ปรางค์ปรียาน้ำตาไหลรินไม่หยุด ในอกเจ็บร้าวจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไร มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน ยาวนาน และมันทำให้เธอได้ตระหนักถึงคำว่าความแค้น กัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ตนเองเอาไว้ พินอาภาดันเพื่อออกห่างกายจ้องมองใบหน้าแววตาหม่นน้ำตาเอ่อออกมาไม่หยุด เธอทำให้ปรางค์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากไม่ชวนเพื่อนมาเที่ยวเรื่องเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น ปรางค์ต้องมารับเคราะห์เพราะเธอแท้ๆ
“กลับกันเถอะปรางค์ เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว”พินอาภาบอกเพื่อนทั้งน้ำตา
หญิงสาวเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาราคาแพง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมามีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ
“เรากลับได้แล้วจริงๆ เหรอพิน”เธอยังคงไม่มั่นใจ
“จริงๆ ลุงเราจัดการเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
ปรางค์ปรียาโผเข้ากอดเพื่อนอีกครั้งด้วยความสุข เดีใจมากเหลือเกินได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้เสียที พินอาภารีบดึงมือเพื่อนให้ตามไป เธอต้องการให้เพื่อนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เขากลับเดินมาดักทั้งสองไว้
หญิงสาวชะงักจับมือเพื่อนไว้แน่น พินอาภาเหลือบมองเพื่อนสาวเธอรับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเพื่อนเธอถึงได้หวาดกลัวมากมายขนาดนี้
“ฉันต้องการคุยกับเธอก่อน”เขาบอกพร้อมกับมองหน้าหญิงสาว
ปรางค์ปรียามองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้า เธออยากจะหนีให้พ้นจากเขาจริงๆ
“คุณต้องการอะไรอีก เพื่อนฉันไม่ต้องการพูดกับคุณ!”พินอาภาพยายามช่วยเพื่อน
“หากเพื่อนเธอไม่คุย ฉันจะไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!”
พินอาภามองหน้าเพื่อนอีกครั้งด้วยความสงสาร แต่หากไม่ยอมทำตามคำขอของเขาเธอเชื่อว่าเขาคงรั้งให้เพื่อนเธออยู่ที่นี่จริงๆ แน่
“ปรางค์... จะเอายังไง”
“ก็ได้เราคุยกับเขาก็ได้” หญิงสาวตอบรับเสียงสั่น
ยอมเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้เพื่อนได้พูดคุยกับเขาให้จบเรื่องไป ไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นยังต้องการรั้งเพื่อนเธอไว้อีก
ปรางค์ปรียายืนสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ลุคส์ข่มความรู้สึกบางอย่างไว้ เขารู้ว่าตนเองได้เข้าใจผิดไป เรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว และเขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใด เมื่อทุกอย่างมันสายไป
“คะ...คุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการพูดกับฉัน”เสียงสั่นเครือถามเขา
เขาชะงักพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดมือหนาจัดการปลดสร้อยที่อยู่รอบคอออก แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับมือเธอไว้แล้วหย่อนสร้อยเส้นนั้นไว้ในมือ ปรางค์ปรียามองสร้อยสีเงินมีจี้รูปหยดน้ำในมือแล้วเหลือบมองหน้าเขาด้วยความงุนงงหมายความว่ายังไง ให้สร้อยคอเส้นนี้กับเธอเพื่ออะไรกัน
“หมายความว่ายังไงคะ?”หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความสงสัย
“เก็บเอาไว้!”
“ฉันไม่ต้องการ!”เธอไม่ต้องการอะไรจากเขาทั้งนั้น ไม่อยากได้สมบัติจากเขาสักชิ้น แค่นี้ก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว ไม่อยากได้อะไรจากเขาให้มาย้ำเตือนความเจ็บปวดอีก
“ถ้าเธอไม่เก็บมันไว้ตามที่ฉันสั่ง เธออาจจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้!”
เธอรีบสวมสร้อยไว้ที่คอของตนเองทันที ไม่ต้องการอยู่ต่อแค่นาทีเดียวก็ไม่อยาก
“ฉันไปได้แล้วใช่ไหม!”
“เชิญ!”
หญิงสาวรีบเดินเลี่ยงเขาออกมา พินอาภารีบเดินมาจูงมือเพื่อนไว้แล้วพากันออกไปจากคฤหาสน์นั้น มือบางจับสร้อยที่เขาให้มาไว้แน่น จำใจยอมรับมันเพื่ออิสรภาพ
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังบอกบางลับจากสายตา ทั้งๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ทำไมหัวใจเกลับรู้สึกวูบไหวอย่างประหลาด ในหัวสมองสับสน ความรู้สึกที่แท้จริงในเวลานี้เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป
พินอาภาพาเพื่อนมาพักที่บ้านของลุง คิดว่าจะพักที่นี่สักระยะให้เพื่อนได้ปรับตัวและลืมเรื่องเลวร้ายไปเสียก่อน ค่อยกลับเมืองไทย เสียงน้ำตกกระทบผิวกระเบื้องดังอย่างต่อเนื่องพินอาภานั่งครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าเพื่อนมีบางอย่างที่แปลกไป ผู้ชายหน้าหล่อแต่ใจโฉดได้ทำอะไรปรางค์หรือเปล่า
สายน้ำที่กำลังไหลผ่านร่างกายไม่ได้ทำให้จิตใจกำลังปวดร้าวทุเลาลงได้เลย เธอเอาแต่เฝ้านึกถึงวันคืนเลวร้ายที่ผ่านมาไม่นาน แขนสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองท่ามกลางสายน้ำ น้ำตาไหลออกมาผสมปนเป เธอไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีกับอนาคตข้างหน้า แล้วชายที่เธอหวังฝากชีวิตจะยอมรับเธอได้หรือไม่ กับอดีตอันเลวร้ายเช่นนี้
ร่างบางนุ่งผ้าขนหนูสีขาวนวลเดินออกมาจากห้องน้ำ พินอาภาหันมองเพื่อนสาวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นผิวขาวเนียนของเพื่อนมีแต่รอยจ้ำเต็มไปหมด เดินเข้าไปหาด้วยความรู้สึกผิด เธอไม่รู้ว่าเพื่อนต้องเผชิญอะไรมา
พินอาภาจ้องมองน้ำตาไหลอาบแก้ม รั้งเพื่อนมาโอบกอดไว้แน่น ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา
“เราขอโทษปรางค์...”
“ไม่เป็นไรพิน มันจบแล้ว...”ปรางค์ปรียาสะอื้นในอ้อมกอดเพื่อน
ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนเตียงกว้าง มือลูบไล้บนเตียงเบาๆ เขารู้ดีว่าเธอคนนั้นไม่ใช้หลานสาวของไมเคิแต่เพราะความโกรธ เห็นเธอบังอาจต่อปากต่อคำ และยังไม่กลัวตายเสียอีก เขาเกลียด! เธอกล้าท้าทายเขา ดังนั้นจึงลงทัณฑ์หญิงสาวอย่างเลือดเย็น เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอเธอจากไปเหมือนใจกำลังทรมาน
ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสจะให้สร้อยเส้นนั้นกับใคร เขารู้ดี เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เขารู้สึกมากมายจนอยากจะมอบสิ่งล้ำค่า ไว้ให้ หวังว่าเธอคงจดจำเขาได้บ้าง ในแง่ไหนก็ตาม เพราะมันแสดงว่าเธอยังคงมีเขาหลงเหลือในความทรงจำ
ปรางค์ปรียายืนนิ่งอยู่ตรงสนามบินพร้อมกับเพื่อนสาว ไม่นานนักคนขับรถมารับทั้งคู่ หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โดยที่มือข้างหนึ่งจับจี้ที่สร้อยคอไว้ เธอก้มลงมองมัน อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแค่เพียงความฝันที่ผ่านมาแล้วผ่านไป กำลังภาวนาขออย่าให้ตนเองได้พบกับเขาอีกเลย น้ำตาเหมือนกำลังอยากไหล แต่จำต้องกล้ำกลืนมันเอาไว้ ไม่อยากเสียน้ำตาเพราะชายใจร้ายอีกต่อไปแล้ว... จากกันแล้วก็ขออย่าได้พบกันอีกเลย
พินอาภาเหลือบมองเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดี จึงเอื้อมมือไปจับมือไว้แน่น เวลาผ่านไปไม่นานรถยนต์จอดลงที่หน้าบ้าน พีรยามารดาของพินอาภารีบเดินออกมาต้องรับพร้อมกับภูมิชัยซึ่งเป็นบิดา ร่างผอมบางเดินเข้ามาหาปรางค์ปรียาแล้วโอบกอดไว้สะอื้นไห้ด้วยความสงสาร คนถูกปลอบเลยต้องมาปลอบแทนเพื่อให้คลายสะอื้น มารดาเพื่อนคลายอ้อมกอดพร้อมใช้มือลูบไล้ใบหน้าหญิงสาวเบาๆ
“ขอบคุณมากนะลูก ที่ปกป้องยัยพิน... แม่ขอบคุณหนูมากนะ”พีรยาบอกทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเต็มใจ”
“ขอบใจมากนะปรางค์ ที่ทำเพื่อครอบครัวลุงมากขนาดนี้...”ภูมิชัยสมทบ
พีรยาจูงมือปรางค์ปรียาเข้าบ้าน เพื่อพูดคุยกันสักพักก่อนแยกย้ายกลับห้อง ปรางค์ปรียาทิ้งกายลงบนเตียงกว้างเม้มริมฝีปาก เวลานี้ต้องเข้มแข็ง รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายมาควรเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
พินอาภาทอดสายตามองวิวผ่านหน้าต่าง คำพูดของลุงไมเคิลยังวนเวียนในหัว สร้อยเส้นนั้นซึ่งลุคส์ให้กับเพื่อนมามีความหมายมากมาย มันเป็นสมบัติประจำตระกูล ไว้สำหรับผู้สืบทอดเท่านั้น แล้วเหตุใดชายคนนั้นจึงยอมถอดมันให้กับปรางค์ มันน่าแปลกมากจริงๆ เธอคงได้แค่หวังให้ปรางค์อย่าพบเจอเรื่องเลวร้ายอีก ปรางค์ปกป้องเธอมาแล้ว และเธอไม่มีวันทอดทิ้งเพื่อนอีกครั้งแน่นอน หญิงสาวแน่วแน่กับตนเองร่างบางในชุดทำงานยืนมองตนเองหน้ากระจก ใบหน้าของถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีอ่อน ปรางค์ปรียายิ้มให้กับตนเอง ได้เวลาเริ่มต้นใหม่แล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อตนเองและครอบครัวของพินปรางค์ปรียาก้าวลงบันไดมาพอดีกับเพื่อนที่กำลังลงมาเช่นเดียวกัน สองร่างเดินเคียงกันเพราะนัดหมายไปทำงานพร้อมกัน ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของใครบางคนมาจอดที่หน้าบ้าน ร่างสูงเดินลงมาจากรถแล้วโบกมือให้กับทั้งคู่ พินอาภายิ้มรับแล้วโบกมือตอบคว้าข้อมือเพื่อนเพื่อเข้าไปทักทายหนุ่มคนนั้นเขาเดินมาหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับหยุดที่ผู้หญิงซึ่งตนหมายปองมานาน และดูเหมือนเธอเองก็มีใจให้เช่นกัน ปรางค์ปรียาเมินหน้าหนีไม่
พินอาภายืนอึ้งมองเพื่อนสาวที่กำลังอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอกำลังภาวนาขออย่าให้มันเป็นอย่างที่คิด ปรางค์ปรียาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วทอดกายนั่งลงบนโซฟาราวกับคนหมดเรี่ยวแรง คนเป็นเพื่อนรีบเดินไปหาแล้วกุมมือบางไว้ด้วยความเป็นห่วง“ปรางค์ท้องใช่ไหม...”พินอาภาถามเพื่อนเสียงเบาหญิงสาวนิ่งมีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งๆ ที่ไม่อยากนึกถึงเรื่องราวแสนเจ็บปวดนั้น แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คงหนีไม่พ้น โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง ประจำเดือนขาดหาย ระหว่างอยู่ฝรั่งเศสเธอไม่ได้ป้องกันอะไรเลย แล้วเขาก็เช่นเดียวกัน อาจเพราะเขาชิงชังเลยทำให้หลงลืม แล้วผลของมันคือการที่เธอตรวจพบว่าตนเองกำลังมีลูกน้อยในครรภ์“ใช่พิน เราท้อง” เธอตอบตามตรงไม่ปิดบังพินอาภาเม้มริมฝีปาก สีหน้าเครียดขึ้น สงสารเพื่อนจับใจ“แล้วปรางค์จะทำยังไง จะเอาเด็กไว้หรือเปล่า หรือปราค์จะ...” พินอาภายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เพื่อนพูดแทรกขึ้นมาเสียงก่อน“ไม่พิน... เราไม่มีวันเอาเด็กออกเด็ดขาด เขาคือลูกของเรา ต่อให้ใครหน้าไหนจะว่าเรานินทาเราก็ตาม”ปรางค์ปรียาตั้งใจแน่วแน่“ได้ปรางค์ ถ้าปรางค์ต้องการเด็กคนนี้ เราจะช่วยปรางค์เลี้ยงเขานะ”พินอาภาบอกเพื่อน
หกปีผ่านไป ....ร่างสูงใหญ่เอนกายลงนอนบนเก้าอี้ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบิน เขากำลังขยายธุรกิจรถยนต์เข้าสู่เมืองไทย จำต้องเดินทางไปติดต่องานที่นั้น เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าเขาไม่อาจหลงลืมใบหน้าแสนสวยของหญิงสาวชายไทยได้เลย ปรางค์ปรียาหากโชคชะตาสองเรามีอันต้องบรรจบ เขาขอให้ได้พบเธออีกสักครั้งก็ยังดีหญิงสาวในชุดทำงานยืนอยู่ด้านหน้าประตูบ้าน มือจูงมือเด็กชายผมสีบลอนด์ เด็กคนนี้คือลูกของเธอ ลูกที่เกิดมาจากความผิดพลาด ผมและดวงตาทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนไทย เธอต้องอดทนต่อคำนินทามากมายจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แม้รู้สึกเจ็บปวดแต่เมื่อได้เห็นหน้าบุตรชาย มันทำให้รู้สึกเหมือนโลกที่แบกไว้มลายลงไป“แม่ครับ วันนี้ไทม์ไม่อยากไปโรงเรียนเลยครับ...” เด็กชายบอกแววตาหม่น“ทำไมล่ะครับ?”เธอทรุดกายลงพร้อมกับจ้องมองใบหน้าลูกด้วยความสงสัย“เพื่อนล้อผมทุกวันเลยครับแม่ ว่าผมเป็นลูกฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่ชอบเลยครับ”หัวใจกำลังเต้นตุบๆ ยิ่งเห็นหน้าลูกยิ่งสงสาร เธอเองรู้ดีว่ามันคงเป็นเช่นนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง มือบางลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ แล้วรั้งร่างเล็กมาโอบกอดไว้ ไทม์ลูกของเธอไม่เหมือนใค
ชายหนุ่มยืนนิ่งทอดสายตา มองไปยังวิวแม่น้ำเจ้าพระยา จากโรงแรมหรูระดับห้าดาว มือหนากอดอกขึ้นอย่างใช้ความคิด ใบหน้าของหญิงสาว ที่เขาไม่เคยลืม และรสสัมผัสนั้นยังคงตราตึง อยู่ในความรู้สึกไม่เคยจาง เวลานี้เขายืนอยู่ในประเทศเดียวกันกับเธอแล้ว แล้วเธออยู่ที่ไหนกัน เขาจะสามารถหาเธอเจอได้หรือเปล่า บางทีเวลานี้ผู้หญิงคนนั้นอาจแต่งงานไปกับใครสักคนแล้วก็เป็นได้ลุคส์ถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้กำมะหยี่มือหนาคว้าเอกสารตรงหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร เข้ามาลงทุนทำธุรกิจส่งออกรถที่ประเทศไทยและต้องการตัวแทนจำหน่าย เขารู้สึกถูกใจบริษัทนี้ที่มีระบบการทำงานที่ดีและมีเสถียรภาพ หากได้ร่วมงานกันคงทำให้ธุรกิจรุดหน้าไปไกลมากขึ้นอีก“มาติช ไปตามคุณวิศรุตมาคุยกับผมหน่อย”“ได้ครับ” มาติชรับคำเจ้านายแล้วก้าวออกไปครู่ใหญ่ชายรูปร่างสันทัดผิวขาวสวมแว่นก้าวเข้ามาในห้อง วิศรุตนั่งลงตรงข้ามเจ้าของห้อง ลุคส์หยิบเอกสารให้ดู“ช่วยติดต่อบริษัทนี้ให้ผมหน่อย ผมต้องการร่วมหุ้นกับเขา“ได้ครับคุณลุคส์”“ได้เรื่องยังไงรายงานผมด้วยนะ ผมจะได้จัดการเอกสารสัญญาการรวมทุนกัน”“ครับ”วิศรุตก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกนอก
รถยนต์แล่นตามเส้นทาง ลุคส์เหม่อมองวิวเมืองไทยจนกระทั่งรถขับผ่านโรงเรียนประถมเอกชนแห่งหนึ่ง ปรางค์ปรียาจูงมือลูกออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อน การจราจรหยุดชะงักอยู่ด้านหน้าโรงเรียน ลุคส์ยังคงมองวิวเหมือนเดิม แต่ฉับพลันสายตากลับหยุดลง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ มือสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อภาพที่เห็นทำให้เขาคิดว่าตนนั้นกำลังฝันอยู่ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติ จ้องมองภาพของผู้หญิงคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้ชายแล้วหยุดอยู่หน้าโรงเรียน ตัดสินใจขยับกายไปชิดหน้าต่างแล้วจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง หัวใจเขากำลังเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะเมื่อยิ่งมองเขาก็ยิ่งมั่นใจ จำไม่ผิดแน่เป็นเธอแน่ๆ ผู้หญิงที่เขาไม่เคยลืมจนถึงตอนนี้ บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบมองนายตนด้วยความรู้สึกสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงหัน มองวิวนอกหน้าต่างที่เจ้านายให้ความสนใจอยู่ ดวงตาคมกริบเบิกกว้างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้เห็นลุคส์จ้องมองทุกการกระทำทุกอากัปกิริยา แล้วมองเลยไปถึงเด็กชายที่กำลังจูงมือเธอแน่น สายตาจ้องมองเด็กชายไม่วางตา เด็กคนนั้นหน้าตาผิวพรรณไม่ได้เกิดจากพ่อซึ่งเป็นชาวเอเชียแน่ เกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นเป็นใคร
ลุคส์ขบกรามแน่น คิดแล้วไม่ผิดว่าต้องเป็นเธอ... การประชุมเริ่มขึ้นชายหนุ่มจึงหันไปสนใจกับงานแทน เขาจำต้องอดทนฟังหลายชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งจบ ชายหนุ่มรีบเดินออกจากห้อง แต่กลับไม่พบคนที่ต้องการจเอ ภูมิชัยมองตามด้วยความสงสัยก้าวเข้ามายืนเคียงหุ้นส่วนคนใหม่“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ภูมิชัยถาม“เปล่าครับ”“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกผมได้นะครับ”ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย เปิดปากถามคำถามภูมิชัยออกไปด้วยความสงสัย“ผู้หญิงที่เดินออกจากห้องมา เธอทำหน้าที่อะไรเหรอครับ?”ลุคส์ถาม“ผู้หญิงคนไหนเหรอครับ?”ภูมิชัยถาม เพราะผู้หญิงที่ออกมาจากห้องมีสองคน“คนที่เหมือนว่าจะไม่สบายน่ะครับ?”“อ๋อ ปรางค์ปรียาน่ะเหรอครับ เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของที่นี่ พอดีเธอเป็นเพื่อนลูกสาวของผม ผมเลยไหว้วานให้เธอช่วยเป็นเลขาจำเป็นแทนลูกสาวผมในวันนี้ครับ”ลุคส์มีสีหน้าครุ่นคิด พยักหน้าช้าพร้อมกับกล่าวขอบคุณภูมิชัย แล้วหันหลังเดินออกมา ภูมิชัยงุนงงๆ กับท่าทีของเขา“ใช่เธอจริงๆ ด้วยสินะปรางค์ปรียา” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองกวินภพรีบจูงมือเด็กชายมาที่บ้าน ปรางค์ปรียาเมื่อเห็นบุตรชายตนเองร่างบางรีบตรงเข้าไปกอดไว้พร้อมกับสะอื้น ไทม์มองมาร
ลุคส์เดินเข้าไปกระชากท่อนแขน แล้วรวบเอวบางไว้แน่น ดวงตากร้าวแข็งขึ้น ริมฝีปากหนายิ้มเหยียดออกมาเมื่อรู้สึกถึงอาการสั่นสะท้าน“เธอยังไม่ลืมฉันใช่ไหม ถึงได้สั่นแบบนี้...”เขาเย้ยหญิงสาวรีบดันแผงอก หันหน้าหนี พยายามดิ้นรนให้พ้นจากการกอดรัด แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์“ฉันขอร้อง... ปล่อยฉันไปเถอะ... อย่าทำร้ายฉันอีกเลย ฉันทรมานเพราะคุณมามากแล้ว ฮือๆๆๆ”ปรางค์ปรียาอ้อนวอนพร้อมกับสะอื้นออกมา“เด็กคนนั้นเป็นลูกของฉันใช่ไหม?”เขาถาม“ไม่! เขาไม่ใช่ลูกคุณ!”หญิงสาวปฏิเสธทันควันเสียงเอะอะหน้าบ้านส่งผลให้ร่างเล็กรีบวิ่งออกมา เด็กน้อยยืนนิ่งเมื่อเห็นแม่กำลังร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายร่างสูงใหญ่ ดูเหมือนเป็นคนต่างชาติ“แม่ครับ...”เด็กชายเรียกแม่เสียงเล็กๆ ทำให้ทั้งสองหันมามอง ลุคส์จ้องมองไปยังร่างเล็กแล้วพิจารณาดู ไม่ผิดแน่ลักษณะของเด็กคนนี้มีเค้าโครงเหมือนเขาตอนเด็กมาก สีผมของเด็กคนนั้นก็คล้ายกับเขา จะให้คิดว่าเป็นลูกคนอื่นได้ยังไง นอกจากผู้หญิงคนนี้จะไปมีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติคนอื่นที่ไม่ใช่เขาเธอชะงักเมื่อเห็นบุตรชายเดินมา ไทม์มองแม่แววตาสับสนผสมกับความหวาดหวั่น เขาไม่ชอบเลยผู้ชายคนนี้เป็นใคร
พินอาภาวางสายลงแล้วรีบวิ่งไปที่รถ ขับออกไปจนคนในบ้านตกใจไปตามๆ กัน ได้ยินเสียงเพื่อนสะอื้นมาตามสายเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ไม่คิดว่าลุคส์จะหันกลับมาจองล้างจองผลาญปรางค์อีก ทั้งๆ ที่เรื่องทุกอย่างเพื่อนเธอไม่ผิดสักนิด แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้เสียงรถเบรกดังสนั่น เจ้าของรถลงมาแล้วเปิดประตูรั้วบ้าน เดินก้าวฉับฉับด้วยความโมโหปนสงสารเพื่อน โกรธแทน กล้าดียังไงมายุ่งวุ่นวาย มาถึงห้องนั่งเล่นเห็นปรางค์กำลังร่ำไห้โดยมีบุตรชายคอยปลอบ“ไทม์ไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวน้าจะดูแม่ให้เอง”พินอาภาบอกหลานชาย“ครับน้าพิน”เด็นชายรับคำเสียงเศร้าแล้วเดินขึ้นชั้นสอง ไม่วายหันมามองแม่ด้วยความเป็นห่วงกุมมือเพื่อนไว้แล้วโอบไหล่ ไม่รู้จะทำยังไง ความจริงอยากให้พ่อยกเลิกสัญญาของบริษัทซะ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหากทำแบบนั้นบริษัทจะถูกฟ้องร้องเป็นจำนวนเงินมหาศาล หากบิดาเธอรู้เรื่องนี้เข้า เธอมั่นใจว่าท่านจะต้องยกเลิกสัญญานั้นแน่ และมันอาจส่งผลให้ผู้คนมากมายต้องตกงาน เธอทำแบบนั้นไม่ได้ พ่อเป็นคนแน่วแน่ บุญคุณต้องทดแทน ครอบครัวเธอสัญญากันแล้วว่าจะไม่ให้ปรางค์ต้องทุกข์อีก ทว่าเธอกลับทำผิด ช่วยเพื่อนไม่ได้ มิหนำซ้ำยังต้องใ
หญิงสาวมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เธอหันไปสบตาบอดี้การ์ดคู่ใจสามี กลับเห็นแต่แววตาจริงจังหญิงสาวจึงยอมทำตาม แต่ก่อนที่จะไป ร่างบางหันกลับไปหามาติชอีกครั้ง“แล้วพินละ!”“รอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมไปตามเธอมา”ประตูห้องเปิดออก พินอาภาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นเขาเดินดุ่มๆ มาคว้าแขนเธอแล้วลากไปชั้นล่างยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปใหญ่“นี่คุณจะทำบ้าอะไร ปล่อยฉันนะ!”เสียงตวาดแว๊ดดังตลอดระยะทางที่เขาลากเธอมาข้อมือบางถูกปล่อยในขณะที่พินอาภามองหน้าเพื่อนด้วยความแปลกใจ“เกิดอะไรขึ้นปรางค์?”“ไม่มีเวลาแล้วพิน ไปกันเถอะ”ปรางค์ปรียาบอกแล้วรีบใช้มือข้างที่ว่างอยู่ดึงมือเพื่อนให้ตามไป“ปรางค์เกิดอะไรขึ้น!”“ไว้เราค่อยบอกนะ ไปกันก่อน”ปรางค์ปรียารีบสาวเท้าเดินโดยอุ้มบุตรชายไว้แนบอกโดยที่มีเพื่อนสาวเดินตามมาติดๆ เอมม่ารีบเปิดประตูรถให้ทุกคนเข้าไปด้านในแล้วรีบสตาร์ทรถออกไป ชายฉกรรจ์หลายคนเดินเข้าสวนในจังหวะที่รถขับออกไป ลูกัสขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เดินตรงไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายมาติชเร้นกายอยู่ในมุมหนึ่งของบ้านโดยที่สั่งให้ลูกน้อง พยายามแอบซ่อนตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ เพราะจำนวนคนน้อยกว่า ในขณะท
ร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากรถ เดินเข้าในคฤหาสน์ที่เคยอาศัยอยู่กับแม่มาก่อน เขาไม่เคยคิดจะกลับมาที่นี่อีก แต่ครั้งนี้จำต้องยอมทำเพื่อลูกและผู้หญิงที่เขารัก ลูกัสเดินยิ้มออกมานอกบ้าน ในขณะที่ลุคส์เหลือบไปมองหนุ่มนักฆ่าด้วยสายตานิ่งสนิท“เชิญครับ ท่านเมแกนสั่งให้ท่านเดินเข้าไปด้านใน...”ลูกัสบอกพลางผายมือ“ขอบใจ”ลุคส์เดินเข้าไปด้านในห้องหนังสือ เห็นชายสูงวัยยืนถือไม้เท้าหันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มรีบนั่งลงบนเก้าอี้สีครีมอ่อนที่วางไว้สำหรับรับแขก ชายชราหันมาสบตาเขาทันทีใบหน้าของชายที่เรียกได้ว่าเป็นพ่อที่เขาไม่ได้พบเห็นมานาน เขาไม่ได้เห็นพ่อตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนเวลานี้อายุเข้าปาไปสามสิบสามปีแล้ว เขาไม่เคยอยากพบผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย เขายังใจดีเห็นว่าเป็นพ่อ ถึงได้เหลือบ้านไว้ให้กับหุ้นบางส่วนในบริษัทเพื่อให้มีกินมีใช้ไม่ลำบาก แต่ดูเหมือนพ่อเจ้าบงการยังไม่สิ้นฤทธิ์เดชเมแกนทอดกายนั่งลงแล้ววางไม้เท้าลงข้างๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นเชิดขึ้นเหมือนนิสัยส่วนตัว หยิ่งทะนงไม่ยอมใครและทำราวกับว่าตนเองมีอำนาจเหนือใคร“แกต้องการพบฉันเรื่องอะไร!”เมแกนเอ่ยปาก“ผมต้องการพูดกับคุณเรื่องที่คุณสั่งให้ลูกัสไป
ดวงตาสีน้ำทะเลหรี่ลง เห็นมาติชทะยานรถออกจากรั้วบ้านพัก ละสายตาไปยังพินอาภา ซึ่งเดินปาดน้ำตามายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลุคส์ถอนหายใจแล้วหย่อนกายลงบนโซฟา“พ่อครับ”เสียงเรียกเล็กๆ ปลุกจากภวังค์ทันทีที่เห็นพ่อ ร่างเล็กรีบกระโจนกอดแล้วพลิกกายนั่งลงบนตัก เด็กชายเงยหน้ามองบิดาแล้วยิ้มออกมาด้วยความสุข ยิ่งเห็นลูกมีความสุขแบบนี้เขายิ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกไว้ให้ได้เสียงหยอกล้อส่งผลให้คนที่กำลังเดินมาหยุดชะงัก มองภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นบุตรชายมีความสุขในอ้อกอดของพ่อเขา ลุคส์เหลือบมองหญิงสาว จังหวะนั้นบุตรชายเลยรีบเดินมาหาแม่แล้วจูงมาร่วมวงด้วยกันไทม์แทรกตัวอยู่ระหว่างพ่อกับแม่ ดวงตาสองคู่สบกัน หัวใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา เมื่อพรุ่งนี้เขาจะต้องไปจัดการปัญหาทุกอย่างให้จบเสียที เขาไม่อยากไป... เพราะไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรรออยู่ข้างหน้า ทว่าจำต้องทำเพื่อเมียและลูกบอดี้การ์ดหนุ่มยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ค่อยๆ ก้าวอย่างเชื่องช้า ในมือถือดอกกุหลาบสีขาวที่อดีตภรรยาชอบ ความรู้สึกทั้งมวลตีตื้นขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ยิ่งเห็นป้ายหลุมศพ ยิ่งพาให้ใจร้าวร้าน ย่อกายลงวางดอกไม้ไว้ด้านหน้าเอื้อมมือปัดฝุ่น
ลูกัสหายไปตั้งแต่นั้น และเขามารู้อีกครั้งก็ตอนที่มันกลายเป็นนักฆ่าฝีมือดีไปแล้ว และมันก็คอยตามจองล้างจองผลาญเขาไม่เลิกราไม่ว่าจะทำอะไร“แกคงโดนเป่าหูมามากสินะลูกัส แกถึงได้บ้าไม่เลิก แกต้องการอะไรพูดมาตรงๆ ดีกว่า!”มาติชถามเสียงกร้าว“วันพรุ่งนี้ วันเดียวกับที่นายของฉันกับแกนัดไปเจอกัน เรามาสะสางเรื่องของเราที่หลุมศพของเรนิต้า”ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาจะปล่อยทุกคนที่ต้องคุ้มครองอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน“ไม่ได้ ฉันมีธุระต้องจัดการ!”“ทำไม แกกลัวว่าฉันจะบุกไปจัดการผู้หญิงของเจ้านายแกหรือไงมาติช!”“ใช่! คนอย่างแกมันเล่นไม่ซื่ออยู่แล้วนี่ไอ้ลูกัส”นักฆ่าหนุ่มขบกรามแน่น เขาต้องลากมาติชออกมาจากบ้านหลังนี้ให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่เป็นไปตามแผน“ถ้าแกไม่ไป รับรองว่าฉันจะถล่มที่นี่ให้ยับโดยไม่สนว่าใครจะตายหรือไม่ตาย!”แววตากร้าวกับคำพูดสุดอำมหิต ส่งผลให้ร่างกำยำเกร็งแน่น แทบขยับเข้าไปจัดการคู่อริให้ย่อยยับคามือ“ถ้าแกทำอย่างที่แกพูด รับรู้ไว้ได้เลยไอ้ลูกัส หากฉันฆ่าแกไม่ได้จะไม่เลิกรา!”“คนอย่างฉันไม่กลัวตายหรอกมาติช เพราะฉันตายไปนานแล้ว!”“ไสหัวไปซะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก!”เสียงกร้าว
มือบางคว้าท่อนแขนเขาไว้ เธอไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่หัวใจกลับเรียกร้องให้ทำ เธอกลัว ทำไมแววตาของเขาถึงได้บอกกับเธอว่าเขากำลังจะจากไป ชายหนุ่มนิ่งงันก่อนหันมาเผชิญหน้า“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”เธอถามเสียงเบาแววตาเต็มไปด้วยความกังวลคำถามเบาๆ ออกมาจากริมฝีปากบาง สร้างความรู้สึกหวั่นไหวให้เขาได้มากมายนัก ทั้งๆ ที่พยายามทำใจที่จะออกห่างจากเธอ เพราะบางทีการไปพบพ่อของเขาคราวนี้ อาจไม่ได้กลับมาพบเธออีก เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าแววตาแสดงความห่วงใย หัวใจเขากลับเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับมือหนาคว้าร่างบางมากอดไว้แน่นราวกับไม่ต้องการจะให้เธอหนีหายไปไหน น้ำใสๆ ที่เริ่มเอ่อล้นออกมา มันกำลังไหรริน กลั้นมันไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอและลูกคือของขวัญสุดแสนวิเศษที่พระเจ้ามอบให้ แต่เขาคงไม่ดีพอที่จะได้รับมันใช่ไหม กายแกร่งที่กำลังสั่นไหวส่งผลให้ใจเธอสะท้าน มือบางลูบไล้แผ่นหลังเขาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม“ไม่เป็นอะไรนะคะ...”เสียงแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากบางอีกครั้ง“ปรางค์ผมขอโทษ...”เสียงสั่นเครือเบาๆ ออกมาจากริมฝีปากหนาชายชรานั่งยิ้มอยู่บนโต๊ะทำงาน ก่อนยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงลูกน้องคนสนิททันที ได้โอกาสที่จะจัดการทุกอย่
ร่างสูงกำยำเร่งฝีเท้าเมื่อถึงสนามบิน ด้านหน้ามีรถตู้สีขาวดจอดรอรับ ลูกัสก้าวขึ้นรถขบกราบแน่นนึกแค้นใจที่ตนถูกตลบหลัง มองวิวด้านนอกกระจกรถแววตาแข็งกร้าว ราวหนึ่งชั่วโมงถัดมารถเลี้ยวเข้าสู่เขตคฤหาสน์หลังงาม ลูกัสสูดหายใจเข้าปอดเพราะรู้ว่าจุดหมายจะต้องเจอสิ่งใดเพียะ!ฝ่ามือหนักกระทบลงบนใบหน้าคมเข้ม นักฆ่าหนุ่มกัดฟันแน่นเลียริมฝีปากซึ่งมีเลือดไหลซึมออกมา“แกมัวไปทำบ้าอะไรอยู่! ถึงได้ให้มันพาผู้หญิงคนนั้นมาถึงฝรั่งเศส มันยากนักหรือไงแค่จัดการผู้หญิงตัวเล็กๆ!”เมแกนตวาดกร้าวลมหายใจหนักหน่วงบอกอารมณ์ของผู้พูดได้ดี“ถ้าหากไม่มีมาติชทุกอย่างมันต้องสำเร็จไปตามแผนแน่นอนครับนาย”เมแกนขบกรามแน่นสายตากร้าวจ้องมองไปยังลูกน้องคนสนิท มาติช! เขาได้ยินแต่ชื่อนี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากไม่มีผู้ชายคนนี้ การควบคุมลุคส์คงเป็นไปได้ไม่ลำบาก แต่เพราะหมอนี่ดันเป็นมือดีที่เขาปลุกปั้นมา พอได้ดีกลับทรยศไปอยู่กับลูกชายเขาเสียได้ หากได้มือดีอย่างมาติชมาอยู่ข้างกายคงดีไม่น้อย“ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้งลูกัส จัดการเก็บผู้หญิงคนนั้นให้ได้ แล้วจับตัวหลานฉันมา... ฉันจะเอาไว้ต่อรองกับไอ้ลูกชายจองหอง ดูสิว่ามันจะยังหยิ่งจองหอง
มาติชพอข้าใจ เจ้านายเคยเป็นชายที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายและป่าเถื่อนในการทำธุรกิจ หากสิ่งใดขวางทางเป็นกำจัดเรียบไม่เคยไว้หน้าใคร แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อเจ้านายได้พบกับหญิงไทยคนนั้น เมแกนคงจะรู้สึกขุ่นเคืองมากเมื่อลูกอ่อนแอลงเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว“แล้วนายจะให้ผมทำยังไงครับ หากลูกัสกลับมาที่นี่”กรามขบเป็นสันนูน เขาไม่รู้ว่าพ่อมีอำนาจมากแค่ไหนในเวลานี้ แต่ที่สำคัญปรางค์ปรียาและไทม์จะต้องปลอดภัย“หามือดีมามาติช หามาให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พ่อฉันจะเริ่มไล่ล่าปรางค์”“ได้ครับ”“แล้วอีกอย่างแกจัดการลูกัสให้ได้ ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการเอง”“ครับนาย!”มาติชรับคำแล้วหันกายเพื่อเดินออกจากห้อง“มาติช...” ชายหนุ่มเรียกลูกน้องเสียงแผ่วเบา“ครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับเจ้านายอีกครั้ง“มะรืนนี้เป็นวันตายของเรนิต้าไม่ใช่เหรอ เธอถูกฝั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แกควรจะไปเยี่ยมเธอนะ”แววตาคนฟังหม่นลงไปชั่วครู่ ร่างกำยำรีบหันหลังกลับออกมาโดยไร้คำพูดใดๆ เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดตีตื้นขึ้นมา ลุคส์มองตามแผ่นหลังของลูกน้องคนสนิท ใครจะรู้... หน้าตาท่าทางอันเรียบเฉยจะแฝงไว้ด้วยอดีตอันแสนปวดรวดร้าวไม่ต่างจากเขาบ
บ่ายสามโมง ร่างบางเดินทอดน่องออกมาจากบ้าน หยุดยืนอยู่ด้านหลังซึ่งมีลำธารเส้นน้อยตัดผ่าน น้ำใสไหลผ่านสายตา มันใสเสียจนมองเห็นพื้นด้านล่าง และฝูงปลามากมาย คนแถวนี้คงไม่นิยมจับพวกมันมาขาย คงนำพวกมันมาแค่พอรับประทานเท่านั้น ที่นี่อากาศดี แถมยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์ เธอชอบมัน แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้อยู่อีกนานไหมเสียงฝีเท้าเบื้องหลังทำให้หญิงสาวชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันกลับไป จนกระทั่งมีเสียงทุ่มต่ำดังขึ้น“ผมมีข่าวดีจะบอก...”ร่างบางหันมาเผชิญหน้า แล้วสบตากับอีกฝ่าย“ข่าวอะไรคะ”“เพื่อนของคุณกำลังจะมาที่นี่”“พินนะเหรอคะ!”หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจ“ใช่แล้ว”หญิงสาวระบายยิ้มออกมาทันที หลังจากได้รับข่าวดี กระโจนกอดคนบอกข่าวด้วยความสุขใจ นี่เป็นข่าวดีที่เธอได้รับเลยทีเดียว ลุคส์จึงถือโอกาสโอบกอดตอบ ลูบไล้แผ่นหลังไว้เบาๆ ปรางค์ปรียาชะงักเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังจะเขยิบไปทำอย่างอื่นแทน เธอรีบคลายอ้อมกอด หากนานกว่านี้คงได้เสียเปรียบอีกแน่“เสียดายจังครับ” ลุคส์ยิ้มเจ้าเล่ห์“ฉะ...ฉันจะไปดูลูกแล้ว”เธอแค่รู้สึกแปลกๆ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปมากจนหัวใจเริ่มหวั่นไหวอย่างไม่คาดคิด ทำไมเธอถึงมีความรู้
สายถูกตัดไปแล้ว... แต่ใจเขากลับเต้นตุบๆ ไปด้วยความกังวล และรู้สึกไม่ไว้ใจอะไรเลย อยากอยู่แบบนี้ให้นานเท่าที่จะทำได้ ร่างสูงใหญ่หันไปมองภายในบ้าน มันไม่ใหญ่โตแต่แสนอบอุ่น ภาพลูกหัวเราะ และภาพเธอกำลังป้อนอาหารให้ลูก ยิ่งทำให้เขาสะเทือนใจเทราซ่าเหลือบมองหลานชาย เมื่อเห็นแววตาหม่นเศร้ายิ่งทำให้เธอกังวล เมื่อไหร่หนอหลานของเธอจะมีความสุขจริงๆ เสียที ลุคส์ฝืนยิ้มเดินเข้ามาในตัวบ้าน นั่งลงข้างหญิงสาว เธอหันมาทางเขา อ้ำอึ้งอยู่นานถึงได้เอ่ยปากออกมา“จะทานอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวปรางค์จะไปเตรียมให้”“อยากทานข้าวต้มฝีมือเมียมีไหมครับ?” ชายหนุ่มแสร้งเย้าแล้วยิ้มกว้างใบหน้าเรียวสวยแดงซ่านขึ้นมา ไทม์ยิ้มระรื่นแล้วกระโจนขึ้นนั่งตักบิดา ลุคส์เลยก้มลงจุมพิตแก้มอิ่มของลูกแทนด้วยความหมั่นเขี้ยวเทเรซ่ามองภาพนั้นแล้วยิ้มอ่อนโยน ปลีกตัวออกมาให้พ่อลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เดินมาถึงครัวเพื่อช่วยหลานสะใภ้ทำอาหารแทน เห็นแม่ครัวจำเป็นกำลังงกๆ เงินๆ หาของในตู้เย็นเลยรีบเข้าช่วย“หาอะไรจ๊ะ?”“หากุ้งค่ะน้าเทเรซ่า”หญิงสาวตอบพลางหลบสายตาเทเรซ่าค้นตู้เย็นหยิบกุ้งออกมาให้ แล้วยืนมองใบหน้าเรียวสวย พินิจพิจารณาอยู่นาน