ป้าจางส่ายหน้า “ตอนเขาออกไปตอนเช้า สีหน้าของเขาแย่มากค่ะ ดิฉันไม่กล้าถาม หรือไม่คุณลองโทรถามเขาดูไหมคะ?” ฉินอันอันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ของเขา โทรติดแต่เขาไม่รับ “อันอัน คุณเข้ามาด้านในก่อนเถอะค่ะ! ข้างนอกหนาวเกินไป” ป้าจางพยุงเธอเข้ามา “คุณฟื้นตัวของคุณเป็นยังไงบ้างคะ?” “ฉันสบายดีค่ะ” เธอตอบเลี่ยง ๆ ที่จริงเธอยังเจ็บแผลบนหน้าท้องของเธอมาก เพียงแต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้เธอมันจะลืมความเจ็บปวดบนตัวเธอไป“ดิฉันเองก็เป็นผู้หญิง แล้วก็เคยคลอดลูก ตอนนี้คุณยังไม่พ้นเดือนแล้วยังเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลทุกวัน มันมีผลต่อการพักฟื้นของคุณแน่นอนค่ะ” ป้าจางถอนใจ “รอจนอาการป่วยของจื่อชิวคงที่แล้ว คุณจะได้พักผ่อนที่อยู่บ้านอย่างสบายใจ ส่วนคุณผู้ชาย เขาจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวของเขาเองค่ะ” “ค่ะ ฉันอยากมาดูเขาหน่อย” ไม่เห็นหน้า ก็ไม่วางใจ“เขาน่าจะกลับมาตอนเย็นค่ะ” ป้าจางรินน้ำอุ่นให้เธอ “เมื่อคืนเขาอยู่ในห้องอิ๋นอิ๋นทั้งคืน เดาว่าคงไม่หลับเลย” “ฉันไปดูห้องอิ๋นอิ่นได้หรือเปล่าคะ?” ฉินอันอันรับแก้วน้ำมาแล้วดื่ม “ได้สิคะ แต่คุณอย่าแตะต้อง
ทว่ามีรูปเดี่ยวของอิ๋นอิ๋น ในเวลานั้นฟู่สือถิงเป็เพียงเด็กอายุสี่ขวบ ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะเฉียบแหลมกว่าคนวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาอยากให้น้องสาวถ่ายรูปครอบครัวด้วยกัน แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ฉินอันอันเดาว่าสาเหตุที่อิ๋นอิ๋นไม่อยู่ในทะเบียนบ้านของตระกูลฟู่น่าจะเป็นเพราะพ่อของฟู่สือถิงไม่สามารถยอมรับอิ๋นอิ๋นที่เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้ ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายภาพทั้งครอบครัวแล้วไม่เอาลูกสาวไปด้วย เธอยังคงพลิกดูรูปถ่ายต่อ พอพลิกหน้าใหม่ รูปเดี่ยวของฟู่สือวัยห้าขวบปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เธอดูรูปของฟู่สือถิงตอนห้าขวบ ราวกับกำลังมองเขาในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างดูเหมือนผิดปกติความรู้สึกในใจของเธอรัดแน่นขึ้น นิ้วของเธอที่จับอัลบั้มรูปก็สั่นเล็กน้อยขณะที่เธอมองดูรูปฟู่สือถิงตรงหน้า ดูเหมือนฟู่สือถิงไม่ได้หน้าตาแบบนี้… ทว่ารูปฟู่สือถิงตอนห้าขวบ เห็นได้ชัดว่าเป็นฟู่สือถิง! เธอกลับไปพลิกดูรูปถ่ายเพื่อหารูปถ่ายของเขาตอนสี่ขวบ แต่ว่าไม่มี! เธอจำได้ชัดเจนว่าเธอเพิ่งเห็นรูปเดี่ยวของเขา…ไม่มีได้ยังไง? เธอพลิกไปข้างหน้า… รูปเดี่ยวของเขาตอนสามขวบก็ไม่มี
ทางเดินของโรงพยาบาลเงียบสงบ ฉินอันอันออกมาห้องผู้ป่วยวิกฤตของแผนกทารกแรกเกิด นางพยาบาลจำเธอได้และเดินไปหาเธอทันทีและเอ่ยว่า “คุณฉิน วันนี้จื่อชิวสบายดีมากค่ะ! หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านได้อย่างสบายใจและรอจนจื่อชิวออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ” ฉินอันอันพยักหน้า ในเมื่อจื่อชิวไม่เป็นอะไรแล้ว เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เธอรู้สึกเวียนหัว เธอรู้ดีว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแย่ เธอสามารถปลอบใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่สนใจกับทัศนคติของฟู่สือถิง เธอสามารถแสร้งทำเป็นใจเย็นและยังเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างดีได้ แต่ทำไมในใจของเธอถึงเจ็บปวดขนาดนี้? เหมือนกับที่เธอรู้ดีมาตลอดว่า เสี่ยวหานกับรุ่ยลาบอกว่าไม่ต้องการพ่อ แต่ว่าในใจของพวกเขานั้นต้องการพ่อ และเธอเองก็ต้องการเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามีกรงเล็บที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการเข้าใกล้เธอ หรือเธอต้องการเข้าใกล้เขา กรงเล็บที่มองไม่เห็นนี้จะยื่นออกมาแล้วผลักทั้งสองคนออกจากกัน! หรือว่าพวกเขาสองคนถูกกำหนดไว้ว่าไม่ให้อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
ฉินอันอันเองก็อยากกลับไปทำงาน แต่ร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัว ถึงแม้เธออยากไปทำงาน ไมค์ไม่ยอมให้เธอไป วันนี้ฝนตกหนักอีกแล้ว ฤดูหนาวปีนี้อุณหภูมิต่ำกว่าทุกปี ก่อนที่ไมค์จะไปที่บริษัท เขาเตือนเธอว่าวันนี้ห้ามออกไปข้างนอก “อันอัน ถ้าเธออยู่บ้านแล้วเบื่อ ชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ” ไมค์กล่าว ฉินอันอันตอบรับเสียงแผ่วหลังจากที่ไมค์ออกไป ทันใดนั้นเธอก็นึกได้ว่าตัวเองแทบไม่มีเพื่อนเลย ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลีเสี่ยวเถียนทิ้งบาดแผลทางใจไว้ให้เธอ และเว่ยเจินก็หายตัวไป เธอไม่มีเพื่อนให้โทรหาและชวนมาเที่ยวด้วยเลย ไมค์กลับมาหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาซื้อไหมพรมมาหนึ่งม้วน “อันอัน ถ้าเธอเบื่อก็ถักเสื้อสเวตเตอร์สักตัวสิ! เธอจะถักให้ลูกหรือถักให้ฉันก็ได้” ไมค์พิจารณาแล้วว่าถักไหมพรมไม่ได้เหนื่อยมากและช่วยฆ่าเวลาได้ “หรือจะถักให้น้องหมาของจื่ออี้” ฉินอันอันวางหนังสือในมือลงแล้วเงยหน้ามองเขา “ฉันดูเหมือนเบื่อมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไมค์ “เธอเอาแต่อ่านหนังสือ ตาไม่ล้าเหรอ?” “ถ้าฉันเหนื่อยฉันพักได้น่า” เธอหยิบไหมพรมที่เขาซื้อมาออกมาดู “ไหมพรมที่นายซื้อมาพอแค่ถักให้น้องหมาเท่า
นี่คือการพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเธอกับเจ้าตัวเล็ก เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในตู้อบ ปกติเขาจะหลับ และหลังจากที่อาการป่วยเขาดีขึ้นแล้ว เธอก็ไม่เคยไปเยี่ยมเขาอีกเลย พอเห็นดวงตาที่สดใสของเขาในตอนนี้ เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “จื่อชิว! หนูน้อย!” ไมค์ยืนข้างเธอแล้วเหยียดนิ้วออกมายิ้มแก้มเล็ก ๆ ของจื่อชิว “ให้คุณลุงกอดหนูหน่อยนะ!” ไมค์รับเด็กจากมือของฉินอันอันอย่างระมัดระวังมาอุ้มเวลานี้เอง โจวจื่ออี้ถือตะกร้าเด็กเข้ามาแล้วให้ไมค์วางเด็กใส่ในตะกร้า “ถ้าคุณอุ้มเด็กตัวเล็กขนาดนี้ไม่เป็นก็อย่าอุ้มเลย” โจวจื่ออี้เตือนเขา “คุณต้องประคองต้นคอของเขาด้วย” “พูดอย่างกับคุณมีประสบการณ์มากมาย เมื่อก่อนตอนที่ผมดูแลเสี่ยวหานและรุ่ยลา คุณไม่เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพแค่ไหน!” ไมค์โอ้อวดแล้ววางจื่อชิวลงในตะกร้า ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็มาถึงสตาร์ริเวอร์วิลล่า จื่อชิวที่กำลังนอนหลับในตะกร้าถูกวางลงบนโซฟา เสี่ยวหานและรุ่ยลาจ้องไปที่น้องชายด้วยดวงตากลมโต ตอนนี้จื่อชิวกำลังหลับอยู่ ดังนั้นเด็กสองคนจึงจ้องเขาอยู่สักพัก ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็หมดลงอย่างรวดเร็วโจวจื่ออี้เอามือถือของเขาม
ฟู่สือถิงมาที่นี่ งานคือเรื่องรอง หลัก ๆ เพราะต้องการหนี เพียงแค่เขาคิดถึงการเสียสละของอิ๋นอิ๋นเพื่อจื่อชิว หัวใจของเขาก็เจ็บปวดจนเหมือนถูกฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเลือดออกชุ่มโชก! หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เขาคลิกที่ข้อความ ทันใดนั้นรูปถ่ายที่สะดุดตาก็ปรากฏขึ้น เป็นจื่อชิวลืมตาดำขลับสว่างใสแล้วจ้องมองกล้องด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ราวกับกำลังสบตาเขา หลังจากเห็นภาพนี้ การหายใจของเขาก็เริ่มหนักขึ้นทันทีเขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววางโทรศัพท์ลง เหตุผลบอกเขาว่า การตายของอิ๋นอิ๋นไม่เกี่ยวข้องกับจื่อชิว แต่เขาไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคในใจได้ แค่เพียงเขาคิดว่าอิ๋นอิ๋นจะไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว และไม่มีวันเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างอ่อนหวานอีกต่อไป ความโศกเศร้าก็จะท่วมท้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ และทำลายเหตุผลทั้งหมดของเขาลง ตอนกลางคืน ที่สตาร์ริเวอร์วิลล่า ไมค์เชิญเฮ่อจุ่นจือกับเซิ่งเป่ยมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่จื่อชิวออกจากโรงพยาบาล ทารกในวัยของจื่อชิวจะนอนหลับค่อนข้างมาก ตอนที่พวกเขาเข้ามา จื่อชิวกำลังนอนหลับ พวกเขาพูดว่าจื่อชิวเหมือนฟู่สือถิง ในใจของฉินอันอันพูดโดยอัตโนมัติว่า จื่อชิวไม่ได้เหมือนฟู
อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเวลาห้าทุ่ม ฟู่สือถิงก็ยังไม่มา ถ้าเขาอยากเจอจื่อชิวจริง ๆ คืนนี้เขาต้องมาแน่นอน “อันอัน คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะค่ะ!” ป้าจางดูเวลาแล้วพูดว่า “จื่อชิวว่าง่ายมากค่ะ ถ้าเขาร้องไห้ตอนกลางคืน ฉันจะชงนมให้เขา” “อืม ลำบากป้าจางแล้วค่ะ ฉันจะมาเปลี่ยนกับป้าจางพรุ่งนี้เช้านะคะ” ฉินอันอันเดินออกจากห้อง เดินไปทางห้องนอนใหญ่ จิตใจของเธอสงบลงมาก เราไม่สามารถรับได้ทุกสิ่ง ตอนนี้เธอมีลูกทั้งสามอยู่เคียงข้างเธอ ขอเพียงลูกทั้งสามคนแข็งแรงและปลอดภัย อย่างอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ เธอรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก พอกลับถึงห้อง เธอไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย มีป้าจางช่วยดูแลจื่อชิว เธอไม่ต้องกังวลอะไรเลย ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงงานที่ตัวเองทำช่วงตัวเองตั้งท้องเพราะว่าผู้ป่วยไม่ได้รีบร้อน ดังนั้นหลังจากตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่สาม เธอจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ เธอหยิบเวชระเบียนของผู้ป่วยออกมาจากลิ้นชักและอ่านตั้งแต่ต้นอาการของผู้ป่วยรายนี้คล้ายกับอาการป่วยของอิ๋นอิ๋นอย่างมาก ตอนนี้อิ๋นอิ๋นไม่อยู่แล้ว เธอตั้งใจจะรักษาผู้ป่วยคนนี้ให้หายถึงแม้ว
“เขาไม่ได้มาหาฉัน แต่ฉันก็มีเวลาไม่มากแล้ว! ถังเฉียวเซิน ทางคุณมีเบาะแสอะไรบ้างหรือยัง?” หวังหว่านจือกล่าว “ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าคุณไม่ปกป้องฉัน ฉันจะลากคุณลงน้ำไปด้วย” ถังเฉียวเซินกล่าว “หวังหว่านจือ คุณไม่กลัวว่าผมจะฆ่าคุณเลยเหรอ? คุณไปเอาความกล้าจากไหนมาข่มขู่ผม?” “ถังเฉียวเซิน ฉันหวังหว่านจือไม่ได้มาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะหน้าแก่ ๆ นี้หรอกนะ!” เสียงของหวังหว่านจือเริ่มเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “ฉันมีวิธีถอนตัวมากมาย แต่ฉันไม่ต้องการซ่อนตัวเหมือนหนู! ฉันอยากร่วมมือกับคุณโค่นฟู่สือถิง! มีเพียงการโค่นฟู่สือถิงลงเท่านั้น ฉันถึงจะจัดการฉินอันอันได้โดยไม่ว่อกแว่ก!” ถังเฉียวเซินเงียบไปสองสามวินาที เขาเองก็ต้องการโค่นฟู่สือถิงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือไม่แตกคอกับหวังหว่านจือ “เกี่ยวกับกล่องนั่น ผมมีเบาะแสนิดหน่อยแล้ว” ตอนแรกเขาต้องการเจอกล่องใบนั้นก่อนแล้วค่อยพูด แต่ตอนนี้หวังหว่านจือซักไซ้ไล่เลียงเขา เขาทำได้เพียงพูดออกมาล่วงหน้าเท่านั้น “เบาะแสอะไร?” หวังหว่านจือถามอย่างกังวล “หวังหว่านจือ ผมเจอกล่องแล้วจะบอกคุณแน่นอน ถ้าผมบอกรายละเอียดคุณตอนนี้ ผมจะร