“ว่าไงนะคะ ลาออกงั้นหรือ”
แพรพิไลถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงแหบแห้ง รู้สึกเรี่ยวแรงหดหายทันทีเมื่อนักสืบมือดีของสำนักงานมายื่นใบลาออก
“คุณแพรต้องเข้าใจผมด้วยนะครับ ลูกผมยังเล็ก ผมเองก็ต้องกินต้องใช้” คนพูดถอนหายใจแผ่ว หลุบตาลงต่ำเหมือนไม่กล้าสู้หน้า
แพรพิไลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ยอมรับแต่โดยดี
“แพรเข้าใจค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เคยช่วยงานคุณพ่อมาตั้งหลายปี” หญิงสาวส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้
สีหน้าละอายใจผุดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวออกไปจากห้องทันที
แพรพิไลไม่คิดโทษใครทั้งสิ้น รู้ดีว่าการที่เธอเข้ามาบริหารสำนักงานนักสืบไพศาลแทนบิดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหกเดือนก่อนเป็นเหตุให้นักสืบหลายคนไม่เชื่อในฝีมือ และต่างพากันคิดว่าเธอกำลังพาสำนักงานนักสืบแห่งนี้ล่มจมลง ดังนั้นในช่วงหกเดือนนี้จึงมีนักสืบคนเก่าคนแก่ฝีมือดีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดาพากันตบเท้าลาออกกันเป็นแถว
จะโทษพวกเขาที่ทอดทิ้งเธอก็ไม่ได้ เพราะในช่วงหกเดือนนี้แทบไม่มีงานผ่านเข้ามาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็แต่งานติดตามบุคคล คดีชู้สาวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ในเมื่อไม่มีงานเข้า รายได้ก็หดหายตามไปด้วย ทว่ายอดหนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นจนเธอได้แต่กุมศีรษะเมื่อเห็นรายการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
ตอนที่เธอเรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศ ไม่เคยรู้เลยว่าบิดาจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึงขนาดนี้ ครั้นพอท่านเสียชีวิตลง เธอจึงถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยทันทีเพื่อจัดการงานศพ และเพื่อรับมรดกของบิดา ซึ่งมรดกนั้นก็คือสำนักงานนักสืบไพศาลแห่งนี้ แถมยังพ่วงมาด้วยหนี้สินก้อนโตจากธนาคารอีกด้วย
การเรียนปริญญาโทของเธอสิ้นสุดลงในวันนั้นทันที...
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้งปลุกให้แพรพิไลตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปมองคนที่กำลังเดินเข้าประตูมาด้วยท่าทางตื่นเต้นระคนดีใจ
“มีอะไรหรือเจ”
“พี่แพร! มีคนมาติดต่อว่าจ้างเราละ ตอนนี้เจให้ไปรอที่ห้องประชุมแล้ว” เจติยา นักศึกษาจบใหม่ เป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกันกับแพรพิไลพูดพลางยิ้มพลาง ท่าทางดีใจราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
อย่าว่าแต่เจติยาจะดีใจเลย เธอเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้รุ่นน้องเช่นกัน
“จริงหรือ โอเค พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ไปตามโจมาให้พี่ด้วยนะ”
ร่างระหงลุกพรวดขึ้นทันทีพร้อมกระดาษปากกาและโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการเก็บรายละเอียดตอนรับงาน จากนั้นก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากห้องทำงานไปยังห้องประชุมที่ว่าทันที
สำนักงานนักสืบไพศาล เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสองคูหา ด้านข้างของอาคารเป็นพื้นที่ว่างโล่งประมาณห้าสิบตารางเมตร ซึ่งเป็นใช้เป็นที่จอดรถของสำนักงาน กำแพงด้านหนึ่งของที่จอดรถมีประตูเหล็กเปิดเชื่อมถึงกันกับตัวอาคาร มีไว้สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการเข้าทางด้านหน้าสำนักงาน และไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นว่ามาใช้บริการที่นี่
แพรพิไลเคาะประตูบอกคนข้างในตามมารยาทก่อนเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีผู้ชายท่าทางภูมิฐาน อายุประมาณสามสิบปลายจนถึงสี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งนั่งรออยู่ หญิงสาวลอบสำรวจบุคคลตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะ ดิฉันแพรพิไลค่ะ เรียกแพรเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ว่าทราบว่าวันนี้มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” เธอยิ้มบาง ๆ หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จและรอการตอบรับจากอีกฝ่าย เห็นเพียงชายหนุ่มยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดว่า
“ผมไม่คิดมาก่อนว่า ผู้สืบทอดกิจการของคุณไพศาลจะเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักขนาดนี้”
น้ำเสียงของเขาฟังเรียบเรื่อย ทำให้หญิงสาวไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้เนื่องจากเขาสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดบังดวงตา
แพรพิไลยิ้มละไม ด้วยความที่เป็นคนเก็บอารมณ์ของตัวเองและมองสีหน้าของคนอื่นได้เก่งเพราะบิดาสอนมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เธอโต้ตอบสนทนากับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะไม่ชอบใจนักที่มีคนมาแตะเรื่องอายุ หรือดูแคลนความสามารถของเธอ
“ขอบคุณที่ชมค่ะ ว่าแต่คุณรู้จักคุณพ่อด้วยหรือคะ”
“รู้จักครับ ผมเคยมาขอให้พ่อของคุณช่วยผมสองสามครั้ง”
ฟังเขาพูดจบ แพรพิไลก็ยิ้มกว้างทันที นึกชื่นชมเขาในใจที่เลือกใช้คำพูดให้เกียรติบิดาของเธอ ตามปกติแล้ว หากเป็นคนอื่นคงพูดว่ามาจ้างให้ทำนั่นทำนี่ แต่เขากลับเลี่ยงไม่ใช้คำนั้น และเลือกใช้คำว่ามาขอให้ช่วยแทน
“อ๋อ...ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้มีอะไรให้ทางเรารับใช้ใช่ไหมคะ คุณ...” เธอไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับติดกายที่แค่นาฬิกาข้อมือก็เรือนละเกือบล้าน จึงพอเดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ฐานะไม่ธรรมดา
“สุกำพลครับ สุกำพล หัสวิจิตร” เขาบอกพร้อมกับถอดแว่นกันแดดที่บดบังดวงตาออก จึงทำให้เธอได้เห็นหน้าเขาเต็มตา ซึ่งยอมรับเลยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
แพรพิไลเคยเห็นเขาตามหน้านิตยสารไฮโซอยู่บ่อย ๆ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายหลายอย่าง เป็นคนหนุ่มอนาคตไกลที่หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่อง และที่สำคัญ...เขาแต่งงานแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับคุณแพร” เขายื่นมือออกมาตามธรรมเนียมแบบฝรั่ง
ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเคยผ่านการเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้ว ถึงแม้จะเรียนไม่จบก็ตาม จึงยื่นมือออกไปจับด้วยความยินดี
เขาปล่อยมือออกอย่างสุภาพ ไม่มีท่าทีล่วงเกินใด ๆ ทำให้แพรพิไลพอใจมาก เพราะตั้งแต่มาทำงานตรงนี้ เธอถูกพวกหัวงูหลอกแต๊ะอั๋งอยู่เรื่อย บางครั้งก็มาว่าจ้างให้ทำงานไร้สาระเช่นติดตามคนหาย และคนที่หายไปก็เป็นลูกชายบ้าง ลูกสาวบ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วบุคคลเหล่านั้นก็แค่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน และได้บอกกล่าวกับบิดามารดาไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอเบื่องานลักษณะนี้เต็มทน เธออยากได้คดีเจ๋ง ๆ สักคดีเพื่อเชิดหน้าชูตาสำนักงาน และเพื่อพิสูจน์ฝีมือว่าเธอก็มีสายเลือดของบิดาอยู่เต็มเปี่ยม
เสียงเคาะประตูห้องประชุมดังขึ้น ตามมาด้วยร่างสูงโปร่งของจิรายุ แพรพิไลจึงเรียกเขามาแนะนำสุกำพลให้หนุ่มรุ่นน้องรู้จักทันที
“โจ นี่คือคุณสุกำพล หัสวิจิตร”
จิรายุยกมือไหว้ แพรพิไลจึงหันไปแนะนำหนุ่มรุ่นน้องบ้าง
“คุณสุกำพลคะ นี่จิรายุค่ะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโจก็ได้ เป็นผู้ช่วยของดิฉันเอง”
สุกำพลหันไปยิ้มและผงกศีรษะให้เล็กน้อยอย่างไว้ท่าที จนทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนมาให้พวกเธอดู
“คุณรู้จักผู้หญิงในรูปนี้ไหมครับ” สุกำพลเลื่อนโทรศัพท์มาตรงหน้าแพรพิไลกับจิรายุ
ทั้งสองชะโงกมองพร้อมกัน ก่อนที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องจะพยักหน้าช้า ๆ
“คุณครองขวัญ ภรรยาของคุณ”
แค่เห็นรูปแพรพิไลก็จำได้ทันที เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นสาวสังคม งานไหนงานนั้นจะขาดเจ้าตัวไม่ได้เด็ดขาด ครองขวัญเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในวงสังคมชั้นสูงตั้งแต่แต่งงานกับสุกำพลเป็นต้นมา
สุกำพลพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ พลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนดูเหมือนไม่ยิ้ม จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่วันนี้ผมมาหาคุณแพรให้ช่วยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของผมคนนี้นั่นแหละครับ”
“เชิญว่ามาได้เลยค่ะ” แพรพิไลหยิบโทรศัพท์มือถือมากดอัดเสียงและตั้งท่าเตรียมจดทันที
“อย่างที่คุณเห็นตามสื่อโซเชียลบ่อย ๆ ว่าภรรยาผมเธอเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมมาก”
ชายหนุ่มเริ่มเกริ่นด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่แพรพิไลมองออกว่าเขากำลังว้าวุ่นและไม่สบายใจ สังเกตได้จากการที่เขาประสานมือกันไว้ตรงหน้าแล้วเอานิ้วโป้งถูกันไปมาตลอดเวลา
“และเพราะการเข้าสังคมของเธอ ผมจึงเริ่มสงสัยว่าภรรยาของผมกำลัง...มีชู้”
“อะไรนะคะ...มีชู้!”
แพรพิไลตกใจจนอ้าปากค้างไปชั่วครู่ ครั้นพอได้สติจึงรีบสลัดอาการนั้นทิ้งไปแล้วเข้าสู่โหมดความเป็นนักสืบมืออาชีพด้วยการเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงเครียด
“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักคะว่าภรรยาของคุณกำลังมีคนอื่น”
สุกำพลยักไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบา ๆ ราวกับกำลังคิดหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนพูดออกมา
“สามีภรรยาคู่หนึ่ง ถ้าอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วอีกฝ่ายเปลี่ยนไป สาเหตุมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ”เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะก่อนพูดต่อ“จริงอยู่ว่าภรรยาผมเธอชอบการเข้าสังคมและการสังสรรค์มาก แต่ทุกครั้งเธอมักกลับบ้านเป็นเวลาเสมอ หรือไม่ก็อัปเดตสเตตัสของตัวเองในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กตลอดเวลาว่าตอนนี้กำลังทำอะไร แต่มาช่วงสองสามเดือนให้หลังนี้ดูเหมือนพฤติกรรมตรงนี้ของเธอจะเปลี่ยนไป ช่วงกลางวันเธอก็อัปเดตเป็นปกติ และถ้าเป็นตอนกลางคืนเธอแทบไม่แตะโซเชียลเลย ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอกำลังอยู่กับคนอื่น”สุกำพลหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งมาตรงหน้านักสืบสาว“ผมสังเกตว่าเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเข้าสังคมของที่นี่ครับ”แพรพิไลกวาดตามองรายละเอียดบนนามบัตรใบนั้นอย่างรวดเร็วก่อนส่งต่อให้จิรายุ“คลับเฮรา...ถ้าจำไม่ผิดที่นี่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานนี่คะ ค่าเมมเบอร์แพงมากด้วย”“ใช่ครับ เพราะค่าเมมเบอร์แพง สมาชิกที่นี่จึงมีแต่ไฮโซชื่อดังของเมืองไทยไปรวมตัวกัน อีกทั้งการเต้นลีลาศก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สาวสังคมและหนุ่มกระเป๋าหนัก ผมสืบมาได้ว่าภรรยาของผมเธอจะไปที่นี่ประมาณอาทิตย์ละ
แพรพิไลกลับห้องทำงานแล้วหยิบเอกสารข้อมูลของครองขวัญ ภรรยาของสุกำพลออกมานั่งศึกษา เพื่อดูว่านอกจากคลับแห่งนี้แล้ว เจ้าตัวยังไปที่ไหนอีกบ้างในแต่ละวัน เพราะเท่าที่ผู้ว่าจ้างบอกมา ครองขวัญไม่ได้ทำงานอะไร เงินที่ใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของสุกำพลทุกบาททุกสตางค์สิ่งแรกที่แพรพิไลทำนั่นคือการสะกดรอยตามครองขวัญเพื่อดูว่าในแต่ละวันเจ้าตัวทำอะไรและพบปะใครบ้างในวันแรกนั้นกิจกรรมของครองขวัญมีเพียงทำผมที่ร้านเสริมสวย นวดหน้าที่สปา และรับประทานอาหารในภัตตาคารของโรงแรม ตกกลางคืนก็นั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนไฮโซในร้านอาหารกึ่งผับที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง กว่าจะกลับเข้าคฤหาสน์หัสวิจิตรอีกครั้งก็ปาเข้าไปตีสามสรุปได้ว่าวันนี้เธอยังไม่เห็นชายหนุ่มที่เข้าข่ายว่าจะเป็นชู้รักของครองขวัญแม้แต่คนเดียว“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด”แพรพิไลทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจพวกสาวไฮโซเหล่านี้สักเท่าไร ในแต่ละวันเวลาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่หมดไปกับเรื่องไร้สาระ ทว่าพอคิดในมุมกลับ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเบื่อช
เสียงเพลงจังหวะร้อนแรงบรรเลงไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการแสดงแสนวาบหวิวบนเวที แพรพิไลกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางลอบเบือนหน้าหนีคู่หญิงชายที่กำลังทำการ ‘โชว์’ อย่างเร่าร้อนตามจังหวะเพลง เธอจะเรียกสิ่งที่อยู่บนเวทีว่าความอุบาทว์ดีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ เธอไม่อาจเรียกมันว่าศิลปะได้เลย และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป อาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ หรือแม้กระทั่งสมาชิกที่เข้ามาร่วมสังสรรค์ล้วนอันตรายด้วยกันทั้งหมด เธอไม่กล้าแสดงตัวเป็นจุดเด่นมากนักจึงได้แต่คอยหลบเลี่ยงอยู่ในมุมมืดเพียงลำพังและคอยเฝ้าสังเกตทุกคนที่อยู่ที่นี่ “คุณไม่ควรมาที่นี่”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้แพรพิไลสะดุ้งวาบ ครั้นพอหันไปมองก็เห็นเพียงหน้ากากสีดำที่ทางสมาคมบังคับให้สวมเท่านั้น แต่ริมฝีปากสีเข้มและเสียงนั่นช่างคุ้นตาคุ้นหูเธอเหลือเกิน“คุณ...” แพรพิไลพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะไม่กล้าเอ่ยออกไปตรง ๆ ว่าใช่คนที่กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่า จะมองรูปร่างของเขาก็ไม่สามารถมองได้ เพราะชุดคลุมสีดำยาวกรอมเท้ากับหน้ากากนั้นปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งที