“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”
“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรง
จูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น
“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”
“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู
“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”
พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!
จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลง
ตุ้บ! กรี๊ด!!!
“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ”
“เอ่อ.. ท่านแม่เจ้าคะ ถ้าท่านทำเช่นนั้นจริง ๆ มีหวังท่านต้องติดคุกแน่เจ้าค่ะ”
“บัดซบ! เจ้ามาช่วยข้าลุกขึ้นก่อน ข้าไม่ยอมให้พวกมันลอยนวลไปง่าย ๆ แน่”
จูฉางฮวารีบเข้าไปช่วยแม่ลุกขึ้น เธอไม่กล้าลงมือลงไม้กับพวกเขาเพราะกลัวว่าจูฉางหยูจะทำร้ายนางกลับ แม่เฒ่าจูพอลุกขึ้นได้ก็คิดจะพุ่งเข้าไปตีพวกมันอีก เสียดายที่มีอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากหน้าบ้านเสียก่อน
“หยุดนะ!!! มันจะมากเกินไปแล้วนะแม่เฒ่าจู ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าทำร้ายพวกเขา นี่เจ้าคิดว่าคำพูดข้าไม่มีความหมายใช่หรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านตะวาดแม่เฒ่าจูเสียงดังจนนางสะดุ้งโหยง นางหันไปมองตามที่เสียงดังมาก็เห็นผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านหลายคนอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ไม่นานแม่เฒ่าจูก็ปลุกปลอบใจตัวเองก่อนจะตอบโต้ผู้ใหญ่บ้านอย่างเผ็ดร้อน
“อะไรกันผู้ใหญ่ นี่มันในบ้านของข้านะเจ้าคะ พวกท่านจะเข้ามาโดยพละการไม่ได้ แล้วเรื่องนี้มันก็เรื่องของคนในบ้านข้า ข้าสั่งสอนพวกหัวขโมยจะเป็นไรไป”
“เพ้ย!!! เจ้ายังกล้าอ้างว่าพวกเขาเป็นขโมยอีกหรือ? ในเมื่อบ้านรองแค่พาลูกสาวไปหาหมอแล้วเพิ่งกลับมา พวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปขโมยของของเจ้ากัน”
“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเสบียงบ้านข้าหายไป ยังไงก็มีแค่พวกมันนั่นแหละที่จะขโมยได้”
“ฮือ… ท่านแม่อย่าใส่ร้ายพวกข้านะเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ถามบุตรสาวท่านเล่า ทุกทีที่นางมาที่นี่ เสบียงอาหารก็หายไปทุกครั้ง ท่านจะมาหาว่าพวกข้าขโมยได้ยังไง”
“หุบปาก!!! ลูกสาวข้ามีหรือจะเป็นคนเช่นนั้น ข้าเลี้ยงนางมากับมือ ไม่เหมือนพวกเจ้าที่จ้องแต่จะขโมยของในบ้านข้า”
“เจ้านั่นแหละต้องหุบปาก! ข้าเคยเตือนเจ้าว่าอย่าทำร้ายคนบ้านรอง แต่เจ้าก็ยังทำอยู่ ถ้าชาวบ้านไม่นำเรื่องมาบอกข้า ป่านนี้พวกเขาไม่บาดเจ็บล้มตายกันไปแล้วหรือ”
“ท่านผู้ใหญ่ก็กล่าวเกินไปนะขอรับ ท่านแม่ข้าแก่ชรามากแล้ว จะมีเรี่ยวแรงที่ไหนตีคนพวกนี้จนตายกันเล่า ท่านแม่ข้าก็แค่สั่งสอนพวกมันเท่านั้น”
จูฉางไห่ที่กลับมาจากโรงเตี๊ยมรีบเข้ามาสอดเรื่องในครั้งนี้ หากแม่เขาเสียท่าเข้าล่ะก็ เงินที่เขาคอยขอท่านแม่คงจะไม่ได้อีกเป็นแน่
“ฮึ พวกเจ้ามันก็เข้าข้างกันทำร้ายบ้านรองมาตลอด คำพูดเจ้าเชื่อถือได้ที่ไหนกัน”
“ท่านลำเอียงเกินไปแล้วนะเจ้าคะ แม่สามีข้าก็บอกแล้วยังไงเล่าว่าแค่ตีสั่งสอนน่ะ”
“ใช่ ๆ ท่านผู้ใหญ่ลำเอียงเกินไปจริง ๆ พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก”
“พูดกับพวกเจ้าไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง ตกลงว่าเจ้าจะยังตีบ้านรองอยู่อีกหรือไม่ แม่เฒ่าจู”
“ท่านถามทำไมผู้ใหญ่ นี่มันเรื่องในบ้านของข้า”
“ถ้าเจ้ายังไม่หยุดทำร้ายพวกเขาอีกล่ะก็ ข้าจะให้พวกเขาแยกบ้านไปเสีย เจ้าอย่าลืมว่าเคยสัญญากับข้าไว้อย่างไร ถ้าสามีเจ้าไม่สิ้นบุญไปเสียก่อน พวกเขาคงไม่ต้องมาคอยรองมือรองเท้าเจ้าเช่นนี้ อย่าให้ข้าต้องนำเรื่องทั้งหมดไปแจ้งทางการเลย เจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
“นี่ท่านขู่ข้าหรือ?”
“ข้าไม่ได้ขู่เจ้า ข้าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ ว่าอย่างไร เจ้ายังจะทำร้ายพวกเขาต่อไหม”
“ฮึ่ย ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะกล้ายุ่งกับพวกมันได้อย่างไร พวกเจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!”
จูฉางหยูรีบคำนับขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่ช่วยครอบครัวพวกเขาเอาไว้ในวันนี้ หากพวกเขาไม่เข้ามา ป่านนี้เขาก็ไม่รู้ว่าลูกเมียจะบาดเจ็บขนาดไหน
ผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าครอบครัวรองกลับเข้าไปในกระท่อมแล้ว เขาจึงหันหลังกลับออกไปพร้อมชาวบ้านที่มามุงดู
จูฉางไห่รีบเดินเข้าไปประคองแม่เฒ่าจูเพื่อกลับเข้าบ้าน ป่านนี้ภรรยาเขาน่าจะเตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้แล้วกระมัง ระหว่างทางแม่เฒ่าจูยังก่นด่าจูฉางหยูต่อ
“พวกเจ้าดูเอาเถอะ นับวันพวกมันจะยิ่งปีกกล้าขาแข็ง ต่อไปมันคงไม่เชื่อฟังข้าอีก”
“ท่านแม่ใจเย็นก่อน ท่านอย่าลืมว่าเรายังต้องใช้จูฉางหยูหาเงินอยู่นะขอรับ ถ้าท่านใจร้อนจนมันแยกบ้านเข้าจะทำอย่างไร”
“มันจะกล้ารึ! ลองมันมาขอแยกบ้านดูสิ ข้าจะไม่ให้สิ่งใดติดตัวพวกมันไปสักอย่าง”
“นั่นสิพี่ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไปหรือเปล่า พี่รองโง่จะตาย เขาหรือจะกล้าแยกบ้าน”
“เจ้าจะไปรู้อะไร แล้ววันนี้เจ้ากลับมาบ้านทำไมกัน สามีเจ้าไม่ว่าเอาหรือ”
“เอ้า ข้าแค่คิดถึงท่านแม่เลยอยากกลับมานอนบ้านสักคืนจะเป็นอะไรไป หรือว่าพี่ใหญ่ไม่อยากต้อนรับข้าแล้ว?”
“หยุด ๆ พวกเจ้าจะทะเลาะกันทำไม มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง แทนที่จะช่วยกัน”
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดท่านไม่นับจูฉางหยูด้วยเล่าเจ้าคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! อย่าสอดรู้สอดเห็นให้มันมากนัก แล้วนี่เจ้าตั้งโต๊ะเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ๆ” ฮั่วหลิวรีบกระวีกระวาดไปดูโต๊ะอาหารก่อนจะถูกดุด่าอีก
สองพี่น้องได้แต่มองตามหลังฮั่วหลิวไปอย่างระแวง พวกเขากลัวว่านางจะนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง แต่พวกเขาก็ยังเชื่อว่านางคงกลัวพวกเขามากกว่า
“เอาล่ะ ๆ รีบไปกินข้าวกันก่อน แล้วลูกชายเจ้าไม่กลับบ้านหรือยังไงอาไห่”
“เขาบอกว่ามีเรียนขอรับ ข้าไม่อยากขัดใจเขา เลยปล่อยให้อยู่ในอำเภอขอรับ”
“อืม รอให้ลูกชายเจ้าสอบได้ก่อน นี่เขาเรียนมาหลายปีแล้ว เหตุใดไม่มีกำหนดการเข้าสอบออกมาเสียทีเล่า ข้าเสียเงินให้เขามามากแล้วนะ”
“ท่านแม่นั่งลงก่อนขอรับ เรื่องนี้ลูกชายข้าบอกว่าอาจารย์รอให้เขามีความรู้มากกว่านี้เสียก่อนจึงจะพาเขาไปสอบขอรับ”
“ฮึ ให้มันจริงเถอะ ถ้าข้ารู้ว่าพวกเจ้าโกหกข้าล่ะก็ พวกเจ้าเจ็บตัวแน่”
“ข้าไม่กล้า ๆ ท่านแม่กินข้าวก่อนเถอะขอรับ”
จูฉางไห่รีบเอาใจแม่เฒ่าจูก่อนที่นางจะสงสัยเขากับลูกชาย ความจริงลูกเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนมาหลายปีแล้ว บ้านเช่าในอำเภอเขาจึงต้องขอเงินท่านแม่มาคอยจ่ายอยู่ทุกเดือน จนใจที่ตอนนี้ไม่มีอาจารย์คนไหนจะรับลูกชายเขาไปเรียนอีก เขาจึงต้องโกหกไปก่อน ไม่เช่นนั้นน้องสาวเขาต้องเยาะเย้ยครอบครัวเขาแน่
แม่เฒ่าจูที่เสียแรงไปไม่น้อยตั้งแต่เช้า นางกินข้าวเย็นมูมมามจนจูฉางฮวานึกรังเกียจ นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนู จึงไม่ชอบกิริยามารยาทของท่านแม่นางนัก ดีที่นางได้แต่งเข้าครอบครัวบัณฑิต ทำให้นางไม่ต้องทำงานบ้านเหมือนพี่สะใภ้ทั้งสอง แต่ที่นางชอบกลับบ้านมาบ่อย ๆ ก็เพราะอยากได้คำชมจากแม่สามี ทุกครั้งที่นางมาที่นี่ นางจะแอบนำเสบียงอาหารจำนวนหนึ่งกลับไปด้วย หากวันไหนนางไม่ถือเสบียงกลับไป แม่สามีของนางมักจะไม่ค่อยมีความสุข นางจึงต้องหาเวลามาที่นี่บ่อย ๆ อย่างที่ทุกคนเห็น
ฮั่วหลิวได้แต่มองภาพสามีคอยเอาอกเอาใจแม่สามี ตั้งแต่แต่งกับเขามา นางไม่เคยได้รับการเอาอกเอาใจเช่นนี้เลย ขนาดนางคลอดลูกชายให้เขาคนหนึ่ง เขาก็ยังไม่คิดจะดูดำดูดีนางสักเท่าไหร่ เสียดายที่นางแอบรักเขามานานจนยอมลำบากปักผ้าหาเงินมาแต่งงานกับเขา แต่พอเขาได้นางเป็นเมียแล้วกลับไม่สนใจนาง ทำให้นางรู้ว่าสามีนางคนนี้เป็นคนเห็นแก่เงินเท่านั้น ขนาดเขาทำงานในโรงเตี๊ยมมานาน เงินที่เขาได้รับกลับไม่เคยนำมาจุนเจือครอบครัวเลย เป็นนางที่ยังต้องปักผ้าแล้วฝากเขาไปขายในอำเภอมาตลอดหลายปี
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ คุณชายน้อยทั้งสองตั้งใจเรียนมาก และบ่าวคนอื่นๆ ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี” เฉินหลงรายงานหลินฉางหยูพยักหน้าด้วยความพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเฉินหลงจึงขอตัวออกไปซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับทำอาหาร เนื่องจากตอนนี้มีคนอยู่ในจวนมากขึ้น เขาต้องการซื้ออาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคนหลินอ้ายที่ได้ฟังรายงานของเฉินหลงก็รู้สึกสบายใจที่ลูกชายทั้งสองสบายดี แต่นางก็ยังคงมีความห่วงใยอยู่ในใจ นางจึงมอบเงินเพิ่มเติมให้เฉินหลงอีกห้าตำลึง“เฉินหลง นี่เป็นเงินอีกห้าตำลึง ข้าอยากให้เจ้าเอาไว้ซื้อวัตถุดิบดีๆ ทำอาหารให้ฉิงเฉิงกับฉิงหยาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณนายหญิงมากขอรับ ข้าจะดูแลคุณชายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี” เฉินหลงกล่าว
ก่อนที่หลินฉางหยูจะพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ หลินอ้ายได้พูดคุยกับหลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางอีกครั้ง นางกำชับให้ลูกชายทั้งสองดูแลตัวเองให้ดี เชื่อฟังบ่าวที่จวน และตั้งใจเรียนหนังสือ“ฉิงเฉิง ฉิงหยาง เจ้าทั้งสองดูแลตัวเองด้วยนะ เชื่อฟังเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ และอย่าดื้อรั้น” หลินอ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเด็กชายทั้งสองรับปากผู้เป็นแม่ พวกเขารู้ว่าแม่เป็นห่วงพวกเขามาก และพวกเขาจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง“ขอรับ ท่านแม่ พวกเราจะดูแลตัวเองให้ดี” เด็กชายทั้งสองตอบพร้อมกันหลังจากนั้น หลินฉางหยูจึงพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันขึ้นเกวียนลาเพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ ทิ้งให้หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอำเภอหลังจากที่หลินฉางหยู หลินอ้าย และหลินฉิงอันกลับไปแล้ว หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางไม่ได้สั่งการอะไรกับเฉินหลงเพิ่มเติม พวกเขาเพียงแค่ขอบคุณเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ
หลังจากที่จัดการเรื่องบ้านและทาสเรียบร้อยแล้ว หลินฉางหยูได้พาหลินอ้ายไปยังตลาดในอำเภอเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเตรียมไว้ให้บ่าวที่ต้องดูแลจวนใหม่ พวกเขาซื้อข้าวสาร ผักสด เนื้อสัตว์ เครื่องปรุงรส และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับหลายวันหลินอ้ายเลือกซื้อของอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นของคุณภาพดีและราคาเหมาะสม นางคิดถึงบ่าวทั้งสี่คนที่ต้องดูแลจวนในอำเภอ และอยากให้พวกเขาได้รับประทานอาหารที่ดีเมื่อซื้อของเสร็จเรียบร้อย หลินอ้ายจึงเรียกเฉินหลงซึ่งเป็นหัวหน้าบ่าวที่จวนใหม่มาพบ นางได้มอบเงินให้เฉินหลงจำนวนห้าตำลึง เพื่อให้เขาใช้จ่ายซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่“เฉินหลง นี่เป็นเงินจำนวนห้าตำลึง เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ดี และใช้จ่ายอย่างประหยัด ซื้ออาหารและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับทุกคนในจวน” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณ
หลินฉางหยูเห็นท่าทีของทาสทั้งหมดแล้วก็หันหน้าไปหาหลินอ้ายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เขาพอใจมากที่ได้คนมีความสามารถหลากหลาย พวกเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่เป็นเพียงชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่คิดจะข่มเหงทาสพวกนี้สักนิด ขอเพียงพวกเขาตั้งใจทำงานให้ครอบครัวหลินก็เพียงพอแล้วเด็กชายทั้งสองได้แต่มองทาสทั้งแปดอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่วนหลินฉิงอันที่เคยผ่านโลกมาตั้งแต่ภพก่อนไม่ได้รู้สึกอันใดมากนัก นางเพียงรอดูว่าคนเหล่านี้เหมาะที่จะใช้งานหรือไม่เท่านั้น เพราะนางยังมีวิธีการช่วยครอบครัวหาเงินได้อีกมาก ถ้าพวกเขาเชื่อใจได้และซื่อสัตย์จริง ๆ นางก็จะมอบงานที่ดีให้กับพวกเขาในอนาคตเองไม่นานนักผู้ดูแลก็นำสัญญาขายตัวและเงินทอน 15 ตำลึง มามอบให้หลินฉางหยู ระหว่างที่หลินฉางหยูพาทุกคนเดินออกจากโรงค้าทาส เขากระซิบกับภรรยาเสียงเบา“ฮูหยิน เจ้าว่าเราควรซื้อสิ่งใดให้พวกเขาก่อนดี”“ท่านพี่อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ เราไปหาซื้อที่นอนกับเสื้อผ้าให้พวกเขาเสียก่อน ไหนจะพวกวัตถุดิบทำ
เมื่อทุกคนไปถึงอำเภอ หลินฉางหยูก็เข้าไปทำเรื่องซื้อขายโดยรับตั๋วแลกเงินจากหลินอ้ายไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรอเขาที่ห้องโถงรับแขก ไม่นานนักหลินฉางหยูก็ถือโฉนดพร้อมกับกุญแจของจวนพวงใหญ่ออกมาพร้อมเจ้าหน้าที่หลินฉางหยูส่งโฉนดให้หลินอ้ายเก็บเอาไว้ ส่วนเขาถือกุญแจที่หนักไม่น้อยด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่บอกทางหลินฉางหยูให้ขับเกวียนไปยังถนนฝั่งตะวันตกซึ่งมีโรงค้าทาสของทางการอยู่เมื่อไปถึงด้านหน้า พวกเขาก็พบกับผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นำทาสมาขายหรือซื้อทาสไปเดินผ่านไปมาไม่น้อย“เจ้านำเกวียนลาไปจอดด้านนั้นก่อน ข้าจะให้คนงานดูแลให้ แล้วเราค่อยเข้าไปด้านในด้วยกัน” เจ้าหน้าที่บอกกับหลินฉางหยู“ขอรับ”หลินอ้ายและเด็ก ๆ ต่างมองเห็นทาสที่ถูกนำมาขายและซื้อไปก็นึกเวทนาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละคนสภาพไม่ต่างจากขอทานสักนิด ไม่รู้ว่าหากพวกเขาซื้อไปแล้วทาสเหล่านั้นจะสามารถทำงานให้ได้หรือไม่ ทั้งสี่คนได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลองทบทวนดูอีกครั้งดีไหมเจ้าคะ ข้าคิดว่าการซื้อทาสเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ อย่างไรข้ากับท่านพ่อยังต้องทำงานหาเงิน ส่วนท่านแม่ก็ต้องดูแลบ้าน ตอนนี้น้อง ๆ อายุจะ 10 ขวบแล้ว หากพวกเขาสามารถดูแลตัวเองและดูแลทาสได้ ในอนาคตหากพวกเขาสอบได้ขุนนาง พวกเขาจะต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมายนัก การฝึกฝนพวกเขาเสียแต่ตอนนี้ ข้าคิดว่าดีแล้วเจ้าค่ะ”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ข้ากับน้องดูแลตัวเองได้แล้วขอรับ หากพี่ใหญ่ซื้อทาสให้พวกเราก็ดีไม่น้อย อย่างไรข้ากับน้องก็ฝึกวรยุทธ์กับพี่ชายเหิงมาตลอด ข้าคิดว่าพวกข้าสองคนจะเอาตัวรอดได้ขอรับ” หลินฉิงเฉิงพูดด้วยแววตาจริงจัง“ข้าเห็นด้วยกับพี่รองขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลยนะขอรับ หากพวกท่านเป็นห่วงพวกเรา พวกท่านแค่แวะไปเยี่ยมเราที่อำเภอก็ได้แล้วขอรับ” หลินฉิงหยางพูดสนับสนุนพี่ชายและพี่สาวอีกแรงหนึ่งหลินฉางหยูกับหลินอ้ายหันมองกันอย่างจนใจ แต่ในเมื่อพวกเขาพี่น้องต่างเชื่อมั่นในกันและกันเช่นนี้ พ
ชีวิตของตระกูลหลินกลับมาดำเนินไปตามปกติ หลินฉางหยูและหลินฉิงอันยังคงขึ้นเขาไปจับปลาและนำมาพักไว้ในบ่อก่อนที่จะนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถังเช่นเคย กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ช่วยให้พวกเขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัววันหนึ่ง ขณะที่สองพ่อลูกกำลังเตรียมปลาเพื่อนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถัง หลินฉิงอันก็เอ่ยขึ้นด้วยความคิดที่อยู่ในใจมาสักพัก“ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ข้าอยากจะพาน้องชายทั้งสองไปอำเภอด้วย” หลินฉิงอันกล่าว“ไปอำเภอหรือ? มีธุระอันใดหรือ อันเออร์?” หลินฉางหยูถามด้วยความสงสัย“ข้าอยากจะพาน้องๆ ไปสมัครเรียนที่สำนักศึกษาในอำเภอเจ้าค่ะ พวกเขาโตพอที่จะเริ่มเรียนหนังสือได้แล้ว” หลินฉิงอันอธิบายหลินฉางหยูพยักหน้าเห็นด้วย เขาเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกชายทั้งสอง และเขาก็อยากจะให้ลูกๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้เมื่อหลินอ้ายได้ยินว่าหลินฉิงอันจะพาน้องชายทั้งสองไปสมัครเรียนที่อำเภอ
ผู้ใหญ่บ้านหลี่กล่าวอวยพรให้ลูกหลานทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และประสบความสำเร็จในชีวิต ลูกหลานก็อวยพรให้ผู้ใหญ่บ้านหลี่และภรรยามีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปนานๆเสียงหัวเราะและรอยยิ้มดังขึ้นเป็นระยะ บ่งบอกถึงความสุขและความอบอุ่นที่อยู่ในครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านหลี่ แม้ว่าผู้ใหญ่บ้านหลี่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเขา แต่เขาก็ยังคงนึกถึงตระกูลหลินและสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อหมู่บ้าน เขาคิดถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตระกูลหลินที่ได้ช่วยเหลือเหิงจิ้งกั๋วและองครักษ์ของเขา รวมถึงการสร้างห้องเก็บของและการสนับสนุนชาวบ้านในการขายเกาลัดคั่ว ผู้ใหญ่บ้านหลี่รู้สึกขอบคุณตระกูลหลินที่ได้นำความเจริญและความสุขมาสู่หมู่บ้านต้าไห่บรรยากาศในวันปีใหม่ของหมู่บ้านต้าไห่จึงเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น และความหวัง ทุกคนต่างเริ่มต้นปีใหม่ด้วยจิตใจที่เบิกบานและมีความหวังในอนาคตที่ดีเมื่อเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเป็น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวได้มาเยือนอย่างเต็มตัว หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วผืนดิน บรรยากาศหนาวเย็นแผ่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง แต่ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว แต่ตระกูลหลินยังคงต้องเดินทางไปส่งปลาและถั่วงอกที่โรงเตี๊ยมไห่ถังตามปกติ พวกเขายังเหลือปลาที่ต้องส่งอีกเจ็ดรอบ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอที่จะทำให้พวกเขาตัดสินใจฝ่าความหนาวเย็นเดินทางไปส่งสินค้าและรับเงินจากเถ้าแก่หลิวหลินฉางหยูและหลินฉิงอันเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอย่างรอบคอบ พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนาๆ หลายชั้น เพื่อป้องกันความหนาวเย็น หลินฉิงอันมีความกังวลเกี่ยวกับลาของพวกเขาที่ต้องเดินทางในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นางกลัวว่าลาจะหนาวสั่นและเจ็บเท้า นางจึงขอให้หลินอ้ายช่วยเย็บถุงเท้าหนาๆ ให้กับลา โดยใช้วัสดุจากหนังสัตว์เก่าๆ ที่เก็บไว้ในบ้าน“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าอยากจะขอให้ท่านแม่ช่วยเย็บถุงเท้าให้กับลาหน่อยเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันจะเจ็บเท้า” หลินฉิงอันกล่าว