ฟู่ฮั่นเดินไปต้อนรับเขาที่ลานหน้าบ้าน รถจอดตรงหน้าฟู่ฮั่น ประตูรถเปิดออกและคนแรกที่ลงจากรถมาก่อนคือบอดี้การ์ดของฟู่สือถิง หลังจากที่บอดี้การ์ดลงจากรถ เขามองฟู่ฮั่นอย่างเย็นชา หนังศีรษะของฟู่ฮั่นชาหนึบเมื่อบอดี้การ์ดมองเขา เกิดอะไรขึ้น? เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฟู่สือถิง บอดี้การ์ดกล้าดียังไงมองเขาด้วยสายตาท้าทายแบบนี้! บ่อยครั้งที่ทัศนคติของคนรับใช้ก็แสดงถึงทัศนคติของเจ้านายที่มีต่อคนคนนั้น ฟู่ฮั่นคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ การตายของอิ๋นอิ๋นไม่เกี่ยวกับเขาเลย! ขณะที่ฟู่ฮั่นสับสน ฟู่สือถิงก้าวขายาว ๆ ลงจากรถ หลังจากเขาลงจากรถแล้ว ก็เหลือบมองฟู่ฮั่นอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปในวิลล่า ฟู่ฮั่นงุนงงแล้วไล่ตามเขาไป “สือถิง เมื่อคืนนี้ฉันได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอิ๋นอิ๋น ตอนแรกคิดว่าจะติดต่อแก แต่เพราะว่ามันดึกมากแล้ว เลยไม่รบกวนแก ถ้าหากแกไม่มาที่นี่ ฉันก็คิดจะไปหารือกับแกเรื่องนี้เหมือนกัน” เสียงของฟู่สือถิงเย็นเยียบเข้ากระดูก “หารือเรื่องอะไร?” “เรื่องงานศพของอิ๋นอิ๋นไง” “ใครบอกว่าเธอตายแล้ว?” เขากำหมัดแน่น ดวงตามีกระแสแห่งความโกรธที่ปะทุขึ้นมา ฟู่ฮั่นรู้สึกได้
ฟู่สือถิงคิดได้อย่างถ่องแท้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เขาต้องการล้างแค้นให้แม่ ถ้าคนที่ฆ่าแม่คือพี่ชาย เขาก็จะฆ่าพี่ชาย ถ้าคนที่ฆ่าแม่คือฟู่เย่เฉิน เขาก็จะฆ่าฟู่เย่เฉิน ไม่ว่าใครจะร้องขอความเมตตาก็ไม่มีประโยชน์ เขากำปืนแน่นขึ้น เล็งมันไปทางฟู่เย่เฉิน เขานับในใจ หนึ่ง สอง สาม…เขานับถึงสามแล้วเหนี่ยวไกปืน! ‘ปัง’ เสียงปืนดังลั่น! กระสุนถูกยิงไปในทิศทางของฟู่เย่เฉิน! ฟู่เย่เฉินหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความกลัวจนลืมกรีดร้อง เขาเห็นเพียงแค่เงาดำ “ฟึ่บ” แวบผ่านหน้าเขาไป แล้วก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากลำคอเขามองเห็นแม่ของเขาล้มลงในอ้อมแขนเขา! เขาเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากของแม่! เขาตระหนักได้ว่า แม่เอาตัวเองบังกระสุนแทนเขา!“แม่! แม่!” ฟู่เย่เฉินกอดแม่แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ชั้นล่าง ฟู่ฮั่นที่มองเห็นภาพนี้ รีบวิ่งตะบึงขึ้นไปยังชั้นบนทันที “อาเจิน! อาเจิน! คุณต้องไม่เป็นอะไรนะอาเจิน! ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล! ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” ฟู่ฮั่นวิ่งขึ้นไปชั้นบนแล้วนำภรรยาออกมาจากอ้อมแขนของลูกชาย ฟูฮั่นอุ้มภรรยาลงมาชั้นล่าง ฟู่เย่เฉินตามมาข้างหลัง ตอนที่พวกเขาเดิ
เขาโทรหาเธอทำไม? เธอล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วรับสาย “ฉินอันอัน แม่ผมตายแล้ว” เสียงของฟู่เย่เฉินที่กำลังร้องไห้ดังลอดมาจากปลายสายฉินอันอันอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้สึกกะทันหันเล็กน้อย “แม่คุณตายแล้วงั้นหรือ? ตายได้ยังไง?” “ถูกฟู่สือถิงยิงตาย” ฟู่เย่เฉินพูดพร้อมสะอึกสะอื้น “ตอนแรกเขาต้องการยิงผมให้ตาย แต่แม่ของผมมาบังกระสุนให้ผม ฉินอันอัน ตอนนี้ผมเจ็บปวดมาก ผมไม่รู้จะพูดกับใครดี…” ฉินอันอันผุดลุกขึ้นนั่ง ทำไมฟู่สือถิงถึงทำแบบนี้? เพราะว่าอิ๋นอิ๋นให้เลือดจื่อชิวถึงได้เกิดเรื่องขึ้น ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับฟู่เย่เฉิน! เขาฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ เขาไม่ใช่คนแบบนั้น!“ฟู่เย่เฉิน คุณอาของคุณทำแบบนี้ เพราะว่าคุณทำเรื่องน่ารังเกียจใช่ไหม?” ฉินอันอันถาม “คุณทำอะไรลงไปกันแน่?!” เดิมฟู่เย่เฉินคิดว่าจะมาร้องทุกข์กับฉินอันอัน คิดไม่ถึงว่าอารมณ์ของฉินอันอันจะดุเดือดกว่าเขา “ผมทำเรื่องน่ารังเกียจจริง ๆ คุณอาต้องการฆ่าผม ผมไม่ควรโกรธเขา แต่ว่าแม่ผมบริสุทธิ์!” ฟู่เย่เฉินหายใจเข้าแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหน้า “คุณย่าของผมถูกผมกับเสิ่นอวี๋ฆ่าตาย… ผมมันโง่เอง! ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าผมเกาะเสิ่นอวี๋เอาไ
ป้าจางส่ายหน้า “ตอนเขาออกไปตอนเช้า สีหน้าของเขาแย่มากค่ะ ดิฉันไม่กล้าถาม หรือไม่คุณลองโทรถามเขาดูไหมคะ?” ฉินอันอันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ของเขา โทรติดแต่เขาไม่รับ “อันอัน คุณเข้ามาด้านในก่อนเถอะค่ะ! ข้างนอกหนาวเกินไป” ป้าจางพยุงเธอเข้ามา “คุณฟื้นตัวของคุณเป็นยังไงบ้างคะ?” “ฉันสบายดีค่ะ” เธอตอบเลี่ยง ๆ ที่จริงเธอยังเจ็บแผลบนหน้าท้องของเธอมาก เพียงแต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้เธอมันจะลืมความเจ็บปวดบนตัวเธอไป“ดิฉันเองก็เป็นผู้หญิง แล้วก็เคยคลอดลูก ตอนนี้คุณยังไม่พ้นเดือนแล้วยังเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลทุกวัน มันมีผลต่อการพักฟื้นของคุณแน่นอนค่ะ” ป้าจางถอนใจ “รอจนอาการป่วยของจื่อชิวคงที่แล้ว คุณจะได้พักผ่อนที่อยู่บ้านอย่างสบายใจ ส่วนคุณผู้ชาย เขาจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวของเขาเองค่ะ” “ค่ะ ฉันอยากมาดูเขาหน่อย” ไม่เห็นหน้า ก็ไม่วางใจ“เขาน่าจะกลับมาตอนเย็นค่ะ” ป้าจางรินน้ำอุ่นให้เธอ “เมื่อคืนเขาอยู่ในห้องอิ๋นอิ๋นทั้งคืน เดาว่าคงไม่หลับเลย” “ฉันไปดูห้องอิ๋นอิ่นได้หรือเปล่าคะ?” ฉินอันอันรับแก้วน้ำมาแล้วดื่ม “ได้สิคะ แต่คุณอย่าแตะต้อง
ทว่ามีรูปเดี่ยวของอิ๋นอิ๋น ในเวลานั้นฟู่สือถิงเป็เพียงเด็กอายุสี่ขวบ ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะเฉียบแหลมกว่าคนวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาอยากให้น้องสาวถ่ายรูปครอบครัวด้วยกัน แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ฉินอันอันเดาว่าสาเหตุที่อิ๋นอิ๋นไม่อยู่ในทะเบียนบ้านของตระกูลฟู่น่าจะเป็นเพราะพ่อของฟู่สือถิงไม่สามารถยอมรับอิ๋นอิ๋นที่เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้ ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายภาพทั้งครอบครัวแล้วไม่เอาลูกสาวไปด้วย เธอยังคงพลิกดูรูปถ่ายต่อ พอพลิกหน้าใหม่ รูปเดี่ยวของฟู่สือวัยห้าขวบปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เธอดูรูปของฟู่สือถิงตอนห้าขวบ ราวกับกำลังมองเขาในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างดูเหมือนผิดปกติความรู้สึกในใจของเธอรัดแน่นขึ้น นิ้วของเธอที่จับอัลบั้มรูปก็สั่นเล็กน้อยขณะที่เธอมองดูรูปฟู่สือถิงตรงหน้า ดูเหมือนฟู่สือถิงไม่ได้หน้าตาแบบนี้… ทว่ารูปฟู่สือถิงตอนห้าขวบ เห็นได้ชัดว่าเป็นฟู่สือถิง! เธอกลับไปพลิกดูรูปถ่ายเพื่อหารูปถ่ายของเขาตอนสี่ขวบ แต่ว่าไม่มี! เธอจำได้ชัดเจนว่าเธอเพิ่งเห็นรูปเดี่ยวของเขา…ไม่มีได้ยังไง? เธอพลิกไปข้างหน้า… รูปเดี่ยวของเขาตอนสามขวบก็ไม่มี
ทางเดินของโรงพยาบาลเงียบสงบ ฉินอันอันออกมาห้องผู้ป่วยวิกฤตของแผนกทารกแรกเกิด นางพยาบาลจำเธอได้และเดินไปหาเธอทันทีและเอ่ยว่า “คุณฉิน วันนี้จื่อชิวสบายดีมากค่ะ! หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านได้อย่างสบายใจและรอจนจื่อชิวออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ” ฉินอันอันพยักหน้า ในเมื่อจื่อชิวไม่เป็นอะไรแล้ว เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เธอรู้สึกเวียนหัว เธอรู้ดีว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแย่ เธอสามารถปลอบใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่สนใจกับทัศนคติของฟู่สือถิง เธอสามารถแสร้งทำเป็นใจเย็นและยังเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างดีได้ แต่ทำไมในใจของเธอถึงเจ็บปวดขนาดนี้? เหมือนกับที่เธอรู้ดีมาตลอดว่า เสี่ยวหานกับรุ่ยลาบอกว่าไม่ต้องการพ่อ แต่ว่าในใจของพวกเขานั้นต้องการพ่อ และเธอเองก็ต้องการเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามีกรงเล็บที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการเข้าใกล้เธอ หรือเธอต้องการเข้าใกล้เขา กรงเล็บที่มองไม่เห็นนี้จะยื่นออกมาแล้วผลักทั้งสองคนออกจากกัน! หรือว่าพวกเขาสองคนถูกกำหนดไว้ว่าไม่ให้อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
ฉินอันอันเองก็อยากกลับไปทำงาน แต่ร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัว ถึงแม้เธออยากไปทำงาน ไมค์ไม่ยอมให้เธอไป วันนี้ฝนตกหนักอีกแล้ว ฤดูหนาวปีนี้อุณหภูมิต่ำกว่าทุกปี ก่อนที่ไมค์จะไปที่บริษัท เขาเตือนเธอว่าวันนี้ห้ามออกไปข้างนอก “อันอัน ถ้าเธออยู่บ้านแล้วเบื่อ ชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ” ไมค์กล่าว ฉินอันอันตอบรับเสียงแผ่วหลังจากที่ไมค์ออกไป ทันใดนั้นเธอก็นึกได้ว่าตัวเองแทบไม่มีเพื่อนเลย ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลีเสี่ยวเถียนทิ้งบาดแผลทางใจไว้ให้เธอ และเว่ยเจินก็หายตัวไป เธอไม่มีเพื่อนให้โทรหาและชวนมาเที่ยวด้วยเลย ไมค์กลับมาหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาซื้อไหมพรมมาหนึ่งม้วน “อันอัน ถ้าเธอเบื่อก็ถักเสื้อสเวตเตอร์สักตัวสิ! เธอจะถักให้ลูกหรือถักให้ฉันก็ได้” ไมค์พิจารณาแล้วว่าถักไหมพรมไม่ได้เหนื่อยมากและช่วยฆ่าเวลาได้ “หรือจะถักให้น้องหมาของจื่ออี้” ฉินอันอันวางหนังสือในมือลงแล้วเงยหน้ามองเขา “ฉันดูเหมือนเบื่อมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไมค์ “เธอเอาแต่อ่านหนังสือ ตาไม่ล้าเหรอ?” “ถ้าฉันเหนื่อยฉันพักได้น่า” เธอหยิบไหมพรมที่เขาซื้อมาออกมาดู “ไหมพรมที่นายซื้อมาพอแค่ถักให้น้องหมาเท่า
นี่คือการพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเธอกับเจ้าตัวเล็ก เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในตู้อบ ปกติเขาจะหลับ และหลังจากที่อาการป่วยเขาดีขึ้นแล้ว เธอก็ไม่เคยไปเยี่ยมเขาอีกเลย พอเห็นดวงตาที่สดใสของเขาในตอนนี้ เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “จื่อชิว! หนูน้อย!” ไมค์ยืนข้างเธอแล้วเหยียดนิ้วออกมายิ้มแก้มเล็ก ๆ ของจื่อชิว “ให้คุณลุงกอดหนูหน่อยนะ!” ไมค์รับเด็กจากมือของฉินอันอันอย่างระมัดระวังมาอุ้มเวลานี้เอง โจวจื่ออี้ถือตะกร้าเด็กเข้ามาแล้วให้ไมค์วางเด็กใส่ในตะกร้า “ถ้าคุณอุ้มเด็กตัวเล็กขนาดนี้ไม่เป็นก็อย่าอุ้มเลย” โจวจื่ออี้เตือนเขา “คุณต้องประคองต้นคอของเขาด้วย” “พูดอย่างกับคุณมีประสบการณ์มากมาย เมื่อก่อนตอนที่ผมดูแลเสี่ยวหานและรุ่ยลา คุณไม่เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพแค่ไหน!” ไมค์โอ้อวดแล้ววางจื่อชิวลงในตะกร้า ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็มาถึงสตาร์ริเวอร์วิลล่า จื่อชิวที่กำลังนอนหลับในตะกร้าถูกวางลงบนโซฟา เสี่ยวหานและรุ่ยลาจ้องไปที่น้องชายด้วยดวงตากลมโต ตอนนี้จื่อชิวกำลังหลับอยู่ ดังนั้นเด็กสองคนจึงจ้องเขาอยู่สักพัก ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็หมดลงอย่างรวดเร็วโจวจื่ออี้เอามือถือของเขาม
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง