ทางเดินของโรงพยาบาลเงียบสงบ ฉินอันอันออกมาห้องผู้ป่วยวิกฤตของแผนกทารกแรกเกิด นางพยาบาลจำเธอได้และเดินไปหาเธอทันทีและเอ่ยว่า “คุณฉิน วันนี้จื่อชิวสบายดีมากค่ะ! หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านได้อย่างสบายใจและรอจนจื่อชิวออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ” ฉินอันอันพยักหน้า ในเมื่อจื่อชิวไม่เป็นอะไรแล้ว เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เธอรู้สึกเวียนหัว เธอรู้ดีว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกแย่ เธอสามารถปลอบใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่สนใจกับทัศนคติของฟู่สือถิง เธอสามารถแสร้งทำเป็นใจเย็นและยังเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างดีได้ แต่ทำไมในใจของเธอถึงเจ็บปวดขนาดนี้? เหมือนกับที่เธอรู้ดีมาตลอดว่า เสี่ยวหานกับรุ่ยลาบอกว่าไม่ต้องการพ่อ แต่ว่าในใจของพวกเขานั้นต้องการพ่อ และเธอเองก็ต้องการเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามีกรงเล็บที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการเข้าใกล้เธอ หรือเธอต้องการเข้าใกล้เขา กรงเล็บที่มองไม่เห็นนี้จะยื่นออกมาแล้วผลักทั้งสองคนออกจากกัน! หรือว่าพวกเขาสองคนถูกกำหนดไว้ว่าไม่ให้อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
ฉินอันอันเองก็อยากกลับไปทำงาน แต่ร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัว ถึงแม้เธออยากไปทำงาน ไมค์ไม่ยอมให้เธอไป วันนี้ฝนตกหนักอีกแล้ว ฤดูหนาวปีนี้อุณหภูมิต่ำกว่าทุกปี ก่อนที่ไมค์จะไปที่บริษัท เขาเตือนเธอว่าวันนี้ห้ามออกไปข้างนอก “อันอัน ถ้าเธออยู่บ้านแล้วเบื่อ ชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ” ไมค์กล่าว ฉินอันอันตอบรับเสียงแผ่วหลังจากที่ไมค์ออกไป ทันใดนั้นเธอก็นึกได้ว่าตัวเองแทบไม่มีเพื่อนเลย ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลีเสี่ยวเถียนทิ้งบาดแผลทางใจไว้ให้เธอ และเว่ยเจินก็หายตัวไป เธอไม่มีเพื่อนให้โทรหาและชวนมาเที่ยวด้วยเลย ไมค์กลับมาหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาซื้อไหมพรมมาหนึ่งม้วน “อันอัน ถ้าเธอเบื่อก็ถักเสื้อสเวตเตอร์สักตัวสิ! เธอจะถักให้ลูกหรือถักให้ฉันก็ได้” ไมค์พิจารณาแล้วว่าถักไหมพรมไม่ได้เหนื่อยมากและช่วยฆ่าเวลาได้ “หรือจะถักให้น้องหมาของจื่ออี้” ฉินอันอันวางหนังสือในมือลงแล้วเงยหน้ามองเขา “ฉันดูเหมือนเบื่อมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไมค์ “เธอเอาแต่อ่านหนังสือ ตาไม่ล้าเหรอ?” “ถ้าฉันเหนื่อยฉันพักได้น่า” เธอหยิบไหมพรมที่เขาซื้อมาออกมาดู “ไหมพรมที่นายซื้อมาพอแค่ถักให้น้องหมาเท่า
นี่คือการพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเธอกับเจ้าตัวเล็ก เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในตู้อบ ปกติเขาจะหลับ และหลังจากที่อาการป่วยเขาดีขึ้นแล้ว เธอก็ไม่เคยไปเยี่ยมเขาอีกเลย พอเห็นดวงตาที่สดใสของเขาในตอนนี้ เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “จื่อชิว! หนูน้อย!” ไมค์ยืนข้างเธอแล้วเหยียดนิ้วออกมายิ้มแก้มเล็ก ๆ ของจื่อชิว “ให้คุณลุงกอดหนูหน่อยนะ!” ไมค์รับเด็กจากมือของฉินอันอันอย่างระมัดระวังมาอุ้มเวลานี้เอง โจวจื่ออี้ถือตะกร้าเด็กเข้ามาแล้วให้ไมค์วางเด็กใส่ในตะกร้า “ถ้าคุณอุ้มเด็กตัวเล็กขนาดนี้ไม่เป็นก็อย่าอุ้มเลย” โจวจื่ออี้เตือนเขา “คุณต้องประคองต้นคอของเขาด้วย” “พูดอย่างกับคุณมีประสบการณ์มากมาย เมื่อก่อนตอนที่ผมดูแลเสี่ยวหานและรุ่ยลา คุณไม่เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพแค่ไหน!” ไมค์โอ้อวดแล้ววางจื่อชิวลงในตะกร้า ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็มาถึงสตาร์ริเวอร์วิลล่า จื่อชิวที่กำลังนอนหลับในตะกร้าถูกวางลงบนโซฟา เสี่ยวหานและรุ่ยลาจ้องไปที่น้องชายด้วยดวงตากลมโต ตอนนี้จื่อชิวกำลังหลับอยู่ ดังนั้นเด็กสองคนจึงจ้องเขาอยู่สักพัก ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็หมดลงอย่างรวดเร็วโจวจื่ออี้เอามือถือของเขาม
ฟู่สือถิงมาที่นี่ งานคือเรื่องรอง หลัก ๆ เพราะต้องการหนี เพียงแค่เขาคิดถึงการเสียสละของอิ๋นอิ๋นเพื่อจื่อชิว หัวใจของเขาก็เจ็บปวดจนเหมือนถูกฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเลือดออกชุ่มโชก! หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เขาคลิกที่ข้อความ ทันใดนั้นรูปถ่ายที่สะดุดตาก็ปรากฏขึ้น เป็นจื่อชิวลืมตาดำขลับสว่างใสแล้วจ้องมองกล้องด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ราวกับกำลังสบตาเขา หลังจากเห็นภาพนี้ การหายใจของเขาก็เริ่มหนักขึ้นทันทีเขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววางโทรศัพท์ลง เหตุผลบอกเขาว่า การตายของอิ๋นอิ๋นไม่เกี่ยวข้องกับจื่อชิว แต่เขาไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคในใจได้ แค่เพียงเขาคิดว่าอิ๋นอิ๋นจะไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว และไม่มีวันเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างอ่อนหวานอีกต่อไป ความโศกเศร้าก็จะท่วมท้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ และทำลายเหตุผลทั้งหมดของเขาลง ตอนกลางคืน ที่สตาร์ริเวอร์วิลล่า ไมค์เชิญเฮ่อจุ่นจือกับเซิ่งเป่ยมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่จื่อชิวออกจากโรงพยาบาล ทารกในวัยของจื่อชิวจะนอนหลับค่อนข้างมาก ตอนที่พวกเขาเข้ามา จื่อชิวกำลังนอนหลับ พวกเขาพูดว่าจื่อชิวเหมือนฟู่สือถิง ในใจของฉินอันอันพูดโดยอัตโนมัติว่า จื่อชิวไม่ได้เหมือนฟู
อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเวลาห้าทุ่ม ฟู่สือถิงก็ยังไม่มา ถ้าเขาอยากเจอจื่อชิวจริง ๆ คืนนี้เขาต้องมาแน่นอน “อันอัน คุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะค่ะ!” ป้าจางดูเวลาแล้วพูดว่า “จื่อชิวว่าง่ายมากค่ะ ถ้าเขาร้องไห้ตอนกลางคืน ฉันจะชงนมให้เขา” “อืม ลำบากป้าจางแล้วค่ะ ฉันจะมาเปลี่ยนกับป้าจางพรุ่งนี้เช้านะคะ” ฉินอันอันเดินออกจากห้อง เดินไปทางห้องนอนใหญ่ จิตใจของเธอสงบลงมาก เราไม่สามารถรับได้ทุกสิ่ง ตอนนี้เธอมีลูกทั้งสามอยู่เคียงข้างเธอ ขอเพียงลูกทั้งสามคนแข็งแรงและปลอดภัย อย่างอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ เธอรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก พอกลับถึงห้อง เธอไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย มีป้าจางช่วยดูแลจื่อชิว เธอไม่ต้องกังวลอะไรเลย ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงงานที่ตัวเองทำช่วงตัวเองตั้งท้องเพราะว่าผู้ป่วยไม่ได้รีบร้อน ดังนั้นหลังจากตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่สาม เธอจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ เธอหยิบเวชระเบียนของผู้ป่วยออกมาจากลิ้นชักและอ่านตั้งแต่ต้นอาการของผู้ป่วยรายนี้คล้ายกับอาการป่วยของอิ๋นอิ๋นอย่างมาก ตอนนี้อิ๋นอิ๋นไม่อยู่แล้ว เธอตั้งใจจะรักษาผู้ป่วยคนนี้ให้หายถึงแม้ว
“เขาไม่ได้มาหาฉัน แต่ฉันก็มีเวลาไม่มากแล้ว! ถังเฉียวเซิน ทางคุณมีเบาะแสอะไรบ้างหรือยัง?” หวังหว่านจือกล่าว “ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าคุณไม่ปกป้องฉัน ฉันจะลากคุณลงน้ำไปด้วย” ถังเฉียวเซินกล่าว “หวังหว่านจือ คุณไม่กลัวว่าผมจะฆ่าคุณเลยเหรอ? คุณไปเอาความกล้าจากไหนมาข่มขู่ผม?” “ถังเฉียวเซิน ฉันหวังหว่านจือไม่ได้มาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะหน้าแก่ ๆ นี้หรอกนะ!” เสียงของหวังหว่านจือเริ่มเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “ฉันมีวิธีถอนตัวมากมาย แต่ฉันไม่ต้องการซ่อนตัวเหมือนหนู! ฉันอยากร่วมมือกับคุณโค่นฟู่สือถิง! มีเพียงการโค่นฟู่สือถิงลงเท่านั้น ฉันถึงจะจัดการฉินอันอันได้โดยไม่ว่อกแว่ก!” ถังเฉียวเซินเงียบไปสองสามวินาที เขาเองก็ต้องการโค่นฟู่สือถิงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือไม่แตกคอกับหวังหว่านจือ “เกี่ยวกับกล่องนั่น ผมมีเบาะแสนิดหน่อยแล้ว” ตอนแรกเขาต้องการเจอกล่องใบนั้นก่อนแล้วค่อยพูด แต่ตอนนี้หวังหว่านจือซักไซ้ไล่เลียงเขา เขาทำได้เพียงพูดออกมาล่วงหน้าเท่านั้น “เบาะแสอะไร?” หวังหว่านจือถามอย่างกังวล “หวังหว่านจือ ผมเจอกล่องแล้วจะบอกคุณแน่นอน ถ้าผมบอกรายละเอียดคุณตอนนี้ ผมจะร
ในความคิดของถังเชี่ยน ถึงแม้ฉินจือหานจะยังเป็นเด็ก แต่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป แต่ลูกสาวของฉินอันอันเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่น่ารักไร้เดียงสาทั่วไป ดังนั้นการจับตัวรุ่ยลาก็จะง่ายกว่า ถังเฉียวเซินฟังคำพูดของเธอแล้วก็ตกอยู่ในห้วงความคิดนี่คือการเคลื่อนไหวที่มีความเสี่ยง ถ้าไม่มั่นใจว่ามันจะสมบูรณ์แบบ เขาไม่กล้าลงมือง่าย ๆ วันรุ่งขึ้น เวลาเจ็ดโมงเช้า ฉินอันอันมาที่ห้องของเด็ก ๆ เด็ก ๆ กำลังหลับ แต่ว่าป้าจางตื่นแล้ว “ป้าจางคะ ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักเมื่อคืนนี้ ตอนนี้ป้าจางไปพักเถอะค่ะ ฉันจะดูแลลูกช่วงกลางวันเอง” ฉินอันอันกล่าว “ได้ค่ะ เขาดื่มนมสามครั้งเมื่อตอนกลางคืน เจริญอาหารดีและแข็งแรงมาก” ป้าจางยิ้มแล้วพูดว่า “เขาค่อนข้างว่าง่ายค่ะ หิวถึงจะร้อง กินอิ่มก็หลับไป” “เสี่ยวหานก็เป็นแบบนี้ตอนที่อายุเท่านี้ค่ะ รุ่ยลางอแงกว่านิดหน่อย” ฉินอันอันตอบกลับโดยไม่ลังเล ป้าจางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “อันอัน รุ่ยลากับเสี่ยวหานเองก็เป็นลูกของคุณผู้ชายใช่ไหม? ถึงแม้ว่าพวกคุณจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ทุกคนก็พูดกันในที่ลับ” ฉินอันอันตอบกลับ “ไม่ใช่ว่าเราไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ก่อน
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ดึงความคิดของเธอกลับคืนมา จื่อชิวอาจถูกรบกวนจากเสียงดังภายนอก ดังนั้นจึงร้องไห้ขึ้นมา ฉินอันอันรีบอุ้มเขาขึ้นมาจากเปล เมื่อเด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นมาก็หยุดร้องไห้ทันที “จื่อชิว พี่ชายและพี่สาวของเรากำลังเล่นหิมะอยู่ข้างนอก ไว้หนูโตขึ้นอีกหน่อย ให้พวกเขาพาหนูไปเล่นหิมะด้วยกันดีไหม?” เธออุ้มลูกชายของเธอยืนอยู่ข้างหน้าต่างและมองทิวทัศน์ภายนอกตอนนี้ยังอุ้มจื่อชิวในท่าตั้งตรงไม่ได้ ดังนั้นดวงตากลมโตที่สดใสของเขาจึงจ้องมองใบหน้าของฉินอันอันอย่างตั้งใจ “ที่รัก หนูหิวหรือเปล่า? ดูเหมือนจะผ่านมาสองชั่วโมงแล้วตั้งแต่ดื่มนมครั้งสุดท้าย… แม่จะไปชงนมให้หนูนะ” ฉินอันอันอุ้มเขาไปวางไว้ในเปล พี่เลี้ยงเด็กต้องการช่วย แต่พบว่าฉินอันอันชำนาญทุกเรื่องเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการกล่อมเด็กหรือชงนม จนคนนอกก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมได้เลย“คุณฉิน คุณเก่งจริง ๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีทุกอย่าง” พี่เลี้ยงกล่าวชม ฉินอันอันยอมรับคำชมและถามว่า “คุณมีแผนจะกลับบ้านช่วงปีใหม่เมื่อไหร่? คุณบอกฉันล่วงหน้าก็พอนะคะ” พี่เลี้ยงพูดว่า “ฉันจะหยุดวันที่ยี่สิบเก้าค่ะ! จื่อชิวยังเล็กขนาดนี้ ฉันกลัวว