หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง
“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”
“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”
“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”
จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนลูกสาวนางต้องป่วยหนักถึงขนาดนี้ ครั้งนี้หากสามีกลับมา หลินอ้ายคิดที่จะคุยกับเขาให้รู้เรื่องว่าต่อไปจะทำอย่างไรในเมื่อลูก ๆ นางก็เติบโตขึ้นทุกวัน อาหารการกินตอนนี้แทบไม่พอให้ทั้งห้าคนประทังชีวิต
หลินอ้ายทอดถอนหายใจก่อนจะเดินออกไปหาฟืนที่เก็บเอาไว้ด้านหลังบ้านดินผสมฟางหลังเก่าซึ่งสามีนางลงมือสร้างด้วยตัวเอง นางไม่คิดมาก่อนว่าหลังแต่งงานจะต้องมาอยู่ในที่ซอมซ่อเช่นนี้ ทั้งที่แม่สามี พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของนางต่างได้นอนในบ้านไม้หลังใหญ่ เงินทั้งหมดก็มาจากน้ำพักน้ำแรงสามีของนาง เรื่องนี้มีชาวบ้านเล่าให้นางฟังเองว่าสามีนางทำงานตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยมีเงินเก็บมาก่อนนอกจากตอนที่ต้องการขอนางแต่งงาน เขาแอบเก็บเงินส่วนตัวเอาไว้จนแม่เฒ่าจูโกรธมาก จนใจที่จูฉางหยูถึงวัยออกเรือน แม่เฒ่าจูจึงไม่อาจยึดเงินก้อนนั้นกลับมาได้ตามที่นางต้องการ ขนาดคนที่ไปสู่ขอนางยังเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนที่จะเป็นแม่สามี หากตอนนั้นครอบครัวนางไม่ลำบากล่ะก็ นางคงไม่ตกลงแต่งงานกับเขาแน่
ระหว่างที่หลินอ้ายกำลังเก็บฟืนไปเติมไฟในห้องครัว จูฉางหยูก็กลับจากไปล่าสัตว์เมื่อคืนนี้พอดี เขารีบเข้าไปช่วยภรรยาเพราะรู้ว่านางร่างกายอ่อนแอหลังจากคลอดลูกชายฝาแฝดให้เขาเมื่อหลายปีก่อน
“ภรรยา เจ้าไม่ต้องยกของพวกนี้ ให้พี่จัดการเอง เจ้าไปรอที่ห้องครัวเถิด”
“ฮึก.. ท่านพี่ วันนี้ข้าไปขอเงินท่านแม่เพื่อจะพาฉิงอันไปหาหมอ แต่นางกลับไม่ให้แถมยังทุบตีข้ากับลูก ๆ จนสะบักสะบอมไปหมด ข้าขอถามท่าน ท่านยังรักข้ากับลูก ๆ อยู่หรือไม่เจ้าคะ ฮือ…”
จูฉางหยูพอได้ยินเสียงร้องไห้พร้อมกับประโยคตัดพ้อของภรรยาเข้าก็ได้แต่รีบวางฟืนลงแล้วเข้าไปกอดภรรยา เขาคิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะใจร้ายกับครอบครัวเขามากถึงขนาดนี้ หลังจากกอดปลอบหลินอ้ายไม่นาน จูฉางหยูจึงตอบกลับภรรยาไปตามความรู้สึกของเขา
“เหตุใดข้าจะไม่รักพวกเจ้าเล่า เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลยนะภรรยา วันนี้ข้าจะไม่มอบเงินให้ท่านแม่ ตกลงหรือไม่? ข้าจะให้เจ้าเก็บเงินพาลูกไปหาหมอนะ”
“ท่านพี่พูดจริงหรือเจ้าคะ?”
“จริงสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไมกันเล่า เอาล่ะ ๆ เจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”
หลินอ้ายปาดน้ำตาออกก่อนจะพยักหน้ารับคำสามี จูฉางหยูเห็นนางหยุดร้องไห้แล้วจึงรีบเก็บท่อนฟืนขึ้นมาใหม่และเดินนำนางเข้าไปยังห้องครัว หลังวางท่อนฟืนใส่ในเตาให้นางแล้ว จูฉางหยูส่งเงิน 100 อีแปะจากการขายสัตว์ป่าให้กับนางเก็บเอาไว้
หลินอ้ายรับเงินมาเก็บเอาไว้ในอกเสื้ออย่างดี พรุ่งนี้นางจะหายืมรถเข็นพาลูกสาวไปบ้านท่านหมอในหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มีกะจิตกะใจขึ้นเขาไปหาของป่ามาแลกอาหารกับชาวบ้านแน่ จูฉางหยูเห็นภรรยาเก็บเงินเอาไว้อย่างดีก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่คิดเลยว่าเงินทั้งหมดที่หามาได้ ท่านแม่จะไม่ยอมให้ครอบครัวเขาแม้แต่อีแปะเดียว ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จากชาวบ้านว่าภรรยากับลูก ๆ ต้องขึ้นเขาไปหาของป่ามาแลกอาหาร เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดกับท่านแม่อย่างไรเพื่อขอเงินคืน ตั้งแต่จำความได้ เขาก็ทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว พี่ใหญ่ของเขาไม่เคยให้เงินท่านแม่แม้แต่อีแปะเดียว ทั้งที่พี่ใหญ่ทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมใหญ่ในอำเภอแท้ ๆ ส่วนน้องสาวของเขาก็ชอบกลับมาขโมยเสบียงอาหารของท่านแม่มาตลอดหลายปี แต่ท่านแม่กลับตบตีภรรยาเขาและหาว่าเป็นขโมยแทนเสียนี่ กว่าที่เขาจะรู้เรื่องก็มักจะเป็นหลังกลับจากการล่าสัตว์ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงได้ทำเช่นนี้ ทั้งที่เขาเองก็เป็นลูกชายนางเช่นเดียวกับพี่ใหญ่และน้องสาว ตอนนี้เขาชักจะสงสัยแล้วว่าตนเองเป็นลูกของนางจริงหรือไม่ เพราะหน้าตาและผิวพรรณของเขาต่างจากทั้งคู่ราวฟ้ากับเหว
ขณะที่จูฉางหยูกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงไอในห้องทำให้เขาต้องรีบตั้งสติก่อนจะเดินเร็ว ๆ เข้าไปดูลูกสาวที่กำลังป่วยหนัก
“พี่ใหญ่!!! ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ อย่าทำให้ข้าตกใจสิขอรับ”
“แค่ก ๆ ข้า.. ไม่เป็นอะไร แฮ่ก..” จูฉิงอันพูดอย่างเหนื่อยหอบ
นางเพียงแค่กินข้าวต้มซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมากกว่าเม็ดข้าวได้ไม่กี่คำ อาการไอจากพิษไข้ก็กำเริบขึ้นมาเสียแล้ว
“ฉิงอัน! เป็นยังไงบ้างลูก มาให้พ่อดูเจ้าก่อน”
จูฉิงเฉิงกับจูฉิงหยางรีบหลบทางให้ท่านพ่อเข้าไปดูพี่สาวพวกเขาบนเตียง จูฉางหยูวางมือบนหน้าผากของนางก็พบว่าลูกสาวของเขาตัวร้อนมากจนมือแทบไหม้ หากเขามาช้ากว่านี้ล่ะก็ ลูกสาวของเขาคงตายแน่แล้ว
“พวกเจ้าไปตามท่านแม่ก่อน พ่อจะอุ้มพี่สาวเจ้าไปบ้านท่านหมอ”
พูดจบจูฉางหยูก็ไม่รอคำตอบจากลูกชาย เขากลัวว่าถ้าช้าไปกว่านี้อาจเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกสาวของเขาขึ้นจริง ๆ จูฉางหยูอุ้มจูฉิงอันที่ตัวเบาราวกับนุ่นวิ่งออกจากกระท่อมซอมซ่อไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเขาเอาแต่เรียกไม่ให้จูฉิงอันหลับไปอีกครั้งก่อนถึงมือหมอ เพราะเขากลัวว่าหากลูกสาวหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาพบเขากับทุกคนอีก
ก่อนจูฉางหยูจะพาจูฉิงอันไปถึงบ้านหมอชรา แม่เฒ่าจูที่นั่งนินทาชาวบ้านกับบรรดาแม่เฒ่าบ้านอื่นเห็นเขาเข้าพอดี นางรีบหยิบไม้เท้าแล้วเดินไปขวางทางเขาพร้อมกับด่าทอเสียงดัง
“เจ้าลูกบ้า!!! นี่เจ้าจะพานังตัวขาดทุนไปไหนอีก เหตุใดกลับมาจากล่าสัตว์แล้วไม่นำเงินมาให้ข้า เอาเงินที่เจ้าขายสัตว์ป่าออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ท่านแม่ ข้าจะพาลูกไปหาหมอ เงินล่าสัตว์ข้าไม่มีหรอกขอรับ ท่านแม่โปรดอย่าขวางทาง!”
คราวนี้จูฉางหยูไม่ยอมแม่ของเขาอีกแล้ว ในเมื่ออาการของจูฉิงอันจำเป็นต้องพบหมอเป็นการด่วน
“บังอาจนัก! ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ? ข้าจะตีเจ้ากับนังตัวขาดทุนนี่ให้ตาย นี่แน่ะ ๆ”
เพี๊ยะ! ปั่ก!
จูฉางหยูได้แต่เอาร่างที่สูงใหญ่บังลูกสาวเอาไว้ ก่อนที่หลินอ้ายกับลูกชายของเขาจะมาถึงพอดี เขาจึงบอกภรรยาให้วิ่งไปบอกท่านหมอไว้ก่อน เขาจะพาลูกตามไปทีหลัง
“เพ้ย! พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร ข้าบอกว่าไม่ให้พามันไปหาหมอ เจ้าหูหนวกหรือ?”
“ท่านแม่!!! ท่านทำเกินไปแล้วนะขอรับ ลูกสาวข้าป่วยหนักขนาดนี้ เงินทั้งหมดที่ข้าทำงานมาเหตุใดท่านไม่เอาให้ภรรยาข้าพาลูกไปหาหมอเล่า ถ้าข้ามาไม่ทันแล้วลูกสาวข้าเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร”
“บ๊ะ! นี่เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้าหรือ? ลูกเจ้าป่วยตายแล้วอย่างไร? นางเป็นแค่ตัวขาดทุนของบ้าน จะดูแลอะไรดีนักหนา”
“เหตุใดท่านแม่จึงได้ใจร้ายยิ่งนัก? ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาเถียงกับท่าน ถ้าท่านยังไม่ถอยไป ข้าคงต้องล่วงเกินท่านแล้วขอรับ”
จูฉางหยูรีบหลบไม้เท้าแม่เฒ่าจู ก่อนจะวิ่งผ่านนางไปยังบ้านท่านหมอโดยไม่เหลียวหลังกลับ มีเพียงเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าจูที่ลอยอยู่ด้านหลังเขาเท่านั้น
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
สิบวันต่อมา เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่เตรียมฎีกาต่าง ๆ เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากหลินฉิงอันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปบอกลาเหิงอันโหวก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมาก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลินฉิงอันยังมอบผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขานำกลับไปด้วยถึงสิบกระสอบเพื่อกินระหว่างทางและนำไปฝากครอบครัวด้วย ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็นำเกาลัดคั่วที่พวกเขาทำมอบให้ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสนาบดีหลี่รู้ว่าพวกชาวบ้านนำสิ่งของเหล่านี้ไปขายในเมืองกันนานแล้ว ท่านจึงมอบเงินให้กับผู้ใหญ่บ้านหลี่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวว่าเสนาบดีเซี่ยกำลังจะเดินทางกลับก็มาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าไห่เช่นเดียวกัน เสนาบดีเซี่ยยังกล่าวอีกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการคำแนะนำจากหลินฉิงอัน เขาจะส่งม้าเร็วมาส่งข่าวให้ถึงหมู่บ้านต้าไห่หลินฉิงอันที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดขุนนางเต็มยศรับปากว่านางจะรอและยังส่งมอบเอกสารเรื่องการปรับปรุงน้ำเพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เ
สายวันต่อมา หลินฉิงอันนำเอกสารทั้งหมดที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปให้กับเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบดู เนื้อหาภายในอธิบายถึงวิธีการปรับปรุงดินแบบต่าง ๆ ตามลักษณะดินที่เสนาบดีเซี่ยบอกหลินฉิงอันเอาไว้เมื่อวานนี้ โดยนางได้แบ่งเนื้อหาให้แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ดินเหนียวนั้นนางให้ข้อแนะนำในการปรับปรุงโดยให้เติมทราย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษใบไม้เพื่อทำให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนเช่นพืชตระกูลถั่วสลับกับพืชหลักเพื่อปรับปรุง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าวิธีการแรกที่นางแนะนำดินทราย หลินฉิงอันแนะนำให้ปรับปรุงดินโดยการเติมดินเหนียว ปุ๋ยหรือเศษใบไม้เพื่อให้ดินมีความหนาแน่นมากขึ้นและอุ้มน้ำได้ รวมถึงการปลูกพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของดินทรายได้อีกด้วยดินกรด ให้ปรับปรุงดินโดยการเติมปูนขาวหรือปุ๋ยเพื่อให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักได้ ซึ่งปูนขาวจะช่วยปรับค่าความเป็นกรดในดินให้ลดลงดินเค็ม ให้ปรับปรุงดินโดยการล้างดินให้สะอา
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ
ขบวนเดินทางของเสนาบดีเซี่ยเดินทางถึงเมืองไห่ตงในหนึ่งเดือนต่อมา เจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวจากม้าเร็วของขบวนรีบออกมารอต้อนรับยังหน้าประตูเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเห็นขบวนขุนนางใหญ่มาก่อน พวกเขาต่างมามุงดูกันว่าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใด ยิ่งเห็นเจ้าเมืองเติ้งพินอบพิเทาตั้งแต่คนบนรถม้ายังไม่ลงมาเสียด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยิ่งให้ความสนใจเสนาบดีเซี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าจนกระทั่งเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองที่เตรียมห้องพักสำหรับขบวนคนที่มาจำนวนมากในครั้งนี้“เชิญท่านเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายเข้าพักที่จวนซอมซ่อของข้าน้อยก่อนขอรับ”“เจ้านำทางไปเถอะ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้านำทางพวกข้าไปยังหมู่บ้านต้าไห่ด้วยก็แล้วกัน พวกข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก”“ขอรับ ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ”องครักษ์ทั้ง 100 คนที่เดินทางมากับขบวนเสนาบดีต่างแยกกันไปพักยังอีกจวนหนึ่งที่ว่างอยู่ในเมือง โดยมีพ่อบ้านในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ต้อนรับ
ฮองเฮาที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น พระนางรู้ดีว่าพระสนมกุ้ยเฟยมีอิทธิพลมากแค่ไหน ยิ่งฝ่าบาทไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พระนางก็หวาดเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยจะสร้างเรื่องจนทำให้วังหลังปั่นป่วนฮ่องเต้เห็นฮองเฮาสีหน้าผิดปกติไป พระองค์จึงโอบฮองเฮาเข้ามากอดเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง พร้อมกับกระซิบบอกพระนางให้อย่าคิดมาก“เสด็จพี่จะไม่ให้น้องคิดมาได้อย่างไรเพคะ หากกุ้ยเฟยก่อเรื่องหนักกว่านี้จนวังหลังระส่ำระสาย น้องจะทำเช่นไร? เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่านางเป็นเช่นไร”“หากนางสร้างเรื่องทำให้เจ้าหนักใจ เจ้าก็เพียงแค่ลงโทษนางตามกฎของวังหลังเสีย เรื่องอื่นหลังจากนั้นเจ้าอย่าได้กังวล พี่จะให้คนของพี่มาคอยปกป้องพวกเจ้าอย่างลับ ๆ”“เสด็จพี่ก็ทราบว่าพ่อของนางมีหรือจะยอมจบเรื่องง่าย ๆ หากข้าลงโทษนาง”“เฮ้อ น้องหญิง เจ้าเชื่อใจพี่ได้หรือไม่ ถึงแม้เสนาบดีควนจะมีอิทธิพลมากก็ตาม แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าสามีของเจ้าเป็นถ