กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็ว
เมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ]
[ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ]
[ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ]
[ อะไรนะครับ!!! ]
[ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติดต่อญาติมารับศพที่เมืองเหลียงเฮ่อด้วยนะครับ ]
หัวหน้าฝ่ายอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเศร้าโศก เขาไม่คิดว่าการส่งเธอไปทำงานครั้งนี้จะทำให้จูฉิงอันเสียชีวิตไปจริง ๆ
[ เธอไม่มีญาติครับ รบกวนคุณช่วยดูแลศพให้ผมก่อนนะครับ ผมจะทำเรื่องแจ้งบริษัทก่อนและจะเดินทางไปที่นั่นวันพรุ่งนี้ครับ ]
[ ตกลงครับ ถ้าคุณมาถึงแล้ว รบกวนโทรแจ้งผมที่หมายเลข ****** ได้เลยนะครับ ผมจะออกไปรอคุณที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเมืองเหลียงเฮ่อ ]
[ ขอบคุณมากครับ ]
[ ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ สวัสดีครับ ]
[ ครับ สวัสดีครับ ]
หัวหน้าฝ่ายวางสายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความสงสารเด็กที่มีความสามารถอย่างจูฉิงอัน กว่าที่เขาจะทำใจได้ก็กินเวลาไปมากถึงครึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาจึงต่อสายหาฝ่ายบุคคลเพื่อแจ้งเรื่องราวทั้งหมด ยังไม่ทันข้ามวัน เพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างทราบข่าวการเสียชีวิตของจูฉิงอัน พวกเขาได้แต่เสียดายคนขยันอย่างเธอกันไม่น้อย ไม่ว่าใครให้เธอช่วยงาน จูฉิงอันไม่เคยปฏิเสธมาก่อน จนกระทั่งวันนี้ที่เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพื่อนร่วมงานต่างเศร้าเสียใจไปตาม ๆ กัน ยิ่งกับเหล่าหัวหน้าฝ่ายและผู้บริหารที่รับรู้ถึงความสามารถของเธอด้วยแล้ว พวกเขาเองก็เสียใจไม่ต่างกัน
วันรุ่งขึ้น หัวหน้าฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารเพื่อวางแนวทางให้พนักงานไม่ต้องทำงานอย่างหักโหมจนประสบอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิดเหมือนกับจูฉิงอัน หลังการประชุมเสร็จสิ้นลง หัวหน้าฝ่ายการตลาดและหัวหน้าฝ่ายบุคคล เป็นตัวแทนบริษัทไปรับศพของเธอกลับมาจากเมืองเหลียงเฮ่อ
เพื่อนพนักงานที่สนิทกันของจูฉิงอันสองสามคน อาสาไปเก็บข้าวของในคอนโดที่พักของจูฉิงอันเพื่อนำมาเตรียมทำพิธีศพ ซึ่งบริษัทจะเป็นเจ้าภาพตลอดงานจนกว่าการฝังศพจะเสร็จสิ้น
ระหว่างที่เพื่อนพนักงานกำลังเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของของจูฉิงอันกันอยู่ มีหนึ่งในเพื่อนที่ไปด้วยกันพบพินัยกรรมของจูฉิงอันเข้า เธอรีบนำไปให้เพื่อนคนอื่นๆ ดูด้วยกัน ก่อนจะเก็บเอาไว้ไปแจ้งหัวหน้าฝ่ายเพื่อให้เขาทำตามความประสงค์สุดท้ายของจูฉิงอัน
เทพชะตาเห็นแก่ความดีของจูฉิงอัน ท่านจึงเคลื่อนย้ายวิญญาณของเธอไปยังอีกภพหนึ่งซึ่งมีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาตามความปรารถนาของเธอตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ครอบครัวนี้จะลำบากไปสักหน่อย แต่เรื่องความรักใคร่ปรองดองของคนในครอบครัวนับว่าเหมาะสมที่จูฉิงอันจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ณ ภพภูมิใหม่
จูฉิงอันที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่หลังจากผ่านพ้นความตายมาหมาด ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว และยังฝันแปลก ๆ ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับเธอตอนยังเด็กต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะผู้เป็นย่ามาตั้งแต่จำความได้ จูฉิงอันรู้สึกสงสารเด็กน้อยจับใจ เธอมองดูภาพความทรงจำที่เหมือนดั่งความฝันนี้จนถึงตอนที่เด็กหญิงตายไปอย่างอนาถ จูฉิงอันได้แต่ภาวนาขอให้เด็กคนนี้ไปยังภพภูมิที่ดี แต่เด็กหญิงกลับขอร้องให้เธอช่วยดูแลครอบครัวแทนตัวเองเสียอย่างนั้น จูฉิงอันไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กน้อยจึงต้องการให้เธอช่วยเช่นนั้น แต่เธอก็รับปากตามที่เด็กคนนั้นต้องการอย่างเต็มใจ ก่อนที่เด็กหญิงจะกล่าวขอบคุณและหายไปจากภาพฝันของเธอหลังจากนั้น
“ข้าบอกว่าพวกเจ้ามันเป็นตัวขาดทุน! เจ้ายังจะมาเรียกร้องอะไรอีก!!!”
“ฮึก.. ท่านแม่ ข้าขอร้องท่าน ฮือ.. ลูกข้าไม่สบายมากจริง ๆ ข้าอยากพานางไปหาหมอ ตอนนี้ท่านพี่ไปล่าสัตว์ ข้าไม่มีเงินติดตัวเลยสักอีแปะ ขอท่านแม่โปรดเมตตา”
“เพ้ย!!! นั่นมันเรื่องของครอบครัวรองของเจ้า เกี่ยวอันใดกับเงินของข้า!”
“ฮือ… ท่านย่า พี่ใหญ่ป่วยหนักจริง ๆ นะขอรับ เงินที่ท่านพ่อหามาได้ก็อยู่ที่ท่านย่า หากท่านย่าไม่ให้เงินพวกเราพาพี่ใหญ่ไปหาหมอ แล้วพวกเราจะเอาเงินที่ใดเล่า”
“ฮือ… ท่านย่าขอรับ ข้าขอร้องท่าน… โปรดช่วยพี่ใหญ่ด้วยขอรับ..”
“ฝันไปเถอะ นังนั่นมันตัวขาดทุน เรื่องอะไรข้าจะยอมเสียเงินเสียทองเพราะมัน พวกเจ้ารีบไปทำงานกันได้แล้ว เสียเวลาข้าจริง ๆ ฮึ่ย!”
สะใภ้หลิน จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพากันเข้าไปกอดขาแม่เฒ่าจูเอาไว้ก่อนที่นางจะออกจากบ้านไปนินทาคนในหมู่บ้านเหมือนกับทุกวัน
“ปล่อยข้านะเจ้าพวกบ้า!!!”
เพี๊ยะ! พลั่ก! ตุ้บ!
แม่เฒ่าจูใช้ไม้เท้าตีทั้งสามคนอย่างไม่ออมแรง นางรำคาญสะใภ้รองกับลูกแฝดของนางที่กวนใจไม่เลิก จึงไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป สะใภ้หลินเห็นลูกชายถูกตีอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้นก็ได้แต่รีบเข้าไปบังพวกเขาเอาไว้ แม่เฒ่าจูเห็นนางรักลูกมากก็ยิ่งหมั่นไส้ นางกลับตีพวกเขาต่ออย่างไม่คิดจะหยุดมือง่าย ๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและความตกใจของเด็กชายฝาแฝดดังไปทั่วทั้งลานบ้าน ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงเห็นเรื่องเหล่านี้ประจำจนไม่รู้ว่าจะช่วยพวกเขายังไง เพราะแม่เฒ่าจูมักอ้างว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัว ชาวบ้านจึงได้แต่มองดูพวกเขาถูกรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ลูกชายนางจูที่รู้เรื่องดียังไม่กล้าเอ่ยปาก แล้วพวกเขาเพื่อนบ้านจะกล้ายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร
เสียงดังวุ่นวายด้านนอกทำให้จูฉิงอันค่อย ๆ ได้สติ เธอลืมตาอย่างยากเย็นเพราะพิษไข้ ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือเพดานดินเหนียวเหมือนบ้านเรือนโบราณในชนบทเมื่อหลายพันปีก่อน จูฉิงอันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมภาพฝันก่อนหน้านี้หมุนเวียนอยู่ในหัวของเธอ จูฉิงอันสูดหายใจลึกหลังจากทบทวนความทรงจำในหัวอีกรอบหนึ่ง ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กคนนั้นและเธอยังรับปากจะดูแลครอบครัวแทนเด็กคนนั้นไปแล้วด้วย จูฉิงอันฟังเสียงดังด้านนอกจนรู้ว่าย่าใจร้ายของเธอน่าจะกำลังตีแม่กับน้องชายฝาแฝดของเธอ จนใจที่ตอนนี้จูฉิงอันไร้เรี่ยวแรง เธอได้แต่นอนฟังเสียงร้องอันเจ็บปวดพร้อมกับคำขอร้องซ้ำๆ ที่แม่กับน้อง ๆ ต้องการเงินเพื่อพาเธอไปหาหมอ จูฉิงอันเศร้าใจจนน้ำตาไหลรินออกมา เธอภาวนาให้ทั้งสามคนเลิกขอร้องย่าคนนั้นเสีย พวกเขาจะได้ไม่เจ็บตัว แต่น่าเสียดายที่ทั้งสามคนไม่รู้ถึงคำภาวนานั้น กว่าเสียงด้านนอกจะเงียบลงก็เป็นตอนที่น้องชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาวางมือเล็ก ๆ ไว้บนหน้าผากของเธอเพื่อวัดไข้
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นยังไงบ้างขอรับ” จูฉิงเฉิงเอ่ยถามนาง
“แค่ก ๆ ข้าดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องไปขอร้องท่านย่าอีกรู้หรือไม่” จูฉิงอันตอบกลับอย่างอ่อนแรง
“ฮึก.. ข้าไม่คิดว่าท่านย่าจะใจร้ายกับเราขนาดนี้ เงินพวกนั้นเป็นท่านพ่อหามาอย่างยากลำบาก ตอนนี้ท่านพี่ป่วยหนัก ท่านย่ากลับไม่ยอมนำเงินออกมา ฮือ…”
“อย่าร้อง… เจ้าเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน ต้องเข้มแข็งให้มากรู้หรือไม่” จูฉิงอันอยากปลอบน้องชายมากกว่านี้ จนใจที่นางไม่อาจลุกขึ้นได้จากร่างกายอันอ่อนเพลีย
“ฮึก.. ตกลงขอรับพี่ใหญ่ ข้าไม่ร้องแล้ว เดี๋ยวข้าไปเอาข้าวต้มมาป้อนท่านนะ”
“อืม… ขอบใจเจ้ามากอาเฉิง”
หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
สิบวันต่อมา เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่เตรียมฎีกาต่าง ๆ เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากหลินฉิงอันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปบอกลาเหิงอันโหวก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมาก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลินฉิงอันยังมอบผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขานำกลับไปด้วยถึงสิบกระสอบเพื่อกินระหว่างทางและนำไปฝากครอบครัวด้วย ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็นำเกาลัดคั่วที่พวกเขาทำมอบให้ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสนาบดีหลี่รู้ว่าพวกชาวบ้านนำสิ่งของเหล่านี้ไปขายในเมืองกันนานแล้ว ท่านจึงมอบเงินให้กับผู้ใหญ่บ้านหลี่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวว่าเสนาบดีเซี่ยกำลังจะเดินทางกลับก็มาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าไห่เช่นเดียวกัน เสนาบดีเซี่ยยังกล่าวอีกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการคำแนะนำจากหลินฉิงอัน เขาจะส่งม้าเร็วมาส่งข่าวให้ถึงหมู่บ้านต้าไห่หลินฉิงอันที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดขุนนางเต็มยศรับปากว่านางจะรอและยังส่งมอบเอกสารเรื่องการปรับปรุงน้ำเพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เ
สายวันต่อมา หลินฉิงอันนำเอกสารทั้งหมดที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปให้กับเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบดู เนื้อหาภายในอธิบายถึงวิธีการปรับปรุงดินแบบต่าง ๆ ตามลักษณะดินที่เสนาบดีเซี่ยบอกหลินฉิงอันเอาไว้เมื่อวานนี้ โดยนางได้แบ่งเนื้อหาให้แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ดินเหนียวนั้นนางให้ข้อแนะนำในการปรับปรุงโดยให้เติมทราย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษใบไม้เพื่อทำให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนเช่นพืชตระกูลถั่วสลับกับพืชหลักเพื่อปรับปรุง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าวิธีการแรกที่นางแนะนำดินทราย หลินฉิงอันแนะนำให้ปรับปรุงดินโดยการเติมดินเหนียว ปุ๋ยหรือเศษใบไม้เพื่อให้ดินมีความหนาแน่นมากขึ้นและอุ้มน้ำได้ รวมถึงการปลูกพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของดินทรายได้อีกด้วยดินกรด ให้ปรับปรุงดินโดยการเติมปูนขาวหรือปุ๋ยเพื่อให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักได้ ซึ่งปูนขาวจะช่วยปรับค่าความเป็นกรดในดินให้ลดลงดินเค็ม ให้ปรับปรุงดินโดยการล้างดินให้สะอา
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ
ขบวนเดินทางของเสนาบดีเซี่ยเดินทางถึงเมืองไห่ตงในหนึ่งเดือนต่อมา เจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวจากม้าเร็วของขบวนรีบออกมารอต้อนรับยังหน้าประตูเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเห็นขบวนขุนนางใหญ่มาก่อน พวกเขาต่างมามุงดูกันว่าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใด ยิ่งเห็นเจ้าเมืองเติ้งพินอบพิเทาตั้งแต่คนบนรถม้ายังไม่ลงมาเสียด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยิ่งให้ความสนใจเสนาบดีเซี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าจนกระทั่งเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองที่เตรียมห้องพักสำหรับขบวนคนที่มาจำนวนมากในครั้งนี้“เชิญท่านเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายเข้าพักที่จวนซอมซ่อของข้าน้อยก่อนขอรับ”“เจ้านำทางไปเถอะ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้านำทางพวกข้าไปยังหมู่บ้านต้าไห่ด้วยก็แล้วกัน พวกข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก”“ขอรับ ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ”องครักษ์ทั้ง 100 คนที่เดินทางมากับขบวนเสนาบดีต่างแยกกันไปพักยังอีกจวนหนึ่งที่ว่างอยู่ในเมือง โดยมีพ่อบ้านในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ต้อนรับ
ฮองเฮาที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น พระนางรู้ดีว่าพระสนมกุ้ยเฟยมีอิทธิพลมากแค่ไหน ยิ่งฝ่าบาทไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พระนางก็หวาดเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยจะสร้างเรื่องจนทำให้วังหลังปั่นป่วนฮ่องเต้เห็นฮองเฮาสีหน้าผิดปกติไป พระองค์จึงโอบฮองเฮาเข้ามากอดเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง พร้อมกับกระซิบบอกพระนางให้อย่าคิดมาก“เสด็จพี่จะไม่ให้น้องคิดมาได้อย่างไรเพคะ หากกุ้ยเฟยก่อเรื่องหนักกว่านี้จนวังหลังระส่ำระสาย น้องจะทำเช่นไร? เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่านางเป็นเช่นไร”“หากนางสร้างเรื่องทำให้เจ้าหนักใจ เจ้าก็เพียงแค่ลงโทษนางตามกฎของวังหลังเสีย เรื่องอื่นหลังจากนั้นเจ้าอย่าได้กังวล พี่จะให้คนของพี่มาคอยปกป้องพวกเจ้าอย่างลับ ๆ”“เสด็จพี่ก็ทราบว่าพ่อของนางมีหรือจะยอมจบเรื่องง่าย ๆ หากข้าลงโทษนาง”“เฮ้อ น้องหญิง เจ้าเชื่อใจพี่ได้หรือไม่ ถึงแม้เสนาบดีควนจะมีอิทธิพลมากก็ตาม แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าสามีของเจ้าเป็นถ