หญิงสาวนั่งเท้าคางมองไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ตรงกลางฟลอร์มีครองขวัญกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเต้นรำเข้าคู่กันอย่างสนุกสนานเพราะเป็นจังหวะเร็ว และเธอก็ไม่รู้ว่าจังหวะนี้เรียกว่าอะไร แต่ดูแล้วหากไม่ชำนาญการเต้นจังหวะนี้จริง ๆ มีหวังได้เหยียบเท้าหรือหกล้มกันแน่นอน
เขาไปไหนของเขานะ...ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจ จากนั้นร่างของเธอก็แข็งทื่อเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังเผลอตัวมองหารชตอย่างไม่น่าให้อภัย
“บ้าจริง” เธอทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างแรง ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองที่ดันเสียสมาธิเพราะผู้ชายคนนั้นจนได้
แพรพิไลยกสองมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา ตอนนี้เธอกำลังทำงานอยู่จะไขว้เขวเพราะสิ่งเร้าแสนเย้ายวนอย่างรชตไม่ได้เป็นอันขาด...ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเขาจะเชิญชวนเป็นอย่างยิ่งก็เถอะ
“ออกไปเต้นรำไหมครับ นั่งเฉย ๆ จะเบื่อซะเปล่า” เสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัว
ครั้นพอแพรพิไลหันมองตามเสียงจึงรู้ว่าเขาคือหนึ่งในครูสอนลีลาศที่เนื้อหอมที่สุดของคลับรองลงมาจากรชต
เธอยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนส่ายหน้าให้ช้า ๆ ก่อนตอบ
“เห็นทีจะไม่ไหวละค่ะเพราะจังหวะนี้ฉันเต้นไม่เป็น มันเร็วเกินไป ฉันเต้นได้แค่วอลซ์กับบีกินเท่านั้นเอง...เชิญนั่งสิคะ” เธอบุ้ยหน้าไปทางโซฟาอีกด้าน ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย
“ผมชาคริตครับ เป็นครูสอนลีลาศของที่นี่”
“แพรค่ะ...ฉันเห็นคุณเต้นกับคุณครองขวัญบ่อยๆ” สมองของเธอมีไฟสว่างวาบ...ในเมื่อถามกับรชตมักไม่ได้ข้อมูลเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ค่อยแย้มพรายอะไรออกมาให้ฟัง ฉะนั้นหากถามกับคนอื่น ๆ อาจจะได้ข้อมูลมากกว่าก็เป็นได้
“คุณรู้จักกับคุณครองขวัญด้วยหรือครับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่แววตาที่มองเธอกลับมีความพึงพอใจฉายชัดอยู่
“ก็เคยเจอกันตามงานสังคมบ่อย ๆ น่ะค่ะ แต่เราไม่ค่อยสนิทกันนักหรอก ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะเจอเธอที่นี่” แพรพิไลพยายามผ่อนคลายและทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดยามที่ปดออกไป ในใจคาดหวังเต็มเปี่ยมว่าน่าจะได้อะไรเด็ด ๆ จากครูสอนลีลาศคนนี้บ้างไม่มากก็น้อย
“คุณขวัญเธอเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของที่นี่ครับ มาเกือบทุกวัน พนักงานจะรู้จักเธอดีเพราะคุณขวัญเธอเฟรนด์ลี่มาก”
แม้เขาจะเอ่ยปากชื่นชมครองขวัญ แต่สายตาที่เขามองเธอนั้นดูหวานเชื่อมหยดย้อยเสียยิ่งกว่าตอนที่รชตมองเธอเสียอีก
“ดูท่าทางคุณคงชอบเธอน่าดู” แพรพิไลลองหย่อนเบ็ดไปอีกครั้ง เพราะบางทีครองขวัญอาจจะไม่ได้เลี้ยงดูหนุ่มหล่อแค่คนเดียวก็ได้
“เป็นธรรมดาครับเพราะคุณขวัญเธอไม่ถือตัว ว่าแต่คุณแพรเถอะ สนใจอยากลองเต้นจังหวะนี้ดูบ้างไหมครับ ผมยินดีสอนให้นะ ยิ่งมีพื้นฐานมาแล้วยิ่งง่าย ลองเต้นไม่กี่ครั้งก็สบายแล้ว”
“จังหวะนี้เรียกจังหวะอะไรคะ” เธอเลื่อนสายตาไปที่ฟลอร์อีกครั้ง เห็นฝีเท้าเหยียบย่ำสับสนของแต่ละคนแล้วรู้สึกถอดใจ คิดแล้วก็อดนับถือครองขวัญไม่ได้ ช่างมีพรสวรรค์ในด้านการเต้นเสียจริง
“รุมบ้าครับ จังหวะนี้ก็มีหลายสเตป แต่ผมจะสอนแบบง่าย ๆ ให้ก่อนดีกว่า...เชิญครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาให้จับ
แพรพิไลอดคิดไปถึงรชตไม่ได้ จำได้ว่าครั้งนั้นเขาก็ยื่นมือมาอย่างนี้เช่นกัน...เธอพยายามสลัดภาพของเขาทิ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้ววางมือลงไป
ชาคริตพาแพรพิไลมาที่ริมสุดของฟลอร์สำหรับคนที่เพิ่งหัดเต้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่เต้นเป็นอยู่แล้วตรงกลางฟลอร์ ชายหนุ่มค้อมศีรษะขออนุญาต จากนั้นก็จับมือเธอไว้ทั้งสองข้าง
“Basic movement ก่อนนะครับเกี่ยวกับการก้าวเท้า จังหวะแรกผมก้าวเท้าซ้ายคุณแพรถอยเท้าขวา จังหวะที่สองถ่ายน้ำหนักมาที่เท้าซ้ายเท้าขวาอยู่ที่เดิม จังหวะที่สามเท้าขวาคืนมาแล้วก้าวไปด้านข้าง จังหวะที่สี่ถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าขวา ใช่ครับ อย่างนั้นแหละ ดีมากครับ” เขาสอนเธอช้า ๆ อย่างใจเย็นพร้อมกับนับจังหวะให้ด้วย
และเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเอาแต่จดจ่ออยู่กับเท้าของตัวเองจนไม่ทันได้มองสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งว่าชาคริตปล่อยมือเธอไปครั้งหนึ่งแล้วมาจับใหม่อย่างรวดเร็วเธอก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองดู
“พอจับจังหวะได้รึยังครับ” ทว่าพอจบประโยคนี้ แพรพิไลก็เงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับที่เท้าหยุดการเคลื่อนไหว
“อ๊ะ! คุณอาร์ต” ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร มือที่เกาะกุมกับเขาอยู่ก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งที่ตอนที่จับกับชาคริตเธอยังรู้สึกเฉย ๆ อยู่ด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับ ชาคริตคงบอกคุณแล้วว่าจังหวะรุมบ้ามีหลายสเตป ฝึกวันเดียวอาจจะยังไม่เป็น ทางที่ดีคุณน่าจะมาที่นี่ทุกวัน” เขาพูดยิ้ม ๆ ขณะที่ยังจับมือของเธออยู่แม้ว่าจะหยุดการฝึกก้าวเท้าไปแล้วก็ตาม
“เมื่อวานฉันก็มา” แพรพิไลนึกอยากตบปากตัวเองนักที่เผลอทำน้ำเสียงเหมือนตัดพ้อเขา ยิ่งเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้างจนตายิบหยี เธอก็รู้ทันทีว่าพลาดแล้ว
“เมื่อวาน...เป็นวันหยุดของผมน่ะครับ แต่ถ้าผมรู้ว่าคุณแพรมาที่นี่ รับรองเลยว่าผมจะรีบมาหาคุณแพรทันทีแม้ว่าจะไม่ได้ค่าแรงก็ตาม”
ได้ยินชายหนุ่มพูดอย่างนี้หญิงสาวก็หมดคำพูดจะต่อล้อต่อเถียง ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่เปลี่ยนเพลงพอดี
“เรามาต่อกันดีไหมครับ” เขาบีบมือเธอเบา ๆ แพรพิไลจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้มีคู่ของตนคู่เดียวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างฟลอร์
“แล้วคุณชาคริตล่ะคะ” หญิงสาวหันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนที่ตัวเองถามหาไปเต้นรำกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“เขาไปดูแลลูกค้าคนอื่นน่ะ” พูดจบเขาก็ยกมือเธอขึ้นระดับเอว ก่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าจังหวะก่อน
...ริมฝั่งน้ำ พร่ำเพ้อละเมอครวญ เคยชื่นชวนเมื่อหวลคนึงไป จิตใจยังชื่นชู...[1]
“ต่อไปเป็น ฟิกเกอร์ อันเดอร์ อาร์ม เดี๋ยวผมจะนับจังหวะให้เหมือนคราวที่แล้ว ตอนหมุนใช้เท้าซ้ายหมุนนะครับ”
...แสงเดือนส่องยิ่งมองแล้วจิตเผลอ เธอยังอยู่ เคล้าคลอคู่ชื่นชูรู้สึกเหมือนเตือนใจจำ...
“หมุนครับ”
เธอหมุนตามที่เขาบอก แต่เพราะมือถูกชูขึ้นสูงกะทันหัน อีกทั้งตอนกำลังหมุน สายตาไปประสานกับครองขวัญเข้าพอดีจึงทำให้เสียจังหวะไปเล็กน้อย ผลคือส้นสูงของเธอพลิกจนเกือบล้ม โชคดีที่รชตคว้าเอวไว้ได้ทันท่วงที
“ขอบคุณมากค่ะ” แพรพิไลเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มก้มลงมาพอดี ส่งผลให้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่นิ้วกั้น ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาราดรดบนผิวแก้ม
...เธอกับฉัน ก่อนนั้นเคยชื่นฉ่ำ ริมฝั่งน้ำสุขล้ำฉันจำได้ อะไรจะเทียมทัน...
“เป็นอะไรรึเปล่า ขาแพลงไหมครับ” เขาถามโดยที่สายตาไม่ละไปจากวงหน้าของเธอแม้แต่วินาทีเดียว
วงแขนที่รัดเอวไว้ดูเหมือนจะแน่นขึ้นจนแพรพิไลรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขากอดแล้วจมหายไปกับแผงอกของเขา
“มะ...ไม่แน่ใจค่ะ คงต้องลองขยับขาดู” เธอตอบพลางหลบสายตาของเขาลงมองพื้น
รชตจึงค่อย ๆ คลายวงแขนออกอย่างอ้อยอิ่ง สายตาที่มองหญิงสาวดูลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมจนแพรพิไลไม่กล้าสบตาด้วย ได้แต่ลองขยับข้อเท้าเพื่อแก้เขิน
รชตมองอาการขัดเขินของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู สำหรับเขาแล้วจัดว่าเป็นของหาดูยากเลยทีเดียวที่จะเห็นแม่ตัวแสบของเขาเขินจนหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก
เขาหันมองชาคริตที่กำลังสอนหญิงสาวคนหนึ่งเต้นรำแล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากเมื่อครู่เป็นผู้ชายคนนั้นที่รับแพรพิไลไว้ในอ้อมแขนจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดแล้วคงบาดตาน่าดู เพราะแค่เขาเข้ามาในคลับแล้วเห็นเธอจับมืออยู่กับผู้ชายคนอื่นเขาก็รู้สึกไม่พอใจจนต้องไปยืนใกล้ ๆ แล้วส่งสัญญาณบอกชาคริตให้ถอยออกมา จากนั้นเขาก็เข้าไปสวมรอยแทน
การกลับมาเจอกันอีกครั้งคราวนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยเธอให้หลุดมือไปอีกอย่างเด็ดขาด
“ทำไมจังหวะนี้ยากจัง มียากกว่านี้อีกไหมคะเนี่ย”
แพรพิไลทำหน้ามุ่ยเพราะเผลอเหยียบเท้ารชตไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
“แปลว่าคุณแพรไม่ถนัดจังหวะเร็ว ๆ ความจริงแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับคนชอบด้วยนั่นแหละ จังหวะที่เร็วกว่านี้อีกนิดก็จะมีกัวราชา แต่บางคนก็บอกว่ากัวราชาง่ายกว่ารุมบ้า มันเลยเอามาวัดกันไม่ได้” รชตตอบอย่างใจเย็น
[1] เพลงริมฝั่งน้ำ ขับร้องโดย มาริษา อมาตยกุล คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เวส สุนทรจามร บันทึกเสียงครั้งแรกโดย ชวลีย์ ช่วงวิทย์ ในปี พ.ศ. 2492
แพรพิไลสังเกตว่าทุกครั้งเวลาที่ชายหนุ่มคุยกับเธอ มุมปากของเขามักยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอยู่เสมอ ดูมีเสน่ห์เสียจนไม่อยากถอนสายตากลับแต่ถ้าเธอไม่ถอนออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ต้องทำงานทำการกันแล้วกระมัง ผู้ชายอะไร แรงดึงดูดมากเสียจนน่าหวาดหวั่น!แพรพิไลผินหน้าไปมองครองขวัญซึ่งขณะนี้กำลังนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะโดยมีชาคริตนั่งอยู่ด้วย หญิงสาวแบ่งสมาธิของตนไปที่คู่นั้นทันที เพราะมือของสองหนุ่มสาวเกาะกุมกันอยู่ สักพักชาคริตก็ถอนมือกลับ ขณะที่ครองขวัญเอามือลากโต๊ะมาจนกระทั่งถึงกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองมองผิวเผินเหมือนว่าหนุ่มสาวสองคนนี้แค่จับมือกันแล้วปล่อย แต่สำหรับแพรพิไลที่ลอบมองตาแทบไม่กะพริบนั้นรู้สึกได้ว่าการจับมือกันของทั้งคู่ช่างไม่ธรรมดา ชาคริตส่งอะไรบางอย่างให้ครองขวัญ และครองขวัญเก็บสิ่งนั้นใส่กระเป๋าอีกด้วย!“โอ๊ย!” เสียงร้องเบา ๆ ของรชตเรียกสายตาของแพรพิไลกลับมาที่เขาทันที“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ เจ็บไหมคะคุณอาร์ต ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวก้มลงมองรองเท้ามันปลาบของเขาซึ่งมีรอยรองเท้าของเธอเข้าไปเต็ม ๆ รองเท้าคู่นี้มองดูก็รู้ว่า
แพรพิไลสังเกตการณ์อยู่ในรถครู่หนึ่งพร้อมทั้งหยิบกล้องปากกาออกมาเก็บภาพโดยรวมของสถานที่ไว้ เสร็จเรียบร้อยก็ขับออกมาเพื่อตั้งหลัก สำหรับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและดูมีลับลมคมในแบบนี้ เธอยอมถอยออกมาก่อนดีกว่าดันทุรังจะเข้าไป เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นคงไม่มีใครช่วยเธอได้แน่นอนหญิงสาวขับรถกลับบ้านทั้งที่ในสมองมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ซึ่งเป็นเพียงคอนโดมิเนียมธรรมดา ๆ แต่บริเวณที่ครองขวัญเข้าไปกลับอยู่ชั้นล่างสุดซึ่งน่าจะเป็นพวกร้านค้าต่าง ๆ มากกว่า แถมยังต้องเข้าด้านหลังอาคาร ไฟก็ไม่เปิด ทำให้พื้นที่โดยรอบประตูทางเข้ามืดจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร หนำซ้ำยังมีคนยืนเฝ้าอีกสองคนเพื่อสแกนคนที่จะเข้าไปด้านในอีกด้วย“แปลกแฮะ มีแต่เรื่องไม่เข้าใจเต็มไปหมด” พรุ่งนี้เธอมีนัดต้องรายงานผลให้สุกำพลทราบในช่วงบ่าย บางทีหากเธอให้เขาดูรูปสถานที่เมื่อครู่อาจจะคิดอะไรออกก็เป็นได้ช่วงสายของวันถัดมา แพรพิไลนำรูปทั้งหมดที่ถ่ายได้เมื่อวานโอนใส่แท็บเล็ตพร้อมกับนั่งเปิดดูไปทีละรูปอย่างใจเย็น ส่วนไหนที่เป็นข้
แพรพิไลไม่ได้เล่าเรื่องคอนโดมิเนียมแห่งนั้นให้สุกำพลฟัง เพราะคิดอยู่ว่าจะหาทางไปถ่ายรูปที่นั่นให้ชัดเจนกว่านี้ และถ้าเป็นไปได้เธอจะหาวิธีเข้าไปในนั้นด้วย แต่ที่แน่ ๆ ก็คือช่วงกลางวันแบบนี้เธอจะขับรถไปดูตรงนั้นให้แน่ใจว่าบริเวณนั้นในตอนกลางวันเปิดเป็นร้านอะไรสุกำพลถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับดึงตัวขึ้นมานั่งหลังตรงตามเดิม เธอมองออกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะหัวคิ้วขมวดกันมุ่น คงเพราะเรื่องที่เธอรายงานเป็นแน่“ถ้าอย่างนั้นแพรขอตัวก่อนดีกว่านะคะ มีอะไรต้องไปทำหลายอย่างเลย” เธอทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้แน่น“เดี๋ยวก่อนสิครับ ถ้าคุณแพรไม่รังเกียจ รบกวนกินข้าวกับผมสักมื้อได้ไหม” เขาปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดูไม่รีบร้อนและไม่อ้อยอิ่งจนเกินไป จนแพรพิไลอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างสุกำพลดูร้ายกาจและอันตรายยิ่งกว่ารชตเสียอีก‘บ้าจริง! นึกถึงเขาอีกแล้ว...’“ได้สิคะ แหม แพรจะรังเกียจลูกค้าได้ยังไง”เธอพูดพร้อมกับรีบไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะหาเรื่องรั้งให้นั่งอยู่ข้าง ๆ เห
หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แพรพิไลกับสุกำพลก็เดินออกมาจากร้านอาหาร คราแรกชายหนุ่มอาสาเดินไปส่งเธอที่รถ แต่หญิงสาวห้ามไว้เพราะเกรงใจ อีกทั้งไม่ต้องการเปิดโอกาสให้เขาทำตัวสนิทสนมเกินเลยไปกว่านายจ้างกับลูกจ้าง และเพื่อป้องกันคำครหาที่อาจตามมาภายหลังระหว่างที่เดินมาบริเวณที่จอดรถ แพรพิไลอดมองหารชตไม่ได้ เพราะตอนที่อยู่ในร้านยังเห็นเขายืนพิงเสามองมาอยู่เลย แต่พอเดินออกมาจากร้านแล้วเขากลับหายไปเฉย ๆหญิงสาวเดินไปที่รถของตัวเองพร้อมกับควานหากุญแจในกระเป๋าไปด้วย เมื่อเจอแล้วจึงหยิบขึ้นมา กำลังจะกดปลดล็อกรถก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง“คุณแพรครับ”“ว้าย!” แพรพิไลกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับหันมองคนเรียกด้วยท่าทางหวาดระแวง ขณะที่รชตรีบกางมือออกแล้วยกขึ้นระดับอก พร้อมถอยหลังมาอีกหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้ดูเป็นการคุกคามเธอมากเกินไป“ผมเองครับ ขอโทษทีไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้”รชตพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นหญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับค้อนให้เขาวงใหญ่ถึงได้เอามือลงแล้วสอดไว้ในก
แพรพิไลเดินมานั่งตรงโต๊ะที่เขาบอก ระหว่างรอก็ลอบมองรชตจากทางด้านหลังพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด รชตแทนตัวเองว่าพี่ และเรียกเธอด้วยชื่อเล่นสั้น ๆ ว่าแพรโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าความจริงแล้วเธอไม่ได้ถือตัวอะไรมากมาย เพราะมันก็แค่คำเรียกขาน แต่ที่รู้สึกสะกิดใจก็เพราะถ้อยประโยคเหล่านั้นคุ้นหูคุ้นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนพี่...แพร...ที่ไหนกันนะ...“คุณแพรปวดหัวหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ฉุดเธอให้วิ่งออกมาจากกล่องความทรงจำแล้วลืมตามองอีกฝ่ายทันที จึงเห็นว่ากาแฟเย็นแก้วโปรดวางอยู่ตรงหน้าแล้วเรียบร้อย“เปล่าหรอกค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย ขอบคุณสำหรับกาแฟนะคะ”หญิงสาวใช้หลอดคนกาแฟในแก้วให้เข้ากันก่อนดูด กระนั้นก็ยังอดเหลือบมองเขาไม่ได้ปกติเคยเจอกันแต่ในคลับ ซึ่งแสงไฟและบรรยากาศไม่ได้สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน พอได้มาเจอเขาข้างนอกแบบนี้แล้วให้ความรู้สึกแปลก ๆ และคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ เขาดูดีกว่าที่คิดตอนกลางคืนรชตก็ดูโดดเด่นกว่าผู้ชายคนอื่นในคล
ตรงนั้นมีประตูบานหนึ่งซึ่งหากมองขึ้นไปชั้นบนจึงคิดว่าด้านหลังของประตูบานนี้น่าจะเป็นบันไดหนีไฟ แพรพิไลเดินเข้าไปใกล้ ๆ หันมองซ้ายขวาว่ามีคนอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจึงลองหมุนลูกบิดดูก็เห็นเป็นจริงตามที่คาดเดาไว้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอสงสัยก็คือบันไดไม่ได้หยุดอยู่แค่ชั้นล่างสุดนี้เท่านั้น ทว่ามันกลับมีทางลงไปยังชั้นใต้ดินอีกด้วยหญิงสาวตัดสินใจปิดประตูไว้ตามเดิม เพราะต่อให้เลือดนักสืบพลุ่งพล่านอยู่ในกายมากแค่ไหน แต่ความปลอดภัยในชีวิตย่อมมาก่อน ในเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าชั้นใต้ดินนั้นมีอะไรรออยู่ ฉะนั้นทางที่ดีควรถอยออกมาตั้งหลักแล้วหาทางลงไปข้างล่างให้ได้ดีกว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการติดตามครองขวัญอย่างเดียวแล้ว แต่ความลึกลับของสถานที่แห่งนี้ต่างหากที่ดึงดูดความสนใจอย่างยิ่งยวดให้สืบเสาะหาว่ามันคืออะไรกันแน่แพรพิไลเดินกลับไปที่รถของตนเองโดยที่สายตาก็คอยสอดส่ายไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กระทั่งเดินมาถึงรถ กำลังจะกดปลดล็อกรถ สายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกเสียบไว้ตรงที่ปัดน้ำฝนบริเวณฝั่งคนขับจึงหยิบออกเพราะคิดว่าเป็นแผ่นโฆษณาทั่วไป ทว่า
แพรพิไลพูดไม่ออก เพราะว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่ได้ล่วงเกินเธอสักนิด สัมผัสอันแสนเซ็กซี่เมื่อครู่นั้นเกิดจากมือของเธอเองล้วน ๆ โดยอาศัยการนำพาจากฝ่ามืออุ่นร้อนของรชต แพรพิไลเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขาคอยชี้นำอยู่ข้างหลังจึงทำให้เธอไม่ได้ยืนเฉย ๆ อยู่กลางฟลอร์ให้เป็นจุดสังเกตของคู่เต้นรำคู่อื่น“ตอนนี้จังหวะอะไรคะ แทงโก้หรือ” เพลงนี้เธอเคยฟัง จังหวะของมันน่าจะเป็นแทงโก้เพราะเคยเห็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เปิดฉากในงานเต้นรำสวมหน้ากาก“ครับ แทงโก้ แต่ครึ่งชั่วโมงต่อจากนี้เป็นอิสระ ใครจะเต้นแบบไหนก็ได้ตามแต่ที่ใจอยากเต้น”เขาชูมือแพรพิไลขึ้นสูงแล้วหมุนตัวหญิงสาวจนกระโปรงบานพลิ้วสยายตามแรงหมุนราวกับปีกผีเสื้อ ครั้นพอหมุนครบรอบก็กลายเป็นว่าเธอกับเขาหันหน้าชนกันจนหน้าผากเกือบชิด แต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปนั้นตัวเธอแทบจมหายไปกับร่างของเขา รับรู้ได้ถึงแรงกอดกระชับที่เอว และกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของรชตที่เธอเริ่มคุ้นเคยโอบล้อมรอบกาย“ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเมา”แพรพิไลพูดเสียงแผ่วขณะที่สายตาสบประสานกับเขาจนมองเห็นตั
เบื้องหน้าคือทางเดินทอดยาวกว้างประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งจากที่แพรพิไลกะด้วยสายตาคร่าว ๆ นั้น ความยาวของทางเดินนี้น่าจะเท่ากับความยาวของคอนโดฯ แห่งนี้พอดี ผนังทั้งสองด้านเป็นผนังคอนกรีตแต่ด้านหนึ่งทาสีดำไว้จนสุดทางเดินและสูงจดเพดาน มีบานประตูอยู่ทั้งหมดห้าบาน และน่าจะล็อกเอาไว้ทั้งหมดแสงไฟตามทางเดินมีเพียงหลอดฟลูออเรสเซนต์สามดวงเท่านั้น แต่ก็เพียงพอให้แพรพิไลสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่มีเส้นสีขาวทาไว้ในลักษณะเฉียงทำมุมสี่สิบห้าองศากับผนัง มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นลานจอดรถมาก่อนแพรพิไลลองเอาหูแนบกับผนังสีดำ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรมากนักนอกจากความอื้ออึงที่เดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไร จากนั้นก็ลองหมุนลูกบิดประตูแต่ละบาน และก็เป็นดังคาดที่ประตูถูกล็อกไว้ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ระหว่างที่กำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าไปข้างในได้นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวของใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาจนหญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจ“คุณลงมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ!”แพรพิไลหันไปมองเจ้าของเสียงทันที ใจก็ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มจนมือสั่นเล็กน
เด็กชายวัชร์ส่งเสียงทักทายผู้เป็นอาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างพลางกางแขนจะให้อุ้ม รชตจึงยื่นมือไปรับร่างป้อมของหลานชายมาอุ้มไว้“แพร นี่พี่โอม พี่ชายพี่เอง...นี่แพร ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ” รชตหันไปแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันแพรพิไลยกมือไหว้อีกฝ่ายก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อได้ยินที่เขาพูดว่าเคยเล่าเรื่องของเธอให้พี่ชายฟังด้วยพชรรับไหว้พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นัยน์ตาคมกริบลอบประเมินว่าที่น้องสะใภ้แล้วรู้สึกว่าแพรพิไลคนนี้มีบุคลิกเหมือนช่อมาลี ภรรยาของเขาอยู่มากเลยทีเดียวเหมือนที่ความมั่นใจ เหมือนที่ความกระตือรือร้นในแววตา และเหมือนที่ดูเป็นคนอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้จากนั้นทั้งหมดก็พากันเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งมีเพียงช่อมาลีนั่งอ่านนิตยสารรถยนต์อยู่เพียงลำพัง ครั้นพอเห็นว่ารชตพาคนรักมาถึงแล้วจึงปิดหนังสือแล้ววางไว้บนโต๊ะตามเดิมรชตแนะนำให้สองสาวรู้จักกัน ซึ่งทั้งแพรพิไลและช่อมาลีต่างรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่ที่ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นช่อมาลีก็เดินไปเรียกบิดามารดาของทั้งสองหนุ่มที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่อีกห้องหนึ่งการทำคว
“ว่าแต่เป้าหมายเป็นใครล่ะ” รชตถามพลางมองไปรอบฟลอร์ ครั้นพอเห็นสายตาของแพรพิไลเขาก็เลิกคิ้วขึ้น“อย่าบอกนะว่าคือผู้หญิงที่เต้นรำกับพี่เมื่อกี้”“ใช่เลย คนนั้นนั่นแหละ” แพรพิไลยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าของเขาซึ่งทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา“อยากรู้ล่ะสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ชายหนุ่มกะพริบตาให้เธอข้างหนึ่ง ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนคนมองเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอามือไปปิดตาคู่นั้นไว้เสีย“อยากรู้สิ แต่พี่น่ะจะบอกแพรรึเปล่า”“บอกสิ แต่แพรน่ะยอมเอาตัวเข้าแลกรึเปล่า”แพรพิไลสะดุ้งเฮือกเมื่อแผ่นหลังเปล่าเปลือยสัมผัสกับที่นอนเย็นเฉียบ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้หญิงสาวกับรชตยังเต้นรำกันอยู่บนฟลอร์ที่คลับเฮรา ทว่าเวลานี้ร่างไร้อาภรณ์ของเธอกลับมานอนอยู่ใต้ร่างกำยำบนเตียงในห้องนอนของตัวเองเสียแล้วทุกอณูเนื้อกำลังถูกลมหายใจและริมฝีปากร้อนผ่าวไล่ประทับตีตราไปทั่วราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มือทั้งสองข้างของเขาลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่ว
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสแขนกุดสีม่วงอเมทิสต์เยื้องย่างราวกับนางพญาเข้ามาในคลับเฮรา คลับลีลาศอันโด่งดังที่สุดในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเต้นรำ เรือนร่างเย้ายวนและความสวยนั้นสะกดสายตาทุกคู่ไว้ได้อย่างง่ายดาย เธออมยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่อยู่ด้านในสุด นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบด้านด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำที่มีผีเสื้อราตรีหลายคู่กำลังเริงระบำกันท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวผู้มาใหม่ทันที ปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังมองมาทางตนอย่างสนใจหญิงสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่มารอรับออร์เดอร์ จากนั้นก็ทำทีเป็นไม่สนใจคนคู่นั้นอีก นิ้วมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ พลางหลับตาแล้วฮัมไปด้วยอย่างอารมณ์ดี“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับคุณผู้หญิง”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นตรงหน้าปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ครั้นพอเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขากับสายตาเชิญชวนคู่นั้น เธอก็ตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“เลว! อย่างน้อยก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา เขาน่าจะนึกถึงเรื่องนี้บ้าง นี่อะไร...เหยียบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจมดินแบบนี้เลยน่ะหรือ แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง พี่อาร์ตรู้ไหมคะ”“คุณพ่อคุณแม่ของคุณขวัญพาไปบำบัดน่ะ เพราะผลข้างเคียงของยาเสพติดพวกนี้ทำให้คนที่ไม่ได้เสพจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง...คุณขวัญเคยพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้งแล้ว แต่คนในบ้านช่วยไว้ได้ทันเวลา”“แปลกนะคะ ถ้าไปรักษาตัวตอนที่พยายามฆ่าตัวตาย ทำไมไม่เห็นมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างเลย”เธอจำได้ว่าตอนนั้นพยายามหาข่าวของครองขวัญจากหลาย ๆ ที่ว่าหายไปไหน เนื่องจากไม่เห็นอีกฝ่ายไปที่คลับเฮราติดกันหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง ข่าวที่ได้มาจึงค่อนข้างหลากหลายจนดูไม่น่าเชื่อถือ“ตระกูลของคุณขวัญเป็นตระกูลผู้ดีเก่ามีหน้ามีตาในสังคม เรื่องที่จะส่งลูกสาวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่ะลืมไปได้เลย เขาเรียกหมอไปรักษาที่บ้าน จ้างพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้า เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะทำร้ายตัวเองอีก”“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชีวิตพังเพราะผู้ชายคน
“แพรขอโทษ แพรไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่พี่อาร์ตนะ แต่แพรเป็นอะไรไม่รู้ แพรหงุดหงิดไปหมด มันรู้สึกอึดอัดในอกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ แพรอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาจนอยากทำลายทิ้งให้หมด...แพรไม่อยากเป็นแบบนี้เลยพี่อาร์ต ทำยังไงดี ฮือ...”“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันเป็นผลข้างเคียงจากยาที่แพรดื่มเข้าไปน่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้วแพร ทนหน่อยนะ ถ้าแพรอยากทำลายข้าวของ แพรมาทึ้งเสื้อผ้าพี่แทนก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำตอนที่หมอกับพยาบาลอยู่ก็พอ เดี๋ยวเป็นข่าว” รชตพูดหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังหัวเราะทั้งน้ำตาแพรพิไลพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงที่จนกระทั่งเริ่มผ่อนคลายลงจึงเอ่ยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์อีกครั้ง“ตกลงแล้วพี่ศักดิ์ถูกบีบบังคับยังไงกันคะ”“สุกำพลจับตัวลูก ๆ ของพี่ศักดิ์ไว้เป็นตัวประกันน่ะ พี่ศักดิ์มีลูกสาวกับลูกชายอย่างละคนใช่ไหมล่ะ มันจับเด็ก ๆ ไปอยู่ในความดูแลของสุกำพล เขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรเด็กจนกว่าพี่ศักดิ์จะหาหลักฐานที่เหลือมาได้ จนครั้งสุดท้ายที่เขาเรียกใช้งานพี่ศักดิ์ก็คือตอนที่เขาพาตัวแพรไปให้
“ข่าวด่วน นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ แท้จริงแล้วคือมาเฟียยาเสพติด!”“นักธุรกิจชื่อดัง สุกำพล พัวพันคดียาเสพติด”ข่าวพาดหัวตัวโตของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพร้อมใจกันลงข่าวไฮโซหนุ่มเนื้อหอม นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของธุรกิจมากมาย รายการข่าวทางโทรทัศน์และวิทยุต่างนำเสนอข่าวนี้กันแทบทุกช่องจนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่คนต่างพูดถึงกันมากที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะผ่านมาถึงสองวันแล้วก็ตามรชตหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นกดเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น เพราะเบื่อข่าวของสุกำพลเต็มที ยิ่งนานวันนักข่าว นักสืบออนไลน์ และนักสืบโซเชียลทั้งหลายต่างก็พากันขุดคุ้ยเรื่องของสุกำพลไม่หยุด บางคนก็แต่งเรื่องโกหก บางคนก็เป็นผู้เสียหาย บางรายก็ฟังเขาเล่ามา จนเวลานี้แทบไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ“พี่อาร์ตเปลี่ยนช่องทำไม” น้ำเสียงราบเรียบของแพรพิไลทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่เตียงคนไข้“อ้าว...ตื่นนานรึยัง อยากกินอะไรไหม” เขาไม่ตอบคำถามของ
“คุณสุกำพล จนป่านนี้แล้วคุณคิดว่าจะหนีรอดหรือ ตอนนี้ทางออกทุกทางของที่นี่ตำรวจปิดล้อมไว้หมดแล้ว บรรดาสมาชิกที่พากันวิ่งออกไปนั่นก็ถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมด...ผมจะบอกอะไรให้นะ ป่านนี้ข้างในนั้นน่ะคงถูกตำรวจเคลียร์พื้นที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหนีไม่พ้นหรอก”สารวัตรจุมพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ น้ำเสียงที่พูดไม่มีแววเยาะเย้ยอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหนักแน่นจริงจังเสียจนคนมองเริ่มสะท้านเก่ง ลูกน้องของสุกำพลมีสีหน้าเครียดจัด มือที่ถือปืนอยู่เริ่มลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งยอมวางปืนไว้บนพื้นแล้วยกมือขึ้นวางบนศีรษะแต่โดยดีนายตำรวจนายหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปนำปืนกระบอกนั้นมาเก็บไว้ ท่ามกลางเสียงตวาดกร้าวของสุกำพลที่หันไปข่มขู่และด่าทอลูกน้องอย่างสาดเสียเทเสีย ตำรวจอีกสองนายจึงเข้าไปควบคุมตัวทั้งสองคนไว้แล้วพาขึ้นไปด้านบนสารวัตรจุมพลไม่ได้เดินตามผู้ต้องหาไป แต่กลับเดินผ่านเข้าไปในสมาคมเพื่อหาตัวรชตกับพวกรชตวิ่งกลับเข้าไปในฮอลล์อีกครั้งโดยมีเสียงปืนไล่ยิงมาตามหลัง เขามั่นใจว่าตอนนี้ตำรวจน่าจะเข้าควบคุมทุกอย่างไว้ได้หมดแล้ว เพราะฟังจากเสี
สุกำพลยิ่งเดือดดาลเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ผู้บุกรุกทั้งสองคนนี้นอกจากจะไม่กลัวปืนในมือของเขาแล้ว ยังมีทีท่าไม่ยอมทำตามคำสั่งราวกับคำขู่ของเขานั้นไม่ได้ผล...แต่เขาไม่มีเวลามาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับพวกนี้แล้ว“ไปเอาตัวผู้หญิงมา” สุกำพลหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งจึงเดินอาด ๆ เข้ามาหาแพรพิไลซึ่งทรุดตัวลงนั่งเอาหลังพิงกำแพงพร้อมกับเอาแขนโอบกอดตัวเองแน่นเหมือนทรมานกับอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวที่เป็นอยู่รชตตั้งท่าเตรียมรับไว้อยู่แล้ว เมื่อเห็นการ์ดร่างใหญ่ของสุกำพลเดินเข้ามาใกล้จึงออกหมัดชกไปเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซถอยไปด้านหลังเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งไม่คิดว่ารชตจะกล้าท้าทายด้วยการเป็นฝ่ายลงมือก่อน“มึง!” คนถูกต่อยคำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราด ทันทีที่ตั้งหลักได้ก็พุ่งตัวเข้าใส่รชตราวกับหมีตะปบเหยื่อรชตอาศัยความปราดเปรียวกว่าหลบหมัดลุ่น ๆ ของการ์ดร่างยักษ์ไปได้ด้วยความว่องไวปารุสจ้องเขม็งอยู่ที่ปืนสลับกับจ้องใบหน้าของสุกำพลอย่างไม่ให้คลาดสายตา การต่อยตีของรชตกับคนของสุกำพลนั้นเรียกคว
ปารุสสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ มีมือเย็นเฉียบของใครบางคนมาเกาะที่น่อง ครั้นพอก้มลงมองจึงรู้ว่าเป็นแพรพิไลซึ่งยังอยู่ในอาการเมายาไม่ได้สติ ชายหนุ่มรีบชักขากลับมาแล้วดันหญิงสาวอีกคนที่กำลังนั่งเกาะขาเขาอยู่เข้าไปหาแพรพิไลแทนอย่างน้อยก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มันคงดีกว่าที่เจ้านายจะมาเห็นผู้หญิงของตัวเองกำลังนัวเนียกับเขา เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะถูกหักเงินเดือนไปทั้งปีหรือเปล่า“รีบออกไปกันเถอะ...อ้าวเฮ้ย!” รชตอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผู้หญิงที่คลุกวงในอยู่กับปารุสเมื่อครู่มาตอแยแพรพิไล ชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปคว้าตัวแฟนสาวออกมากอดไว้แล้วหันไปพยักหน้ากับปารุส“เมื่อกี้ผมจุดไฟเผาผ้าม่าน อีกเดี๋ยวคนคงเริ่มสังเกตแล้วละ เราต้องอาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไป”พูดจบก็มองไปที่ด้านหลัง ควันไฟเริ่มหนาขึ้นจึงรีบประคองพาแพรพิไลเดินห่างออกมาจากจุดเกิดเหตุที่เขาเพิ่งใช้เทียนเผาผ้าม่านสีดำ เขาภาวนาให้มันลุกติดไฟเร็ว ๆ เพราะควันจะได้มากพอที่จะลอยขึ้นไปสัมผัสกับสัญญาณเตือนอัคคีภัยที่อยู่บนเพดาน และเมื่อถึงตอนนั้น ที่น