หญิงสาวนั่งเท้าคางมองไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ตรงกลางฟลอร์มีครองขวัญกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเต้นรำเข้าคู่กันอย่างสนุกสนานเพราะเป็นจังหวะเร็ว และเธอก็ไม่รู้ว่าจังหวะนี้เรียกว่าอะไร แต่ดูแล้วหากไม่ชำนาญการเต้นจังหวะนี้จริง ๆ มีหวังได้เหยียบเท้าหรือหกล้มกันแน่นอน
เขาไปไหนของเขานะ...ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจ จากนั้นร่างของเธอก็แข็งทื่อเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังเผลอตัวมองหารชตอย่างไม่น่าให้อภัย
“บ้าจริง” เธอทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างแรง ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองที่ดันเสียสมาธิเพราะผู้ชายคนนั้นจนได้
แพรพิไลยกสองมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา ตอนนี้เธอกำลังทำงานอยู่จะไขว้เขวเพราะสิ่งเร้าแสนเย้ายวนอย่างรชตไม่ได้เป็นอันขาด...ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเขาจะเชิญชวนเป็นอย่างยิ่งก็เถอะ
“ออกไปเต้นรำไหมครับ นั่งเฉย ๆ จะเบื่อซะเปล่า” เสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัว
ครั้นพอแพรพิไลหันมองตามเสียงจึงรู้ว่าเขาคือหนึ่งในครูสอนลีลาศที่เนื้อหอมที่สุดของคลับรองลงมาจากรชต
เธอยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนส่ายหน้าให้ช้า ๆ ก่อนตอบ
“เห็นทีจะไม่ไหวละค่ะเพราะจังหวะนี้ฉันเต้นไม่เป็น มันเร็วเกินไป ฉันเต้นได้แค่วอลซ์กับบีกินเท่านั้นเอง...เชิญนั่งสิคะ” เธอบุ้ยหน้าไปทางโซฟาอีกด้าน ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย
“ผมชาคริตครับ เป็นครูสอนลีลาศของที่นี่”
“แพรค่ะ...ฉันเห็นคุณเต้นกับคุณครองขวัญบ่อยๆ” สมองของเธอมีไฟสว่างวาบ...ในเมื่อถามกับรชตมักไม่ได้ข้อมูลเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ค่อยแย้มพรายอะไรออกมาให้ฟัง ฉะนั้นหากถามกับคนอื่น ๆ อาจจะได้ข้อมูลมากกว่าก็เป็นได้
“คุณรู้จักกับคุณครองขวัญด้วยหรือครับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่แววตาที่มองเธอกลับมีความพึงพอใจฉายชัดอยู่
“ก็เคยเจอกันตามงานสังคมบ่อย ๆ น่ะค่ะ แต่เราไม่ค่อยสนิทกันนักหรอก ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะเจอเธอที่นี่” แพรพิไลพยายามผ่อนคลายและทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดยามที่ปดออกไป ในใจคาดหวังเต็มเปี่ยมว่าน่าจะได้อะไรเด็ด ๆ จากครูสอนลีลาศคนนี้บ้างไม่มากก็น้อย
“คุณขวัญเธอเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของที่นี่ครับ มาเกือบทุกวัน พนักงานจะรู้จักเธอดีเพราะคุณขวัญเธอเฟรนด์ลี่มาก”
แม้เขาจะเอ่ยปากชื่นชมครองขวัญ แต่สายตาที่เขามองเธอนั้นดูหวานเชื่อมหยดย้อยเสียยิ่งกว่าตอนที่รชตมองเธอเสียอีก
“ดูท่าทางคุณคงชอบเธอน่าดู” แพรพิไลลองหย่อนเบ็ดไปอีกครั้ง เพราะบางทีครองขวัญอาจจะไม่ได้เลี้ยงดูหนุ่มหล่อแค่คนเดียวก็ได้
“เป็นธรรมดาครับเพราะคุณขวัญเธอไม่ถือตัว ว่าแต่คุณแพรเถอะ สนใจอยากลองเต้นจังหวะนี้ดูบ้างไหมครับ ผมยินดีสอนให้นะ ยิ่งมีพื้นฐานมาแล้วยิ่งง่าย ลองเต้นไม่กี่ครั้งก็สบายแล้ว”
“จังหวะนี้เรียกจังหวะอะไรคะ” เธอเลื่อนสายตาไปที่ฟลอร์อีกครั้ง เห็นฝีเท้าเหยียบย่ำสับสนของแต่ละคนแล้วรู้สึกถอดใจ คิดแล้วก็อดนับถือครองขวัญไม่ได้ ช่างมีพรสวรรค์ในด้านการเต้นเสียจริง
“รุมบ้าครับ จังหวะนี้ก็มีหลายสเตป แต่ผมจะสอนแบบง่าย ๆ ให้ก่อนดีกว่า...เชิญครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาให้จับ
แพรพิไลอดคิดไปถึงรชตไม่ได้ จำได้ว่าครั้งนั้นเขาก็ยื่นมือมาอย่างนี้เช่นกัน...เธอพยายามสลัดภาพของเขาทิ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้ววางมือลงไป
ชาคริตพาแพรพิไลมาที่ริมสุดของฟลอร์สำหรับคนที่เพิ่งหัดเต้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่เต้นเป็นอยู่แล้วตรงกลางฟลอร์ ชายหนุ่มค้อมศีรษะขออนุญาต จากนั้นก็จับมือเธอไว้ทั้งสองข้าง
“Basic movement ก่อนนะครับเกี่ยวกับการก้าวเท้า จังหวะแรกผมก้าวเท้าซ้ายคุณแพรถอยเท้าขวา จังหวะที่สองถ่ายน้ำหนักมาที่เท้าซ้ายเท้าขวาอยู่ที่เดิม จังหวะที่สามเท้าขวาคืนมาแล้วก้าวไปด้านข้าง จังหวะที่สี่ถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าขวา ใช่ครับ อย่างนั้นแหละ ดีมากครับ” เขาสอนเธอช้า ๆ อย่างใจเย็นพร้อมกับนับจังหวะให้ด้วย
และเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเอาแต่จดจ่ออยู่กับเท้าของตัวเองจนไม่ทันได้มองสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งว่าชาคริตปล่อยมือเธอไปครั้งหนึ่งแล้วมาจับใหม่อย่างรวดเร็วเธอก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองดู
“พอจับจังหวะได้รึยังครับ” ทว่าพอจบประโยคนี้ แพรพิไลก็เงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับที่เท้าหยุดการเคลื่อนไหว
“อ๊ะ! คุณอาร์ต” ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร มือที่เกาะกุมกับเขาอยู่ก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งที่ตอนที่จับกับชาคริตเธอยังรู้สึกเฉย ๆ อยู่ด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับ ชาคริตคงบอกคุณแล้วว่าจังหวะรุมบ้ามีหลายสเตป ฝึกวันเดียวอาจจะยังไม่เป็น ทางที่ดีคุณน่าจะมาที่นี่ทุกวัน” เขาพูดยิ้ม ๆ ขณะที่ยังจับมือของเธออยู่แม้ว่าจะหยุดการฝึกก้าวเท้าไปแล้วก็ตาม
“เมื่อวานฉันก็มา” แพรพิไลนึกอยากตบปากตัวเองนักที่เผลอทำน้ำเสียงเหมือนตัดพ้อเขา ยิ่งเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้างจนตายิบหยี เธอก็รู้ทันทีว่าพลาดแล้ว
“เมื่อวาน...เป็นวันหยุดของผมน่ะครับ แต่ถ้าผมรู้ว่าคุณแพรมาที่นี่ รับรองเลยว่าผมจะรีบมาหาคุณแพรทันทีแม้ว่าจะไม่ได้ค่าแรงก็ตาม”
ได้ยินชายหนุ่มพูดอย่างนี้หญิงสาวก็หมดคำพูดจะต่อล้อต่อเถียง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่เปลี่ยนเพลงพอดี
“เรามาต่อกันดีไหมครับ” เขาบีบมือเธอเบา ๆ แพรพิไลจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้มีคู่ของตนคู่เดียวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างฟลอร์
“แล้วคุณชาคริตล่ะคะ” หญิงสาวหันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนที่ตัวเองถามหาไปเต้นรำกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“เขาไปดูแลลูกค้าคนอื่นน่ะ” พูดจบเขาก็ยกมือเธอขึ้นระดับเอว ก่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าจังหวะก่อน
...ริมฝั่งน้ำ พร่ำเพ้อละเมอครวญ เคยชื่นชวนเมื่อหวลคนึงไป จิตใจยังชื่นชู...[1]
“ต่อไปเป็น ฟิกเกอร์ อันเดอร์ อาร์ม เดี๋ยวผมจะนับจังหวะให้เหมือนคราวที่แล้ว ตอนหมุนใช้เท้าซ้ายหมุนนะครับ”
...แสงเดือนส่องยิ่งมองแล้วจิตเผลอ เธอยังอยู่ เคล้าคลอคู่ชื่นชูรู้สึกเหมือนเตือนใจจำ...
“หมุนครับ”
เธอหมุนตามที่เขาบอก แต่เพราะมือถูกชูขึ้นสูงกะทันหัน อีกทั้งตอนกำลังหมุน สายตาไปประสานกับครองขวัญเข้าพอดีจึงทำให้เสียจังหวะไปเล็กน้อย ผลคือส้นสูงของเธอพลิกจนเกือบล้ม โชคดีที่รชตคว้าเอวไว้ได้ทันท่วงที
“ขอบคุณมากค่ะ” แพรพิไลเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มก้มลงมาพอดี ส่งผลให้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่นิ้วกั้น ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาราดรดบนผิวแก้ม
...เธอกับฉัน ก่อนนั้นเคยชื่นฉ่ำ ริมฝั่งน้ำสุขล้ำฉันจำได้ อะไรจะเทียมทัน...
“เป็นอะไรรึเปล่า ขาแพลงไหมครับ” เขาถามโดยที่สายตาไม่ละไปจากวงหน้าของเธอแม้แต่วินาทีเดียว
วงแขนที่รัดเอวไว้ดูเหมือนจะแน่นขึ้นจนแพรพิไลรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขากอดแล้วจมหายไปกับแผงอกของเขา
“มะ...ไม่แน่ใจค่ะ คงต้องลองขยับขาดู” เธอตอบพลางหลบสายตาของเขาลงมองพื้น
รชตจึงค่อย ๆ คลายวงแขนออกอย่างอ้อยอิ่ง สายตาที่มองหญิงสาวดูลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมจนแพรพิไลไม่กล้าสบตาด้วย ได้แต่ลองขยับข้อเท้าเพื่อแก้เขิน
รชตมองอาการขัดเขินของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู สำหรับเขาแล้วจัดว่าเป็นของหาดูยากเลยทีเดียวที่จะเห็นแม่ตัวแสบของเขาเขินจนหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก
เขาหันมองชาคริตที่กำลังสอนหญิงสาวคนหนึ่งเต้นรำแล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากเมื่อครู่เป็นผู้ชายคนนั้นที่รับแพรพิไลไว้ในอ้อมแขนจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดแล้วคงบาดตาน่าดู เพราะแค่เขาเข้ามาในคลับแล้วเห็นเธอจับมืออยู่กับผู้ชายคนอื่นเขาก็รู้สึกไม่พอใจจนต้องไปยืนใกล้ ๆ แล้วส่งสัญญาณบอกชาคริตให้ถอยออกมา จากนั้นเขาก็เข้าไปสวมรอยแทน
การกลับมาเจอกันอีกครั้งคราวนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยเธอให้หลุดมือไปอีกอย่างเด็ดขาด
“ทำไมจังหวะนี้ยากจัง มียากกว่านี้อีกไหมคะเนี่ย”
แพรพิไลทำหน้ามุ่ยเพราะเผลอเหยียบเท้ารชตไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
“แปลว่าคุณแพรไม่ถนัดจังหวะเร็ว ๆ ความจริงแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับคนชอบด้วยนั่นแหละ จังหวะที่เร็วกว่านี้อีกนิดก็จะมีกัวราชา แต่บางคนก็บอกว่ากัวราชาง่ายกว่ารุมบ้า มันเลยเอามาวัดกันไม่ได้” รชตตอบอย่างใจเย็น
[1] เพลงริมฝั่งน้ำ ขับร้องโดย มาริษา อมาตยกุล คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เวส สุนทรจามร บันทึกเสียงครั้งแรกโดย ชวลีย์ ช่วงวิทย์ ในปี พ.ศ. 2492
แพรพิไลสังเกตว่าทุกครั้งเวลาที่ชายหนุ่มคุยกับเธอ มุมปากของเขามักยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอยู่เสมอ ดูมีเสน่ห์เสียจนไม่อยากถอนสายตากลับแต่ถ้าเธอไม่ถอนออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ต้องทำงานทำการกันแล้วกระมัง ผู้ชายอะไร แรงดึงดูดมากเสียจนน่าหวาดหวั่น!แพรพิไลผินหน้าไปมองครองขวัญซึ่งขณะนี้กำลังนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะโดยมีชาคริตนั่งอยู่ด้วย หญิงสาวแบ่งสมาธิของตนไปที่คู่นั้นทันที เพราะมือของสองหนุ่มสาวเกาะกุมกันอยู่ สักพักชาคริตก็ถอนมือกลับ ขณะที่ครองขวัญเอามือลากโต๊ะมาจนกระทั่งถึงกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองมองผิวเผินเหมือนว่าหนุ่มสาวสองคนนี้แค่จับมือกันแล้วปล่อย แต่สำหรับแพรพิไลที่ลอบมองตาแทบไม่กะพริบนั้นรู้สึกได้ว่าการจับมือกันของทั้งคู่ช่างไม่ธรรมดา ชาคริตส่งอะไรบางอย่างให้ครองขวัญ และครองขวัญเก็บสิ่งนั้นใส่กระเป๋าอีกด้วย!“โอ๊ย!” เสียงร้องเบา ๆ ของรชตเรียกสายตาของแพรพิไลกลับมาที่เขาทันที“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ เจ็บไหมคะคุณอาร์ต ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวก้มลงมองรองเท้ามันปลาบของเขาซึ่งมีรอยรองเท้าของเธอเข้าไปเต็ม ๆ รองเท้าคู่นี้มองดูก็รู้ว่า
แพรพิไลสังเกตการณ์อยู่ในรถครู่หนึ่งพร้อมทั้งหยิบกล้องปากกาออกมาเก็บภาพโดยรวมของสถานที่ไว้ เสร็จเรียบร้อยก็ขับออกมาเพื่อตั้งหลัก สำหรับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและดูมีลับลมคมในแบบนี้ เธอยอมถอยออกมาก่อนดีกว่าดันทุรังจะเข้าไป เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นคงไม่มีใครช่วยเธอได้แน่นอนหญิงสาวขับรถกลับบ้านทั้งที่ในสมองมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ซึ่งเป็นเพียงคอนโดมิเนียมธรรมดา ๆ แต่บริเวณที่ครองขวัญเข้าไปกลับอยู่ชั้นล่างสุดซึ่งน่าจะเป็นพวกร้านค้าต่าง ๆ มากกว่า แถมยังต้องเข้าด้านหลังอาคาร ไฟก็ไม่เปิด ทำให้พื้นที่โดยรอบประตูทางเข้ามืดจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร หนำซ้ำยังมีคนยืนเฝ้าอีกสองคนเพื่อสแกนคนที่จะเข้าไปด้านในอีกด้วย“แปลกแฮะ มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเต็มไปหมด” พรุ่งนี้เธอมีนัดต้องรายงานผลให้สุกำพลทราบในช่วงบ่าย บางทีหากเธอให้เขาดูรูปสถานที่เมื่อครู่อาจจะคิดอะไรออกก็เป็นได้ช่วงสายของวันถัดมา แพรพิไลนำรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้เมื่อวานโอนใส่แท็บเล็ตพร้อมกับนั่งเปิดดูไปทีละรูปอย่างใจเย็น ส่วนไหนที่เป็นข้
แพรพิไลไม่ได้เล่าเรื่องคอนโดมิเนียมแห่งนั้นให้สุกำพลฟัง เพราะคิดอยู่ว่าจะหาทางไปถ่ายรูปที่นั่นให้ชัดเจนกว่านี้ และถ้าเป็นไปได้เธอจะหาวิธีเข้าไปในนั้นด้วย แต่ที่แน่ ๆ ก็คือช่วงกลางวันแบบนี้เธอจะขับรถไปดูตรงนั้นให้แน่ใจว่าบริเวณนั้นในตอนกลางวันเปิดเป็นร้านอะไรสุกำพลถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับดึงตัวขึ้นมานั่งหลังตรงตามเดิม เธอมองออกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะหัวคิ้วขมวดกันมุ่น คงเพราะเรื่องที่เธอรายงานเป็นแน่“ถ้าอย่างนั้นแพรขอตัวก่อนดีกว่านะคะ มีอะไรต้องไปทำหลายอย่างเลย” เธอทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้แน่น“เดี๋ยวก่อนสิครับ ถ้าคุณแพรไม่รังเกียจ รบกวนกินข้าวกับผมสักมื้อได้ไหม” เขาปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไม่รีบร้อนและไม่อ้อยอิ่งจนเกินไป จนแพรพิไลอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างสุกำพลดูร้ายกาจและอันตรายยิ่งกว่ารชตเสียอีก‘บ้าจริง! นึกถึงเขาอีกแล้ว...’“ได้สิคะ แหม แพรจะรังเกียจลูกค้าได้ยังไง”เธอพูดพร้อมกับรีบไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะหาเรื่องรั้งให้นั่งอยู่ข้าง ๆ เห
หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แพรพิไลกับสุกำพลก็เดินออกมาจากร้านอาหาร คราแรกชายหนุ่มอาสาเดินไปส่งเธอที่รถ แต่หญิงสาวห้ามไว้เพราะเกรงใจ อีกทั้งไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เขาทำตัวสนิทสนมเกินเลยไปกว่านายจ้างกับลูกจ้าง และเพื่อป้องกันคำครหาที่อาจตามมาภายหลังระหว่างที่เดินมาบริเวณที่จอดรถ แพรพิไลอดมองหารชตไม่ได้ เพราะตอนที่อยู่ในร้านยังเห็นเขายืนพิงเสามองมาอยู่เลย แต่พอเดินออกมาจากร้านแล้วเขากลับหายไปเฉย ๆหญิงสาวเดินไปที่รถของตัวเองพร้อมกับควานหากุญแจในกระเป๋าไปด้วย เมื่อเจอแล้วจึงหยิบขึ้นมา กำลังจะกดปลดล็อกรถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง“คุณแพรครับ”“ว้าย!” แพรพิไลกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับหันมองคนเรียกด้วยท่าทางหวาดระแวง ขณะที่รชตรีบกางมือออกแล้วยกขึ้นระดับอก พร้อมถอยหลังมาอีกหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้ดูเป็นการคุกคามเธอมากเกินไป“ผมเองครับ ขอโทษทีไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้”รชตพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นหญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับค้อนให้เขาวงใหญ่ถึงได้เอามือลงแล้วสอดไว้ในก
แพรพิไลเดินมานั่งตรงโต๊ะที่เขาบอก ระหว่างรอก็ลอบมองรชตจากทางด้านหลังพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด รชตแทนตัวเองว่าพี่ และเรียกเธอด้วยชื่อเล่นสั้น ๆ ว่าแพรโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าความจริงแล้วเธอไม่ได้ถือตัวอะไรมากมาย เพราะมันก็แค่คำเรียกขาน แต่ที่รู้สึกสะกิดใจก็เพราะถ้อยประโยคเหล่านั้นคุ้นหูคุ้นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนพี่...แพร...ที่ไหนกันนะ...“คุณแพรปวดหัวหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ฉุดเธอให้วิ่งออกมาจากกล่องความทรงจำแล้วลืมตามองอีกฝ่ายทันที จึงเห็นว่ากาแฟเย็นแก้วโปรดวางอยู่ตรงหน้าแล้วเรียบร้อย“เปล่าหรอกค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย ขอบคุณสำหรับกาแฟนะคะ”หญิงสาวใช้หลอดคนกาแฟในแก้วให้เข้ากันก่อนดูด กระนั้นก็ยังอดเหลือบมองเขาไม่ได้ปกติเคยเจอกันแต่ในคลับ ซึ่งแสงไฟและบรรยากาศไม่ได้สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน พอได้มาเจอเขาข้างนอกแบบนี้แล้วให้ความรู้สึกแปลก ๆ และคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ เขาดูดีกว่าที่คิดตอนกลางคืนรชตก็ดูโดดเด่นกว่าผู้ชายคนอื่นในคล
ตรงนั้นมีประตูบานหนึ่งซึ่งหากมองขึ้นไปชั้นบนจึงคิดว่าด้านหลังของประตูบานนี้น่าจะเป็นบันไดหนีไฟ แพรพิไลเดินเข้าไปใกล้ ๆ หันมองซ้ายขวาว่ามีคนอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจึงลองหมุนลูกบิดดูก็เห็นเป็นจริงตามที่คาดเดาไว้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอสงสัยก็คือบันไดไม่ได้หยุดอยู่แค่ชั้นล่างสุดนี้เท่านั้น ทว่ามันกลับมีทางลงไปยังชั้นใต้ดินอีกด้วยหญิงสาวตัดสินใจปิดประตูไว้ตามเดิม เพราะต่อให้เลือดนักสืบพลุ่งพล่านอยู่ในกายมากแค่ไหน แต่ความปลอดภัยในชีวิตย่อมมาก่อน ในเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าชั้นใต้ดินนั้นมีอะไรรออยู่ ฉะนั้นทางที่ดีควรถอยออกมาตั้งหลักแล้วหาทางลงไปข้างล่างให้ได้ดีกว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการติดตามครองขวัญอย่างเดียวแล้ว แต่ความลึกลับของสถานที่แห่งนี้ต่างหากที่ดึงดูดความสนใจอย่างยิ่งยวดให้สืบเสาะหาว่ามันคืออะไรกันแน่แพรพิไลเดินกลับไปที่รถของตนเองโดยที่สายตาก็คอยสอดส่ายไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กระทั่งเดินมาถึงรถ กำลังจะกดปลดล็อกรถ สายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกเสียบไว้ตรงที่ปัดน้ำฝนบริเวณฝั่งคนขับจึงหยิบออกเพราะคิดว่าเป็นแผ่นโฆษณาทั่วไป ทว่า
แพรพิไลพูดไม่ออก เพราะว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่ได้ล่วงเกินเธอสักนิด สัมผัสอันแสนเซ็กซี่เมื่อครู่นั้นเกิดจากมือของเธอเองล้วน ๆ โดยอาศัยการนำพาจากฝ่ามืออุ่นร้อนของรชต แพรพิไลเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขาคอยชี้นำอยู่ข้างหลังจึงทำให้เธอไม่ได้ยืนเฉย ๆ อยู่กลางฟลอร์ให้เป็นจุดสังเกตของคู่เต้นรำคู่อื่น“ตอนนี้จังหวะอะไรคะ แทงโก้หรือ” เพลงนี้เธอเคยฟัง จังหวะของมันน่าจะเป็นแทงโก้เพราะเคยเห็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เปิดฉากในงานเต้นรำสวมหน้ากาก“ครับ แทงโก้ แต่ครึ่งชั่วโมงต่อจากนี้เป็นอิสระ ใครจะเต้นแบบไหนก็ได้ตามแต่ที่ใจอยากเต้น”เขาชูมือแพรพิไลขึ้นสูงแล้วหมุนตัวหญิงสาวจนกระโปรงบานพลิ้วสยายตามแรงหมุนราวกับปีกผีเสื้อ ครั้นพอหมุนครบรอบก็กลายเป็นว่าเธอกับเขาหันหน้าชนกันจนหน้าผากเกือบชิด แต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปนั้นตัวเธอแทบจมหายไปกับร่างของเขา รับรู้ได้ถึงแรงกอดกระชับที่เอว และกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของรชตที่เธอเริ่มคุ้นเคยโอบล้อมรอบกาย“ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเมา”แพรพิไลพูดเสียงแผ่วขณะที่สายตาสบประสานกับเขาจนมองเห็นตั
เบื้องหน้าคือทางเดินทอดยาวกว้างประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งจากที่แพรพิไลกะด้วยสายตาคร่าว ๆ นั้น ความยาวของทางเดินนี้น่าจะเท่ากับความยาวของคอนโดฯ แห่งนี้พอดี ผนังทั้งสองด้านเป็นผนังคอนกรีตแต่ด้านหนึ่งทาสีดำไว้จนสุดทางเดินและสูงจดเพดาน มีบานประตูอยู่ทั้งหมดห้าบาน และน่าจะล็อกเอาไว้ทั้งหมดแสงไฟตามทางเดินมีเพียงหลอดฟลูออเรสเซนต์สามดวงเท่านั้น แต่ก็เพียงพอให้แพรพิไลสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่มีเส้นสีขาวทาไว้ในลักษณะเฉียงทำมุมสี่สิบห้าองศากับผนัง มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นลานจอดรถมาก่อนแพรพิไลลองเอาหูแนบกับผนังสีดำ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรมากนักนอกจากความอื้ออึงที่เดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไร จากนั้นก็ลองหมุนลูกบิดประตูแต่ละบาน และก็เป็นดังคาดที่ประตูถูกล็อกไว้ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ระหว่างที่กำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าไปข้างในได้นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวของใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาจนหญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจ“คุณลงมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ!”แพรพิไลหันไปมองเจ้าของเสียงทันที ใจก็ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มจนมือสั่นเล็กน
“หึ ๆ ผมล้อเล่นครับ แต่ผมพูดจริง ๆ นะเรื่องที่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ผมคิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดีเชียวละถ้าหากคุณแพรยอมรับพิจารณาผมบ้าง...เอาเป็นว่าถ้าวันไหนคุณแพรว่างก็สละเวลามาดินเนอร์กับเพื่อนอย่างผมสักมื้อนะครับ”“ยินดีค่ะคุณเบนซ์ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้ไปไม่ได้จริงๆ” แพรพิไลลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาจะวางสาย เพราะตอนนี้หัวใจเธอโลดแล่นไปอยู่กับเม็มโมรีการ์ดที่ซุกซ่อนเอาไว้นานแล้วนั่นต่างหาก“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้เสมอ ไม่รบกวนแล้วดีกว่า ไว้วันหน้าจะโทร. มาชวนใหม่นะครับ”หญิงสาวบอกลาเขาก่อนกดวางสาย จากนั้นก็ก้มลงไปใต้โต๊ะทำงานแล้วใช้มือคลำไปบนพื้นไม้ปาร์เกต์ช้า ๆ จนกระทั่งรู้สึกสะดุดมือเพราะรอยต่อของไม้ไม่เสมอกัน เธอจึงยิ้มออกมาพลางใช้นิ้วกดลงไปที่มุมของไม้แผ่นนั้นเบา ๆไม้ปาร์เกต์แผ่นนั้นเผยอขึ้นมาจนสามารถดึงออกมาได้ เธอล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องเหล็กขนาดเท่ากล่องดินสอออกมาจากในนั้นแล้วเปิดฝาออกเพื่อดูของที่อยู่ข้างในเม็มโมรีการ์ดมากมายใส่อยู่ในถุงซิปล็อกถุงละหนึ่งอัน มีปากกาเคมีสีน้ำเงินเขียนกำก
“ใครหรือคะ พี่อาร์ตดูจากตรงไหน” แพรพิไลถามรชตที่กำลังใช้เมาส์คลิกเพื่อเล่นคลิปย้อนกลับไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบอะไร โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็แผดเสียงดังขึ้นจนเธอถึงกับสะดุ้งแพรพิไลเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาดูชื่อคนโทร. เข้า เนื่องจากว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะใช้เฉพาะลูกค้าที่มาติดต่อกับสำนักงานนักสืบเท่านั้น พอเห็นชื่อของคนที่โทร. มา ตาคู่สวยก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับรีบกดรับสายทันที“สวัสดีค่ะคุณวิษณุ” ปกติแล้วลูกค้ารายนี้มักจะโทร. เข้าไปที่สำนักงานมากกว่า แต่คราวนี้กลับโทร. เข้าเครื่องของเธอโดยตรง แสดงว่าน่าจะมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่างเป็นแน่“คุณแพรครับ เมื่อคืนน้องสาวของผมพยายามกรีดข้อมือเพื่อฆ่าตัวตาย” คำบอกเล่าจากปลายสายทำให้แพรพิไลถึงกับอ้าปากค้าง“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ คุณวิษณุช่วยเล่ารายละเอียดให้แพรฟังหน่อยได้ไหม” น้องสาวของวิษณุยังไม่เสียชีวิตแน่นอน คนที่บ้านน่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา วิษณุถึงได้โทร. หาเธอเวลานี้“ตอนนี้ปลอดภัยแล
‘เข็มขัดลูกเสือมั้ง’เมื่อได้ยินเขายอกย้อนมาอย่างกวนประสาท แพรพิไลก็ทำหน้ายู่ใส่‘พี่อาร์ต! ยังจะอุตส่าห์กวนอีกนะ แพรหมายถึงว่าเอามาให้แพรดูทำไม’ เธอไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ เพราะไม่แน่ใจว่าเขาซื้อมาให้เธอ หรือซื้อให้คนอื่นแล้วแค่เอามาให้เธอดูเพื่อขอความเห็นเฉยๆ‘พี่ไม่ได้เอามาให้แพรดู แต่ซื้อมาให้แพรใส่ต่างหากละ พี่จะใส่ให้แพรนั่งนิ่ง ๆ นะเดี๋ยวตกต้นไม้’ เขาไม่รอให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธ รีบยื่นมือไปที่ท้ายทอยของสาวน้อยตรงหน้าเพื่อสวมสร้อยให้ทันที ติดตะขอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ผละออกมาดูของขวัญที่ตนอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบจากเงินรายเดือนไปซื้อมาให้‘นึกยังไงถึงซื้อมาให้แพรล่ะ พี่ไม่ได้ล้อเล้นใช่ไหม’ แม้สร้อยเงินเส้นนี้จะถูกสวมอยู่ที่คอ แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่กล้าทึกทักเอาเองว่าเขาซื้อมาให้อยู่ดีก็ใครจะเชื่อเล่าว่าหนุ่มฮอตประจำโรงเรียนจะซื้อของขวัญมาให้เด็กมัธยมต้นอย่างเธอ‘เดือนหน้าพวกเราก็ต้องสอบปลายภาคและปิดเทอมใหญ่กันแล้วนะ พี่ก็ต้องไปในเรียนมหา’ลัย แพรก็ขึ้นม.ปลาย แล้ว เราอาจไม่ค่อยได้เจอก
“พี่ขอดูคลิปนั่นหน่อย แพรบอกว่าคนบงการเบื้องหลังก็อยู่ในคลิปนั่นด้วยใช่ไหม”เขาคิดว่าบิดาของแพรพิไลคงตามเรื่องสมาคมหน้ากากเช่นกัน และน่าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหลายอย่างด้วย และที่สำคัญคงรู้แล้วว่าใครคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแพรพิไลเปิดคลิปวิดีโอที่ว่า “พี่อาร์ตลองช่วยแพรดูหน่อยค่ะ เพราะเท่าที่แพรดู แพรไม่เห็นว่าคุณพ่อจะถ่ายใครมาเป็นพิเศษเลย” หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้าง ๆในห้องพักขนาดห้าสิบตารางเมตรย่านใจกลางเมือง ชายสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังลุกลี้ลุกลนยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บนพื้นห้องมีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัววางระเกะระกะ แต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ที่เขาสนใจมีเพียงเอกสารสำคัญและของมีค่าที่สู้อุตส่าห์แลกมาด้วยแรงกายและความเสี่ยง เพราะอย่างน้อยสร้อยแหวนนาฬิการาคาแพงเหล่านี้ก็สามารถนำไปจำนำหรือขายต่อได้ในวันที่เขาสิ้นไร้ไม้ตอกชาคริตดูนาฬิกาข้อมือแล้วเม้มปากแน่น อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัด ซึ่งจะมีคนพาเขาหนีไปกบดานที่ประเทศเพื่อนบ้านสักระยะหนึ่ง เพื่อรอจนกว่าเ
รชตจอดรถไว้ริมกำแพงบ้านของแพรพิไล ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นรถยนต์ของหญิงสาวยังคงจอดไว้หน้าบ้านเหมือนเมื่อตอนที่เขาออกไปตอนกลางดึก ก็แสดงว่าเธอยังไม่ได้ออกไปไหน แพรพิไลบอกเขาว่าวันนี้จะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ป่านนี้เจ้าตัวคงกำลังหัวฟูอยู่กับการปัดกวาดเช็ดถูบ้านเป็นแน่ เพราะเขาโทร. หาหลายครั้งแล้วแต่เธอก็ไม่รับสายชายหนุ่มสาวเท้าไปยืนที่หน้าประตูรั้ว คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่าภายในบ้านเงียบผิดปกติ ตามหลักแล้วเขาควรจะได้ยินเสียงโทรทัศน์หรือเสียงเพลงดังออกมาจากบ้านบ้างแต่นี่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลย“ตกลงอยู่หรือไม่อยู่เนี่ย” พูดพลางเพ่งมองเข้าไปในบ้านอีกครั้งก่อนก้มลงมองกุญแจที่คล้องไว้จากด้านใน จะกดออดก็ไม่ได้เพราะออดเสียยังไม่ได้ซ่อม สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาหญิงสาวเจ้าของบ้านอีกครั้ง ทว่าก็ยังไม่มีคนรับสายเหมือนเดิมเอาไงดี...รชตเริ่มร้อนใจ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่คุยกับสารวัตรจุมพลก็ยิ่งเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเธอหรือเปล่า คิดได้ดังนั้นเขาก็มองซ้ายมองขวา จากนั้นก็เริ่มลงมือปีนรั้ว!&nbs
และที่น่าแปลกใจก็คือสมาชิกที่เข้าร่วมในลัทธินี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูงทั้งสิ้น กว่าฌอนจะไขคดีนี้จนติดตามมาถึงสถานที่บูชายัญได้นั้นต้องใช้เวลาเกือบปีเพราะอุปสรรคนานัปการที่คอยขัดขวางไม่ให้เขาสืบคดีได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปสรรคเรื่องบุคคลผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายแหล่ที่เป็นสมาชิกของลัทธินี้นั่นเองช่างคล้ายคลึงกับเรื่องสมาคมหน้ากากเหลือเกิน!หญิงสาวหยิบกระดาษขึ้นมาดูตัวเลขอีกครั้ง เมื่อเห็นตัวเลขที่เรียงกันสมองก็พลันคิดไปถึงเกมที่บิดาเคยสอนให้เล่นบ่อย ๆ เมื่อตอนเป็นเด็กเวลาที่เธอกลับจากโรงเรียนแล้วนั่งรอบิดาอยู่ที่สำนักงาน หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำท่านจึงคิดเกมนี้ขึ้นมาให้เล่นฆ่าเวลาระหว่างรอเกมที่ว่านั่นก็คือเกมถอดรหัสตัวหนังสือจากตัวเลขในกระดาษตัวเลขแถวแรกคือเลขหน้าของหนังสือ ตัวเลขแถวที่สองคือลำดับของคำที่อยู่ในแต่ละบรรทัด เช่นแถวแรกคือเลขหนึ่งก็หมายถึงให้เปิดหน้าที่หนึ่ง ตัวเลขแถวที่สองคือสิบสามก็หมายถึงให้นับคำไปจนถึงคำที่สิบสาม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะได้ประโยคหรือเนื้อหาที่ต้องการแพรพิไลเปิดหนังสือเล่มที่สอง ซึ่งเล
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจไปมาอยู่สองสามครั้งก่อนจะพับผ้าห่มเก็บไว้ปลายเตียง หยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นมาปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้น แพรพิไลคลี่ยิ้มออกมาทันทีเพราะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นผู้ส่งมา ร่างโปร่งระหงเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่าน รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วก็ยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิมอรุณสวัสดิ์ครับตัวแสบ อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ พี่ไม่อยู่ไม่ใช่ว่านอนอุตุจนตะวันแยงก้นล่ะ“อะไรกัน ได้นอนบ้างรึยังละนั่น” เมื่อคืนรชตออกจากบ้านไปตอนเที่ยงคืนกว่า เธอเดาว่าป่านนี้เขาคงยังไม่ได้นอนเลยสักนิดกระมังหญิงสาววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ วันนี้มีอะไรมากมายหลายอย่างที่ต้องทำ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการปัดฝุ่นทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เพราะตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกเธอก็ไม่เคยทำเลยสักครั้ง ป่านนี้บิดาที่อยู่บนสวรรค์คงกำลังนั่งบ่นลูกสาวจอมขี้เกียจอย่างเธอเป็นแน่แพรพิไลจัดการอาหารเช้าให้ตัวเองอย่างง่าย ๆ เพราะรชตสั่งนักสั่งหนาว่ามื้อเช้าสำคัญท
เสียงภาพยนตร์ต่างประเทศดังกระหึ่มอยู่ในห้องรับแขกโดยมีสองร่างกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน ทว่าคนที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มเท่านั้น เพราะหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกันคอยแต่มองนาฬิกาอยู่ตลอด“คืนนี้มีมีตติงใช่ไหมคะพี่อาร์ต” แพรพิไลมองนาฬิกาติดผนัง สีหน้าแววตาคาดหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้ออกภาคสนามที่สมาคมหน้ากากอีกครั้ง“ใช่ และคืนนี้เขาจะบุกค้นที่นั่นแล้วด้วย อยู่บ้านเฉย ๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว อย่าซ่าให้มากนักเลย” พูดจบรชตก็ล้มตัวลงหนอนหนุนตักนิ่ม ๆ ของหญิงสาวพร้อมกับคว้าแขนของเธอมากอดเอาไว้แน่น“แพรยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าอยากจะไป ก็แค่ถามเท่านั้นเอง”แพรพิไลโอดเสียงอ่อยก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ ๆ รชตก็กัดต้นขาเธอเบา ๆ “พี่อาร์ต! ทำอะไรน่ะ”“ลงโทษคนปากไม่ตรงกับใจ แล้วการที่นั่งมองนาฬิกาตลอดเวลาจนหนังแทบไม่ได้ดูนั่นยังจะเรียกว่าไม่คิดอยากไปรึไงยายตัวแสบ” เขาดีดหน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนพูดขึ้นว่า“คืนนี้พี่จะนอนเฝ้าแพรทั้งคืนเลย”แ
“อย่ามาเหมายกเข่งกันแบบนี้สิ” ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือพลางพูด“พี่จะเข้าไปออฟฟิศสักหน่อย แล้วก็คงเลยไปที่คลับด้วยเลยทีเดียว จะพยายามไม่กลับดึกมากนะ”รชตมองหน้าเธอครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจจะให้เธอติดตามเขาไปด้วย เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่ตามลำพัง แม้ว่าทางตำรวจจะส่งเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลให้ก็ตาม แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากวางใจ“พี่ว่าแพรไปกับพี่ดีกว่า พี่จะแนะนำพี่ชายกับพี่สะใภ้ให้รู้จักด้วย”แพรพิไลส่ายหน้าหวือ เพราะเธอมีแผนอยู่ในใจแล้ว“อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ วันนี้แพรกะว่าจะเข้าไปที่สำนักงานเหมือนกัน เอาเป็นว่าแพรจะอยู่รอพี่สำนักงานดีกว่า”“ตามใจ”หญิงสาววิ่งขึ้นไปหยิบกระเป๋าสะพายซึ่งในนั้นมีฮาร์ดดิสก์ที่รชตคืนมาให้ เพื่อพกติดตัวไปด้วยตลอดเวลา เพราะกลัวว่ามันจะถูกขโมยไป อีกทั้งกะว่าจะนำข้อมูลในนี้ก๊อปปี้สำรองไว้อีกชุดหนึ่งแล้วฝากให้รชตเก็บเอาไว้รชตเดินเข้ามาในคลับเฮราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มดังเช่นทุกครั้ง ลูกค้าวีไอพีส่วนใหญ่ซึ่งพอเห็นเ