ร่างอวบอัดเยื้องกรายมาเยื้อนคฤหาสน์ของคู่หมั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอวางแผนมาอย่างดี และแผนนี้ต้องสำเร็จ ทุกคนหันมามองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย เมื่อเธอหอบหิ้วทั้งขนมและน้ำมาแจกบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ทุกคน ทุกคนยอมรับน้ำใจเธอ แม้จะรู้สึกงุนงงกับการกระทำในครั้งนี้ก็ตาม เธอรีบเดินไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์ แล้วสาวเท้าเดินไปหาบอดี้การ์ดสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องต้องสงสัย เธอต้องการรู้ว่าใครซ่อนตัวอยู่ในนั้น เอมม่ายื่นน้ำให้อย่างมีไมตรี
“ฉันซื้อมาให้ กินซะสิ” เอมม่าบอก
บอดี้การ์ดทั้งสองมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าปฏิเสธน้ำใจเธอ หญิงสาวเม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ หากเป็นแบบนี้เห็นที ต้องจัดการแผนสอง เธอจัดการใช้ผ้าปิดปากไว้แล้วหยิบกระป๋องสเปรย์ขึ้นมาแอบซ่อนไว้ด้านหลัง บอดี้การ์ดทั้งสองหันมามองเธออีกครั้งด้วยความงุนงง เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นของเจ้านายยังไม่ยอมไปไหน
“มีอะไรอีกหรือเปล่าครับคุณเอมม่า?”
“ไม่มีอะไรหรอกแค่หันมานี้หน่อย!”
บอดี้การ์ดหันมามองเธอ สเปรย์ในมือถูกฉีดออกใส่ใบหน้า ทั้งสองสั่นศีรษะไล่ความมึนงงและรู้สึกมึนออกไป แต่ไม่นานพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานฤทธิ์ยาสลบได้จนหลับไปในที่สุด
เอมม่ามองดูบอดี้การ์ดหน้าห้องหลับเพราะฤทธิ์ยา จากนั้นเธอจัดการค้นหากุญแจสำหรับเปิดห้อง เธอมองดูลูกกุญแจในมือ ใครที่อยู่ในห้องนี้ หากเป็นผู้หญิงที่มาอยู่กับคู่หมั้นเธอแล้วจริงๆ จะไม่มีวันยอมเด็ดขาด
กริ๊ก
เธอไขลูกบิดเข้าไปด้านใน ค่อยๆ สาวเท้าเดินไป ดวงตาเบิกกว้างเมื่อสายตากำลังเห็นร่างของหญิงคนหนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียง โดยมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางอยู่ เดินเข้าไปใกล้แล้วยืนนิ่งมองดู ไม่อยากจะเชื่อ มันเกิดอะไรขึ้นหรือที่ผู้หญิงคนนี้เป็นแบบนี้เพราะเขา
ปรางค์ปรียาเริ่มรู้สึกตัวดวงตาคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างยากเย็น ร่างอวบสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าของร่างบางเริ่มขยับตัว เอมม่าตั้งท่าจะปลีกตัวออกไป เพราะเธอคงไม่ใจร้ายพอจะลากผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงมาตบตีเพื่อให้ออกไปจากบ้าน จากที่เห็น เธอคนนี้คงไม่มีแม้แต่แรงจะเดินด้วยซ้ำ ยิ่งร่องรอยนอกเสื้อผ้ายิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ไม่น้อยเลย
“ชะ...ช่วยฉันด้วย ชะ...ช่วยฉันที”เสียงแผ่วเบาครางออกมาจากริมฝีปากแห้งผากเป็นภาษาสากลที่คิดว่าคนฟังคงจะเข้าใจเธอ
เอมม่ายืนนิ่งไม่รู้จะทำเช่นไรดี แรกเริ่มอยากจะมาชำระความที่อาจหาญมายุ่งกับคู่หมั้นตน แต่เวลานี้เธอไม่แม้แต่จะมีความคิดเช่นนั้นเลย จากสภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้อดสงสารผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลย
“ฉะ...ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ!”เอมม่าตอบ
“ฮือๆๆๆ ช่วยฉันด้วย... ได้โปรดเถอะช่วยฉันที... ”หญิงสาวพยายามอ้อนวอนทั้งน้ำตา เธออยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอคงต้องถูกเขาทรมานจนตายแน่ๆ หากเขาฆ่าเธอเสียยังจะดีกว่า
“จะให้ฉันช่วยอะไร?”
“ช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ทีได้โปรด...” คนป่วยพยายามร้องขอ
เอมม่าไม่รู้จะทำเช่นไรดี ตัดสินใจเข้าประคองหญิงสาว ดึงสายน้ำเกลือออก ตัดสินใจช่วยเพราะสงสารหรอกนะ คงต้องรีบจัดการเพราะต้องแข่งกับเวลา เอมม่าพยุงร่างบางออกมาจากห้อง เธอพยายามกวาดสายตามองรอบๆ ใจก็ภาวนาขออย่าให้เจอคนที่เธอไม่อยากเจอในเวลานี้เลย
“ฉันคงจะบ้าไปแล้ว!”เอมม่าบ่น
ปรางค์ปรียามองหน้าหญิงชาวฝรั่งเศสคนนี้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ เอมม่าได้แต่ทำหน้าบูดบึ้งแล้วรีบพยุงร่างบอบช้ำของปรางค์ปรียาออกมาถึงด้านหลังของคฤหาสน์ เธอรีบวางร่างสาวเอเชียพิงกำแพงไว้ก่อนจะเดินออกไปดูต้นทางแล้วรีบกลับมาประคองร่างเธอออกมาด้านนอก ไม่นานนักเธอก็พาสาวเอเชียมาถึงหน้าประตูเล็กด้านหลังคฤหาสน์แล้วรีบสั่งให้ลูกน้องขับรถมารับเธอ
“จะไปไหนหรือเอมม่า?”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ทำให้คนฟังถึงกับขนลุกเกรียว
ร่างอวบยืนนิ่งกายเธอกำลังสั่นเทาปรางค์ปรียารู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านนั้นดี
“ผมถามว่าจะไปไหนไม่ได้ยินหรือไง!”เสียงตวาดกร้าวดังขึ้นมาอีกครั้ง
เอมม่าสะดุ้งปล่อยมือจากร่างบางทันที ส่งผลให้หญิงสาวทรุดลงนั่งกับพื้นเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นจากอาการป่วย เจ้าของร่างอวบยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะถูกตัดสินโทษ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอตัดสินใจหันไปเผชิญหน้า แล้วแสร้งยิ้มออกมาแม้ใจจะกลัวจนหัวใจเต้นโครมคราม แทบทะลุออกมานอกอก
“คุณกลับมาเมื่อไหร่คะลุคส์?”เอมม่าถามเขาเสียงสั่น
“ผมกลับมาได้สักพัก แล้วก็ทันที่ได้เห็นว่าใครบางคนกำลังวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของผม”
“คือ... เอมม่าไม่ได้ตั้งใจนะคะ ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่ขอร้องเอมม่า”เธอปัดความรับผิดชอบทันที
ชายหนุ่มยิ้มเย็นออกมา ดวงตาคมกริบหรี่มองไปยังคู่หมั้นตนเอง เขารู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิด ที่เธอบังอาจมายุ่งเรื่องของเขา อุตส่าห์เตือนไว้แล้วเชียว มือหนากระชากท่อนแขนอวบ แล้วจ้องหน้าด้วยสายตาที่ทำให้คนสบตารู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันใด ปรางค์ปรียารีบพยุงกายลุกขึ้น เธอหวังจะช่วยผู้หญิงที่ยอมลงทุนช่วยพาเธอออกมา มือบางทุบตีเขาไม่หยุดเพื่อให้เขาปล่อยตัวหญิงฝรั่งเศสที่เธอเคยเห็นหน้าเพียงครั้งแรกเท่านั้น
ลุคส์ขบกรามแน่นด้วยความเดือดดาล เขาสะบัดร่างบางจนล้มลงไปกับพื้นแล้วหันมาสนใจกับคู่หมั้นตนเองต่อ มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นมาบีบปลายคางไว้แน่นพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาใกล้
“อย่าได้บังอาจมายุ่งกับเรื่องของผมอีก ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ไว้หน้าคุณหรือพ่อคุณ!”เขาสั่งเสียงกร้าว
เอมม่าหน้าซีดเผือดลงในบัดดล เขายอมปล่อยมือจากท่อนแขนอวบแล้วหันไปหาร่างบางที่ทรุดกายอยู่กับพื้นแทน ปรางค์ปรียาชะงักเมื่อเห็นสายตาของเขา ร่างบางพยายามพยุงกายลุกขึ้น แม้จะเป็นเพียงความหวังอันน้อยนิด แต่เธออยากจะหนีไปจากเขาให้ไกลจริงๆ แต่เธอทำไม่ได้อย่างใจคิด เมื่อเขาช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น
“ปล่อยให้ฉันตายไปซะ!”เธอบอกในขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เธอยังตายไม่ได้เพราะฉันยังไม่ต้องการให้เธอตาย ชีวิตของเธอจะอยู่หรือตายมันขึ้นอยู่กับฉันเท่านั้น!”เขาบอก
ชายหนุ่มวางร่างบางไว้บนเตียงแล้วจัดการให้หมอมาใส่สายน้ำเกลือให้เธอเช่นเดิม ปรางค์ปรียาพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่กลับถูกเขาจับท่อนแขนกดไว้แล้วส่งสายตาแข็งกร้าวมา เลยทำให้เธอต้องจำยอมทำตามเขา แม้จะรู้สึกเจ็บใจอย่างที่สุดก็ตาม
ในที่สุดไมเคิลก็ตัดสินใจมาหาหลานสาวตนเอง พินอาภานั่งมองลุง เอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตา แต่ท้ายที่สุดแล้วเขายอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพินอาภาฟังโดยไม่ปิดบังอะไร เธอนิ่งงันพูดไม่ออก หากเรื่องเป็นแบบนี้ ลุงไปหาผู้ชายคนนั้นครอบครัวของลุงก็จะมีอันตราย แต่ถ้าหากไม่ไปเพื่อนสาวของเธอต้องแย่แน่ๆ
สองร่างที่กำลังนั่งสนทนากันไม่พ้นสายตาของบอดี้การ์ดคนสนิทของลุคส์เลยแม้แต่น้อย แต่เวลานี้เขาไม่อยากจะไปจัดการไมเคิล อยากรู้ว่ามันมีแผนอะไร และมันกำลังทำอะไรกันแน่ถึงได้อาจหาญทรยศหักหลังเจ้านาย
ถาดอาหารถูกวางไว้ตรงหน้า หญิงสาวช้อนสายตามองคนที่วางมัน เกลียดเกินกว่าจะรับอะไรจากเขา เมินหน้าหนี การกระทำเช่นนั้นสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาไม่น้อย หย่อนกายนั่งลงแล้วจับคางเรียวไว้ ออกแรงบีบเพื่อให้เปิดปาก เธอพยายามผลักให้หยุดการกระทำเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มกลับไม่สะเทือน เพิ่มแรงบีบที่ปลายคางแล้วจัดการยัดอาหารเข้าปากของเธอทันทีปรางค์ปรียาอมอาหารไว้ในปาก แล้วพ่นใส่หน้าคนป้อน ดวงตาคมวาวโรจน์ เขาขบกรามแน่น จ้องหน้าหญิงสาวด้วยสายตาเอาเรื่อง กระชากเอวบางเข้ามาแนบชิดแล้วบดขยี้ริมฝีปากลงไป เพื่อเป็นการสั่งสอนที่เธอบังอาจทำกับเขาเช่นนั้น“อื้อ!”เขาถอนริมฝีปากออกมาแล้วตักอาหารขึ้นมาอีกครั้ง จ้องหน้าคนตัวเล็กไม่ละ ปรางค์ปรียารู้ดีหากว่าวันนี้เธอไม่ยอมกินเขาคงต้องทำมากกว่านี้แน่สุดท้ายแล้ว ต้องยอมกินอาหารที่เขาป้อนให้ ตักให้ไม่กี่คำเธอก็หน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแล้ว เขามองแล้ววางช้อนลง ส่งยาให้เธอทาน หญิงสาวมองเขาด้วยความงุนงง เพราะคิดว่าคนอย่างเขาคงไม่มีวันทำเช่นนี้แน่ ทำท่าจะไม่รับแต่เมื่อเห็นสายตาเขา หญิงสาวจำต้องรับมาแล้วใส่มันลงไปในปาก ดื่มน้ำตาม ชายหนุ่มมองด้วยความพอใจ ในขณะที่อีกคนรีบเอนก
บอดี้การ์ดหนุ่มตัดสินใจติดต่อเจ้านายทันที เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นฉุดให้เขาหลุดออกจากภวังค์ คว้ามันแล้วหลุบตามองเบอร์หน้าจอ เขากดรับและกรอกเสียงตามสาย มาติชเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ได้รับรู้ ตัดสายแล้วทรุดกายนั่งลงที่โซฟาราคาแพงลูกน้องตามหาไมเคิลเจอแล้วและคนทรยศที่เขาตั้งใจจะกำจัดกลับเรียกร้องมาหาเขาเอง... ความจริงความคิดที่อยากกำจัดไมเคิลมันหมดไปตั้งแต่วันที่ผู้หญิงในห้องนั้นล้มลงต่อหน้า เขาไม่เคยอยากรู้เรื่องของคนทรยศอีกเลยเพราะถือว่ามันได้เอาหลานสาวมาชดใช้กับความผิดที่มันก่อแล้ว ทว่าเวลานี้ทุกอย่างมันกลับกลายเป็นอีกอย่างเขาไม่เคยคิดว่าไมเคิลจะยอมมาหา เพราะเขารู้ดีว่ามันต้องกลัวด้วยนิสัยของเขา ปกติไม่เคยปล่อยคนทรยศให้ลอยนวลไปได้ ลุคส์ลุกขึ้นยืน สองเท้าก้าวเดินไปยังห้องที่ใช้เป็นที่กักขังนกน้อยแสนสวยไว้และทุกคืนนกน้อยนั้นจะถูกเขากอดรัดด้วยแรงปรารถนาเสียงลูกบิดประตูห้องส่งผลให้คนในห้องหันมามองด้วยความกลัว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครคือผู้มาเยือน ร่างบางรีบลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังชิดกำแพงเพื่อเอาตัวรอดทันที เขายืนนิ่งจ้องมองไปยังร่างงามตรงหน้า อยาก กระโจนไปโอบรัดไว้ แต่วันนี้เขาก
ปรางค์ปรียาน้ำตาไหลรินไม่หยุด ในอกเจ็บร้าวจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไร มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน ยาวนาน และมันทำให้เธอได้ตระหนักถึงคำว่าความแค้น กัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ตนเองเอาไว้ พินอาภาดันเพื่อออกห่างกายจ้องมองใบหน้าแววตาหม่นน้ำตาเอ่อออกมาไม่หยุด เธอทำให้ปรางค์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากไม่ชวนเพื่อนมาเที่ยวเรื่องเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น ปรางค์ต้องมารับเคราะห์เพราะเธอแท้ๆ“กลับกันเถอะปรางค์ เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว”พินอาภาบอกเพื่อนทั้งน้ำตาหญิงสาวเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาราคาแพง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมามีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ“เรากลับได้แล้วจริงๆ เหรอพิน”เธอยังคงไม่มั่นใจ“จริงๆ ลุงเราจัดการเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”ปรางค์ปรียาโผเข้ากอดเพื่อนอีกครั้งด้วยความสุข เดีใจมากเหลือเกินได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้เสียที พินอาภารีบดึงมือเพื่อนให้ตามไป เธอต้องการให้เพื่อนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เขากลับเดินมาดักทั้งสองไว้หญิงสาวชะงักจับมือเพื่อนไว้แน่น พินอาภาเหลือบมองเพื่อนสาวเธอรับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเพื่อนเธอถึงได้หว
พินอาภาทอดสายตามองวิวผ่านหน้าต่าง คำพูดของลุงไมเคิลยังวนเวียนในหัว สร้อยเส้นนั้นซึ่งลุคส์ให้กับเพื่อนมามีความหมายมากมาย มันเป็นสมบัติประจำตระกูล ไว้สำหรับผู้สืบทอดเท่านั้น แล้วเหตุใดชายคนนั้นจึงยอมถอดมันให้กับปรางค์ มันน่าแปลกมากจริงๆ เธอคงได้แค่หวังให้ปรางค์อย่าพบเจอเรื่องเลวร้ายอีก ปรางค์ปกป้องเธอมาแล้ว และเธอไม่มีวันทอดทิ้งเพื่อนอีกครั้งแน่นอน หญิงสาวแน่วแน่กับตนเองร่างบางในชุดทำงานยืนมองตนเองหน้ากระจก ใบหน้าของถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีอ่อน ปรางค์ปรียายิ้มให้กับตนเอง ได้เวลาเริ่มต้นใหม่แล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อตนเองและครอบครัวของพินปรางค์ปรียาก้าวลงบันไดมาพอดีกับเพื่อนที่กำลังลงมาเช่นเดียวกัน สองร่างเดินเคียงกันเพราะนัดหมายไปทำงานพร้อมกัน ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของใครบางคนมาจอดที่หน้าบ้าน ร่างสูงเดินลงมาจากรถแล้วโบกมือให้กับทั้งคู่ พินอาภายิ้มรับแล้วโบกมือตอบคว้าข้อมือเพื่อนเพื่อเข้าไปทักทายหนุ่มคนนั้นเขาเดินมาหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับหยุดที่ผู้หญิงซึ่งตนหมายปองมานาน และดูเหมือนเธอเองก็มีใจให้เช่นกัน ปรางค์ปรียาเมินหน้าหนีไม่
พินอาภายืนอึ้งมองเพื่อนสาวที่กำลังอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอกำลังภาวนาขออย่าให้มันเป็นอย่างที่คิด ปรางค์ปรียาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วทอดกายนั่งลงบนโซฟาราวกับคนหมดเรี่ยวแรง คนเป็นเพื่อนรีบเดินไปหาแล้วกุมมือบางไว้ด้วยความเป็นห่วง“ปรางค์ท้องใช่ไหม...”พินอาภาถามเพื่อนเสียงเบาหญิงสาวนิ่งมีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งๆ ที่ไม่อยากนึกถึงเรื่องราวแสนเจ็บปวดนั้น แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คงหนีไม่พ้น โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง ประจำเดือนขาดหาย ระหว่างอยู่ฝรั่งเศสเธอไม่ได้ป้องกันอะไรเลย แล้วเขาก็เช่นเดียวกัน อาจเพราะเขาชิงชังเลยทำให้หลงลืม แล้วผลของมันคือการที่เธอตรวจพบว่าตนเองกำลังมีลูกน้อยในครรภ์“ใช่พิน เราท้อง” เธอตอบตามตรงไม่ปิดบังพินอาภาเม้มริมฝีปาก สีหน้าเครียดขึ้น สงสารเพื่อนจับใจ“แล้วปรางค์จะทำยังไง จะเอาเด็กไว้หรือเปล่า หรือปราค์จะ...” พินอาภายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เพื่อนพูดแทรกขึ้นมาเสียงก่อน“ไม่พิน... เราไม่มีวันเอาเด็กออกเด็ดขาด เขาคือลูกของเรา ต่อให้ใครหน้าไหนจะว่าเรานินทาเราก็ตาม”ปรางค์ปรียาตั้งใจแน่วแน่“ได้ปรางค์ ถ้าปรางค์ต้องการเด็กคนนี้ เราจะช่วยปรางค์เลี้ยงเขานะ”พินอาภาบอกเพื่อน
หกปีผ่านไป ....ร่างสูงใหญ่เอนกายลงนอนบนเก้าอี้ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบิน เขากำลังขยายธุรกิจรถยนต์เข้าสู่เมืองไทย จำต้องเดินทางไปติดต่องานที่นั้น เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าเขาไม่อาจหลงลืมใบหน้าแสนสวยของหญิงสาวชายไทยได้เลย ปรางค์ปรียาหากโชคชะตาสองเรามีอันต้องบรรจบ เขาขอให้ได้พบเธออีกสักครั้งก็ยังดีหญิงสาวในชุดทำงานยืนอยู่ด้านหน้าประตูบ้าน มือจูงมือเด็กชายผมสีบลอนด์ เด็กคนนี้คือลูกของเธอ ลูกที่เกิดมาจากความผิดพลาด ผมและดวงตาทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนไทย เธอต้องอดทนต่อคำนินทามากมายจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แม้รู้สึกเจ็บปวดแต่เมื่อได้เห็นหน้าบุตรชาย มันทำให้รู้สึกเหมือนโลกที่แบกไว้มลายลงไป“แม่ครับ วันนี้ไทม์ไม่อยากไปโรงเรียนเลยครับ...” เด็กชายบอกแววตาหม่น“ทำไมล่ะครับ?”เธอทรุดกายลงพร้อมกับจ้องมองใบหน้าลูกด้วยความสงสัย“เพื่อนล้อผมทุกวันเลยครับแม่ ว่าผมเป็นลูกฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่ชอบเลยครับ”หัวใจกำลังเต้นตุบๆ ยิ่งเห็นหน้าลูกยิ่งสงสาร เธอเองรู้ดีว่ามันคงเป็นเช่นนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง มือบางลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ แล้วรั้งร่างเล็กมาโอบกอดไว้ ไทม์ลูกของเธอไม่เหมือนใค
ชายหนุ่มยืนนิ่งทอดสายตา มองไปยังวิวแม่น้ำเจ้าพระยา จากโรงแรมหรูระดับห้าดาว มือหนากอดอกขึ้นอย่างใช้ความคิด ใบหน้าของหญิงสาว ที่เขาไม่เคยลืม และรสสัมผัสนั้นยังคงตราตึง อยู่ในความรู้สึกไม่เคยจาง เวลานี้เขายืนอยู่ในประเทศเดียวกันกับเธอแล้ว แล้วเธออยู่ที่ไหนกัน เขาจะสามารถหาเธอเจอได้หรือเปล่า บางทีเวลานี้ผู้หญิงคนนั้นอาจแต่งงานไปกับใครสักคนแล้วก็เป็นได้ลุคส์ถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้กำมะหยี่มือหนาคว้าเอกสารตรงหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร เข้ามาลงทุนทำธุรกิจส่งออกรถที่ประเทศไทยและต้องการตัวแทนจำหน่าย เขารู้สึกถูกใจบริษัทนี้ที่มีระบบการทำงานที่ดีและมีเสถียรภาพ หากได้ร่วมงานกันคงทำให้ธุรกิจรุดหน้าไปไกลมากขึ้นอีก“มาติช ไปตามคุณวิศรุตมาคุยกับผมหน่อย”“ได้ครับ” มาติชรับคำเจ้านายแล้วก้าวออกไปครู่ใหญ่ชายรูปร่างสันทัดผิวขาวสวมแว่นก้าวเข้ามาในห้อง วิศรุตนั่งลงตรงข้ามเจ้าของห้อง ลุคส์หยิบเอกสารให้ดู“ช่วยติดต่อบริษัทนี้ให้ผมหน่อย ผมต้องการร่วมหุ้นกับเขา“ได้ครับคุณลุคส์”“ได้เรื่องยังไงรายงานผมด้วยนะ ผมจะได้จัดการเอกสารสัญญาการรวมทุนกัน”“ครับ”วิศรุตก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกนอก
รถยนต์แล่นตามเส้นทาง ลุคส์เหม่อมองวิวเมืองไทยจนกระทั่งรถขับผ่านโรงเรียนประถมเอกชนแห่งหนึ่ง ปรางค์ปรียาจูงมือลูกออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อน การจราจรหยุดชะงักอยู่ด้านหน้าโรงเรียน ลุคส์ยังคงมองวิวเหมือนเดิม แต่ฉับพลันสายตากลับหยุดลง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ มือสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อภาพที่เห็นทำให้เขาคิดว่าตนนั้นกำลังฝันอยู่ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติ จ้องมองภาพของผู้หญิงคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้ชายแล้วหยุดอยู่หน้าโรงเรียน ตัดสินใจขยับกายไปชิดหน้าต่างแล้วจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง หัวใจเขากำลังเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะเมื่อยิ่งมองเขาก็ยิ่งมั่นใจ จำไม่ผิดแน่เป็นเธอแน่ๆ ผู้หญิงที่เขาไม่เคยลืมจนถึงตอนนี้ บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบมองนายตนด้วยความรู้สึกสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงหัน มองวิวนอกหน้าต่างที่เจ้านายให้ความสนใจอยู่ ดวงตาคมกริบเบิกกว้างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้เห็นลุคส์จ้องมองทุกการกระทำทุกอากัปกิริยา แล้วมองเลยไปถึงเด็กชายที่กำลังจูงมือเธอแน่น สายตาจ้องมองเด็กชายไม่วางตา เด็กคนนั้นหน้าตาผิวพรรณไม่ได้เกิดจากพ่อซึ่งเป็นชาวเอเชียแน่ เกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นเป็นใคร
เช้ารุ่งของวันใหม่หญิงสาวสลึมสลือลืมตาขึ้นมา ลุกพรวดด้วยความตกใจ แล้วรีบมองหาคนที่นอนอยู่เคียงข้างทั้งคืน แต่เตียงกว้างกลับว่างเปล่าเมื่อเขาหายไป เธอรีบวิ่งเร่งฝีเท้าเข้าห้องบุตรชายด้วยความตระหนก เมื่อเปิดประตูห้องนอนกลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง หัวใจของคนเป็นแม่กำลังร้อนรุ่ม“แม่ครับ!”เด็กชายเรียกมารดาโบกมือให้ขณะอยู่ที่โต๊ะอาหารปรางค์ปรียาชะงักรับปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เดินมาหาบุตรชาย เห็นเขากำลังนั่งทานอาหารกับลูก เมื่อคืนเธอเพลียมากจนหลับไม่รู้เรื่องเลย“ตื่นนานแล้วเหรอครับลูกชายแม่” คนเป็นแม่ถามแล้วลูบศีรษะบุตรชายแผ่วเบา“ไม่นานหรอกครับ พ่อไปปลุกผม”ปรางค์ปรียาหันมองเขา ดวงตาสองคู่ผสานกัน นัยน์ตาสีฟ้าทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่ รีบเมินหน้าหนี แปลกใจที่เขาไม่ได้พาลูกหนีอย่างที่คิดตั้งแต่ตอนแรก หญิงสาวมองดูบุตรชายคิ้วเริ่มขมวด เมื่อเห็นใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย ช้อนสายตามองเขาด้วยควาสงสัย“ไทม์ ลูกเอาชุดนักเรียนมาจากไหนครับ”“พ่อเอามาให้ครับ”เหลือบมองชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม คงไม่แปลกอะไร เพราะเขาร่ำรวยมหาศาลแค่ชุดนักเรียนของลูก ทำไมจะหามาไม่ได้ เธอแหงนมองนาฬิกาเร
“พ่อไปไหนมา ผมอยากเจอพ่อมาตลอด... ทำไมพ่อไม่มาหาไทม์ให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ แม่จะได้ไม่ต้องร้องไห้เพราะผม...” ไทม์สะอื้นออกมา“พ่อขอโทษนะลูก พ่อไม่ได้ตั้งใจ... ไทม์อย่าโกรธพ่อได้ไหมลูก”“ไทม์ไม่โกรธพ่อหรอกนะครับ ไทม์แค่สงสารแม่... แม่ต้องอดทนเพื่อไทม์มาตลอดเลยนะครับพ่อ...”“พ่อจะไม่ทิ้งไทม์กับแม่ไปอีกนะลูก”ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ที่เขากอดลูกชายไว้อย่างนั้น แต่เวลานี้เด็กชายตัวน้อยกลับหลับไปในอ้อมกอดของคนเป็นพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ปรางค์ปรียามองภาพนั้นด้วยความอิ่มเอม“พาลูกขึ้นไปนอนก่อนเถอะค่ะ”ลุคส์อุ้มลูกไว้เดินขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าประตูห้องที่มีสีสันสวยงาม มือบางกำลูกบิดแล้วเปิดให้เขาพาลูกเข้าไปในห้องนอน ร่างเล็กถูกวางไว้บนเตียงขนาดพอเหมาะ ลุคส์จัดการรั้งผ้าห่มมาคลุมตัวบุตรชายไว้แล้วลูบศีรษะเบาๆ ไฟในห้องถูกปิดพร้อมกับประตูห้องนอน“เราก็คงต้องเข้านอนได้แล้ว”ชายหนุ่มเริ่มสั่ง“วันนี้ฉันนอนกับลูกได้ไหม?”“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไทม์สงสัยไปนอนกันเถอะ”มือบางถูกดึงไปที่ห้องพร้อมกับเขา เธอไม่อยากดื้อดึงหรือขัดขืนอีกต่อไปแล้ว เพราะตลอดเวลาผ่านมามันไม่มีประโยชน์เลย ทันทีที่
ลุคส์ลอบมองบุตรชาย ในขณะที่ไทม์เองก็หยุดชะงักแล้วหันมามองเขาเช่นกัน เด็กชายรู้สึกแปลกใจที่เห็นเขาในวันนี้“คุณอา มาทำอะไรที่นี่ครับ”“อามาหาไทม์กับแม่ไงครับ”พินอาภารีบลากเพื่อนตนเองออกไปทันที โดยปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่กับบุตรชายตนเอง ลุคส์รีบอุ้มไทม์ไว้ก่อนพาเดินไปนั่งเล่นที่ม้านั่งในสวน“ปรางค์หมายความว่ายังไงเราไม่เข้าใจเลย!”พินอาภาถามเสียงสั่น“พินเรามีข้อตกลงกับเขา เราคงต้องไปอยู่กับเขาที่บ้าน เพราะถ้าหากเราไม่ไปเขาจะเอาไทม์ไปจากเรา” เธอตอบเพื่อนเสียงเครือ“อะไรนะ!”“เราทำอะไรไม่ได้หรอกพิน เราคงต้องยอมเขา ถ้าหากเราดึงดันเขาจะฟ้องศาล พินก็รู้ว่าเขามีอำนาจมากแค่ไหน เราไม่ยอมเสียไทม์ไปเด็ดขาดพิน” กลืนก้อนสะอื้นไว้ แล้วข่มกลั้นน้ำตา เธอไม่อยากอ่อนแอไปมากกว่านี้พินอาภากัดริมฝีปากโอบไหล่เพื่อนไว้เพื่อปลอบ ช่วยเพื่อนไม่ได้เลย ทำไมลุคส์ถึงไม่เลิกยุ่งกับปรางค์เสียที ผู้ชายคนนั้นจะตามทำร้ายเพื่อนเธอไปถึงไหนกัน“ปรางค์... แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะไปอยู่ที่นั้น”“แน่ใจแล้วพิน ปรางค์คงต้องไปอยู่กับเขาเพื่อลูก...”“ขอโทษนะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว”พินอาภาบอกเพื่อนเสียงสั่น“ไม่เป็นไรหรอกพิน เรารู้ดีว่
ลุคส์กัดฟันแน่นพยายามข่มใจไม่ให้แสดงอะไรออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึก แต่หนทางเดียวที่จะรั้งเธอกับลูกไว้ได้คือการใช้อำนาจเงินทั้งหมดที่เขามี“หยุดร้องได้แล้ว ฉันไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอก ฉันแค่ต้องการให้ไทม์ไปอยู่กับฉันเท่านั้น แต่ฉันไม่เคยพูดคุยดูแลลูกมาก่อนเลย ฉันเลยต้องการให้เธอช่วยก็แค่นั้น”ชายหนุ่มบอกเสียงเบา“แต่คุณบอกว่าฉันต้องนอนกับคุณด้วย!” หญิงสาวเถียง“ก็ใช่! ถ้าเธอไม่นอนห้องเดียวกับฉัน แล้วไทม์จะเชื่อเหรอว่าฉันเป็นพ่อของเขา ทั้งๆ ที่ฉันก็เป็นจริงๆ นั้นแหละ!”ปรางค์ปรียาหยุดสะอื้น แปลกใจกับถ้อยคำและท่าทีที่อ่อนลง แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลก็ตาม แต่เธอไม่ต้องการเป็นที่ระบายความใคร่ ก็เขามองเห็นเธอเป็นแค่เพียงผู้หญิงที่ไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไร แล้วทำไมต้องนอนทอดกายให้เชยชมด้วย“ถ้าฉันนอนห้องเดียวกับคุณ แต่เราสองคนไม่มีความสัมพันธ์กันได้ไหมล่ะคะ?”หญิงสาวลองหยั่งเชิง“แล้วเธอคิดว่าได้ไหมล่ะ?”เขาย้อนถามคนถามเงียบกริบ เธอไม่เคยคิดจะคบหากับผู้ชายคนไหน เพราะใจเธอยังรู้สึกปวดร้าวกับเหตุการณ์ในอดีตอยู่ แผลที่เขาได้ทำกับเธอไว้มันลึกเกินกว่าที่ใครจะมาเยียวยารักษาให้หายได้ เกือบหกปีทีเธอไม่เคยมอ
พินอาภาครุ่นคิดก่อนจะยอมขยับกายแต่ว่า... มันเจ็บคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะเดินไป บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่สบอารมณ์อย่างแรงทำไมต้องมาซวยเจอเธอก็ไม่รู้“ขี่หลังผมไปแทนก็แล้วกัน...”เขากัดฟันพูดเขาย่อกายลง พินอาภาล้มตัวลงบนหลังพลางโอบรัดรอบคอเขาแน่น ท่อนแขนของเขารั้งเรียวขาไว้เพื่อความมั่นคง ใบหน้าเธอกำลังแดง แต่เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทีอะไรใจที่เต้นโครมครามค่อยสงบลงทันทีที่ถึงบ้านร่างบางรีบตะเกียกตะกายหาเสื้อผ้าเพื่อนตนเองทันที แต่... มันไม่มีเลย เธอจะทำยังไงดีจะให้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้เหรอ บอดี้การ์ดคนอื่นก็เริ่มมองมาที่เธอแล้ว“ไม่มีเลยแล้วฉันจะใส่อะไร!”มาติชเดินไปที่ห้องตนเอง ก่อนคว้าเสื้อกับกางเกงขาสั้นให้กับเธอ หญิงสาวรับมาอย่างงงๆ แต่ก็ย่อมดีกว่าไอ้แจ็กเก็ตหนังที่ใส่อยู่“รถคุณจอดไว้ที่นี่ก่อนเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่บ้าน หรือคุณอยากจะไปหาหมอ?”“ไม่ค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน”เขาเดินนำหญิงสาวออกมาด้านนอกพลางสตาร์ทรถรอ พินอาภารีบนั่งลงข้างคนขับเขาเหยียบคันเร่งรถออกไปทันที... อาการจุกแน่นของเธอเริ่มดีขึ้นมากแล้วเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาแล้วรู้สึกดีใจหากวันนี้คู่อริเธอไม่มาช่วยไว้ป่า
เสียงเล็กๆ กำลังเรียกเขาทำให้เขาตื่นจากภวังค์อันแสนโหดร้าย รอยยิ้มดูสดใสบริสุทธิ์ยิ่งทำให้ใจเขาชุ่มชื่น นี่เป็นความสุขครั้งแรกที่เขาได้รับมาในชีวิต เขาอยากให้ความสุขแบบนี้อยู่กับเขาตลอดไป มันพอจะเป็นไปได้ไหม“ว่าไงครับไทม์”“พ่อจะไม่ไปไหนจากไทม์กับแม่ใช่ไหมครับ พ่อจะอยู่กับเราตลอดไปใช่ไหม” เด็กชายถามน้ำเสียงตื่นเต้นคนเป็นแม่ชะงักช้อนสายตามองเขา ริมฝีปากบางเม้มแน่น เธอไม่เคยคาดหวังอะไรอยู่แล้ว หวังแค่หากเขาจะไปก็ขอให้ตอบคำถามโดยนึกถึงใจลูกบ้าง และคิดถึงความรู้สึกของเธอสักนิดก็ยังดี“พ่อจะไม่ไปไหนจากไทม์แล้วครับ พ่อจะอยู่กับไทม์แล้วก็แม่ด้วย” ชายหนุ่มตอบแล้วสบตาหญิงสาว ปรางค์ปรียานิ่งงันแล้วหลุบตามองอาหาร ในหัวใจเต้นโครมคราม เหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้นะเธอไม่เข้าใจพินอาภาขับรถมาเยี่ยมเยือนเพื่อนตนเอง แต่รถดันมาเสียกลางทางซอยเปลี่ยวแม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ โทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาเพื่อใช้ติดต่อกับอู่ซ่อมรถ แต่อู่กลับบอกให้รอ... แล้วเธอจะต้องรอถึงเมื่อไหร่กันเสียงพูดคุยดังขึ้น เธอหันไปมองสายตากำลังจดจ้องไปยังกลุ่มวัยรุ่นสี่คนที่เดินมา และรู้สึกเหมือนว่าพวกมันกำลังเมาอยู่ เธอไม่รู้ว่า
ทุกคนเงียบกริบทำได้แค่เพียงนึกอิจฉาปรางค์ปรียา ที่เธอมีสามีรวยแถมหล่อมากขนาดนี้ แต่ใครจะรู้เลยว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ปรางค์ปรียาต้องการเลย“คุณจะพาฉันไปไหนคะ?”หญิงสาวถามขึ้นขณะที่เขารั้งมือบางให้เดินตามมา“ไปซื้อของใช้ส่วนตัวของเธอ แล้วก็ของลูก”“ฉันไปเองได้ค่ะ คุณไม่ต้องไปด้วยหรอกนะคะ”“ฉันจะไปด้วย!”หญิงสาวยอมทำตามคำสั่งของเขา ร่างบางเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ลุคส์เดินเคียงตลอดเส้นทางไม่ห่าง การกระทำของเขาทำให้เธออึดอัดไม่น้อย แต่กระนั้นกลับไม่กล้าพอต่อว่าต่อขาน เดินเลือกซื้อของแต่ไม่กล้าเลือกมากนัก ส่งผลให้คนเดินตามรู้สึกงุนงง“ทำไมไม่เลือก?”เขาถามเสียงเข้ม“ฉันไม่ได้รวยเหมือนคุณนี่คะ”“ก็บอกว่าจะจ่ายให้ยังไงล่ะ!”“ไม่ต้องค่ะ ฉันพอมีเงินอยู่บ้าง”“อย่าขัดคำสั่งฉัน!”ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดอีกแล้วที่คำออกคำสั่งแบบนี้ เธอก็คงต้องทำตามอีกแล้วใช่ไหม เธอมองไปรอบๆ แล้วจัดการเลือกเสื้อผ้าทันที ดีเหมือนกันหากเขาต้องการแบบนั้นก็คงไม่ต้องเกรงใจกันแล้วร่างสูงใหญ่ยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงาน แล้วสั่งให้ลูกน้องมาขนของไปไว้ที่บ้านให้เขาแทน“วันพ่อฉันต้องทำอะไรบ้าง”ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย“
เธอเดินลงมาจากชั้นบนโดยมีเขาตามมา ไทม์มองพ่อแม่แล้วยิ้มกว้าง วิ่งเข้าหาจูงมือบุพการีรั้งไปยังรถ ปรางค์ปรียานั่งเบาะหน้าคู่คนขับ ส่วนไทม์นั่งเบาะหลัง เด็กชายคุกเข่าโน้มตัวมาด้านหน้า รอยยิ้มแต่งแต้มทั่วใบหน้าของเขา“พ่อครับวันนี้พ่อจะไปส่งไทม์ที่โรงเรียนใช่ไหมครับ”“ใช่ครับ” ลุคส์ตอบแล้วเผลอยิ้ม ก่อนแสร้งตีหน้านิ่งเหมือนเดิม“ผมดีใจมากเลย ผมจะได้อวดพ่อกับเพื่อนๆ จะได้ไม่มีใครมาว่าผมอีก” เด็กน้อยบอก“ครับไทม์ พ่อจะไปยืนโชว์ความหล่อของพ่อให้เพื่อนๆ ของไทม์ดูเลยนะครับ”“ครับพ่อ”เด็กชายยิ้มออกมาด้วยความดีใจคนเป็นแม่เงียบกริบ ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกมา เห็นลูกมีความสุขแบบนี้หัวอกคนเป็นแม่ก็เป็นสุขแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างลูกไปอีกนานแค่ไหน เพราะทั้งเธอและเขาต่างกันราวกับฟ้ากับดิน คนอย่างเขาไม่มีวันยอมรับผู้หญิงจนๆ ไม่มีหน้าตาในสังคมเช่นเธอแน่นอน สำหรับไทม์คนเป็นแม่ที่เลี้ยงดูมาจะทำใจยกให้ได้อย่างไรกันรถเลี้ยวเข้ามาจอดภายในโรงเรียน ร่างบางจูงมือบุตรชายลงมาจากรถแล้วพาเดินเข้าห้อง ชายหนุ่มวนหาที่จอดรถแล้วเดินตามไปห่างๆ ทันทีที่ถึงหน้าห้องเรียน มีผู้ปกครองมากมายและนักเรียนยืนอยู่เต็มห้อ
หญิงสาวปรายตามองเขาก่อนหันไปสนใจกับผ้าต่อจนกระทั่งเสร็จ ลุคส์ขยับกายพลางชำเลืองมองให้หญิงสาวเดินตาม แม้อยากขัดใจไม่ทำตามความต้องการของเขา แต่ก็ไม่อาจทำได้เธอรู้ข้อนี้ดีเสมอ เสียงฝีเท้าดินตามหลังมาทำให้เขารู้สึกพอใจไม่น้อยที่เธอไม่ดื้อดึง“ฉันจะนอนข้างล่างนะคะ”หญิงสาวบอกเขาทันทีที่มาถึงห้อง“ทำไม!”“เราควรนอนแยกกันจะดีกว่าค่ะ”“เหตุผล?”“เพราะคุณกับฉันเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันมาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่ของไทม์แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะภรรยาของคุณค่ะ”หญิงสาวตอบชัดเจน“ไม่ได้!”เขาสวนกลับทันควัน“เพราะอะไรไม่ได้ละค่ะ!”“นอนด้วยกันบนเตียงนี่แหละ อย่าเรื่องมากปรางค์ปรียา!”ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดหญิงสาวถูกดึงให้ล้มตัวนอนลงบนเตียงทันที ร่างบางเกร็งนิ่งจนไม่กล้าขยับตัวไปไหนใจของเธอกำลังเต้นระรัวด้วยความกลัว แต่เขากลับนอนนิ่งมีเพียงมือที่พาดช่วงเอวของเธอไว้เท่านั้น ไม่นานนักเสียงลมหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ ปรางค์ปรียาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่วันนี้เขาไม่เอาแต่ใจเช้ารุ่งของวันใหม่หญิงสาวสลึมสลือลืมตาขึ้นมา ลุกพรวดด้วยความตกใจ แล้วรีบมองหาคนที่นอนอยู่เคียงข้างทั้งคืน แต่เตียงกว้างกลับว่างเปล่าเมื่อเขาหายไป เธ