้นะ ป่านนี้ข้างในนั้นน่ะคงถูกตำรวจเคลียร์พื้นที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหนีไม่พ้นหรอก”สารวัตรจุมพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ น้ำเสียงที่พูดไม่มีแววเยาะเย้ยอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหนักแน่นจริงจังเสียจนคนมองเริ่มสะท้านเก่ง ลูกน้องของสุกำพลมีสีหน้าเครียดจัด มือที่ถือปืนอยู่เริ่มลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งยอมวางปืนไว้บนพื้นแล้วยกมือขึ้นวางบนศีรษะแต่โดยดีนายตำรวจนายหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปนำปืนกระบอกนั้นมาเก็บไว้ ท่ามกลางเสียงตวาดกร้าวของสุกำพลที่หันไปข่มขู่และด่าทอลูกน้องอย่างสาดเสียเทเสีย ตำรวจอีกสองนายจึงเข้าไปควบคุมตัวทั้งสองคนไว้แล้วพาขึ้นไปด้านบนสารวัตรจุมพลไม่ได้เดินตามผู้ต้องหาไป แต่กลับเดินผ่านเข้าไปในสมาคมเพื่อหาตัวรชตกับพวกรชตวิ่งกลับเข้าไปในฮอลล์อีกครั้งโดยมีเสียงปืนไล่ยิงมาตามหลัง เขามั่นใจว่าตอนนี้ตำรวจน่าจะเข้าควบคุมทุกอย่างไว้ได้หมดแล้ว เพราะฟังจากเสี
สุกำพลยิ่งเดือดดาลเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ผู้บุกรุกทั้งสองคนนี้นอกจากจะไม่กลัวปืนในมือของเขาแล้ว ยังมีทีท่าไม่ยอมทำตามคำสั่งราวกับคำขู่ของเขานั้นไม่ได้ผล...แต่เขาไม่มีเวลามาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับพวกนี้แล้ว“ไปเอาตัวผู้หญิงมา” สุกำพลหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งจึงเดินอาด ๆ เข้ามาหาแพรพิไลซึ่งทรุดตัวลงนั่งเอาหลังพิงกำแพงพร้อมกับเอาแขนโอบกอดตัวเองแน่นเหมือนทรมานกับอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวที่เป็นอยู่รชตตั้งท่าเตรียมรับไว้อยู่แล้ว เมื่อเห็นการ์ดร่างใหญ่ของสุกำพลเดินเข้ามาใกล้จึงออกหมัดชกไปเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซถอยไปด้านหลังเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งไม่คิดว่ารชตจะกล้าท้าทายด้วยการเป็นฝ่ายลงมือก่อน“มึง!” คนถูกต่อยคำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราด ทันทีที่ตั้งหลักได้ก็พุ่งตัวเข้าใส่รชตราวกับหมีตะปบเหยื่อรชตอาศัยความปราดเปรียวกว่าหลบหมัดลุ่น ๆ ของการ์ดร่างยักษ์ไปได้ด้วยความว่องไวปารุสจ้องเขม็งอยู่ที่ปืนสลับกับจ้องใบหน้าของสุกำพลอย่างไม่ให้คลาดสายตา การต่อยตีของรชตกับคนของสุกำพลนั้นเรียกคว
ปารุสสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ มีมือเย็นเฉียบของใครบางคนมาเกาะที่น่อง ครั้นพอก้มลงมองจึงรู้ว่าเป็นแพรพิไลซึ่งยังอยู่ในอาการเมายาไม่ได้สติ ชายหนุ่มรีบชักขากลับมาแล้วดันหญิงสาวอีกคนที่กำลังนั่งเกาะขาเขาอยู่เข้าไปหาแพรพิไลแทนอย่างน้อยก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มันคงดีกว่าที่เจ้านายจะมาเห็นผู้หญิงของตัวเองกำลังนัวเนียกับเขา เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะถูกหักเงินเดือนไปทั้งปีหรือเปล่า“รีบออกไปกันเถอะ...อ้าวเฮ้ย!” รชตอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผู้หญิงที่คลุกวงในอยู่กับปารุสเมื่อครู่มาตอแยแพรพิไล ชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปคว้าตัวแฟนสาวออกมากอดไว้แล้วหันไปพยักหน้ากับปารุส“เมื่อกี้ผมจุดไฟเผาผ้าม่าน อีกเดี๋ยวคนคงเริ่มสังเกตแล้วละ เราต้องอาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไป”พูดจบก็มองไปที่ด้านหลัง ควันไฟเริ่มหนาขึ้นจึงรีบประคองพาแพรพิไลเดินห่างออกมาจากจุดเกิดเหตุที่เขาเพิ่งใช้เทียนเผาผ้าม่านสีดำ เขาภาวนาให้มันลุกติดไฟเร็ว ๆ เพราะควันจะได้มากพอที่จะลอยขึ้นไปสัมผัสกับสัญญาณเตือนอัคคีภัยที่อยู่บนเพดาน และเมื่อถึงตอนนั้น ที่น