หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ
“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึก
ในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป
“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกต
บางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียง
หลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คน
เมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและราคาที่เหมาะสม นางสามารถขายของป่าได้ในราคาดี
“เด็กคนนี้เก่งนะ เก็บของป่าคุณภาพดีมาขายได้ทุกวัน” พ่อค้าคนหนึ่งพูดชม ขณะจ่ายเงินให้นาง
จูฉิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ แต่ไม่ได้พูดคุยมากนัก นางไม่อยากให้ใครจำตัวตนของนางได้มากเกินไป
หลังจากได้เงินจากการขายของป่า นางรีบซื้อข้าวสาร เนื้อสัตว์ และผักสด โดยเลือกซื้อในปริมาณพอเหมาะ นางรู้ว่าหากนำของกลับไปมากเกินไป แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่อาจสังเกตเห็นความผิดปกติ
เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น นางเลือกที่จะหลบเข้าทางหลังบ้านเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าตะกร้าของนางมีอะไรอยู่บ้าง
“วันนี้เหนื่อยหน่อย แต่ก็คุ้มค่า” นางบอกกับตัวเอง ขณะจัดเก็บอาหารและเสบียงอย่างเงียบๆ
ในทุกๆ วัน จูฉิงอันต้องใช้ชีวิตเหมือนเดินอยู่บนเชือกเส้นบางๆ ระหว่างความลับและการเปิดเผย นางรู้ดีว่าแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่เป็นคนละโมบและโหดร้าย หากพวกเขารู้ว่านางสามารถหาเงินและอาหารมาได้เอง ทุกสิ่งที่นางเหนื่อยยากหามาคงถูกพวกเขายึดไปจนหมด
ทุกเช้ามืด ก่อนที่ใครในเรือนใหญ่จะตื่น จูฉิงอันจะลุกจากที่นอนอย่างเงียบเชียบ นางเตรียมตะกร้าและเครื่องมือที่ใช้เก็บของป่าล่วงหน้าในคืนก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงดังที่อาจปลุกคนในบ้าน
นางเลือกใช้เส้นทางด้านหลังบ้านที่รกร้างและไม่มีใครผ่านไปมา เพราะรู้ดีว่าหากเดินผ่านเรือนใหญ่ แม่เฒ่าจูหรือจูฉางไห่อาจมองเห็นและตั้งคำถาม นางเดินออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับแมว และไม่เคยลืมที่จะปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เมื่อกลับมาจากป่า ตะกร้าของนางมักเต็มไปด้วยสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ต่างๆ นางจะเดินอ้อมไปยังด้านหลังบ้านและซ่อนตะกร้าในที่ที่แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ไม่มีทางหาเจอ เช่น ในพุ่มไม้หนา หรือใต้หลังคาดินที่แตกแล้ววางซ้อนกัน
หลังจากนั้น นางจะทยอยนำของเข้าไปในบ้านทีละเล็กทีละน้อย เพื่อไม่ให้ดูเป็นที่ผิดสังเกต ทุกอย่างที่นางนำกลับมาจะถูกจัดเก็บอย่างมิดชิด โดยเฉพาะอาหารดีๆ อย่างเนื้อสัตว์และข้าวสาร
จูฉิงอันรู้ว่าหากครอบครัวของนางกินอาหารดีเกินไปจนผิดปกติ แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่อาจสังเกตเห็น นางจึงวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างรอบคอบ อาหารบางส่วนจะถูกปรุงอย่างเรียบง่ายเพื่อไม่ให้มีกลิ่นหอมจนดึงดูดความสนใจ
ในบางวัน นางกับหลินอ้ายจะทำทีว่ากินเพียงผักธรรมดา แต่ความจริงแล้วเนื้อและข้าวดีๆ ถูกแบ่งซ่อนไว้ในส่วนอื่นเพื่อบำรุงร่างกายของจูฉางหยูและน้องชายทั้งสอง
จูฉิงอันพยายามไม่ปรากฏตัวในบริเวณเรือนใหญ่หากไม่จำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แม่เฒ่าจูและจูฉางไห่มักเดินตรวจตรา นางเลือกทำงานที่บ้านหรือในบริเวณที่มีร่มเงา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ในบางครั้ง หากต้องพบพวกเขา นางจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอและป่วยหนักเพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัยในความสามารถของนาง
เสียงฝีเท้าหนักๆ หรือเสียงพูดดังของแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ทำให้นางต้องตื่นตัวอยู่เสมอ หากพวกเขาเข้าใกล้ นางจะรีบเก็บทุกอย่างที่อาจเป็นหลักฐานว่าครอบครัวรองมีอะไรดีไปกว่าที่พวกเขารู้
แม้แต่การพูดคุยในครอบครัว นางก็เตือนแม่และน้องชายว่าอย่าพูดถึงของที่นางนำมาในที่ที่พวกเขาอาจได้ยิน
แม้ว่าการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังจะเป็นเรื่องเหนื่อยล้า แต่นางกลับไม่เคยท้อถอย ความรักที่นางมีต่อครอบครัวและความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ
“ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาทำลายสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาอีกต่อไป” นางคิดในใจทุกครั้งที่รู้สึกหวาดกลัว
ทุกคืนก่อนเข้านอน นางจะตรวจสอบอาหารและสิ่งของที่สะสมไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างยังอยู่ครบและไม่มีใครล่วงรู้ถึงความลับนี้
“วันหนึ่ง...ข้าจะพาทุกคนออกจากที่นี่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป” นางพูดกับตัวเองในใจ พร้อมทั้งสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวจากเงื้อมมือของแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่
หลายวันผ่านไป หลังจากที่จูฉิงอันเริ่มนำอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาบำรุงให้ครอบครัว จูฉางหยูที่เดิมทีร่างกายซูบผอมและเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายและการล่าสัตว์ก็เริ่มมีอาการดีขึ้นทีละน้อย
ทุกวัน จูฉิงอันจะเลือกส่วนที่ดีที่สุดจากสิ่งที่นางหาได้ ไม่ว่าจะเป็นปลาสดจากลำธาร เนื้อสัตว์คุณภาพดี หรือสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายมาปรุงอาหารให้บิดาของนาง
“ท่านพ่อควรกินเนื้อต้มกับสมุนไพรนี้ก่อน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น” นางพูดพลางตักซุปใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วยื่นให้จูฉางหยู
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของซุปสมุนไพรผสมกับเนื้อทำให้จูฉางหยูรู้สึกดีขึ้นทันทีหลังจากดื่มคำแรก แม้ว่าเขาจะยังพูดไม่ได้มากเพราะบาดแผล แต่สายตาที่เปล่งประกายขึ้นบ่งบอกว่าเขารับรู้ถึงความรักและความตั้งใจของลูกสาว
ร่างกายของจูฉางหยูที่เคยอ่อนล้าเริ่มมีแรงมากขึ้น เขาสามารถลุกขึ้นนั่งเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหลินอ้ายหรือจูฉิงหยางช่วยพยุง แม้จะยังเดินไม่ได้ แต่สีหน้าของเขาดูสดใสขึ้น
“ท่านพ่อ วันนี้ดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ” จูฉิงอันกล่าวพลางยิ้มบางๆ ขณะเช็ดเหงื่อให้เขา
“ก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ? ลูกข้า” จูฉางหยูตอบเบาๆ น้ำเสียงแฝงความรู้สึกขอบคุณ
ไม่เพียงแต่อาหารที่ช่วยให้ร่างกายของจูฉางหยูดีขึ้น แต่กำลังใจจากครอบครัว โดยเฉพาะจูฉิงอันที่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลเขาไม่ขาดสาย ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับความเจ็บปวด
ในบางวัน จูฉิงอันจะเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางพบเจอในป่า หรือบอกเล่าถึงแผนการทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ข้าสัญญา ท่านพ่อ...ไม่นาน ครอบครัวเราจะต้องหลุดพ้นจากความทุกข์นี้” นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขาผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ดวงตาฝ้าฟางของเขามองตรงไปยังแม่เฒ่าจูด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความจริงจัง“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ชัดเจนเลย จูฉางหยูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้า ทรัพย์สินบางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก เช่น หยกพกนั่น เจ้าไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ มันต้องคืนให้เขา!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งลานบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่ได้ยินต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่แม่เฒ่าจูถึงกับหน้าซีด แต่เพียงเสี้ยววินาที ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่“หยกพกนั่นเป็นของข้า! ข้าเลี้ยงดูมันมาทั้งชีวิต ข้าจะเก็บไว้! ใครก็เอาไปไม่ได้!”นางตะโกนเสียงแหลม มือสองข้างกำชายเสื้อแน่นราวกับจะปกป้องสมบัตินั้นด้วยชีวิต“แม่เฒ่าจู” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงเข้ม“ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะส่งเรื่องนี้ไปถึงทางการ เจ้าอยากถูกลงโทษเพราะยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของจูฉางหยูหรือ?”
จูฉางหยูยื่นมือออกมารับหยกพกนั้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งเศร้าใจ อ่อนล้า และขอบคุณ เขาจ้องมองหยกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำเบา ๆ “นี่เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงข้ากับพ่อแม่แท้ ๆ ของข้า...”เขาเก็บหยกพกไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เสียงหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความกังวลว่าสิ่งนี้อาจถูกขโมยไปอีก เขากำอกเสื้อแน่นขณะยืนตัวตรง ดวงตาที่เคยอ่อนแอกลับเปล่งประกายความแน่วแน่ออกมาเมื่อผู้ใหญ่บ้านเริ่มกล่าวถึงข้อตกลงการแบ่งที่นาและเงินเก็บจำนวนหนึ่งให้แก่บ้านรอง แม่เฒ่าจูรีบตะโกนสวนทันที“ไม่มีทาง! ที่นานั่นข้ากับฉางไห่ทำงานหนักเพื่อได้มันมา! ส่วนเงินเก็บ ข้าก็เก็บออมมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกข้า! พวกมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำไมข้าต้องแบ่งให้ด้วย!”เสียงตะโกนของนางทำให้ชาวบ้านเริ่มกระซิบกระซาบถึงความงกและใจร้ายของแม่เฒ่าจู ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา“แต่ไหนแต่ไรบ้านรองก็ทำงานหนักหาเลี้ยงทั้งบ้าน
“ท่านพ่อ พวกเราจะไปที่ไหนก่อน?”จูฉางหยูลูบหัวลูกชายทั้งสองอย่างอ่อนโยน“เราจะไปที่ที่ดินตีนเขาที่ได้มา พ่อจะขอให้ชาวบ้านช่วยเราสร้างเพิงพักเล็ก ๆ เอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องบ้านดี ๆ พ่อจะหาทางต่อเมื่อเรามีเงินเพียงพอ”จูฉิงอันที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ข้าจะช่วยท่านแม่ทำงาน และช่วยท่านพ่อหาเงินสร้างบ้านอีกแรง เราไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างจะดีขึ้น”จูฉางหยูยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าเสมอฉิงอัน ขอบใจที่เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระ”แม้รถเข็นจะเต็มไปด้วยข้าวของและน้ำหนักมาก แต่บ้านรองช่วยกันผลักดันมันออกไปจากบ้านเก่าอย่างตั้งใจ หลินอ้ายช่วยจัดของที่เคลื่อนที่ไปมาให้มั่นคง ขณะที่จูฉิงอันคอยจับล้อรถเข็นด้านหนึ่ง ส่วนเด็กชายทั้งสองช่วยกันดันท้ายรถอย่างสุดแรงเมื่อมอ
สิบวันต่อมา เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่เตรียมฎีกาต่าง ๆ เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากหลินฉิงอันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปบอกลาเหิงอันโหวก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมาก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลินฉิงอันยังมอบผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขานำกลับไปด้วยถึงสิบกระสอบเพื่อกินระหว่างทางและนำไปฝากครอบครัวด้วย ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็นำเกาลัดคั่วที่พวกเขาทำมอบให้ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสนาบดีหลี่รู้ว่าพวกชาวบ้านนำสิ่งของเหล่านี้ไปขายในเมืองกันนานแล้ว ท่านจึงมอบเงินให้กับผู้ใหญ่บ้านหลี่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวว่าเสนาบดีเซี่ยกำลังจะเดินทางกลับก็มาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าไห่เช่นเดียวกัน เสนาบดีเซี่ยยังกล่าวอีกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการคำแนะนำจากหลินฉิงอัน เขาจะส่งม้าเร็วมาส่งข่าวให้ถึงหมู่บ้านต้าไห่หลินฉิงอันที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดขุนนางเต็มยศรับปากว่านางจะรอและยังส่งมอบเอกสารเรื่องการปรับปรุงน้ำเพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เ
สายวันต่อมา หลินฉิงอันนำเอกสารทั้งหมดที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปให้กับเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบดู เนื้อหาภายในอธิบายถึงวิธีการปรับปรุงดินแบบต่าง ๆ ตามลักษณะดินที่เสนาบดีเซี่ยบอกหลินฉิงอันเอาไว้เมื่อวานนี้ โดยนางได้แบ่งเนื้อหาให้แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ดินเหนียวนั้นนางให้ข้อแนะนำในการปรับปรุงโดยให้เติมทราย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษใบไม้เพื่อทำให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนเช่นพืชตระกูลถั่วสลับกับพืชหลักเพื่อปรับปรุง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าวิธีการแรกที่นางแนะนำดินทราย หลินฉิงอันแนะนำให้ปรับปรุงดินโดยการเติมดินเหนียว ปุ๋ยหรือเศษใบไม้เพื่อให้ดินมีความหนาแน่นมากขึ้นและอุ้มน้ำได้ รวมถึงการปลูกพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของดินทรายได้อีกด้วยดินกรด ให้ปรับปรุงดินโดยการเติมปูนขาวหรือปุ๋ยเพื่อให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักได้ ซึ่งปูนขาวจะช่วยปรับค่าความเป็นกรดในดินให้ลดลงดินเค็ม ให้ปรับปรุงดินโดยการล้างดินให้สะอา
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ
ขบวนเดินทางของเสนาบดีเซี่ยเดินทางถึงเมืองไห่ตงในหนึ่งเดือนต่อมา เจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวจากม้าเร็วของขบวนรีบออกมารอต้อนรับยังหน้าประตูเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเห็นขบวนขุนนางใหญ่มาก่อน พวกเขาต่างมามุงดูกันว่าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใด ยิ่งเห็นเจ้าเมืองเติ้งพินอบพิเทาตั้งแต่คนบนรถม้ายังไม่ลงมาเสียด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยิ่งให้ความสนใจเสนาบดีเซี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าจนกระทั่งเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองที่เตรียมห้องพักสำหรับขบวนคนที่มาจำนวนมากในครั้งนี้“เชิญท่านเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายเข้าพักที่จวนซอมซ่อของข้าน้อยก่อนขอรับ”“เจ้านำทางไปเถอะ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้านำทางพวกข้าไปยังหมู่บ้านต้าไห่ด้วยก็แล้วกัน พวกข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก”“ขอรับ ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ”องครักษ์ทั้ง 100 คนที่เดินทางมากับขบวนเสนาบดีต่างแยกกันไปพักยังอีกจวนหนึ่งที่ว่างอยู่ในเมือง โดยมีพ่อบ้านในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ต้อนรับ
ฮองเฮาที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น พระนางรู้ดีว่าพระสนมกุ้ยเฟยมีอิทธิพลมากแค่ไหน ยิ่งฝ่าบาทไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พระนางก็หวาดเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยจะสร้างเรื่องจนทำให้วังหลังปั่นป่วนฮ่องเต้เห็นฮองเฮาสีหน้าผิดปกติไป พระองค์จึงโอบฮองเฮาเข้ามากอดเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง พร้อมกับกระซิบบอกพระนางให้อย่าคิดมาก“เสด็จพี่จะไม่ให้น้องคิดมาได้อย่างไรเพคะ หากกุ้ยเฟยก่อเรื่องหนักกว่านี้จนวังหลังระส่ำระสาย น้องจะทำเช่นไร? เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่านางเป็นเช่นไร”“หากนางสร้างเรื่องทำให้เจ้าหนักใจ เจ้าก็เพียงแค่ลงโทษนางตามกฎของวังหลังเสีย เรื่องอื่นหลังจากนั้นเจ้าอย่าได้กังวล พี่จะให้คนของพี่มาคอยปกป้องพวกเจ้าอย่างลับ ๆ”“เสด็จพี่ก็ทราบว่าพ่อของนางมีหรือจะยอมจบเรื่องง่าย ๆ หากข้าลงโทษนาง”“เฮ้อ น้องหญิง เจ้าเชื่อใจพี่ได้หรือไม่ ถึงแม้เสนาบดีควนจะมีอิทธิพลมากก็ตาม แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าสามีของเจ้าเป็นถ