“ว่าไงนะคะ ลาออกงั้นหรือ”
แพรพิไลถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงแหบแห้ง รู้สึกเรี่ยวแรงหดหายทันทีเมื่อนักสืบมือดีของสำนักงานมายื่นใบลาออก
“คุณแพรต้องเข้าใจผมด้วยนะครับ ลูกผมยังเล็ก ผมเองก็ต้องกินต้องใช้” คนพูดถอนหายใจแผ่ว หลุบตาลงต่ำเหมือนไม่กล้าสู้หน้า
แพรพิไลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ยอมรับแต่โดยดี
“แพรเข้าใจค่ะ ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เคยช่วยงานคุณพ่อมาตั้งหลายปี” หญิงสาวส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้
สีหน้าละอายใจผุดขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวออกไปจากห้องทันที
แพรพิไลไม่คิดโทษใครทั้งสิ้น รู้ดีว่าการที่เธอเข้ามาบริหารสำนักงานนักสืบไพศาลแทนบิดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหกเดือนก่อนเป็นเหตุให้นักสืบหลายคนไม่เชื่อในฝีมือ และต่างพากันคิดว่าเธอกำลังพาสำนักงานนักสืบแห่งนี้ล่มจมลง ดังนั้นในช่วงหกเดือนนี้จึงมีนักสืบคนเก่าคนแก่ฝีมือดีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดาพากันตบเท้าลาออกกันเป็นแถว
จะโทษพวกเขาที่ทอดทิ้งเธอก็ไม่ได้ เพราะในช่วงหกเดือนนี้แทบไม่มีงานผ่านเข้ามาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็แต่งานติดตามบุคคล คดีชู้สาวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ในเมื่อไม่มีงานเข้า รายได้ก็หดหายตามไปด้วย ทว่ายอดหนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นจนเธอได้แต่กุมศีรษะเมื่อเห็นรายการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
ตอนที่เธอเรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศ ไม่เคยรู้เลยว่าบิดาจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึงขนาดนี้ ครั้นพอท่านเสียชีวิตลง เธอจึงถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยทันทีเพื่อจัดการงานศพ และเพื่อรับมรดกของบิดา ซึ่งมรดกนั้นก็คือสำนักงานนักสืบไพศาลแห่งนี้ แถมยังพ่วงมาด้วยหนี้สินก้อนโตจากธนาคารอีกด้วย
การเรียนปริญญาโทของเธอสิ้นสุดลงในวันนั้นทันที...
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้งปลุกให้แพรพิไลตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปมองคนที่กำลังเดินเข้าประตูมาด้วยท่าทางตื่นเต้นระคนดีใจ
“มีอะไรหรือเจ”
“พี่แพร! มีคนมาติดต่อว่าจ้างเราละ ตอนนี้เจให้ไปรอที่ห้องประชุมแล้ว” เจติยา นักศึกษาจบใหม่ เป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกันกับแพรพิไลพูดพลางยิ้มพลาง ท่าทางดีใจราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
อย่าว่าแต่เจติยาจะดีใจเลย เธอเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้รุ่นน้องเช่นกัน
“จริงหรือ โอเค พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ไปตามโจมาให้พี่ด้วยนะ”
ร่างระหงลุกพรวดขึ้นทันทีพร้อมกระดาษปากกาและโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการเก็บรายละเอียดตอนรับงาน จากนั้นก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากห้องทำงานไปยังห้องประชุมที่ว่าทันที
สำนักงานนักสืบไพศาล เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสองคูหา ด้านข้างของอาคารเป็นพื้นที่ว่างโล่งประมาณห้าสิบตารางเมตร ซึ่งเป็นใช้เป็นที่จอดรถของสำนักงาน กำแพงด้านหนึ่งของที่จอดรถมีประตูเหล็กเปิดเชื่อมถึงกันกับตัวอาคาร มีไว้สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการเข้าทางด้านหน้าสำนักงาน และไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นว่ามาใช้บริการที่นี่
แพรพิไลเคาะประตูบอกคนข้างในตามมารยาทก่อนเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีผู้ชายท่าทางภูมิฐาน อายุประมาณสามสิบปลายจนถึงสี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งนั่งรออยู่ หญิงสาวลอบสำรวจบุคคลตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะ ดิฉันแพรพิไลค่ะ เรียกแพรเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ว่าทราบว่าวันนี้มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” เธอยิ้มบาง ๆ หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จและรอการตอบรับจากอีกฝ่าย เห็นเพียงชายหนุ่มยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดว่า
“ผมไม่คิดมาก่อนว่า ผู้สืบทอดกิจการของคุณไพศาลจะเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักขนาดนี้”
น้ำเสียงของเขาฟังเรียบเรื่อย ทำให้หญิงสาวไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้เนื่องจากเขาสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดบังดวงตา
แพรพิไลยิ้มละไม ด้วยความที่เป็นคนเก็บอารมณ์ของตัวเองและมองสีหน้าของคนอื่นได้เก่งเพราะบิดาสอนมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เธอโต้ตอบสนทนากับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะไม่ชอบใจนักที่มีคนมาแตะเรื่องอายุ หรือดูแคลนความสามารถของเธอ
“ขอบคุณที่ชมค่ะ ว่าแต่คุณรู้จักคุณพ่อด้วยหรือคะ”
“รู้จักครับ ผมเคยมาขอให้พ่อของคุณช่วยผมสองสามครั้ง”
ฟังเขาพูดจบ แพรพิไลก็ยิ้มกว้างทันที นึกชื่นชมเขาในใจที่เลือกใช้คำพูดให้เกียรติบิดาของเธอ ตามปกติแล้ว หากเป็นคนอื่นคงพูดว่ามาจ้างให้ทำนั่นทำนี่ แต่เขากลับเลี่ยงไม่ใช้คำนั้น และเลือกใช้คำว่ามาขอให้ช่วยแทน
“อ๋อ...ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้มีอะไรให้ทางเรารับใช้ใช่ไหมคะ คุณ...” เธอไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับติดกายที่แค่นาฬิกาข้อมือก็เรือนละเกือบล้าน จึงพอเดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ฐานะไม่ธรรมดา
“สุกำพลครับ สุกำพล หัสวิจิตร” เขาบอกพร้อมกับถอดแว่นกันแดดที่บดบังดวงตาออก จึงทำให้เธอได้เห็นหน้าเขาเต็มตา ซึ่งยอมรับเลยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
แพรพิไลเคยเห็นเขาตามหน้านิตยสารไฮโซอยู่บ่อย ๆ เขาเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายหลายอย่าง เป็นคนหนุ่มอนาคตไกลที่หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่อง และที่สำคัญ...เขาแต่งงานแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับคุณแพร” เขายื่นมือออกมาตามธรรมเนียมแบบฝรั่ง
ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเคยผ่านการเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้ว ถึงแม้จะเรียนไม่จบก็ตาม จึงยื่นมือออกไปจับด้วยความยินดี
เขาปล่อยมือออกอย่างสุภาพ ไม่มีท่าทีล่วงเกินใด ๆ ทำให้แพรพิไลพอใจมาก เพราะตั้งแต่มาทำงานตรงนี้ เธอถูกพวกหัวงูหลอกแต๊ะอั๋งอยู่เรื่อย บางครั้งก็มาว่าจ้างให้ทำงานไร้สาระเช่นติดตามคนหาย และคนที่หายไปก็เป็นลูกชายบ้าง ลูกสาวบ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วบุคคลเหล่านั้นก็แค่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน และได้บอกกล่าวกับบิดามารดาไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอเบื่องานลักษณะนี้เต็มทน เธออยากได้คดีเจ๋ง ๆ สักคดีเพื่อเชิดหน้าชูตาสำนักงาน และเพื่อพิสูจน์ฝีมือว่าเธอก็มีสายเลือดของบิดาอยู่เต็มเปี่ยม
เสียงเคาะประตูห้องประชุมดังขึ้น ตามมาด้วยร่างสูงโปร่งของจิรายุ แพรพิไลจึงเรียกเขามาแนะนำสุกำพลให้หนุ่มรุ่นน้องรู้จักทันที
“โจ นี่คือคุณสุกำพล หัสวิจิตร”
จิรายุยกมือไหว้ แพรพิไลจึงหันไปแนะนำหนุ่มรุ่นน้องบ้าง
“คุณสุกำพลคะ นี่จิรายุค่ะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโจก็ได้ เป็นผู้ช่วยของดิฉันเอง”
สุกำพลหันไปยิ้มและผงกศีรษะให้เล็กน้อยอย่างไว้ท่าที จนทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนมาให้พวกเธอดู
“คุณรู้จักผู้หญิงในรูปนี้ไหมครับ” สุกำพลเลื่อนโทรศัพท์มาตรงหน้าแพรพิไลกับจิรายุ
ทั้งสองชะโงกมองพร้อมกัน ก่อนที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องจะพยักหน้าช้า ๆ
“คุณครองขวัญ ภรรยาของคุณ”
แค่เห็นรูปแพรพิไลก็จำได้ทันที เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นสาวสังคม งานไหนงานนั้นจะขาดเจ้าตัวไม่ได้เด็ดขาด ครองขวัญเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในวงสังคมชั้นสูงตั้งแต่แต่งงานกับสุกำพลเป็นต้นมา
สุกำพลพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ พลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนดูเหมือนไม่ยิ้ม จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่วันนี้ผมมาหาคุณแพรให้ช่วยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของผมคนนี้นั่นแหละครับ”
“เชิญว่ามาได้เลยค่ะ” แพรพิไลหยิบโทรศัพท์มือถือมากดอัดเสียงและตั้งท่าเตรียมจดทันที
“อย่างที่คุณเห็นตามสื่อโซเชียลบ่อย ๆ ว่าภรรยาผมเธอเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมมาก”
ชายหนุ่มเริ่มเกริ่นด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่แพรพิไลมองออกว่าเขากำลังว้าวุ่นและไม่สบายใจ สังเกตได้จากการที่เขาประสานมือกันไว้ตรงหน้าแล้วเอานิ้วโป้งถูกันไปมาตลอดเวลา
“และเพราะการเข้าสังคมของเธอ ผมจึงเริ่มสงสัยว่าภรรยาของผมกำลัง...มีชู้”
“อะไรนะคะ...มีชู้!”
แพรพิไลตกใจจนอ้าปากค้างไปชั่วครู่ ครั้นพอได้สติจึงรีบสลัดอาการนั้นทิ้งไปแล้วเข้าสู่โหมดความเป็นนักสืบมืออาชีพด้วยการเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าเสียงเครียด
“ทำไมคุณถึงมั่นใจนักคะว่าภรรยาของคุณกำลังมีคนอื่น”
สุกำพลยักไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบา ๆ ราวกับกำลังคิดหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนพูดออกมา
“สามีภรรยาคู่หนึ่ง ถ้าอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วอีกฝ่ายเปลี่ยนไป สาเหตุมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ”เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะก่อนพูดต่อ“จริงอยู่ว่าภรรยาผมเธอชอบการเข้าสังคมและการสังสรรค์มาก แต่ทุกครั้งเธอมักกลับบ้านเป็นเวลาเสมอ หรือไม่ก็อัปเดตสเตตัสของตัวเองในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กตลอดเวลาว่าตอนนี้กำลังทำอะไร แต่มาช่วงสองสามเดือนให้หลังนี้ดูเหมือนพฤติกรรมตรงนี้ของเธอจะเปลี่ยนไป ช่วงกลางวันเธอก็อัปเดตเป็นปกติ และถ้าเป็นตอนกลางคืนเธอแทบไม่แตะโซเชียลเลย ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเธอกำลังอยู่กับคนอื่น”สุกำพลหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นส่งมาตรงหน้านักสืบสาว“ผมสังเกตว่าเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเข้าสังคมของที่นี่ครับ”แพรพิไลกวาดตามองรายละเอียดบนนามบัตรใบนั้นอย่างรวดเร็วก่อนส่งต่อให้จิรายุ“คลับเฮรา...ถ้าจำไม่ผิดที่นี่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานนี่คะ ค่าเมมเบอร์แพงมากด้วย”“ใช่ครับ เพราะค่าเมมเบอร์แพง สมาชิกที่นี่จึงมีแต่ไฮโซชื่อดังของเมืองไทยไปรวมตัวกัน อีกทั้งการเต้นลีลาศก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สาวสังคมและหนุ่มกระเป๋าหนัก ผมสืบมาได้ว่าภรรยาของผมเธอจะไปที่นี่ประมาณอาทิตย์ละ
แพรพิไลกลับห้องทำงานแล้วหยิบเอกสารข้อมูลของครองขวัญ ภรรยาของสุกำพลออกมานั่งศึกษา เพื่อดูว่านอกจากคลับแห่งนี้แล้ว เจ้าตัวยังไปที่ไหนอีกบ้างในแต่ละวัน เพราะเท่าที่ผู้ว่าจ้างบอกมา ครองขวัญไม่ได้ทำงานอะไร เงินที่ใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินของสุกำพลทุกบาททุกสตางค์สิ่งแรกที่แพรพิไลทำนั่นคือการสะกดรอยตามครองขวัญเพื่อดูว่าในแต่ละวันเจ้าตัวทำอะไรและพบปะใครบ้างในวันแรกนั้นกิจกรรมของครองขวัญมีเพียงทำผมที่ร้านเสริมสวย นวดหน้าที่สปา และรับประทานอาหารในภัตตาคารของโรงแรม ตกกลางคืนก็นั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนไฮโซในร้านอาหารกึ่งผับที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง กว่าจะกลับเข้าคฤหาสน์หัสวิจิตรอีกครั้งก็ปาเข้าไปตีสามสรุปได้ว่าวันนี้เธอยังไม่เห็นชายหนุ่มที่เข้าข่ายว่าจะเป็นชู้รักของครองขวัญแม้แต่คนเดียว“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด”แพรพิไลทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจพวกสาวไฮโซเหล่านี้สักเท่าไร ในแต่ละวันเวลาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่หมดไปกับเรื่องไร้สาระ ทว่าพอคิดในมุมกลับ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะกำลังเบื่อช
สถานที่ด้านในเป็นอย่างที่แพรพิไลคาดเดาเอาไว้แต่แรก ผนังและเสาแต่ละเสาทำเลียนแบบวังของฟาโรห์ มีโซฟาสีแดงตั้งเป็นกลุ่ม ๆ โต๊ะใครโต๊ะมัน มีฉากกั้นซึ่งเป็นบานพับลายฉลุรูปอักษรอียิปต์โบราณแบ่งความเป็นส่วนตัวไว้ และสามารถพับเก็บได้หากสองโต๊ะต้องการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ตรงกลางเป็นลานกว้างสำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำ มีแชนเดอเลียร์คริสตัลห้อยระย้าอยู่ด้านบน แสงระยิบระยับของมันส่งให้บรรยากาศรอบด้านดูหรูหราราวกับได้ย้อนยุคไปงานเลี้ยงสมัยเมื่อหนึ่งพันปีก่อนพนักงานสาวในชุดผ้าฝ้ายสีงาช้างเลียนแบบมาจากนางกำนัลของฟาโรห์ผายมือเชื้อเชิญให้แพรพิไลเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่ง หญิงสาวสังเกตว่าที่นี่แยกโซนกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มที่มากันหลายคนกับผู้ที่มาเดี่ยวหรือมาเป็นคู่หญิงสาวค่อนข้างพอใจกับพื้นที่ของตนเอง เพราะมันทำให้เธอสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ดังนั้นหลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อยเธอจึงมองหาเป้าหมายอย่างครองขวัญทันทีชุดสีแดงสดของครองขวัญ เมื่อมาอยู่ใต้แชนเดอเลียร์อันใหญ่ก็ยิ่งดูระยิบระยับงดงามจับตา หล่อนกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกในดนตรีจังหวะแทงโก้อยู่กลางฟลอร์กับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง แพรพิไลจึงรีบ
“รชตครับ เรียกผมอาร์ตก็ได้”เธอหันมามองเขาก่อนพยักหน้าขึ้นลงไปมา“ค่ะคุณอาร์ต แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่อุตส่าห์สอน” แพรพิไลโค้งขอบคุณเขาอย่างสุภาพชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วปล่อยให้เธอเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม ขณะที่หัวใจของเขากลับห่อเหี่ยวแปลกๆเธอจดจำเขาไม่ได้เลยหรือนี่......‘ขโมย!’เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่งปลุกให้เขาตื่นจากความหลับใหลทันที เขาก้มลงมองที่โคนต้นไม้ เห็นเพียงเด็กหญิงผมเปียในชุดพละกำลังปีนป่ายขึ้นมาทางเขาอย่างคล่องแคล่วราวกับลิงเขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน ตามองร่างผอมบางของเด็กหญิงที่ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนกิ่งไม้ตรงข้ามกับเขาได้เป็นผลสำเร็จ ครั้นพอเธอนั่งได้นิ่งดีแล้ว เจ้าตัวก็ตวัดตามองเขาอย่างขุ่นเคือง‘เป็นถึงพี่มอหกแล้วทำไมริอ่านเป็นขโมย’ ไม่พูดเปล่า เธอกลับชี้หน้าเขาด้วย...กล้าไม่เบา‘นี่ยายเปี๊ยก พี่ไปขโมยของเราตั้งแต่เมื่อไร’ เขาพูดกลั้วหัวเราะ ในขณะที่คนกล่าวหาเขาทำหน้าตายแบมือออกข้างตัวแล้ววาดเป็นรูปครึ่งวงกลม&lsqu
แพรพิไลพยายามลอบมองครองขวัญว่าเจ้าตัวมีปฏิสัมพันธ์กับใครบ้าง แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร สายตาของเธอจึงมักตามติดรชตอยู่หลายครั้ง และเกือบทุกครั้งเขาก็มักมองเธออยู่ก่อนแล้วด้วยหญิงสาวไม่มีโอกาสรู้เลยว่ารชตนั้นพยายามบ่ายเบี่ยงครองขวัญกับอรอินอยู่หลายครั้งเพราะเขาอยากมาอยู่ใกล้กับเธอมากกว่า แต่สาวไฟแรงทั้งสองก็เกาะหนึบยิ่งกว่าปลิง ทุกครั้งที่เพลงจบแล้วเขาทำท่าจะผละออก อีกฝ่ายก็จะกอดเขาแน่นจนเนื้อตัวแทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน...แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นแพรพิไล เธอจะกอดเขาไว้ทั้งคืนเขาก็ไม่ว่าในที่สุดเพลงก็จบลงเสียที เขาต้องหันไปส่งสัญญาณให้กริชกับปารุส ผู้ช่วยของเขาให้เข้ามาช่วย หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนพูด“คุณอาร์ตครับ มีสายด่วนจากคุณโอมครับ”อา...น่าขึ้นเงินเดือนให้เสียจริง“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับคุณอิน ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”เขาหันไปบอกกับอรอิน นักธุรกิจสาวไฟแรงสูงที่เคยเป็นคู่ขาของพชร พี่ชายเขากับภีมพล เพื่อนพี่ชายมาก่อน“หืม นานไหมคะ อินไม่อยากเต้นกับคนอื่นเลยนอกจากคุณอาร์ตคนเดียว&rdq
แพรพิไลนั่งนวดขมับเพื่อขับไล่อาการปวดศีรษะเพราะเมื่อคืนดื่มไปไม่น้อย วันนี้เธอยกหน้าที่ติดตามครองขวัญให้เจติยาไปทำแทนเนื่องจากว่าต้องรวบรวมภาพถ่ายและคลิปทั้งหมดที่ถ่ายได้มาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ อีกทั้งต้องมาเซ็นเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวกับบริษัทด้วยเพราะตลอดสองวันที่เธอไม่อยู่ มีการว่าจ้างเกี่ยวกับคดีชู้สาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคดี“ไม่คิดจะมีคดีอื่นบ้างเลยรึไงเนี่ย วัน ๆ มีแต่เรื่องติดตามชู้ เฮ้อ...”หญิงสาวเปิดลิ้นชักหยิบยาแก้ปวดขึ้นมาสองเม็ด จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง กะไว้ว่าจะพักสายตาสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมานั่งดูรูปอีกครั้งหนึ่งใบหน้าหล่อเหลากับรอยยิ้มละลายใจของใครบางคนผุดวาบขึ้นมาในห้วงความคิด เมื่อคืนหลังจากที่โยนหินถามทางเรื่องเขาเป็นผู้ชายขายบริการไป คราแรกนึกว่ารชตจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่กลับกลายเป็นว่าเขายอมรับแต่โดยดี หนำซ้ำยังถามย้ำอยู่บ่อยครั้งด้วยว่าตกลงเธอจะรับอุปการะเขาหรือเปล่าข้าวสามมื้อกับเซ็กซ์ก่อนนอนทุกคืน...บ้าแล้ว! นี่เขาไม่คิดจะไปให้บริการผู้หญิงคนอื่นบ้างเลยหรือไร จู่ ๆ จะมาเกาะติดแต่
หญิงสาวนั่งเท้าคางมองไปเรื่อยเปื่อยด้วยความเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ตรงกลางฟลอร์มีครองขวัญกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเต้นรำเข้าคู่กันอย่างสนุกสนานเพราะเป็นจังหวะเร็ว และเธอก็ไม่รู้ว่าจังหวะนี้เรียกว่าอะไร แต่ดูแล้วหากไม่ชำนาญการเต้นจังหวะนี้จริง ๆ มีหวังได้เหยียบเท้าหรือหกล้มกันแน่นอนเขาไปไหนของเขานะ...ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจ จากนั้นร่างของเธอก็แข็งทื่อเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังเผลอตัวมองหารชตอย่างไม่น่าให้อภัย“บ้าจริง” เธอทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างแรง ก่อนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อดับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองที่ดันเสียสมาธิเพราะผู้ชายคนนั้นจนได้แพรพิไลยกสองมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา ตอนนี้เธอกำลังทำงานอยู่จะไขว้เขวเพราะสิ่งเร้าแสนเย้ายวนอย่างรชตไม่ได้เป็นอันขาด...ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของเขาจะเชิญชวนเป็นอย่างยิ่งก็เถอะ“ออกไปเต้นรำไหมครับ นั่งเฉย ๆ จะเบื่อซะเปล่า” เสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัวครั้นพอแพรพิไลหันมองตามเสียงจึงรู้ว่าเขาคือหนึ่งในครูสอนลีลาศที่เนื้อ
แพรพิไลสังเกตว่าทุกครั้งเวลาที่ชายหนุ่มคุยกับเธอ มุมปากของเขามักยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอยู่เสมอ ดูมีเสน่ห์เสียจนไม่อยากถอนสายตากลับแต่ถ้าเธอไม่ถอนออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ต้องทำงานทำการกันแล้วกระมัง ผู้ชายอะไร แรงดึงดูดมากเสียจนน่าหวาดหวั่น!แพรพิไลผินหน้าไปมองครองขวัญซึ่งขณะนี้กำลังนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะโดยมีชาคริตนั่งอยู่ด้วย หญิงสาวแบ่งสมาธิของตนไปที่คู่นั้นทันที เพราะมือของสองหนุ่มสาวเกาะกุมกันอยู่ สักพักชาคริตก็ถอนมือกลับ ขณะที่ครองขวัญเอามือลากโต๊ะมาจนกระทั่งถึงกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองมองผิวเผินเหมือนว่าหนุ่มสาวสองคนนี้แค่จับมือกันแล้วปล่อย แต่สำหรับแพรพิไลที่ลอบมองตาแทบไม่กะพริบนั้นรู้สึกได้ว่าการจับมือกันของทั้งคู่ช่างไม่ธรรมดา ชาคริตส่งอะไรบางอย่างให้ครองขวัญ และครองขวัญเก็บสิ่งนั้นใส่กระเป๋าอีกด้วย!“โอ๊ย!” เสียงร้องเบา ๆ ของรชตเรียกสายตาของแพรพิไลกลับมาที่เขาทันที“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ เจ็บไหมคะคุณอาร์ต ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวก้มลงมองรองเท้ามันปลาบของเขาซึ่งมีรอยรองเท้าของเธอเข้าไปเต็ม ๆ รองเท้าคู่นี้มองดูก็รู้ว่า
เด็กชายวัชร์ส่งเสียงทักทายผู้เป็นอาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างพลางกางแขนจะให้อุ้ม รชตจึงยื่นมือไปรับร่างป้อมของหลานชายมาอุ้มไว้“แพร นี่พี่โอม พี่ชายพี่เอง...นี่แพร ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ” รชตหันไปแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันแพรพิไลยกมือไหว้อีกฝ่ายก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อได้ยินที่เขาพูดว่าเคยเล่าเรื่องของเธอให้พี่ชายฟังด้วยพชรรับไหว้พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นัยน์ตาคมกริบลอบประเมินว่าที่น้องสะใภ้แล้วรู้สึกว่าแพรพิไลคนนี้มีบุคลิกเหมือนช่อมาลี ภรรยาของเขาอยู่มากเลยทีเดียวเหมือนที่ความมั่นใจ เหมือนที่ความกระตือรือร้นในแววตา และเหมือนที่ดูเป็นคนอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้จากนั้นทั้งหมดก็พากันเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งมีเพียงช่อมาลีนั่งอ่านนิตยสารรถยนต์อยู่เพียงลำพัง ครั้นพอเห็นว่ารชตพาคนรักมาถึงแล้วจึงปิดหนังสือแล้ววางไว้บนโต๊ะตามเดิมรชตแนะนำให้สองสาวรู้จักกัน ซึ่งทั้งแพรพิไลและช่อมาลีต่างรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่ที่ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นช่อมาลีก็เดินไปเรียกบิดามารดาของทั้งสองหนุ่มที่นั่งดูโทรทัศน์กันอยู่อีกห้องหนึ่งการทำคว
“ว่าแต่เป้าหมายเป็นใครล่ะ” รชตถามพลางมองไปรอบฟลอร์ ครั้นพอเห็นสายตาของแพรพิไลเขาก็เลิกคิ้วขึ้น“อย่าบอกนะว่าคือผู้หญิงที่เต้นรำกับพี่เมื่อกี้”“ใช่เลย คนนั้นนั่นแหละ” แพรพิไลยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าของเขาซึ่งทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา“อยากรู้ล่ะสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ชายหนุ่มกะพริบตาให้เธอข้างหนึ่ง ดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนคนมองเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอามือไปปิดตาคู่นั้นไว้เสีย“อยากรู้สิ แต่พี่น่ะจะบอกแพรรึเปล่า”“บอกสิ แต่แพรน่ะยอมเอาตัวเข้าแลกรึเปล่า”แพรพิไลสะดุ้งเฮือกเมื่อแผ่นหลังเปล่าเปลือยสัมผัสกับที่นอนเย็นเฉียบ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้หญิงสาวกับรชตยังเต้นรำกันอยู่บนฟลอร์ที่คลับเฮรา ทว่าเวลานี้ร่างไร้อาภรณ์ของเธอกลับมานอนอยู่ใต้ร่างกำยำบนเตียงในห้องนอนของตัวเองเสียแล้วทุกอณูเนื้อกำลังถูกลมหายใจและริมฝีปากร้อนผ่าวไล่ประทับตีตราไปทั่วราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มือทั้งสองข้างของเขาลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่ว
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสแขนกุดสีม่วงอเมทิสต์เยื้องย่างราวกับนางพญาเข้ามาในคลับเฮรา คลับลีลาศอันโด่งดังที่สุดในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเต้นรำ เรือนร่างเย้ายวนและความสวยนั้นสะกดสายตาทุกคู่ไว้ได้อย่างง่ายดาย เธออมยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่อยู่ด้านในสุด นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบด้านด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำที่มีผีเสื้อราตรีหลายคู่กำลังเริงระบำกันท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวผู้มาใหม่ทันที ปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังมองมาทางตนอย่างสนใจหญิงสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่มารอรับออร์เดอร์ จากนั้นก็ทำทีเป็นไม่สนใจคนคู่นั้นอีก นิ้วมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่กำลังเปิดอยู่ พลางหลับตาแล้วฮัมไปด้วยอย่างอารมณ์ดี“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับคุณผู้หญิง”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นตรงหน้าปลุกให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ครั้นพอเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขากับสายตาเชิญชวนคู่นั้น เธอก็ตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“เลว! อย่างน้อยก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา เขาน่าจะนึกถึงเรื่องนี้บ้าง นี่อะไร...เหยียบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจมดินแบบนี้เลยน่ะหรือ แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง พี่อาร์ตรู้ไหมคะ”“คุณพ่อคุณแม่ของคุณขวัญพาไปบำบัดน่ะ เพราะผลข้างเคียงของยาเสพติดพวกนี้ทำให้คนที่ไม่ได้เสพจะเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง...คุณขวัญเคยพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้งแล้ว แต่คนในบ้านช่วยไว้ได้ทันเวลา”“แปลกนะคะ ถ้าไปรักษาตัวตอนที่พยายามฆ่าตัวตาย ทำไมไม่เห็นมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างเลย”เธอจำได้ว่าตอนนั้นพยายามหาข่าวของครองขวัญจากหลาย ๆ ที่ว่าหายไปไหน เนื่องจากไม่เห็นอีกฝ่ายไปที่คลับเฮราติดกันหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง ข่าวที่ได้มาจึงค่อนข้างหลากหลายจนดูไม่น่าเชื่อถือ“ตระกูลของคุณขวัญเป็นตระกูลผู้ดีเก่ามีหน้ามีตาในสังคม เรื่องที่จะส่งลูกสาวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่ะลืมไปได้เลย เขาเรียกหมอไปรักษาที่บ้าน จ้างพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้า เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะทำร้ายตัวเองอีก”“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชีวิตพังเพราะผู้ชายคน
“แพรขอโทษ แพรไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่พี่อาร์ตนะ แต่แพรเป็นอะไรไม่รู้ แพรหงุดหงิดไปหมด มันรู้สึกอึดอัดในอกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ แพรอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาจนอยากทำลายทิ้งให้หมด...แพรไม่อยากเป็นแบบนี้เลยพี่อาร์ต ทำยังไงดี ฮือ...”“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันเป็นผลข้างเคียงจากยาที่แพรดื่มเข้าไปน่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้วแพร ทนหน่อยนะ ถ้าแพรอยากทำลายข้าวของ แพรมาทึ้งเสื้อผ้าพี่แทนก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำตอนที่หมอกับพยาบาลอยู่ก็พอ เดี๋ยวเป็นข่าว” รชตพูดหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังหัวเราะทั้งน้ำตาแพรพิไลพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงที่จนกระทั่งเริ่มผ่อนคลายลงจึงเอ่ยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์อีกครั้ง“ตกลงแล้วพี่ศักดิ์ถูกบีบบังคับยังไงกันคะ”“สุกำพลจับตัวลูก ๆ ของพี่ศักดิ์ไว้เป็นตัวประกันน่ะ พี่ศักดิ์มีลูกสาวกับลูกชายอย่างละคนใช่ไหมล่ะ มันจับเด็ก ๆ ไปอยู่ในความดูแลของสุกำพล เขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรเด็กจนกว่าพี่ศักดิ์จะหาหลักฐานที่เหลือมาได้ จนครั้งสุดท้ายที่เขาเรียกใช้งานพี่ศักดิ์ก็คือตอนที่เขาพาตัวแพรไปให้
“ข่าวด่วน นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ แท้จริงแล้วคือมาเฟียยาเสพติด!”“นักธุรกิจชื่อดัง สุกำพล พัวพันคดียาเสพติด”ข่าวพาดหัวตัวโตของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพร้อมใจกันลงข่าวไฮโซหนุ่มเนื้อหอม นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของธุรกิจมากมาย รายการข่าวทางโทรทัศน์และวิทยุต่างนำเสนอข่าวนี้กันแทบทุกช่องจนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่คนต่างพูดถึงกันมากที่สุดในประเทศ แม้ว่าจะผ่านมาถึงสองวันแล้วก็ตามรชตหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นกดเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น เพราะเบื่อข่าวของสุกำพลเต็มที ยิ่งนานวันนักข่าว นักสืบออนไลน์ และนักสืบโซเชียลทั้งหลายต่างก็พากันขุดคุ้ยเรื่องของสุกำพลไม่หยุด บางคนก็แต่งเรื่องโกหก บางคนก็เป็นผู้เสียหาย บางรายก็ฟังเขาเล่ามา จนเวลานี้แทบไม่รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ“พี่อาร์ตเปลี่ยนช่องทำไม” น้ำเสียงราบเรียบของแพรพิไลทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่เตียงคนไข้“อ้าว...ตื่นนานรึยัง อยากกินอะไรไหม” เขาไม่ตอบคำถามของ
“คุณสุกำพล จนป่านนี้แล้วคุณคิดว่าจะหนีรอดหรือ ตอนนี้ทางออกทุกทางของที่นี่ตำรวจปิดล้อมไว้หมดแล้ว บรรดาสมาชิกที่พากันวิ่งออกไปนั่นก็ถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมด...ผมจะบอกอะไรให้นะ ป่านนี้ข้างในนั้นน่ะคงถูกตำรวจเคลียร์พื้นที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหนีไม่พ้นหรอก”สารวัตรจุมพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ น้ำเสียงที่พูดไม่มีแววเยาะเย้ยอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหนักแน่นจริงจังเสียจนคนมองเริ่มสะท้านเก่ง ลูกน้องของสุกำพลมีสีหน้าเครียดจัด มือที่ถือปืนอยู่เริ่มลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งยอมวางปืนไว้บนพื้นแล้วยกมือขึ้นวางบนศีรษะแต่โดยดีนายตำรวจนายหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปนำปืนกระบอกนั้นมาเก็บไว้ ท่ามกลางเสียงตวาดกร้าวของสุกำพลที่หันไปข่มขู่และด่าทอลูกน้องอย่างสาดเสียเทเสีย ตำรวจอีกสองนายจึงเข้าไปควบคุมตัวทั้งสองคนไว้แล้วพาขึ้นไปด้านบนสารวัตรจุมพลไม่ได้เดินตามผู้ต้องหาไป แต่กลับเดินผ่านเข้าไปในสมาคมเพื่อหาตัวรชตกับพวกรชตวิ่งกลับเข้าไปในฮอลล์อีกครั้งโดยมีเสียงปืนไล่ยิงมาตามหลัง เขามั่นใจว่าตอนนี้ตำรวจน่าจะเข้าควบคุมทุกอย่างไว้ได้หมดแล้ว เพราะฟังจากเสี
สุกำพลยิ่งเดือดดาลเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ผู้บุกรุกทั้งสองคนนี้นอกจากจะไม่กลัวปืนในมือของเขาแล้ว ยังมีทีท่าไม่ยอมทำตามคำสั่งราวกับคำขู่ของเขานั้นไม่ได้ผล...แต่เขาไม่มีเวลามาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับพวกนี้แล้ว“ไปเอาตัวผู้หญิงมา” สุกำพลหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งจึงเดินอาด ๆ เข้ามาหาแพรพิไลซึ่งทรุดตัวลงนั่งเอาหลังพิงกำแพงพร้อมกับเอาแขนโอบกอดตัวเองแน่นเหมือนทรมานกับอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวที่เป็นอยู่รชตตั้งท่าเตรียมรับไว้อยู่แล้ว เมื่อเห็นการ์ดร่างใหญ่ของสุกำพลเดินเข้ามาใกล้จึงออกหมัดชกไปเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซถอยไปด้านหลังเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งไม่คิดว่ารชตจะกล้าท้าทายด้วยการเป็นฝ่ายลงมือก่อน“มึง!” คนถูกต่อยคำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราด ทันทีที่ตั้งหลักได้ก็พุ่งตัวเข้าใส่รชตราวกับหมีตะปบเหยื่อรชตอาศัยความปราดเปรียวกว่าหลบหมัดลุ่น ๆ ของการ์ดร่างยักษ์ไปได้ด้วยความว่องไวปารุสจ้องเขม็งอยู่ที่ปืนสลับกับจ้องใบหน้าของสุกำพลอย่างไม่ให้คลาดสายตา การต่อยตีของรชตกับคนของสุกำพลนั้นเรียกคว
ปารุสสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ มีมือเย็นเฉียบของใครบางคนมาเกาะที่น่อง ครั้นพอก้มลงมองจึงรู้ว่าเป็นแพรพิไลซึ่งยังอยู่ในอาการเมายาไม่ได้สติ ชายหนุ่มรีบชักขากลับมาแล้วดันหญิงสาวอีกคนที่กำลังนั่งเกาะขาเขาอยู่เข้าไปหาแพรพิไลแทนอย่างน้อยก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มันคงดีกว่าที่เจ้านายจะมาเห็นผู้หญิงของตัวเองกำลังนัวเนียกับเขา เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะถูกหักเงินเดือนไปทั้งปีหรือเปล่า“รีบออกไปกันเถอะ...อ้าวเฮ้ย!” รชตอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผู้หญิงที่คลุกวงในอยู่กับปารุสเมื่อครู่มาตอแยแพรพิไล ชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปคว้าตัวแฟนสาวออกมากอดไว้แล้วหันไปพยักหน้ากับปารุส“เมื่อกี้ผมจุดไฟเผาผ้าม่าน อีกเดี๋ยวคนคงเริ่มสังเกตแล้วละ เราต้องอาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไป”พูดจบก็มองไปที่ด้านหลัง ควันไฟเริ่มหนาขึ้นจึงรีบประคองพาแพรพิไลเดินห่างออกมาจากจุดเกิดเหตุที่เขาเพิ่งใช้เทียนเผาผ้าม่านสีดำ เขาภาวนาให้มันลุกติดไฟเร็ว ๆ เพราะควันจะได้มากพอที่จะลอยขึ้นไปสัมผัสกับสัญญาณเตือนอัคคีภัยที่อยู่บนเพดาน และเมื่อถึงตอนนั้น ที่น